หัวใจดีไซน์ Ep.6 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
ตอนที่ 5
แดดยามบ่ายร้อนอบอ้าวจนใครหลายคนขี้เกียจขยับตัว แต่สำหรับนะโมกลับไม่ใช่ เขายังเดินตามนับหนึ่งต้อย ๆ เหมือนลูกหมาติดเจ้าของ แววตาเป็นประกายเหมือนกำลังหาของเล่นใหม่ไม่เจอ
“พี่นับง่ะ ทำไมพี่กินข้าวเร็วจังอะ ยังไม่ทันได้ยกแก้วชนเลย” นะโมหันมายิ้มกวน ๆ ทั้งที่ในมือยังถือกล่องนมที่เพิ่งซื้อมาจากร้านข้างไซต์งานแทนเบียร์
นับหนึ่งเหลือบตามองแวบเดียว ส่ายหัวพลางถอนหายใจยาว “ก็กินข้าว ไม่ได้มาแข่งยกแก้ว...”
นะโมกำลังจะเถียงต่อ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเสียก่อน หน้าจอสว่างวาบพร้อมตัวอักษรที่ทำให้เจ้าตัวถึงกับหน้าเหวอ แม่!..
“ตายห่า...ถ้าไม่รับนี่ตายแน่” เขาพึมพำก่อนรีบกดรับสายทันที น้ำเสียงที่เคยกวน ๆ เมื่อครู่หายวับไป เหลือแต่โทนเสียงอ่อนโยนจนผิดหูผิดตา
“ฮัลโหลแม่จ๋า~” น้ำเสียงละมุนจนขัดกับภาพหมาเด็กเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง “ครับ ๆ โมอยู่...เอ่อ...กำลังกินข้าวอยู่เลย แม่กินข้าวรึยังครับ?”
ปลายสายคงถามอะไรบางอย่างเพราะนะโมรีบกลอกตาไปทางนับหนึ่งที่มองมาแบบ “กูได้ยินนะ”
“ทำงานสิแม่ งานเหนื่อยจะตาย แต่โมสู้ ๆ อยู่แล้ว ไม่ดื้อไม่ซนหรอกครับ...” เขาตอบพลางยิ้มแฉ่ง ทำเสียงหวานปานกำลังคุยกับเด็กทารก “พรุ่งนี้จะกลับไปหานะครับ คิดถึงแม่เหมือนกันแหละน่า~”
นับหนึ่งหลุดหัวเราะในคอ หันหน้าหนีอย่างอดไม่ได้ที่เห็นนะโมเปลี่ยนโหมดแทบจะทันทีทันใด
“โอเคครับ รักแม่นะครับ จุ๊บ ๆ” เสียงจุ๊บที่ดังออกมานั่นทำเอานับหนึ่งแทบจะสำลักข้าว
พอสายตัดไป นะโมก็ถอนหายใจโล่ง เหมือนยกภูเขาออกจากอก “โห...เกือบไปแล้ว”
“เมื่อกี้ใครวะ กูแทบไม่เชื่อหูตัวเอง” นับหนึ่งแกล้งถาม ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว
นะโมหันมายิ้มกวนอีกครั้ง “แม่ดิพี่...ถ้าไม่ทำเสียงน่ารัก ๆ นี่โดนด่าเละชัวร์ แม่ผมหวงลูกชายสุด ๆ”
นับหนึ่งส่ายหัวพลางหัวเราะเบา ๆ หมาเด็กก็หมาเด็กเถอะ แต่แม่งน่ารักเกินเหตุ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งสองกำลังเก็บถาดจะเดินกลับเข้าไซต์งาน แต่เสียงตะคอกก็ดังขึ้นก่อน
“นับหนึ่ง! ไอ้นับหนึ่ง อยู่ไหนวะ!”
ศักดิ์ชัย เจ้านายที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าอารมณ์ร้อน เดินหน้าดุดันเข้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดทันทีที่เห็นนับหนึ่ง
“ของที่สั่งไปเมื่อเช้าผิดหมดเลยนะ! มึงทำงานยังไงวะ!”
