หัวใจดีไซน์ Ep.7 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
ตอนที่ 6
พระพายลากร่างอ่อนเพลียของตัวเองออกจากโรงพยาบาลโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไป เขาไม่อยากกลับคอนโด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่อยากไปพึ่งใคร ไม่อยากให้ใครเห็นสภาพที่อ่อนแอเหมือนตอนนี้
สุดท้าย เขาจึงเลือกห้องเช่าธรรมดา ๆ ใกล้ไซต์งานก่อสร้าง บริเวณที่คีตะกำลังรับผิดชอบอยู่ ห้องเล็ก ๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรูหราเหมือนคอนโดที่เคยอยู่ แต่พระพายกลับรู้สึกปลอดภัยในความเงียบเหงาของมัน
ยืนพิงหน้าต่างห้องแคบ ๆ สายตาพระพายทอดไปไกล เห็นเครนยกเหล็ก โครงสร้างตึกที่ค่อย ๆ สูงขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องจักรดังเป็นจังหวะ พระพายกัดริมฝีปากแน่น เขารู้ดีว่าคีตะกับนับหนึ่งจะต้องเจอกันที่นั่น ไม่ว่ายังไงสองคนนั้นก็มีเหตุให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
“มึงไปจากกูไม่ได้หรอก…คีตะ” เสียงแผ่วเบาแทบเป็นคำรำพันหลุดจากริมฝีปาก
พระพายทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเก่า ๆ ในห้องเช่า ใจเต้นแรงด้วยความกังวลผสมหึงหวง เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมปล่อย ทั้งที่ก็รู้ว่าคีตะไม่อยากอยู่กับเขาอีกแล้ว แต่ยิ่งคิดถึงภาพคีตะอยู่กับคนอื่น ยิ่งรู้สึกเหมือนโลกกำลังถูกแย่งไป
พระพายเงยหน้ามองเพดาน รู้สึกน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งใจ ความรู้สึกตีกันในใจระหว่างความรัก ความเจ็บปวด และความกลัวว่าจะถูกทิ้งจริง ๆ
เวลาผ่านจนถึงช่วงบ่าย…
พระพายอยู่ในห้องเช่ามาทั้งวัน ท้องร้องโครกครากเพราะยังไม่ได้แตะอะไรเข้าปากตั้งแต่เช้า สุดท้ายก็จำใจต้องคว้าเงินสดไม่กี่ใบที่มีอยู่ ลงไปซื้ออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อแถว ๆ นั้น
แดดบ่ายเปรี้ยงราวกับจะเผาผิว เขาก้าวออกไปอย่างเชื่องช้า เหงื่อผุดเต็มหน้าผากตั้งแต่ยังไม่ทันถึงร้าน สภาพร่างกายที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลยังไม่ฟื้นเต็มที่ ทำให้การเดินเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเหมือนเป็นการทรมาน
พระพายกดซื้อข้าวกล่องกับน้ำดื่มมาสองสามอย่าง พอออกจากประตูร้านมา แสงแดดยิ่งแผดแรงจนตาพร่า หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ร่างกายเบาหวิวเหมือนจะร่วงลงตรงนั้น
เขาพยายามฝืนยืนให้ตรง สูดหายใจลึก แต่โลกกลับหมุนเคว้งคล้ายจะดับวูบ ความคิดผุดขึ้นแวบหนึ่ง “ถ้ากูเป็นลมตรงนี้…กูจะทำยังไง…”
ปลายนิ้วเย็นเฉียบ คอแห้งผาก ร่างกายโงนเงนจนคนที่เดินผ่านยังหันมามอง พระพายกัดฟันแน่น พยายามก้าวต่อไปให้ถึงห้องเช่าอย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ใครมาสงสารหรือมองว่าเขาน่าสมเพช
