หัวใจดีไซน์ Ep.4 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-8-21 11:36ตอนที่ 3
เสียงเครื่องจักรและคนงานตะโกนสั่งงานดังระงมทั่วไซต์ก่อสร้าง กลิ่นปูน กลิ่นเหล็กอบอวลไปในอากาศ นับหนึ่งเดินตรวจงานอยู่แถวกองวัสดุ ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนเรียก
“หัวหน้า! ของกองนี้ให้เด็กใหม่จัดการเลยนะ”
นับหนึ่งหันไปตามเสียง เห็นร่างสูงเพรียวพอ ๆ กับตัวเองยกเหล็กขึ้นพาดบ่าอย่างมั่นใจ ชุดคนงานธรรมดาที่สวมอยู่กลับทำให้ผิวขาวสะอาดตาของเขาดูเด่นสะดุดตา ผมสีน้ำตาลเข้มเซ็ตลวก ๆ เผยหน้าตาที่จัดว่าน่ามอง ยิ่งรอยยิ้มสดใสที่ส่งมา มันแทบทำให้บรรยากาศหนัก ๆ ในไซต์งานผ่อนคลายลง
“แบบนี้ใช่มั้ยพี่?” เด็กหนุ่มถามเสียงชัด มาดมั่น แต่ดวงตากลับเป็นประกายซุกซน จังหวะยกขึ้นยังดูเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้าง
“ระวังหลังด้วย เดี๋ยวชนเขา” นับหนึ่งเอ่ยเตือนทันควันเมื่อเห็นท่าเดินของเด็กใหม่จะเฉี่ยวกองอิฐ
“โห ขอบคุณพี่มากเลยครับ เกือบไปแล้วสิ” เด็กหนุ่มหัวเราะร่า ใบหน้ามีแต่ความสดใสไม่มีแววเครียดสักนิด “พี่นี่เหมือนเป็นฮีโร่เลยนะครับ มองปุ๊บก็รู้ว่าผมจะซุ่มซ่ามปั๊บ”
นับหนึ่งหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ทำงานแบบนี้มันต้องรอบคอบ ไม่งั้นเจ็บตัวง่าย ๆ”
“โอเคเลยครับ! แต่ถ้าผมพลาดอีก พี่ช่วยคอยดุผมก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มยกคิ้วกวน ๆ พร้อมยกนิ้วโป้งให้
เสียงหัวเราะของคนงานรอบ ๆ ดังขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น บางคนแอบแซวเสียงดัง “เออเว้ย ไอ้เด็กใหม่มันติดหัวหน้าตั้งแต่วันแรกแล้วมั้ง”
นับหนึ่งส่ายหัวน้อย ๆ แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
ตลอดทั้งวัน เด็กหนุ่มคนนั้นไม่เพียงแต่ทำงานเต็มแรงเท่านั้น แต่ยังคอยชวนคนนั้นคนนี้คุยเหมือนรู้จักกันมานาน ขยันยกของ ช่วยหยิบจับ ไม่เกี่ยงงานหนักสักนิด
จนกระทั่งตอนพักเบรคสั้นๆ เขาหันกลับมาหานับหนึ่งอีกครั้ง ยื่นขวดน้ำมาให้พลางยิ้มกว้าง “เหนื่อยมั้ยพี่ ผมว่าพี่นี่แบกไซต์ไว้ทั้งไซต์เลยนะ”
นับหนึ่งรับขวดน้ำมาดื่ม พลางตอบสั้น ๆ “ชินแล้ว”
“งั้นผมจะช่วยแบ่งเบาพี่เอง! ให้ผมทำอะไรก็บอกมาเลยครับ ผมแข็งแรงมากนะ ถึงตัวผอม ๆ แบบนี้ แต่แบกได้เยอะกว่าเห็นอีกนะ”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มร้อย พร้อมโชว์แขนที่ไม่ได้มีกล้ามอะไรนัก แต่รอยยิ้มสดใสจนทำให้นับหนึ่งอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
