หัวใจดีไซน์ Ep.5 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-8-21 16:33ตอนที่ 4
เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตกอยู่ปลายเตียงดังขึ้น นะโมค่อย ๆ พลิกตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่น้ำมันหล่อลื่นกำลังแห้ง เขาเอามือกุมขมับ สูดหายใจแรง ๆ ไล่ความมึน
“โห… แม่ง… กูแดกไปกี่ขวดวะเนี่ย” เขาบ่นกับตัวเอง เสียงยังแหบพร่าเพราะทั้งเหล้า ทั้งเมื่อคืนที่ใช้แรงจนเกินปกติ
นะโมเหลือบมองไปรอบห้อง สายตาสะดุดเข้ากับภาพที่ทำให้เขาเผลอหัวเราะเบา ๆ ออกมา
ถุงยางใช้แล้วกองระเกะระกะเป็นสิบอัน กระจัดกระจายเหมือนซากสนามรบ
“ฉิบหาย… มาราธอนเหรอวะกู” เขาเอามือเสยผม ส่ายหัวขำ ๆ ทั้งที่จริงแล้วกล้ามเนื้อทั้งตัวโคตรปวดตึงเหมือนผ่านศึกหนัก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงักคือนอกจากเศษซากพวกนั้น… เตียงฝั่งข้าง ๆ ว่างเปล่า
ไม่มีใครอยู่แล้ว
นะโมนั่งพิงหัวเตียง สูดลมหายใจยาว ๆ ก่อนจะหลับตาลง พยายามเรียบเรียงความทรงจำเมื่อคืนที่พร่าเบลอเพราะฤทธิ์เหล้า
เขาจำได้แค่… ร่างเล็กขาวจัดที่เอวคอดจนจับแล้วแทบขาดมือ กลิ่นกายหอมสะอาดติดจมูกไม่จางแม้ตอนนี้
ผิวเรียบลื่นร้อนผ่าวอยู่ใต้ฝ่ามือ ทุกการสัมผัสทำให้เขายิ่งกระหาย
เขาจำได้ว่าตัวเอง… รุนแรงผิดปกติ กดอีกฝ่ายจนแทบจมเตียง ฟันขบกัดเนื้อขาวจนขึ้นรอยแดงม่วงไปทั้งตัว เล็บจิกลากไปตามหลังจนได้ยินเสียงครางสะท้าน
ทุกอย่างมันเหมือนสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่ซ่อนอยู่ข้างในถูกปลดปล่อยออกมาแบบไร้การควบคุม
และภาพหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด…
รอยสักผีเสื้อกลางแผ่นหลัง ลายเส้นพลิ้วราวกับกำลังขยับปีกบินจริง ๆ ยามที่เหงื่อชุ่มไปทั่วตัว
นะโมเปิดตาขึ้น หัวเราะหึ ๆ เบา ๆ กับตัวเอง
“แม่งเอ๊ย… ใครวะ กูจำหน้าไม่ได้เลย”
เขายกมือขึ้นลูบริมฝีปากตัวเองที่ยังแสบแตกเล็กน้อย ภาพจูบหนักหน่วงเหมือนกัดกินยังตามมาหลอกหลอน
ถึงจะจำหน้าอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ความรู้สึกเดียวที่ชัดคือ ‘เด็ดฉิบหาย’ จนเขาเผลอปล่อยตัวปล่อยใจเกินที่เคยเป็น
นะโมทิ้งตัวลงนอนใหม่ หลับตาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า