แต่เพียงไม่กี่ก้าว ท้องฟ้าก็เหมือนเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน พระพายรู้สึกเหมือนพื้นโลกหายไปจากฝ่าเท้า ร่างกายกำลังจะล้มพับ แต่ทันใดนั้นกลับมีแขนแข็งแรงมาประคองไว้ทัน ก่อนที่เขาจะฟาดหัวลงไปจริง ๆ
เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กำลังจะเอ่ยขอบคุณตามมารยาท ทว่าพอเงยหน้าขึ้น ภาพของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับทำให้หัวใจเขาเต้นกระตุกวูบ
"…มึง?" เสียงพระพายสั่นพร่า ใบหน้าซีดเผือดในทันที
ความทรงจำยังชัดเจน…ไอ้เด็กที่เขาเผลอไปนอนด้วยเพียงครั้งเดียว
ภาพคืนนั้นแล่นวาบเข้ามาในหัว มือหยาบกระชาก กัดกินแทบไม่เหลือซาก ความเจ็บปวดที่แลกมาด้วยความเผลอใจเพียงเสี้ยววินาที กระแทกไม่บันยะบันยังจนเขาต้องไปนอนโรงพยาบาลเพราะร่างกายรับไม่ไหว
เขาไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันอีก… ยิ่งไม่ใช่ในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้
"ไปให้พ้น!" พระพายเผลอผลักนะโมออกเต็มแรงด้วยความตกใจและหวาดกลัว
นะโมที่ยังยืนงงอยู่ถึงกับเซไปสองก้าว เขายังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรด้วยซ้ำ พระพายก็หันหลังวิ่งหนีออกไปทั้งที่ร่างกายยังเซเหมือนจะล้มซ้ำอีกรอบ
นะโมขมวดคิ้ว มองตามแผ่นหลังเล็กที่หายลับไปพร้อมถอนหายใจแรง ๆ
"อะไรวะ คนอุตส่าห์ช่วยแท้ ๆ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี…"
เขาพึมพำงง ๆ ไม่รู้เลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมองเขาด้วยสายตาตื่นกลัวแบบนั้น ที่เขารู้มีเพียง หน้าตาแบบนี้ เขาจำได้ลาง ๆ … ใช่แล้ว เคยเจอกันที่ไซต์งานนี่เอง แต่ทำไมรู้สึกคุ้นกว่านั้น?
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย พอเลิกงานนะโมก็กลับมาถึงบ้านใหญ่ที่นานๆ จะแวะมาสักครั้ง เพราะเขาชอบใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมากกว่า พอเดินเข้าประตูสนามได้ก็ได้ยินเสียงเห่าหอนของฟาเดล หมาอลาสกันตัวโตที่วิ่งมาต้อนรับจนเขาต้องก้มลงลูบหัวอย่างหมั่นเขี้ยว
“ไงเพื่อนรัก คิดถึงฉันใช่มั้ย ฟาเดล” น้ำเสียงเขาอ่อนลงผิดจากตอนเจอใครนอกบ้าน มือหนาลูบขนสีเทาขาวฟู ๆ ของมันไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะเล่นมวยปล้ำกับหมาจนตัวเองเปรอะขนเต็มเสื้อ
เสียงแจ้งเตือนเมลก็ดังขึ้นพอดี เขาควักมือถือออกมา กดเปิดดู เห็นชื่อไฟล์จากโรงแรมที่เคยขอไว้ ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นะโมยกยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะกดเข้าไป
ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในโถงชั้นบนของโรงแรมปรากฏขึ้น ตัวเขาเองในชุดเมื่อคืนวันนั้นปรากฏชัดเจน ส่วนอีกคน…ร่างบางที่ถูกเขาผลักเข้ามุมกำแพงจนแทบหลอมละลายไปกับร่างกายเขา
เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ หลุดออกมา “เหี้ย…กูแม่งโคตรเถื่อนเลยจริง ๆ”