นับหนึ่งชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่ได้เป็นคนสั่งของด้วยซ้ำ แต่ก็ดันโดนโยนความผิดใส่อีกตามเคย “เอ่อ...นายครับ เรื่องออเดอร์ไม่ใช่หน้าที่ผม—”
“อย่ามาเถียง! กูบอกว่าผิดก็คือผิด!” ศักดิ์ชัยตวาดเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง
นะโมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วทันที แววตาที่เคยซุกซนเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง เขาก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าราวกับตั้งใจจะกันนับหนึ่งไว้
“ใจเย็น ๆ ก่อนดิเฮีย” นะโมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่หนักแน่น “มีอะไรก็คุยกันดี ๆ สิครับ ของผิดก็ตรวจสอบก่อนว่าผิดตรงไหน ใครสั่ง ไม่ใช่โทษคนมั่ว ๆ แบบนี้”
ศักดิ์ชัยหันขวับมามอง เด็กวัยยี่สิบต้น ๆ กล้าขึ้นเสียงกับเขา “ไอ้หนูนี่ มึงเป็นใครวะ กล้าสอนกู?”
นะโมยังยืนอยู่ไม่ถอย รอยยิ้มกวน ๆ กลับมาแตะแววตาอีกครั้ง “ผมก็แค่คนงานเหมือนพี่นับหนึ่งนี่แหละ แต่ไม่ชอบให้ใครมาตวาดพร่ำเพรื่อใส่คนอื่นเท่าไหร่ มันไม่แฟร์ครับ”
บรรยากาศชะงักไปเล็กน้อย ความกดดันเริ่มก่อตัว แต่เพราะน้ำเสียงของนะโมไม่ได้ก้าวร้าว หากแค่ชัดเจนกับสิ่งที่พูด ทำให้หลายคนรอบข้างเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยเงียบ ๆ
ศักดิ์ชัยหายใจแรง ๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่สบถในคอแล้วเดินหนีไป เพราะรู้ดีว่าถ้ายังตะโกนต่อ คนทั้งไซต์คงหันมามองเขาเป็นตัวตลกแน่
พอศักดิ์ชัยไปแล้ว นับหนึ่งก็หันมามองเด็กที่ยืนอยู่ข้างตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ “...มึงนี่บ้าชิบหายเลยนะ กล้าขึ้นเสียงใส่นายได้ไงวะ”
นะโมยักไหล่ ทำหน้ายียวนกลับมา “ก็ไม่อยากเห็นพี่โดนด่าฟรี ๆ นี่หว่า ใครมันจะปล่อยให้คนมาว่าพี่ได้ง่าย ๆ ล่ะ”
คำพูดง่าย ๆ นั่นกลับทำให้นับหนึ่งชะงักไปชั่วขณะ ใจที่แข็งกร้าวมาตลอดกลับรู้สึกอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
...
วันรุ่งขึ้น ไซต์งานที่เคยมีเสียงหัวเราะกวน ๆ ของนะโมกลับเงียบไป เพราะเด็กหนุ่มโทรมาลางานตั้งแต่เช้า
“แม่~” เสียงลากยาว ๆ ของนะโมดังขึ้นทันทีที่เดินเข้าไปในร้านอาหารหรูที่นัดไว้ ดวงตาเป็นประกายเหมือนลูกหมาเห็นเจ้าของ เขารีบวิ่งไปกอดผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว “คิดถึงที่สุดเลย”
แม่ของนะโมหัวเราะเบา ๆ พลางลูบหัวลูกชาย “โตจะยี่สิบสี่แล้วนะ ยังทำตัวติดแม่เหมือนเด็ก”
“ก็เป็นเด็กของแม่ตลอดไปไงครับ” นะโมตอบเสียงใส ทำเอาคนรอบ ๆ หันมามองด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งคู่ก็นั่งคุยกัน นะโมวางศอกลงบนโต๊ะ โน้มหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เหมือนตั้งใจจะเล่าเรื่องลับเฉพาะ “แม่...ช่วงนี้ผมไปแอบดูไซต์งานก่อสร้างโรมแรมห้าดาวอยู่นะครับ ของเครือเราที่กำลังจะเปิดสาขาใหม่”