“เอาวะ… ถึงจะไม่รู้ว่าใคร แต่ถ้าเจอกันอีก กูไม่ปล่อยให้หนีแน่”
หลังจากเผลอหลับไปอีกตื่น นะโมก็ตื่นขึ้นมาอย่างซังกะตาย เสียงท้องร้องดังแข่งกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของตัวเอง เขาลุกจากเตียงไปเปิดฝักบัวให้น้ำเย็นไหลผ่านร่างเหมือนจะชะล้างกลิ่นเหล้าและร่องรอยเมื่อคืนที่ยังตามหลอนในหัวออกไป
พอจัดการตัวเองเรียบร้อย เขาก็กลับมาใส่เสื้อคอกลมสีซีด กางเกงยีนส์ขาด ๆ ที่เคยใส่ไปไซต์งานประจำ ร่างสูงโปร่งแต่เต็มไปด้วยพลังดูไม่ต่างอะไรจากกรรมกรหนุ่มทั่วไปแล้วตอนนี้ ไม่มีเค้าลูกคุณหนูผู้ดีให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
พอเดินลงมาที่เคาน์เตอร์ล็อบบี้เพื่อเช็กเอาต์ นะโมก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงก้มลงวางแขนบนเคาน์เตอร์แล้วพูดกับพนักงานด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง
“พี่… ขอก็อปไฟล์กล้องวงจรปิดของชั้นเมื่อคืนได้ปะครับ”
พนักงานสาวชะงักเล็กน้อย หันมามองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทะเล้นของนะโม ก่อนจะตอบอย่างสุภาพ
“เอ่อ… ได้ค่ะ แต่ต้องส่งเรื่องไปตามขั้นตอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ถึงจะส่งไฟล์ไปให้ทางอีเมลนะคะ”
นะโมเลิกคิ้ว หัวเราะหึ ๆ “โอเค ๆ ได้เลย ส่งมาให้ก็แล้วกัน”
เขาล้วงกระเป๋ายีนส์หยิบแบงก์ยื่นทิปให้เล็กน้อย แล้วหันหลังเตรียมออกไป
แต่ในใจกลับไม่เหมือนท่าทีสบาย ๆ ที่แสดงออกมา
เมื่อคืนมันชัดเจนว่าเขา รุนแรงเกินไป จนตัวเองยังตกใจ ถ้าอีกฝ่ายบอบช้ำเกินควรจริง ๆ อย่างน้อยเขาก็อยากจะขอโทษ หรือไม่ก็นัดเลี้ยงข้าวสักมื้อ ถือว่าเป็นการรับผิดชอบ
“แม่ง… ไม่รู้ว่าใคร แต่กวนใจฉิบหาย” เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ขณะเดินออกจากโรงแรมไปโบกวินมุ่งหน้าไซต์งาน
แม้เขาจะพยายามสลัดความคิดนั้นออกไป แต่ภาพผิวขาวจัดกับรอยสักผีเสื้อยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่เลิก
ที่ไซต์งาน
เสียงเครื่องจักรดังสนั่นต้อนรับเช้าวันใหม่ นับหนึ่งยืนกอดอกตรวจความเรียบร้อย พลางก้มดูแบบงานในมืออย่างเคร่งขรึม แต่ยังไม่ทันจะหันไปไหน เสียงตะโกนใสแจ๋วก็ดังแทรกขึ้นมา
“หวัดดีครับพี่นับหนึ่งนนนนน!”