แต่ก็อย่างที่คิด ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ค่อยชัด แสงสลัวกับการที่พวกเขาแทบไม่ผละออกจากกัน ทำให้แทบไม่มีมุมไหนเห็นหน้าชัดเลยสักที ยิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิดปนขำ
“ช่างแม่งเหอะ” เขาปิดมือถือ พ่นลมหายใจยาวเหยียดพลางโยนตัวลงบนโซฟา
“ไม่ตามต่อก็ได้ กูไม่ได้อยากได้ใครที่หนีหายไปแบบนั้นหรอก”
มือหนายกขึ้นลูบหน้าตัวเอง รอยยิ้มมุมปากค่อย ๆ คลี่ออกมาอีกครั้ง
อีกอย่าง…ตอนนี้กูชอบพี่นับหนึ่งอยู่แล้วว่ะ
ฟาเดลที่เหมือนรับรู้อารมณ์เจ้านาย ก็กระโดดขึ้นมานั่งพาดตัวบนโซฟา นะโมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกอดคอหมาตัวโตเอาไว้แน่นเหมือนหาที่พักใจ
เช้าวันต่อมา เสียงเครื่องจักรและเสียงคนงานคึกคักเหมือนทุกวัน นะโมเดินเข้ามาพร้อมท่าทางสบาย ๆ เสื้อยืดสีจืดกับกางเกงยีนขาดตรงเข่า มือถือกาแฟเย็นห้อยไว้ข้างลำตัว เขายังวนเวียนอยู่แถว ๆ นับหนึ่งเหมือนเคย ช่วยหยิบของบ้าง ชวนคุยบ้าง รอยยิ้มหมาเด็กประจำตัวก็ไม่เคยหาย
นับหนึ่งที่กำลังตรวจแบบงานอยู่หัวเราะเบา ๆ เวลาโดนเจ้าเด็กนี่เข้ามาชวนคุยเรื่องไร้สาระ เขาไม่ได้รำคาญ กลับรู้สึกเอ็นดูเสียมากกว่า
ไม่นาน รถคันคุ้นตาก็แล่นเข้ามา จอดเทียบข้างไซต์งาน คีตะก้าวลงมาพร้อมหิ้วถุงขนมเต็มมือ ท่าทางสุภาพแต่ดูสดใสผิดกับบรรยากาศตึงเครียดในไซต์งาน คนงานหลายคนส่งเสียงเฮ ดีใจกันใหญ่ที่มีขนมเลี้ยงตั้งแต่เช้า
คีตะยิ้มพลางเดินมาทางนับหนึ่ง “สวัสดีครับพี่นับหนึ่ง เอาขนมมาฝากครับ พี่กับทีมจะได้มีกำลังใจทำงาน”
นับหนึ่งหันไปมอง เด็กสถาปนิกหน้าใสที่แต่งตัวธรรมดา ๆ แต่ดูดีไปหมด ใบหน้าที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์นักค่อย ๆ ผ่อนคลาย “ขอบใจมากนะ”
นะโมที่ยืนกอดอกข้าง ๆ ก้มลงกระซิบกับนับหนึ่งเบา ๆ แต่แกล้งทำเสียงเหมือนประชด “ช่วงนี้สถาปนิกคนนั้นเขาแวะมาบ่อยนะพี่”
นับหนึ่งหันมามองแวบหนึ่ง เห็นแววตากวน ๆ ปนหมั่นไส้ของนะโมก็หัวเราะเบา ๆ “ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่น่า คนเขาทำงานด้วยกัน จะมาเช็กงานบ่อย ๆ ก็ถูกแล้ว”
“อ๋อเหรอ…” นะโมลากเสียงยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมุมปากแบบหมาเด็กขี้หวง แล้วปรายตามองคีตะที่กำลังยื่นขนมให้คนงานทีละถุงอย่างสุภาพ
“แต่ผมว่า เขาไม่ได้มาแค่เช็กงานหรอกมั้ง”
นับหนึ่งส่ายหัวนิด ๆ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แต่ใบหูเขากลับร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว…
คีตะยื่นถุงขนมตรงไปให้นับหนึ่งโดยตรง “พี่ลองชิมดูสิครับ ร้านนี้อร่อยมาก ผมตั้งใจแวะซื้อมาเลยนะ”
น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่หนักแน่น แฝงความหมายชัดเจนว่า ตั้งใจซื้อมาเพื่อเขา
นับหนึ่งยื่นมือไปรับ “ขอบใจนะ”