แม่เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “ไปทำอะไรล่ะลูก? งานพวกนั้นมีคนดูแลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ครับ แต่ว่า...” น้ำเสียงของนะโมกลับจริงจังขึ้นมา “ผมเห็นว่ามาตรฐานบางอย่างมันยังไม่เป๊ะเท่าไหร่ อยากให้แม่ตักเตือนผู้รับเหมาสักหน่อย จะได้แก้ไขก่อนจะสายไป”
แม่มองลูกชายเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มอ่อน “ไม่เห็นต้องไปลำบากเองเลยลูก แค่ส่งคนไปตรวจเช็กก็ดีพอแล้ว”
แต่เด็กหนุ่มส่ายหัวแรง ๆ น้ำเสียงหนักแน่นกว่าที่เคย “ไม่ครับแม่ ผมอยากลองไปดูเอง อยากให้แน่ใจว่าทุกอย่างมันได้มาตรฐานจริง ๆ ถ้าเราจะขยายกิจการ ผมไม่อยากให้มีจุดบกพร่อง”
รอยยิ้มของผู้เป็นแม่กว้างขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เธอเอื้อมมือมากุมมือลูกชายเบา ๆ “เอาเถอะ ตามใจเราแล้วกัน แม่เชื่อว่าสิ่งที่เราคิดก็ดีต่อบริษัทเหมือนกัน”
นะโมยิ้มกว้างเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นที่อยากได้มานาน “เย้! รักแม่ที่สุดเลย!”
เขาก้มลงฟัดแก้มแม่ไปทีหนึ่ง เรียกเสียงหัวเราะจากโต๊ะรอบข้างได้อีกระลอก
หลังจากนั่งกินข้าวกับแม่จนเสร็จเรียบร้อย นะโมก็มานั่งเอนหลังบนเก้าอี้ โยกตัวไปมาอย่างอารมณ์ดี เขาลอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์หนึ่งที่มีเพียงไม่กี่คนรู้ว่าเป็น “เบอร์จริง” ของเขา
เสียงปลายสายรับเร็วแทบจะทันที “ครับคุณนะโม”
น้ำเสียงของนะโมกลับกลายเป็นคนละคนจากเมื่อครู่ ไม่ใช่เด็กขี้อ้อน แต่เต็มไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด “ไปเช็กบัญชีไซต์งานที่ผมเพิ่งลงไปดูเมื่อวาน ศักดิ์ชัยคุมอยู่ใช่ไหม? …อืม ใช่แหละ ผมอยากรู้ว่ามีอะไรแปลก ๆ รึเปล่า”
เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “แล้วก็... จัดการแก้เผ็ดมันหน่อย ผมไม่ชอบวิธีที่มันทำงาน หัดรู้จักคุยกับคนดี ๆ ซะบ้าง ไม่ใช่เอะอะก็ใส่อารมณ์ใส่ลูกน้อง”
พูดจบ นะโมก็กดวางสายทันที สีหน้ากวน ๆ หายไป เหลือเพียงแววตาคมที่ดูจริงจังผิดวิสัย
…
เสียงดินสอกดขีดไปมาบนกระดาษแบบร่าง ทว่าลายเส้นที่ออกมากลับเบี้ยวไปหมด คีตะถอนหายใจเบา ๆ แล้ววางดินสอลงบนโต๊ะ เขานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ ดวงตาคมจ้องมองเส้นตึกสูงในแบบสเก็ตที่ไม่เคยสมบูรณ์
ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว… พระพายยังไม่กลับมาที่บริษัท หลังจากหนีออกจากโรงพยาบาลวันนั้น เขาก็หายไปเหมือนละลายไปกับอากาศ โทรไปก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่อ่าน มันทำให้คีตะเผลอใจอ่อนเป็นห่วงทุกครั้ง ทั้งที่เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้มันจบไปนานแล้ว
เขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วเหมือนอยากขับไล่ความคิด แต่หัวใจก็ยังเต้นแรงด้วยความห่วงใย แม้มันไม่ใช่ความรักแบบเดิมแล้วก็ตาม
“พระพาย… มึงจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองกันแน่วะ” เสียงทุ้มพร่าก้องเบา ๆ ในห้องทำงานเงียบสงัด
คีตะหลับตา พยายามบอกกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่า เขาอยากให้พระพายไปเจอคนที่ดีกว่านี้ คนที่จะทำให้พระพายยิ้มได้โดยไม่ต้องฝืน ไม่ใช่ตามมาฉุดรั้งเขาไว้เหมือนเจ้าข้าวเจ้าของ
เพราะระหว่างเขากับพระพาย มันไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว
คีตะทิ้งดินสอลงบนโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะพับแฟ้มงานปิดอย่างเด็ดขาด เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่มีสมาธิพอจะทำอะไรให้เสร็จสมบูรณ์ ความคิดที่วนเวียนถึงพระพายมีแต่จะดึงเขาจมอยู่กับอดีต
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เลื่อนดูรายชื่อที่คุ้นตาอยู่ในเครื่อง จนไปหยุดที่ชื่อ “นับหนึ่ง” แค่เห็นชื่อนั้น ความเหนื่อยล้าก็เบาบางลงนิดหน่อย
ช่วงนี้แทบไม่ได้เจอพี่เลย… คีตะคิดในใจ นิ้วกดโทรออกอย่างไม่ลังเล
เสียงสัญญาณดังอยู่เพียงสองครั้งก็มีคนรับ “ฮัลโหล คีตะ?” เสียงทุ้มอบอุ่นของนับหนึ่งดังลอดออกมา
“พี่ เลิกงานหรือยัง” คีตะถาม เสียงไม่ได้แข็งขึงเหมือนปกติ แฝงความอ่อนลงเล็กน้อย
“เพิ่งเก็บของครับ กำลังจะกลับเหมือนกัน”
“งั้นรอก่อนนะ เดี๋ยวผมไปรับ พาไปกินข้าวด้วยกันหน่อย”
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่เหมือนนับหนึ่งกำลังแปลกใจ ก่อนจะตอบกลับมาเบา ๆ “ได้ครับ”
คีตะกดวางสายแล้วลุกขึ้นหยิบกุญแจรถ ริมฝีปากที่มักจะตึงเครียดคลายออกเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
การได้เจอ “นับหนึ่ง” อย่างน้อยก็ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งจากเรื่องพระพาย…พอจะเบาลงได้บ้าง
ไม่นาน มอเตอร์ไซค์เวฟคันเก่าของคุณลุงคนสวนก็มาจอดหน้าบริษัทที่นับหนึ่งทำงานอยู่ เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ ไม่ได้หรูหราเหมือนรถยุโรปที่คีตะขับประจำ แต่กลับมีเสน่ห์ในแบบที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันคิด
“พี่นับหนึ่ง” คีตะเอ่ยเรียกเสียงดังเล็กน้อย ยกหมวกกันน็อกขึ้นส่งให้
นับหนึ่งที่เดินออกมาจากไซต์งานถึงกับชะงักไปสองวินาทีเต็ม ดวงตาคมกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนหลุดหัวเราะพรืดออกมา “นี่คีตะจริง ๆ เหรอครับ?”
คีตะเลิกคิ้ว “ทำไมอ่ะพี่ ไม่เหมือน?”