ร่างสูงโปร่งในเสื้อคอกลมซีดกับกางเกงยีนส์ขาด ๆ วิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าที่เพิ่งผ่านคืนเมาหนักมาแทบไม่เหลือเค้าเลย มีแต่รอยยิ้มสดใสกับแววตาเป็นประกายเต็มไปหมด
“โอ้โห… มึงไปแดกแบตเตอรี่มารึไงวะ” นับหนึ่งหลุดพูดออกมาแบบงง ๆ มองนะโมที่ยิ้มระรื่นเข้ามายกมือไหว้แล้วหิ้วถังอุปกรณ์สองข้างเหมือนแบกขนม
“เช้านี้พลังงานเต็มร้อย! พร้อมทำงานครับผม!” นะโมตอบเสียงดังอย่างมั่นใจ ก่อนจะโยนยิ้มกวน ๆ ให้ทุกคนรอบข้าง จนพี่ ๆ คนงานหัวเราะชอบใจ
นับหนึ่งเหลือบมองแวบเดียวแล้วส่ายหัวเบา ๆ
“แม่ง… เมื่อวานยังเห็นหอบแดกอยู่เลย วันนี้นี่โหมดไหนของมันวะ”
นะโมเหมือนจับได้ รีบหันมายักคิ้ว “โหมดสดใสสิครับพี่… จะได้ทำให้พี่มีกำลังใจไง”
ประโยคนั้นเล่นเอานับหนึ่งชะงักไปนิด ใจเต้นแปลก ๆ แต่ก็รีบเก็บสีหน้า กลับมาทำขรึมเหมือนเดิม
“เลิกพูดมากได้แล้ว ไปช่วยยกไม้ตรงนั้นไปตั้งเรียงให้ดี ๆ ก่อนจะโดนด่า”
“ครับพี่!” เสียงตอบรับเต็มพลังดังขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งดุ่ม ๆ ไปตามคำสั่ง ร่างสูงโปร่งเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเหมือนคนที่เกิดมาเพื่อใช้แรงงานจริง ๆ ไม่ท่ามีท่าทีคุณหนูเลยสักนิด
นับหนึ่งมองตามอย่างอดเอ็นดูไม่ได้…
แต่ในใจยังอดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า เด็กนี่มันไปโดนตัวไหนมาจริง ๆ หรือเปล่าวะ ถึงได้ร่าเริงยังกะโดนชาร์จไฟมาเต็ม
แดดสายเริ่มแรงจนไอร้อนอบอวล คนงานทยอยนั่งพักใต้ร่มเงาโรงเก็บของเล็ก ๆ บางคนสูบบุหรี่ บางคนดื่มน้ำเปล่าจากกระติกเย็น นับหนึ่งเองก็นั่งอยู่มุมหนึ่ง ยกขวดน้ำขึ้นดื่มเงียบ ๆ
“พี่นับหนึ่ง—” เสียงสดใสเรียกมาแต่ไกล ก่อนที่นะโมจะวิ่งมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แบบไม่เกรงใจที่ว่างอื่นเลย
“อะไรวะ มานั่งเบียดทำไม ที่โล่ง ๆ มีเยอะแยะ” นับหนึ่งเลิกคิ้ว พยายามขยับตัวหนีเล็กน้อย
“ก็อยากนั่งตรงนี้อะ ใกล้หัวหน้าจะได้เรียนรู้เร็ว ๆ ไง” นะโมยิ้มกวนพลางยกกระบอกน้ำขึ้นดื่ม พอเงยหน้าลงก็แกล้งขยับไหล่มาชนคนข้าง ๆ เบา ๆ “หรือพี่รำคาญผมแล้ว?”
“อยากโดนเตะสักป้าบไหมล่ะ” นับหนึ่งว่าเสียงเรียบ แต่หางตาเหลือบมองเด็กตรงหน้าที่หัวเราะตาหยีไม่เลิก
“พี่อายุเท่าไหร่แล้วครับ” เสียงทุ้มใสเอ่ยขึ้นแบบไม่เกรงใจ
นับหนึ่งเหลือบตามอง แทบจะถอนหายใจ “ถามทำไมวะ”
“ก็อยากรู้ไง” นะโมยักไหล่ ยกกระบอกน้ำดื่มแล้วหันมายิ้มกวน ๆ “ผม 24 เอง แต่เดาว่าพี่น่าจะ…สามสิบ?”