ยังไม่ทันได้เปิดถุงดี ๆ นะโมก็โฉบเข้ามาคว้าไปจากมือหน้าตาเฉย “ไไหน ๆ ก็ซื้อมาเยอะแล้ว ให้ผมลองก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่นับหนึ่งไม่ถูกปาก” ว่าแล้วก็กัดอย่างไม่เกรงใจ รอยยิ้มกวน ๆ บนหน้ามีแววท้าทายชัด
คีตะเหลือบตามอง แต่ปากยังเงียบสนิท ความใจเย็นที่แสดงออกภายนอกตรงกันข้ามกับในใจที่กำลังสาปส่ง ไอ้เด็กนี่… คงต้องหาจังหวะคิดบัญชีภายหลัง
นับหนึ่งมองสองหนุ่มเงียบสู้กันด้วยแววตา ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “พอแล้ว ๆ กินกันไปเถอะ อย่าแย่งกันเลย”
แต่ถึงจะพูดห้าม บรรยากาศรอบตัวก็ยังเต็มไปด้วยแรงกดดันบางอย่างที่เจ้าตัวเองไม่ทันสังเกต…
กระทั่งถึงช่วงพัก คีตะที่เดินตามนับหนึ่งมาติด ๆ เอื้อมคว้าแขนเขาเบา ๆ แล้วดึงเข้ามาในช่องลิฟต์ว่างที่ไม่มีใครอยู่
“เฮ้ย คีตะ จะลากพี่มาทำไมเนี้ย” นับหนึ่งขมวดคิ้ว เสียงดุเล็ก ๆ แต่แขนที่ถูกจับกลับไม่ทันได้สะบัดออก
คีตะยืนนิ่ง สายตาคมจ้องมาเต็ม ๆ เหมือนพยายามกลั้นอารมณ์บางอย่าง “ก็…ผมไม่ชอบเลยครับ เวลามีคนเข้ามาใกล้พี่แบบนั้น”
“นี่หมายถึงนะโมเหรอ?”
คีตะเม้มปากแน่นนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ครับ ผมรู้ว่าพี่เอ็นดูมัน แต่…ผมกำลังจีบพี่อยู่นะครับ ให้ผมจีบพี่คนเดียวไม่ได้เหรอ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่พูดออกมา มันไม่ได้มีแค่ความน้อยใจ แต่ยังแฝงแรงอ้อนบางอย่างที่กดดันหัวใจนับหนึ่งให้สั่นไม่เป็นจังหวะ
“คีตะ…” นับหนึ่งเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ชะงักทันทีที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น แล้วเอาหน้าซุกลงตรงไหล่เขาอย่างอ้อน ๆ ราวกับเด็กที่กำลังหวงของรัก
“ผมจริงจังนะครับพี่” เสียงกระซิบข้างหูนั้นทำเอานับหนึ่งขยับตัวไม่ถูก สองมือที่ควรจะผลักออกกลับชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
มือหนายกขึ้นลูบหัวเด็กดื้อเบา ๆ “เออ…พี่ก็ยอมให้นายจีบอยู่คนเดียวนั่นแหละ”
คำตอบที่ตั้งใจปลอบกลับยิ่งทำให้คีตะเงยหน้าขึ้น ตาแดง ๆ เหมือนจะกลั้นอะไรบางอย่างไว้ไม่อยู่
นับหนึ่งถอนหายใจเบา ๆ “โอเค…ต่อไปพี่จะระวังให้มาก จะไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาใกล้ง่าย ๆ แล้วก็จะชัดเจนกว่านี้”
แต่ดวงตาคมยังคงสั่นไหว ไม่ยอมคลายความกังวลออกไปสักที
นับหนึ่งเลยก้มลงแตะริมฝีปากลงบนแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา “พอใจยัง”
คีตะเหมือนถูกปลดล็อกทันที รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นแทนที่สายตาคลอน้ำ เขาโผเข้ากอดนับหนึ่งแน่น ราวกับจะกลืนร่างนั้นเข้าไปไว้ทั้งคน “พี่…ห้ามคืนคำแล้วนะครับ”
นับหนึ่งได้แต่ดิ้นขลุก ๆ อยู่ในอ้อมแขนแน่นหนาของคีตะ “ปล่อยก่อนสิ…เดี๋ยวใครมาเห็น” เสียงเขาเบาเหมือนกระซิบ แต่ยิ่งดิ้น คีตะก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีก
จนกระทั่งเสียงเรียกดังแว่วจากข้างนอก “หัวหน้าครับ! เจ้านายให้ไปดูของตรงโซนนั้นหน่อย!”