“ไม่ชินครับ ปกติคีตะดูเนี้ยบ เรียบร้อย เหมือนเจ้านายมาตรวจงานตลอดเวลา… ไม่คิดว่าจะขี่เวฟมารับพี่ได้เหมือนกัน”
คีตะยักไหล่ ทำท่าทีไม่ยี่หระ แต่ในใจกลับเต้นแรงยิ่งกว่าเครื่องยนต์ “คืนนี้อยากเป็นแค่คนธรรมดาครับ”
นับหนึ่งรับหมวกกันน็อกมากอดไว้แนบอก มองเด็กตรงหน้าที่ปกติขึงขัง แต่ตอนนี้กลับยิ้มง่ายจนทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ
“ขึ้นมาเถอะพี่ เดี๋ยวพาไปกินของอร่อย” คีตะหันมายิ้ม ดวงตาคมฉายแววซน ๆ ที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก
นับหนึ่งเม้มปากแน่น พยายามกลั้นยิ้ม แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ ต้องปีนขึ้นซ้อนท้ายอย่างเสียไม่ได้ มือที่ควรวางเฉย ๆ ดันเผลอยกขึ้นจับบ่าเด็กตรงหน้าแน่นโดยไม่รู้ตัว
คีตะหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เกาะแน่นขนาดนั้นเลยเหรอพี่… ไม่ได้ซิ่งซะหน่อย”
“หุบปากเลยไอ้เด็กนี่!” นับหนึ่งเผลอตะคอกกลับ แต่ปลายหูกลับร้อนผ่าว
เสียงเครื่องเวฟเก่าดังกล่อมไปตามถนนยามค่ำ คีตะบังคับรถด้วยท่าทีสบาย ๆ ลมเย็นพัดปะทะใบหน้า ทั้งสองยังคงนั่งนิ่ง ต่างคนต่างเงียบเหมือนพยายามหาคำพูดอะไรสักอย่างมาทำลายบรรยากาศแปลก ๆ ที่กำลังก่อตัว
จนเมื่อเลี้ยวเข้าเส้นทางที่เริ่มมีรถวิ่งมากขึ้น คีตะก็ชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ก่อนหันหน้าไปครึ่งหนึ่งแล้วเอื้อมมือมาคว้ามือนับหนึ่งที่จับอยู่แค่บ่าเขา กดลงเบา ๆ ให้มาโอบรอบเอว
“จับตรงนี้สิพี่ จะได้ไม่หล่น” เสียงทุ้มของคีตะดังขึ้นใกล้หู
นับหนึ่งสะดุ้งเล็กน้อย ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที “ม-ไม่ต้องก็ได้มั้ง แค่นี้พี่ก็…”
“พี่…เชื่อผมเหอะ” คีตะหันกลับไปมองถนน แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ “เกาะเอวไว้สบายกว่าตั้งเยอะ”
นับหนึ่งกัดริมฝีปากล่างแน่น ก่อนจะถอนหายใจอย่างจนใจ สุดท้ายก็ยอมขยับมือมากอดเอวเด็กตรงหน้า
“เออ…ก็ดีเหมือนกัน” นับหนึ่งพูดพึมพำเหมือนจะกลบเกลื่อนความเขิน
คีตะหัวเราะเบา ๆ กับท่าทีแข็งนอกอ่อนในนั่น “เห็นมั้ย ผมบอกแล้ว”
เสียงลมปะทะยังคงดังอยู่ข้างหู แต่ความรู้สึกของนับหนึ่งกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ช่องว่างระหว่างเขากับคีตะที่เคยมีเหมือนหายไปหมด หลังแกร่งของเด็กหนุ่มแนบสนิทกับอกของเขา ความอุ่นนั้นทำเอาใจเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา
“แล้วแฟนนายไปไหนล่ะ… ทำไมถึงปล่อยให้มาได้” นับหนึ่งหลุดถามออกไป น้ำเสียงเหมือนพูดเล่น แต่จริง ๆ คืออยากรู้มากกว่านั้น
คีตะหัวเราะในลำคอเบา ๆ “พี่รู้ได้ไงว่าผมมีแฟน”
“ก็…ก็คนที่มาด้วยกันคราวนั้นไง ที่หล่อ ๆ น่ะ” นับหนึ่งพูดพลางหลบตา ทั้งที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น แต่ก็ยังรู้สึกอึกอักเหมือนก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเกินไป
“อ๋อ…” คีตะยกยิ้มมุมปาก เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกนิด “แฟนเก่าผมเองครับ”
หัวใจนับหนึ่งสะดุดไปวูบหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่แฝงความท้าทายจนเขาหน้าแดง