นับหนึ่งเลิกคิ้ว หันมามองเต็มตา “เออ แล้วไง”
“โห่ยยยยย เดาถูกจริงด้วย” นะโมหัวเราะเสียงดัง พลางเอาศอกกระทุ้งเบา ๆ “กำลังดีเลยนะ อายุแบบนี้อะ โคตรมีเสน่ห์”
“มึงนี่มัน…” นับหนึ่งส่ายหัว ทำเหมือนจะรำคาญ แต่หูดันร้อนขึ้นมาเฉย ๆ
นะโมไม่หยุดแค่นั้น เขาโน้มตัวมาใกล้ กระซิบเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยแววขี้เล่น “แล้วพี่มีแฟนหรือยังอะ”
นับหนึ่งชะงักไปวินาที ก่อนตอบเสียงเรียบ “ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“หืมมมม แบบนี้แปลว่ายังสินะ” นะโมหรี่ตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นทันที “โอเคเลย งั้นขอถามอีกข้อ—พี่ชอบสเปกแบบไหนเหรอครับ”
“ไอ้นี่ จะสัมภาษณ์เหรอ” นับหนึ่งหันไปคาดคั้น
“ก็แค่อยากรู้เผื่อเข้าข่าย” นะโมยักคิ้ว ทำหน้าเหมือนไม่คิดจะปิดบังความกวนเลยสักนิด
นับหนึ่งถอนหายใจแรง พยายามเมิน แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนโดนเด็กคนนี้อ่านขาด มันไม่ใช่แค่ความเฟรนลี่ทั่วไปแล้ว แต่เหมือนตั้งใจเล็งมาทางเขาเต็ม ๆ
ตัดภาพไปที่อีกฝั่ง…
เสียงประตูคอนโดหรูปิดลงพร้อมกับร่างผอมเพรียวที่แทบจะเซถลาเข้ามา พระพายโยนกุญแจลงบนโต๊ะกระจกอย่างหมดแรง ก่อนจะลากสังขารที่ปวดระบมเข้าไปในห้องน้ำ
ภาพสะท้อนในกระจกทำเอาเขาชะงักไปครู่ใหญ่ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแดง รอยกัด รอยข่วนเป็นทางยาว กระดูกแทบทุกข้อเหมือนถูกบดขยี้จนแทบแยกไม่ออก เอวก็ปวดจนแทบยืนไม่ตรง เหมือนเพิ่งถูกรถชนสิบคันสวนมาพร้อมกัน
“เชี่ย…” พระพายสบถเสียงต่ำ พลางยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองสองสามทีแรง ๆ เหมือนจะบังคับให้สมองตื่น “ไม่ใช่เรื่องจริง… แม่งไม่ใช่เรื่องจริงโว้ย”
เขาเปิดน้ำเย็นจัด สาดใส่หน้าแบบไม่ปรานี ก่อนสูดหายใจแรง ๆ พยายามกลืนความรู้สึกโกรธปนตกใจเอาไว้ในอก แต่ไม่ทันจะเรียกสติได้ เสียงโทรศัพท์จากห้องนอนก็ดังขึ้น
พระพายขบกรามแน่น ก่อนจะลากขาออกไปรับสาย “ว่าไง…”
[เสียงปลายสาย: “คุณพระพายครับ เรื่องประชุมบ่ายนี้—”]
“กูไม่เข้า” พระพายตัดบททันที เสียงแข็งและห้วนจนปลายสายเงียบไป
[“…เอ่อ แต่—”]
“ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ วันนี้กูจะไม่เข้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนกดตัดสายโดยไม่รอคำตอบ
พระพายทิ้งตัวลงบนเตียง มือขยี้ผมแรง ๆ สายตายังคงจ้องเพดานด้วยความว้าวุ่น ทั้งหมดเมื่อคืนมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเสียการควบคุมตัวเองไปทีละนิด และที่เลวร้ายที่สุดคือ…เขายังนึกถึงสัมผัสนั้นไม่หยุด
…
ห้องทั้งห้องเงียบสนิท ม่านถูกดึงปิดสนิทจนบรรยากาศมืดสลัว อากาศข้างในอบอ้าวราวกับเจ้าของห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างมาหลายวัน
คีตะกดกริ่งหน้าห้องอยู่นานก็ไร้การตอบรับ เขาถอนหายใจแรง ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดสำรองออกมา เสียง “ติ๊ด” ดังขึ้นพร้อมประตูที่ถูกดันเปิดเข้าไป
ภาพแรกที่เห็นคือพระพายขดตัวอยู่บนโซฟา เสื้อเชิ้ตยับย่นเปียกเหงื่อ ใบหน้าซีดเผือด แก้มแดงก่ำเพราะพิษไข้ ปากแห้งแตกจนแทบไม่เหมือนคนปกติ
“พระพาย…” เสียงทุ้มต่ำของคีตะสั่นพร่าไปชั่วขณะ เขารีบเดินเข้าไปนั่งย่อตัวลงข้าง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะหน้าผาก ร้อนจัดจนแทบลวกมือ
“เวรเอ๊ย ทำไมถึงได้ปล่อยตัวเองขนาดนี้วะ”