หัวใจนับหนึ่งแทบกระเด็นออกมา เขารีบผละออกจากอ้อมกอดทันที ใบหน้าแดงซ่านจนร้อนวาบ “เอ่อ…พี่ต้องไปทำงานแล้ว” เขาพูดพลางก้าวฉับ ๆ ออกจากช่องลิฟต์แทบจะทันที
คีตะยืนพิงกำแพง มองตามแผ่นหลังนั้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากบาง ๆ ที่ยังคงไม่หายไปไหน เขายกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองตรงจุดที่นับหนึ่งเพิ่งจุ้บเมื่อครู่ เหมือนยังรู้สึกถึงความอุ่นอยู่เลย
“พี่หนีผมไปกี่ครั้งก็ได้…แต่ผมจะตามจีบจนกว่าพี่จะใจอ่อนเองแหละ” คีตะคิดพลางหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะเดินออกไปสมทบกับคนงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…
| บริษัทรับออกแบบ
พระพายก้าวเข้ามาในออฟฟิศด้วยท่าทีหงุดหงิดตั้งแต่ยังไม่ทันได้วางกระเป๋า “ทำไมบอร์ดประชุมอัปเดตไม่ครบ ใครเป็นคนรับผิดชอบตรงนี้” เสียงห้วนจัดจนคนในห้องเงียบกริบ
เลขาหน้าเครียดรีบลุกขึ้นยืน “ขะ…ขอโทษค่ะคุณพระพาย ทีมยังรวบรวมข้อมูลไม่ครบ—”
“ไม่ครบก็ใช้ไม่ได้! จะส่งงานให้ผู้บริหารฝ่ายลงทุนทั้งที นี่คิดว่ามันเป็นงานโรงเรียนหรือไง ทำใหม่ให้เสร็จก่อนเที่ยง” พระพายสวนกลับทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้แก้ตัว
ทุกคนได้แต่ก้มหน้ารับคำ แต่ในขณะเดียวกันพระพายก็เดินไปเปิดเอกสารอีกกองที่กองพะเนินบนโต๊ะ เขาไล่สายตาแค่ไม่กี่หน้าแล้วก็หันไปสั่งการต่อ
“สัญญานี้มีช่องโหว่ ถ้าเซ็นไปตอนนี้อีกฝ่ายฟ้องกลับมาเมื่อไหร่ เราแพ้แน่นอน แก้ใหม่ให้รัดกุม เอาทีมกฎหมายมาตรวจทานด้วย จะได้ไม่ต้องมาแก้ไขซ้ำซาก!”
บรรยากาศในออฟฟิศเงียบสนิท มีเพียงเสียงปากกาที่ขีดเขียนจดคำสั่งรัว ๆ ตามที่พระพายพูด รังสีความกดดันจากเขาทำให้ใคร ๆ แทบไม่กล้าสบตา แต่ก็ไม่มีใครเถียง เพราะทุกสิ่งที่เขาพูด…ถูกต้องหมด
พระพายนั่งลงตรงเก้าอี้หัวโต๊ะ มือข้างหนึ่งนวดขมับคลายความหงุดหงิด คีตะหายหัวไปไหนอีก… ปล่อยให้เขาต้องมาแบกงานพวกนี้คนเดียวอีกแล้ว
แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรสักคำ เพราะพวกเขาก็รู้ เวลาที่พระพายเข้าสู่โหมดทำงานจริงจัง เขาจะเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีใครหยุดได้ แต่ก็พร้อมจะพ่นไฟเผาคนที่ทำงานไม่เข้าตาในทันที
เสียงซุบซิบแผ่วเบาลอยเข้าหูพระพายขณะที่เขากำลังเดินผ่านมุมพักเบรกของพนักงานหญิงสองสามคน
“คุณคีตะนี่ก็แปลกนะ ช่วงนี้ไปไซต์งานถี่เลย… เห็นไปบ่อย ๆ”
“คุณคีตะนี่ก็แปลกนะ ช่วงนี้ไปไซต์งานถี่เลย… เห็นไปบ่อย ๆ เหมือนจะไปหาคนงานคนหนึ่ง…”
“ใช่ ๆ ได้ยินว่าเป็นหัวหน้าคนงาน หล่อด้วยนะ ถึงจะดูเข้ม ๆ หน่อยแต่ก็สะอาดสะอ้านดี…”