“…พูดเยอะ” นับหนึ่งส่ายหัว แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเอ็นดูอย่างที่เจ้าตัวเองยังไม่ทันรู้ตัว
หลังจากเสียงสัญญาณพักดังขึ้น คนงานหลายคนพากันไปนั่งรวมกลุ่ม สูบบุหรี่บ้าง กินข้าวกล่องบ้าง บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าช่วงทำงานหนัก นับหนึ่งเองก็หามุมสงบ ๆ ริมกำแพงนั่งพัก พลางเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาข้างแก้ม
ไม่นาน ร่างสูงเพรียวก็เดินเข้ามาพร้อมขวดน้ำเย็นในมือ เขายื่นให้นับหนึ่งอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มสดใส
“เอ้า พี่ ดื่มอีกหน่อยสิ เดี๋ยวเพลีย”
นับหนึ่งรับมาดื่มเงียบ ๆ ก่อนจะเหลือบตามองแล้วพูดขึ้น “วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้ถามเลย…ชื่ออะไร”
เด็กหนุ่มทำท่าชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกว้างเหมือนแสงแดดยามบ่าย “นะโมครับ”
เขายกมือเช็ดเหงื่อที่คางแล้วเอียงคอมองนับหนึ่งอย่างเปิดเผย “แล้วพี่ล่ะ ชื่ออะไร ผมได้ยินคนเรียกพี่ว่า ‘หัวหน้า’ ตลอด แต่ยังไม่รู้ชื่อจริง”
“นับหนึ่ง” เขาตอบสั้น ๆ
“นับหนึ่ง…” นะโมทวนช้า ๆ เหมือนจะจำใส่ใจ รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้น “ชื่อเท่ดีนะ ฟังแล้วเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรสักอย่าง”
นับหนึ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้จากเด็กใหม่ จนแอบหัวเราะในลำคอ “พูดเป็นผู้ใหญ่เลยนะ”
“ไม่หรอก” นะโมหัวเราะเบา ๆ “ผมพูดตรง ๆ แบบที่คิดนั่นแหละ” ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่นับหนึ่งโดยไม่หลบเลี่ยง แววตาใสซื่อแต่ก็เจือแววบางอย่างที่อ่านยาก
“เออ…ขยันก็แล้วกัน” นับหนึ่งเลือกจะเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้หัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาดื้อ ๆ เปิดโปงตัวเองมากไปกว่านี้
“ครับ หัวหน้า—เอ้ย! พี่นับหนึ่ง” นะโมแก้คำเรียกทันควัน พร้อมยกมือไหว้ท่าทางกวน ๆ แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ จนเสียงหัวเราะของคนรอบ ๆ ดังขึ้นอีกระลอก
เสียงนกยามเย็นกับท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสัญญาณเลิกงาน คนงานทยอยเก็บเครื่องมือกลับเข้าที่ เสียงหัวเราะ คุยหยอกล้อกันไปมาเต็มไปหมด นับหนึ่งก็ยังไม่วายยืนเช็กงานรอบสุดท้ายตามนิสัย ก่อนจะหันไปเห็นนะโมเดินตามต้อย ๆ มาตลอดทางเหมือนเงา
“เออ มึงกลับบ้านไปได้แล้ว เดี๋ยวกูปิดงานเอง” นับหนึ่งเอ่ยบอก
“ไม่เอา ผมอยากช่วยจนเสร็จ จะได้จำงานได้เร็ว ๆ” นะโมตอบด้วยท่าทางจริงจัง แต่ริมฝีปากกลับยังยิ้มอยู่ตลอดเวลา