ข้างโซฟามีกล่องยาแก้ปวดวางคว่ำอยู่ แผงยาถูกดึงออกไปเกือบหมด บนโต๊ะยังกระจัดกระจายไปด้วยขวดน้ำครึ่งดื่มครึ่งทิ้ง
คีตะกัดฟันแน่น รีบประคองร่างที่อ่อนแรงขึ้นมา พระพายครางแผ่ว ๆ ดวงตาปรือเหมือนพยายามลืมขึ้นมอง แต่แทบไม่รับรู้
“กูเอง…คีตะ” เขากระซิบใกล้หู ก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายขึ้นอย่างง่ายดาย แม้พระพายจะผอมเพรียวแต่ตัวก็ไม่ได้เล็ก ร่างสูงโปร่งกลับหนักอึ้งเพราะไร้เรี่ยวแรง
คีตะเดินรวดเร็วออกจากห้อง ใช้เท้าเตะประตูปิดเสียงดังปังโดยไม่สนใจ ก่อนจะก้าวพรวดลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถ แล้วรีบขับออกไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไม่นานรถสปอร์ตคันหรูเบรกกะทันหันหน้าห้องฉุกเฉิน คีตะเปิดประตูอุ้มพระพายลงมาด้วยสีหน้าเครียดจัด
“ช่วยหน่อยครับ! เขามีไข้สูงมาก กินยาไปแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น!”
พยาบาลกับเจ้าหน้าที่รีบเข้ามารับตัวพระพายขึ้นเปล เข็มฉีดยาและสายน้ำเกลือถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว
คีตะยืนหอบ หยาดเหงื่อไหลอาบกรอบหน้าคม เขาไม่ปล่อยมือจากพระพายจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ผลักเปลเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
เขาทำได้แค่นั่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้รอด้านนอก กุมขมับแน่น ความหงุดหงิด ความโกรธ และความห่วงประดังเข้ามาพร้อมกัน
“มึงนี่แม่ง…จะทำให้กูหัวใจวายตายเพราะมึงจริง ๆ พระพาย”
[เหตุการณ์ก่อนหน้า]
ห้องประชุมที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด เอกสารกองพะเนิน วงสนทนาเรื่องตัวเลขโครงการที่ควรมี “พระพาย” มานั่งประจำตำแหน่ง แต่เก้าอี้นั้นกลับว่างเปล่า
คีตะนั่งไขว่ห้าง พลิกแฟ้มงานในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาคมกริบเหลือบไปยังเก้าอี้ว่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เลขาฯก้มมากระซิบเบา ๆ “ทางเลขาฯ คุณพระพายบอกว่าวันนี้จะไม่เข้าค่ะ”
คิ้วเข้มของคีตะขมวดทันที เขายกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ส่วนตัว เสียงสัญญาณดังอยู่นานก่อนจะตัดเข้าเสียงฝากข้อความ
“เฮ้ย พระพาย…นี่มึงเล่นอะไรของมึงเนี่ย ไม่มาประชุม? รับสายกูก็ไม่รับ?” เสียงทุ้มต่ำกดต่ำลงด้วยความหงุดหงิด “ถ้ามึงคิดจะประชด กูบอกเลยว่ามันไม่ตลก…”
เขากดวางสายด้วยแรงหัวแม่มือแน่น จนหน้าจอขึ้นรอยนิ้วเป็นมันเงา
ประชุมผ่านไปครึ่งชั่วโมง คีตะก็ยังนั่งไม่ติด สุดท้ายเขาเก็บของอย่างหัวเสีย “ขอโทษที ผมมีธุระด่วน ฝากคุณดูต่อแทนที”
[ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน]
กลิ่นยาฆ่าเชื้อคละคลุ้ง พระพายค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาพร่ามัวก่อนจะชัดเจนขึ้นทีละนิด สิ่งแรกที่เห็นคือสายน้ำเกลือห้อยอยู่ที่แขนตัวเอง และร่างสูงคุ้นเคยนั่งพิงเก้าอี้อยู่ข้างเตียง
“คีตะ…?” เสียงแผ่ว ๆ เล็ดออกมา
คีตะสะดุ้งเบา ๆ ลืมตาขึ้นมามอง ก่อนถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฟื้นสักทีนะมึง…”
พระพายยกมุมปากยิ้มบาง ๆ ราวกับกำลังโล่งใจ “กูรู้… กูรู้ว่ามึงยังห่วงกูอยู่”
คำพูดนั้นทำให้คีตะกระแทกเสียงกลับทันที “ห่วงบ้านห่วงเมืองอะไร มึงทำตัวเหมือนอยากตายอยู่ทุกวันเนี่ยนะ จะให้กูทำเป็นไม่เห็นได้ยังไง!”