“อือ แล้วเห็นว่าเขาสนิทกันมากเลยแหละ บางทีอาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้นะ”
เสียงหัวเราะคิกคักเหมือนกำลังเมาท์เรื่องสนุก แต่สำหรับพระพายแล้ว มันเหมือนค้อนหนัก ๆ ทุบกลางอก
เขาชะงักเท้าลงกลางโถง สายตาคมหันขวับไปยังกลุ่มพนักงานนั้น จนทุกคนเงียบลงในทันที บรรยากาศอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ก่อนที่พระพายจะปรายตามองต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น
คีตะ… พอฉันไม่อยู่ก็ไปปลูกต้นรักกับไอ้กรรมกรงั้นเหรอ?
มือที่กำแฟ้มแน่นขึ้นจนข้อขาวขึ้นมาทันที ความเจ็บจี๊ดในอกมันแปรเปลี่ยนเป็นโทสะที่พร้อมระเบิด พระพายก้าวเดินออกไปอย่างเร็ว ราวกับไม่อยากได้ยินอะไรอีก แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
เขาไม่รู้ว่าความหึงหวงนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทั้งที่ปากก็บอกตัวเองว่าคีตะไม่ควรอยู่ในชีวิตอีกแล้ว แต่พอได้ยินคำว่า “พิเศษ” กับใครคนนั้น…เขากลับแทบคลั่ง
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงาน พระพายก็ปาหมับแฟ้มลงบนโต๊ะ เสียงดังสะท้อนก้องทั่วห้อง “จะดีใจอะไรกันนักหนาไอ้พวกบ้าเอ๊ย… ถ้ามันอยากได้กรรมกรนัก ก็เอาไปเลยสิ!”
แม้ปากจะพูดประชด แต่ดวงตาคมกลับแดงวาบด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้นที่กลบเกลื่อนกันไม่มิด…
ตอนเย็น แสงไฟในออฟฟิศสลัวลง มีเพียงแสงโคมตั้งโต๊ะสาดเงาอุ่น ๆ ไปตามมุมห้อง คีตะเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มงานตั้งใจจะเคลียร์งานที่คั่งค้าง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป…กลับเห็นพระพายนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงโต๊ะทำงานของเขาเอง
คิ้วเข้มของคีตะขมวดแน่นทันที นี่มันยังจะมาหาเรื่องอีกเหรอ…
“มาทำอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบ แต่แฝงความกดดันชัดเจน
พระพายยกยิ้มเหยียด “ก็อยากมาดูหน่อยไง ว่ามึงยังมีแรงเหลือไป ‘ขึ้น’ ใครต่อใครอีกหรือเปล่า… ได้กันแล้วงั้นสิ? กรรมกรนั่นมันเด็ดมั้ยล่ะ”
คีตะชะงักไปเล็กน้อย พยายามกดอารมณ์ไม่ให้ระเบิด “อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ”
แต่พระพายกลับหัวเราะเบา ๆ แววตาคมเต็มไปด้วยความเจ็บปนบ้า “หรือว่ายังคิดถึงกูอยู่? …เอางี้ กูทำให้ตอนนี้เลยก็ได้ มึงจะได้รู้ว่ากูมันเด็ดกว่าใครทั้งหมด—”
ยังไม่ทันพูดจบ มือเรียวของพระพายก็เอื้อมมากระชากเข็มขัดของคีตะอย่างบ้าบิ่น
เสียงโลหะกระทบกัน แกร๊ง!