นับหนึ่งส่ายหน้าเบา ๆ ทั้งเอ็นดูทั้งปลง ก่อนจะยื่นแฟ้มเอกสารให้ไปถือแทน “งั้นถือไว้ก็พอ อย่ามาทำตัววุ่นวาย”
“ครับ หัวหน้า—เอ้ย พี่นับหนึ่ง” เด็กหนุ่มตอบทันทีจนคนงานแถวนั้นขำพรืด
แต่เสียงหัวเราะพวกนั้นค่อย ๆ เงียบลง เมื่อรถสปอร์ตคันคุ้นตาแล่นเข้ามาจอดที่มุมไซต์งาน ทุกสายตาหันไปมองเพราะไม่ค่อยมีใครขับรถหรู ๆ แบบนี้เข้ามาในบรรยากาศเต็มฝุ่นเช่นนี้
คีตะก้าวลงจากรถในชุดกึ่งลำลองดูสบาย ๆ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยอำนาจและรัศมีที่กดบรรยากาศโดยรอบให้เงียบลง เขาตรงเข้าไปคุยกับวิศวกรประจำไซต์ด้วยท่าทีปกติ พูดเรื่องแบบแปลนและวัสดุราวกับมาตรวจงานตามหน้าที่
แต่ระหว่างที่พูด สายตาคมเข้มคู่นั้นก็เหลือบมองไปยังมุมหนึ่งเสมอ ตรงที่นับหนึ่งยืนคู่กับเด็กหน้าใหม่ที่สูงเพรียว ผิวขาวสะอาดตา รอยยิ้มสดใสผิดแปลกจากภาพที่เขาคุ้นชินในไซต์งาน คีตะเห็นแค่ไม่กี่นาทีก็รู้ทันที… “เด็กนี่มันไม่ธรรมดา”
และยิ่งเห็นนะโมเดินตามนับหนึ่งไม่ห่าง ทำท่าเหมือนเป็นเงาประกบข้าง ความหงุดหงิดในอกคีตะก็ยิ่งพุ่งขึ้นทุกที จนเขาสูดหายใจแรงกลบเกลื่อน ก่อนจะละจากกลุ่มวิศวกรแล้วเดินตรงไปหานับหนึ่ง
“ตรวจงานเสร็จแล้ว?” นับหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเมื่อเห็นเขาเข้ามา
“อืม” คีตะพยักหน้าสั้น ๆ สายตากลับไม่ยอมละจากใบหน้านับหนึ่งแม้แต่น้อย เขาพยายามเก็บสีหน้า แต่ความขุ่นเคืองที่แล่นอยู่ในแววตาก็ยากจะซ่อน “งานช่วงนี้เป็นไงบ้าง มีปัญหาอะไรไหม”
“ก็เรื่อย ๆ ไม่มีอะไรใหญ่” นับหนึ่งตอบสั้นเหมือนทุกครั้งที่คุยเรื่องงาน
“ดี…” คีตะพูดในลำคอ ก่อนจะหันไปมองเด็กที่ยืนเคียงข้างจนทนไม่ได้ “แล้วนี่ใคร” น้ำเสียงเย็นลงจนสัมผัสได้
นะโมยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มกวน ๆ “สวัสดีครับ ผมชื่อนะโม พึ่งเข้ามาทำงานวันแรก ฝากตัวด้วยนะครับ”
คีตะมองสบตานะโมเพียงเสี้ยววินาที แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังเจอกระจกเงาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างออกมา เด็กนี่…มันก็มองนับหนึ่งด้วยแววตาแบบเดียวกับที่เขามอง นั่นทำให้ในอกคีตะพลุ่งพล่านอย่างห้ามไม่อยู่
“หืม…ขยันดีนี่” เขาพูดเสียงต่ำ แต่แฝงแรงกดดันที่ทำให้นะโมเงียบไปชั่วครู่
นับหนึ่งรีบแทรกขึ้น “เด็กมันพึ่งมาวันแรก ปล่อยให้มันเรียนรู้งานไปเถอะ”
คีตะหันกลับมามองนับหนึ่งอีกครั้ง แววตาที่เต็มไปด้วยทั้งความหวง ความหึง และความโกรธที่ไม่สามารถพูดออกมาตรง ๆ ได้ เขาเม้มปากแน่น ก่อนจะพ่นลมหายใจแรง ๆ ออกมาเหมือนพยายามกดอารมณ์ให้สงบ