“ตอนนี้ผมโสด… พี่สนใจรับผมไว้พิจารณามั้ยครับ”
คำถามตรง ๆ นั้นทำให้นับหนึ่งเงียบไปเลย เหงื่อซึมที่ฝ่ามือที่ยังโอบรอบเอวอีกฝ่ายอยู่ ร่างกายเกร็งแน่น แต่หัวใจกลับเต้นไม่เป็นส่ำ
“ไอ้เด็กนี่…” เขาพึมพำเบา ๆ เหมือนจะดุ แต่หูและคอยังแดงจัดเกินกว่าจะปิดบังได้
ไฟร้านอาหารสลัว ๆ ตกกระทบโต๊ะไม้เงางาม คีตะดึงเก้าอี้ออกให้นับหนึ่งนั่ง ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มมุมปากของเขายังไม่หายไปจากตอนขี่รถมาเลย
“พี่…” เขาเริ่มต้นเสียงนิ่ง แต่แววตาแพรวพราว “เรื่องเมื่อกี้ที่ผมพูดบนรถ…ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ”
นับหนึ่งชะงัก กำตะเกียบแน่นเล็กน้อย ดวงตาเลี่ยงไปทางอื่น “หมายถึง…ที่บอกว่าจะจีบน่ะเหรอ”
คีตะยักคิ้ว “ครับ จีบจริง ๆ แบบจริงจังเลย ไม่ได้เล่น ๆ”
หัวใจของนับหนึ่งเต้นแรงจนต้องสูดลมหายใจลึก ๆ เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้า รอยยิ้มซื่อแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจทำให้เขาประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
“คีตะ…พี่ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนเลยนะ” เสียงเขาเบาลง ราวกับสารภาพอะไรบางอย่างที่ไม่เคยบอกใคร “พี่ยัง…ยังต้องทำความเข้าใจอีกนิด อีกอย่าง…เราก็ยังรู้จักกันไม่ดีพอ”
คีตะเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา “ได้ครับ ถ้าพี่อยากใช้เวลา ผมก็ให้ได้”
เขาวางข้อศอกบนโต๊ะ โน้มตัวเล็กน้อย สบตานับหนึ่งตรง ๆ ริมฝีปากโค้งขึ้นนิด ๆ
“แต่ขออย่างเดียว…”
นับหนึ่งกลืนน้ำลาย ฝ่ามือที่วางบนโต๊ะแอบกำเข้าหากันแน่น “อะไร”
“ระหว่างที่พี่ทำความเข้าใจตัวเอง…ขอให้ผมได้จีบพี่นะ”
แววตาคมเต็มไปด้วยความมั่นคง จนหัวใจนับหนึ่งสะดุดอีกครั้ง เขาเบือนหน้าหนีเล็กน้อย แต่ใบหูกลับแดงจัดอย่างไม่อาจปิดบังได้
“…ตามใจ”
คำตอบนั้นเบามาก แต่เพียงพอให้คีตะยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะเงียบ ๆ
หลังจากสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง เสียงจอแจของผู้คนรอบข้างกลายเป็นแค่ฉากหลัง คีตะวางตะเกียบลง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“พี่…” เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม ดูจริงจังขึ้นจนทำให้นับหนึ่งหันมองทันที
“หืม? มีอะไร”
คีตะก้มมองชามข้าวตรงหน้าอยู่นาน ก่อนจะเงยขึ้นสบตานับหนึ่ง “จริง ๆ วันนี้ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ครับ”
นับหนึ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “เรื่องงานเหรอ”
คีตะส่ายหัว “ไม่ใช่ครับ…เรื่องแฟนเก่า”
นับหนึ่งชะงักไปนิด ใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ยังพยายามเก็บสีหน้าให้เรียบเฉย
คีตะรีบพูดต่อทันที “ผมรู้ว่ามันไม่ควรเอาเรื่องแบบนี้มาคุยกับพี่ โดยเฉพาะตอนที่ผมเพิ่งบอกว่าจะจีบพี่…แต่ผมก็ไม่อยากปิดบังอะไร”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่ได้มีร่องรอยของการกวนเหมือนทุกที
“ผมกับเขา…มันจบไปแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้จบแบบสวยหรูนัก มันเลยทำให้ผมรู้สึกผิดบ้าง รู้สึกหนักใจบ้างอยู่จนถึงตอนนี้”