“พอได้แล้ว!” คีตะตะโกน ก่อนหมัดหนักจะพุ่งออกไปกระแทกเข้าที่แก้มพระพายอย่างแรง จนร่างโปร่งเซถอยไปชนมุมโต๊ะ
“โอ๊ย…” พระพายกัดฟัน เลือดซึมที่มุมปาก แต่รอยยิ้มยั่วกลับยังไม่จางหาย “หึ… ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยเหรอ…งั้นแปลว่ามึงยังรู้สึก—”
“มึงมันบ้าไปแล้วหรือไง!” คีตะตะโกนเสียงสั่นด้วยทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด “ออกไปจากห้องกู ก่อนที่กูจะซัดหน้ามึงอีกที!”
ดวงตาคมของเขาแดงวาว ขณะมองคนตรงหน้าเหมือนกำลังตัดใจครั้งสุดท้าย
พระพายนิ่งไปชั่วขณะ มองใบหน้าที่ทั้งโกรธทั้งเจ็บของคีตะ สายตานั้นทำให้หัวใจเขาเจ็บยิ่งกว่าหมัดเมื่อครู่เสียอีก แต่ปากกลับหัวเราะเบา ๆ “หึ… ได้สิ งั้นกูจะไป… แต่จำไว้ ว่ามึงไม่มีวันหนีพ้นกูได้หรอก คีตะ”
สิ้นคำทิ้งท้าย พระพายก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายความบ้าคลั่งที่ยังสั่นสะเทือนอยู่ในอกของคีตะ…
หลังจากพระพายก้าวออกจากห้องไปแล้ว ความว่างเปล่าเต็มห้องออฟฟิศกลับทำให้คีตะรู้สึกหนักอึ้งเกินกว่าที่จะรับไหว เขานั่งทรุดลงกับเก้าอี้ ตัวเกือบจะพิงหลังพนัก เสียงหัวใจเต้นรัว ๆ และลมหายใจที่ติดขัดเหมือนพลังชีวิตจะหมดไป
โกรธ…ก็โกรธอยู่ แต่ลึก ๆ ในใจกลับเจ็บปวดเกินคำพูด ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เขาก็เหมือนถูกดึงกลับไปสู่ความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน
ตอนไหน…ตอนไหนที่พระพายเคยทำให้เขารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ ตอนไหนที่หัวใจเขาเต็มไปด้วยความหวัง แต่กลับถูกกระชากออกเหมือนของเล่นที่พระพายชอบหยิบขึ้นมาเล่น แล้วก็วางทิ้งไม่ใยดี
คีตะกัดฟันแน่น พยายามกดความเจ็บปวดไม่ให้ล้นออกมา แต่ก็รู้ชัดเจนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พระพายก็ยังคงรั้งเขาไว้เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวของพวกเขามันไม่มีทางเกิดขึ้นจริงอีกแล้ว
เขายังจำได้…ทุกสายตา ทุกคำพูด ทุกสัมผัสที่เคยเกิดขึ้น ทั้งที่มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่ก็แฝงด้วยความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
“ทำไมมึงถึงไม่ปล่อยกูไปสักที…” เสียงเรียบแผ่ว ๆ ราวกับคำถามนี้จะถูกกลืนไปกับความว่างเปล่าในห้อง
คีตะพิงศีรษะลงบนมือ ก้มหน้า น้ำตาเกือบจะไหล แต่เขาก็กลั้นไว้ รู้ตัวดีว่าถ้าเริ่มปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ พระพายจะยังคงมีอำนาจเหนี่ยวรั้งเขาไม่เลิก
แม้โกรธ…แม้เจ็บ…แม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่คีตะก็ยังเฝ้าหวังลึก ๆ ว่า…สักวันพระพายจะเรียนรู้ที่จะปล่อยให้เขาไป มีชีวิตของตัวเองอย่างแท้จริง
------------------------------
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
รักคนอ่าน
แวะพูดคุยเติมไฟให้หน่อยน้าาา
สนุกมากครับ ขอบคุณมาก ขอบคุนีร้บ รอเลย ขอบคุณครับ ตามต่อครับ เข้มข้นขึ้นอีกละ สนุกมากนะครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ เข้มข้นมาก สนุกดี รอติดตามต่อครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]