แต่นับหนึ่งกลับไม่รู้เลยว่าตอนนี้… สายตาของผู้ชายสองคน กำลังจับจ้องเขาเหมือน “ผีเห็นผี” ต่างฝ่ายต่างก็รู้ในใจ ว่าอีกคนคิดกับนับหนึ่งไม่ต่างกัน
บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่แล้วเหมือนจะหนักอึ้งยิ่งขึ้น เมื่อเสียงเครื่องยนต์จากรถสปอร์ตอีกคันดังขึ้นใกล้ ๆ ทุกคนในไซต์หันไปตามเสียงอัตโนมัติ และก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำกันเมื่อเห็นคนที่ก้าวลงมาจากรถ
“โอ้…ทำงานกันสนุกใหญ่เลยนะ” พระพายเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่ฟังดูเหมือนแฝงการดูถูกมากกว่า
นับหนึ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรทันที แต่ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่มาพร้อมกับผู้ชายคนนี้
พระพายไม่เสียเวลา เขาเดินตรงเข้ามาหาคีตะทันที มือเรียวยกขึ้นเกี่ยวแขนอีกฝ่ายไว้ราวกับเป็นของตัวเอง ใบหน้าขาวจัดขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะแนบชิดกับต้นแขนของคีตะ
“คิดถึงจังเลย ไม่โทรหากันบ้างเหรอ” เสียงหวานกึ่งเย้า กึ่งหวงดังออกมาอย่างจงใจ
คีตะขมวดคิ้วทันควัน สายตาแข็งกร้าวขึ้น เขาพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม แต่พระพายกลับยิ่งเกาะแน่นกว่าเดิมเหมือนตั้งใจยั่วให้เขาเสียจังหวะ
นับหนึ่งยืนมองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งเฉย แต่ในอกกลับรู้สึกอึดอัดประหลาด ราวกับไม่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนตรงหน้ามันคืออะไรกันแน่
จนกระทั่งนะโมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอียงคอถามขึ้นมาเสียงดังฟังชัด
“นี่…ใครเหรอครับ”
ประโยคนั้นเหมือนปักหมุดกลางบรรยากาศ ทำให้เงียบลงชั่ววินาที ก่อนพระพายจะหันสายตามามองเด็กหนุ่มทันที ริมฝีปากคลี่ยิ้มเชิดขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะสื่อว่าตัวเองอยู่ “คนละระดับ” กันโดยไม่ต้องเปล่งคำพูดใด ๆ
แต่แทนที่จะตอบ เขากลับเมินเฉยอย่างตั้งใจ เหมือนไม่เห็นการมีตัวตนของนะโมด้วยซ้ำ ก่อนจะกระชับมือบนแขนคีตะแล้วออกแรงดึง “ไปกันเถอะคีตะ กูมีเรื่องจะคุย”
คีตะเม้มปากแน่น ไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่ได้สะบัดแรง ๆ เพราะไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวต่อหน้าคนงาน เขาจึงปล่อยให้พระพายลากตัวออกไปช้า ๆ
นับหนึ่งกับนะโมจึงได้แต่มองตามด้วยสายตางง ๆ โดยที่ต่างคนต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนนับหนึ่งจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ส่วนนะโมก็หันมามองเขา แววตาฉายชัดถึงคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ
นับหนึ่งยืนเงียบอยู่นานหลังจากที่คีตะกับพระพายเดินลับสายตา สีหน้าของเขาดูหม่นหมองลงอย่างชัดเจน แม้จะพยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้คนงานคนอื่นเห็น แต่สายตาของนะโมกลับสังเกตได้ทันที
“พี่…ไม่เป็นไรใช่ไหม” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฟังดูอ่อนโยนผิดจากความกวน ๆ ที่เคยแสดงออกทั้งวัน ดวงตาสดใสคู่นั้นมองนับหนึ่งอย่างห่วงใย
นับหนึ่งสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะฝืนยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไรหรอก แค่เหนื่อยน่ะ”
นะโมขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ราวกับอยากแบ่งเบาความรู้สึกนั้นให้
“ถ้าเหนื่อย…ให้ผมไปส่งที่บ้านก็ได้นะครับ จะได้ไม่ต้องกลับคนเดียว”
นับหนึ่งส่ายหัวทันที “ไม่ต้องหรอก ขอบใจนะ แต่บ้านพี่ไม่ได้ไกล เดี๋ยวพี่กลับเองก็ได้”
แม้จะปฏิเสธ แต่ในใจเขาก็อดอบอุ่นไม่ได้ที่เด็กหนุ่มตรงหน้าคอยใส่ใจแบบนี้
นะโมยิ้มกว้าง แววตาไม่ยอมหมดหวังง่าย ๆ
“งั้นก็ได้ครับ…แต่พรุ่งนี้เจอกันนะพี่นับหนึ่ง ผมจะมาให้พี่สอนงานอีก”
“อืม…” นับหนึ่งพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือลาและเดินออกไปช้า ๆ
–––
ทันทีที่เงาของนับหนึ่งหายไปจากลานไซต์งาน สีหน้ายิ้ม ๆ แบบเด็กร่าเริงของนะโมก็ค่อย ๆ คลายลง เขาก้าวไปยังมุมตู้คอนเทนเนอร์ชั่วคราวแล้วหยิบเป้ของตัวเองออกมา ดึงเสื้อผ้าที่พับไว้อย่างเนี้ยบออกมาเปลี่ยน
เพียงไม่กี่นาที เด็กกรรมกรหน้าใสก็แปรเปลี่ยนเป็นหนุ่มหล่อสะดุดตา เสื้อเชิ้ตดำเข้ารูป กางเกงสลิมเข้ากับรองเท้าหนังแพง ๆ เส้นผมที่เคยปรกหน้าก็ถูกจัดทรงให้ดูเท่จัดเต็ม ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่
มือถือเครื่องหรูถูกหยิบขึ้นมา นิ้วเรียวกดเบอร์ที่คุ้นเคย
“เอารถมารับกูหน้าทางเข้าไซต์งานที คืนนี้กูมีนัด”
เพียงครู่เดียว รถยุโรปสีดำเงาก็มาจอดเทียบ คนขับรีบก้าวลงมาเปิดประตูอย่างนอบน้อม นะโมก้าวขึ้นรถด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่เด็กใหม่เฟรนลี่ แต่เป็นทายาทนักธุรกิจพันล้านที่คุ้นชินกับอำนาจและความหรูหรา
คืนนี้ เขามีนัดกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ร้านเหล้าหรูใจกลางเมือง รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อคมอย่างคนที่พร้อมจะสลัดคราบความอึดอัดในตอนกลางวันทิ้งไป แล้วปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับแสงสีและความสนุกแบบคนอีกโลกหนึ่ง
...
เสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังสะท้อนทั่วคลับหรูใจกลางเมือง ไฟนีออนสีสดไล่เฉดไปตามผนัง ทำให้ผู้คนที่แต่งตัวจัดเต็มดูเหมือนหลุดออกมาจากแฟชั่นโชว์มากกว่าจะมาเที่ยวกลางคืน
ประตู VIP ถูกเปิดออก ร่างสูงโปร่งในชุดเชิ้ตดำแนบลำตัวก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจ ใบหน้าหล่อสะอาดสะอ้านที่เพิ่งมีเหงื่อเกาะจากไซต์งานเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน บัดนี้กลับกลายเป็นหนุ่มหล่อไฮโซที่ใคร ๆ ก็เหลียวมอง
“เห้ยไอ้นะโม! กูว่ามึงหายหัวไปนานละนะ ไอ้สัด ไม่โผล่มาแม่งหลายอาทิตย์”
เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอื้อมมาตบหลังเขาแรง ๆ จนนะโมหัวเราะ
“ก็ยุ่งนิดหน่อยว่ะ” นะโมยักไหล่ หลบเลี่ยงตามสไตล์ ไม่ได้เล่าว่าไปทำงานแบกหามอยู่กลางแดด
“ยุ่งห่าอะไรไอ้คุณชาย บ้านมึงเงินล้นยังกับจะซื้อประเทศได้ทั้งประเทศ จะยุ่งอะไรมากมาย” เพื่อนอีกคนแซวพลางยกแก้วขึ้นชน
“เออ ๆ อย่าพูดมาก มึงกินเป็นเพื่อนกูละกัน” นะโมหัวเราะ พลางยกแก้วขึ้นมาชนแรง ๆ เสียงแก้วกระทบกันดังกริ๊ก ก่อนทั้งหมดจะกระดกเหล้าเข้าปากทีเดียว
บทสนทนาไหลไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสัพเพเหระ รถใหม่ที่เพิ่งซื้อ สาว ๆ ที่เพิ่งจีบ หรือแพลนไปเที่ยวต่างประเทศครั้งหน้า บางคนคุยโทรศัพท์ปิดดีลธุรกิจข้ามโต๊ะด้วยซ้ำ
นะโมนั่งฟังไป ยิ้มแหย ๆ ตามน้ำ แต่ลึก ๆ เขาไม่ได้อินกับเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก ดวงตาเขาเผลอมองออกไปนอกกระจก เห็นแสงไฟจากรถที่วิ่งผ่านไปมาในเมือง รู้สึกเหมือนโลกมันใหญ่กว่านี้…ใหญ่กว่าการนั่งเสพสุขอยู่ในร้านเหล้าแพง ๆ
“เฮ้ย ไอ้นะโม มึงเบื่อเหรอวะ หน้าตามึงแม่งไม่ใช่เลยนะคืนนี้” เพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้น
“เปล่า ๆ แค่มึน ๆ ว่ะ” นะโมหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนยกแก้วขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่
แก้วแล้วแก้วเล่า ผ่านไปไม่รู้กี่รอบจนเขาเริ่มรู้สึกหนักหัว ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
“กูขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”
นะโมบอกเพื่อน พลางลุกจากโซฟาหนังนุ่ม เดินเซนิด ๆ ไปทางห้องน้ำ
เสียงเบสหนัก ๆ ดังลอดมาถึงห้องน้ำที่ประตูปิดไม่สนิท นะโมใช้แขนยันอ่างล้างมือเอาไว้ มองหน้าตัวเองในกระจก สภาพผมเผ้าระหกระหว่างที่เริ่มเมาจัดทำให้เขาหัวเราะหึ ๆ ออกมาเบา ๆ
ระหว่างนั้น เสียงครางแผ่วต่ำปนเสียงหัวเราะเมา ๆ ดังลอดมาจากมุมห้องน้ำ ผู้ชายสองคนกำลังนัวกันอย่างไม่แคร์สายตาโลก แต่จังหวะที่อีกคนถอยตัวออกมาแรงไปหน่อย ทำให้ไหล่ไปชนเขาที่กำลังล้างมืออยู่เต็มแรง
“เห้ย! เดินไม่มองทางหรือไงวะ” นะโมหันไปพูดเสียงหงุดหงิด