นับหนึ่งฟังเงียบ ๆ ไม่ขัดจังหวะ เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เลือกจะพูดตรง ๆ แทนที่จะปิดบังเหมือนคนทั่วไป แล้วก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
คีตะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเล็กน้อย ก่อนจะวางลง “ผมคิดว่าถ้าจะเริ่มใหม่กับใครสักคน ต่อให้ยังไม่ชัดเจนว่าพี่จะยอมรับผมมั้ย ผมก็อยากให้มันเป็นการเริ่มที่สะอาด ไม่มีเรื่องโกหกหรือการปิดบัง”
บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อย นับหนึ่งมองหน้าเขาแล้วถอนหายใจยาว “คีตะ…” เสียงของเขานุ่มลงโดยไม่รู้ตัว “พี่ไม่ได้อยากให้เราเล่าอะไรละเอียดหรอก แต่พี่โอเคนะที่นายเลือกจะพูดตรง ๆ แบบนี้ อย่างน้อย…มันก็ทำให้พี่เห็นว่านายจริงจัง”
คำตอบนั้นทำให้คีตะยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาคลายความกังวลลงทันที
“ขอบคุณครับพี่…ผมดีใจที่พี่ฟัง”
คีตะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลังจากบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง เขาหันมามองหน้านับหนึ่งด้วยแววตาที่ไม่ใช่แค่การมองผ่าน ๆ แต่เหมือนตั้งใจฟังทุกคำที่จะตอบ
“แล้วพี่ล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มบาง ๆ “ที่ไซต์งานเป็นยังไงบ้าง งานหนักมั้ย…เหนื่อยมั้ยครับ”
นับหนึ่งชะงักเล็กน้อยกับคำถามนั้น เพราะไม่ค่อยมีใครถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยแบบนี้ “ก็…เหมือนเดิมแหละ งานก่อสร้างมันก็เหนื่อยทุกวันอยู่แล้ว” เขาตอบพลางยักไหล่เหมือนไม่คิดอะไร
แต่คีตะยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น “แล้วเจ้านายล่ะครับ…ยังรังแกอยู่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังแฝงความห่วงใย ทำให้นับหนึ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“ช่วงนี้…ไม่รู้ทำไม อยู่ดี ๆ ศักดิ์ชัยก็มาทำดีกับพี่เฉยเลย แบบไม่มีเหตุผลด้วย” เขาพูดพลางส่ายหัว “แต่ก็นับว่าดีมากแล้วล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งเจอคำพูดกดดันทุกวันเหมือนก่อน”
คีตะเลิกคิ้วขึ้นนิด “อยู่ดี ๆ ทำดี? ฟังแล้วก็น่าสงสัยนะครับ”
นับหนึ่งหัวเราะเบา ๆ “สงสัยฟ้าจะเมตตาพี่แล้วมั้ง”
คีตะมองเขาแล้วยิ้มบาง ๆ แต่ในใจกลับแอบคิดอย่างจริงจังว่า “ฟ้าเมตตา” อาจไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เจ้านายของนับหนึ่งเปลี่ยนไป…
---------------------------------------
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
ขอคอมเม้นท์พูดคุยเป็นกำลังใจหน่อยน้าาา อ้อนๆ55
ชอบคับ ขอบคุณครับ รอตอนต่อไปเลยครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ สนุกดีครับ รอติดตามต่อครับ ที่แท้นะโมก็เป็นเจ้าของโครงการนี่เอง{:5_137:}{:5_137:} รอครับรอ แต่ละคนเปิดมาหมดละ จะเป็นไงต่ออะ สนุกนะครับ ตามอย่างจดจ่อ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ น่าติดตามขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ศึกครั้งนี้ใครจะได้นับหนึ่งกันแน่ ขอบคุณ เริ่มจะจีบกันแล้ว น่ารัก
หน้า:
[1]