พระพายหัวเราะหึ ๆ เสียงแหบพร่า “อ๋อ… ที่พามานี่ก็เพราะสมเพช ไม่ใช่เพราะรักสินะ”
คีตะกำมือแน่น ดวงตาลุกวาบด้วยโทสะ “กูบอกกี่ครั้งแล้วว่ามึงอย่ามาทำลายตัวเองแบบนี้! มึงคิดว่าเมื่อคืนที่ไปเอาตัวเองไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ กับใครไม่รู้แม่งมันเท่เหรอ? หรือคิดว่าจะประชดกูได้ผลวะ!”
คำพูดนั้นแทงเข้ากลางใจพระพายเต็ม ๆ แต่ปากเขาไม่เคยยอมแพ้ “แล้วไง มึงไม่ใช่ผัวกูแล้ว จะมายุ่งเหี้ยอะไร กูอยากทำ กูก็ทำ เรื่องของกูป่ะ?”
“มึงมันโง่! โง่ฉิบหายจนกูไม่รู้จะด่ามึงยังไงแล้วพระพาย!” เสียงคีตะดังสะท้อนก้องในห้องพักผู้ป่วย
พระพายกัดฟันแน่น ดวงตาสั่นระริกด้วยทั้งความเจ็บปวดและทิฐิ ก่อนจะกระชากสายน้ำเกลือออกจากแขน เลือดซึมออกมาเป็นทาง แต่เขาไม่สนใจ รีบลุกพรวดจากเตียงทันที
“กูไม่อยากฟัง! ถ้ามึงไม่รักกูก็อย่ามาทำเหมือนกูเป็นภาระ!”
“พระพาย!” คีตะเผลอเรียกเสียงดัง แต่เมื่อร่างนั้นหายลับไปทางโถงยาว เขาก็หยุดตัวเองเอาไว้
เขายกมือขึ้นขยี้ผมแรง ๆ เหมือนพยายามสลัดความหงุดหงิดกับความห่วงที่พันกันยุ่งเหยิงในอก “เอาเถอะ พระพาย…สักพักก็คงได้สติแล้วกลับมาเองแหละ”
--------------------------------------
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
วันนี้ลงแถม555
คอมเม้นท์พูดคุยเป็นกำลังใจได้นะครับ
รักคนอ่าน
ขอบคุณครับ อ่านสนุกดีครับรอติดตาม สนุกมากครับ พระพายต้องโดนนะโมปราบพยศ(หรือเปล่า) ว่าแต่นะโมเข้าไปพัวพันไซต์ก่อสร้างนับหนึ่งได้ยังไง ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ 5555555555 รอเลยครับอยากให้มาหไวๆ ปวดหัวครับ น่าติดตามอย่างยิ่งครับ 4 คน จะจับคู่กันยังไงนะเนี่ย
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สงสารพระพาย แต่น่าจะเดือดแน่ๆ ขอบคุณ มัวแต่มายุ่งกับพระพาย โดนเด็กน้อยทำคะแนนไปแล้ว เริ่มดราม่า
หน้า:
[1]