“มึงก็ยืนขวางเองปะวะ” อีกฝ่ายสวนเสียงกร่าง แต่ยังไม่ทันได้ต่อยกันจริง ๆ หนึ่งในสองคนนั้นก็ทำหน้าหงุดหงิดแล้วเดินโวยวายออกไป ทิ้งอีกคนยืนเซอยู่กับกำแพง หน้าแดงก่ำเพราะเหล้า
คนที่เหลืออยู่เงยหน้ามองนะโม สายตาแม้จะพร่า แต่กลับจริงจังและหนักแน่นอย่างน่าประหลาด
“มึง…จะรับผิดชอบกูยังไง ทำคนของกูหนีไปแล้ว”
นะโมหัวเราะหยัน “รับผิดชอบเหี้ยไร กูไม่เกี่ยวสักหน่อย” ว่าจบก็หันกลับไปล้างมือ เตรียมจะเดินออก แต่ยังไม่ทันพ้นประตู ข้อมือก็ถูกคว้าดึงแรงจนเซกลับไปกระแทกกำแพง
ริมฝีปากของอีกฝ่ายบดลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จูบหนักหน่วงจนฟันกระแทกกัน ปากแตกเลือดซึม ความเจ็บแล่นวาบผสมกับรสเหล้าขม ๆ และกลิ่นบุหรี่ กลับกลายเป็นเชื้อไฟให้อารมณ์พลุ่งพล่าน
“ไอ้สัส…” นะโมสบถ แต่แทนที่จะผลักออก เขากลับกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้กว่าเดิม จูบตอบกลับไปด้วยแรงเท่า ๆ กัน มือหนึ่งกำแน่นที่ต้นคอ อีกมือสอดเข้าบีบสะโพกแน่น ๆ
เสียงหอบหายใจดังสะท้อนในห้องน้ำแคบ ๆ จนคนทั้งคู่แทบไม่เหลือสติ ใครเริ่มใครตามไม่ออกแล้ว ทั้งกัด ทั้งดูด ทั้งข่วนเหมือนจะแข่งกันว่าใครจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บและเสียวได้มากกว่ากัน
เช้าวันต่อมา…
เสียงนาฬิกาปลุกของโทรศัพท์ดังหงุดหงิดอยู่ข้างหมอน พระพายค่อย ๆ ขยับตัว ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อความปวดหนึบจากเอวและสะโพกแล่นขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
“เชี่ย… ปวดฉิบหาย” เขาสบถในใจ เสียงหอบหายใจสั้นถี่ดังลอดออกมาเมื่อพลิกตัวเล็กน้อย
แสงแดดยามเช้าสาดลอดผ้าม่านเข้ามาในห้อง ทำให้เห็นร่องรอยชัดเจน รอยกัด รอยดูด รอยข่วนเต็มไปหมดบนเนื้อขาวสะอาดของเขา มันแดงเป็นจ้ำชัดเจนเหมือนตราประทับที่ไม่มีทางปิดบังได้
สายตาพระพายเลื่อนลงไปที่พื้น ก่อนชะงักทันทีที่เห็นซากถุงยางที่ถูกทิ้งเกลื่อนเกือบสิบอัน…
“สิบรอบ? ในคืนเดียวเนี่ยนะ…” เขาพึมพำในใจ รู้สึกทั้งโมโห ทั้งตกใจ ทั้งหมดเหมือนฝันร้ายปนฝันเปียก
หัวใจพระพายเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นผ้าห่มข้างกายมีการขยับเบา ๆ มีใครอีกคนอยู่ในนั้น
เขากัดริมฝีปาก สูดหายใจลึก ก่อนค่อย ๆ เอื้อมมือไปเปิดผ้าห่มขึ้นดูอย่างหวาดระแวง
ทันทีที่เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผมยุ่งเหยิง พระพายก็ถึงกับหน้าชา หัวสมองมึนตื้อไปหมด
“มึง… ไม่จริงใช่มั้ย” เสียงในใจตะโกนลั่น เมื่อภาพตรงหน้าคือเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อเย็นวานนี้… เด็กไซต์งานคนนั้น
พระพายแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ร่างนั้นนอนหายใจสม่ำเสมอ เหมือนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ยิ่งเห็นใกล้ ๆ ยิ่งชัดเจนว่าใช่แน่นอน
พระพายตัวสั่น รีบกระโจนลงจากเตียงอย่างไม่สนใจความปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย มือสั่นจนแทบกลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ แต่เขาก็พยายามยัดเสื้อผ้าเข้าตัวอย่างลวก ๆ
“ไม่จริง… ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง…” เขาพึมพำซ้ำ ๆ เหมือนมนต์กดหัวใจ บอกตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องจริง มันต้องเป็นเพราะเหล้า มันต้องเป็นเพราะตาฝาด
พระพายคว้าเสื้อคลุม ก้าวถลาลงห้องอย่างลนลาน ประตูถูกกระชากปิดเสียงดัง ก่อนที่เขาจะรีบเดินออกไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย ทิ้งไว้เพียงกลิ่นเหล้าและร่องรอยบ้าคลั่งที่ประทับเต็มห้อง
---------------------------------
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
รักคนอ่าน
คอมเม้นต์พูดคุยกันได้นะฮ้าบบบ
ขอกำลังใจหน่อยนะ
ขอบคุณมากครับ พล็อตสนุกมากครับ อยากสปอยนิดนึง สาเหตุที่พระพายดูตกใจมากตอนที่ตื่นมาแล้วพบว่าคนที่ตัวเองวันไนท์ด้วย คือคนงานก่อสร้างที่ไซต์งานของคีตะ ปกติพระพายเป็นคนถือตัว การที่ไปมีอะไรกับคนที่ตัวเองเพิ่งจะดูถูกดูแคลนไป ถือว่าเป็นเรื่องเสียศักดิ์ศรีมาก ความคิดของพระพายค่อนข้างติดลบ ขี้เหวี่ยง อยากได้อะไรต้องได้ ไม่สนวิธีการ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคีตะ มันต้องยุติลง ด้วยความว่าคีตะไม่ชอบการที่แฟนตัวเองเที่ยวประชดด้วยการไปนอนกับคนอื่น อยากรู้ที่มา ที่ไปของนะโม ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ขอบคุณครับ ตื่นได้แล้วนะโม เข้าไซต์งานสายเอาเด้อ แค่3ตอนพระพายนำไป2ดุ้นแล้ว555555555 Littledevilxx ตอบกลับเมื่อ 2025-8-21 13:54
อยากรู้ที่มา ที่ไปของนะโม ทำไมมาอยู่ตรงนี้ ขอบคุณครับ
เดี๋ยวจัดตอนย้อนให้ครับ จริงๆ นะโมเป็นเด็กบ้านรวยมาก แต่อารมณ์เบื่อๆ เลยมาหาอะไรทำ แล้วก็เลยได้ไปสมัครงานที่ไซต์งานก่อสร้างที่นับหนึ่งทำงานอยู่ ส่วนมานอนกับพระพายได้ยังไง ก็คือทั้งสองเมา หิ้วกันกลับมาแบบไม่สนอะไรแล้ว อารมณ์พาไปล้วนๆ ตื่นมาอีกทีช็อกเลย เพราะก่อนหน้านั้นต่างคนต่างไปเที่ยว ตื่นมาก็ได้กันแล้ว ดอกม่วง ตอบกลับเมื่อ 2025-8-21 14:01
ตื่นได้แล้วนะโม เข้าไซต์งานสายเอาเด้อ แค่3ตอนพระพายนำไป2ดุ้นแล้ว555555555
เมื่อคืนจัดหนักไปหน่อยครับ ระบายหมดก็อก55 โอ มีเพิ่มมาอีกคนละ เข้มข้นเข้มข้น
ขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ จัดหนักจัดเตฺมไปเลยนะครัย ขอบคุณครับ เลิฟเลิฟ วนๆกันไป ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆนะครับ ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]
2