หัวใจดีไซน์ Ep.1 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
บทนำ
กลิ่นกาแฟอาราบิกาชั้นดีที่ชงจากเครื่องอัตโนมัติลอยอบอวลไปทั่วห้องทำงานสีขาวสะอาดตา แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่จนแสบตาเล็กน้อย
คีตะ ในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าลินินสีขาวตัวหลวมขยับตัวเล็กน้อยบนโซฟากำมะหยี่สีเทา ก่อนจะวางปากกาที่เพิ่งใช้สเก็ตช์ภาพลงบนโต๊ะกระจกใส เขาเพิ่งปิดดีลการออกแบบวิลล่าหรูริมทะเลไปได้อย่างสวยงาม
เงินทอง ชื่อเสียง และความสำเร็จในวัยยี่สิบหกปีทำให้คีตะกลายเป็นสถาปนิกดาวรุ่งที่ทุกคนอยากร่วมงานด้วย ชีวิตของเขาดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบบนหน้ากระดาษ แต่ในความเป็นจริงมันกลับว่างเปล่าเหมือนอาคารที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงามแต่ไร้ซึ่งผู้คนอยู่อาศัย
ในขณะเดียวกันนั้นเอง นับหนึ่ง ก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางเสียงอึกทึกของเครื่องจักรและกลิ่นฝุ่นปูนที่อบอวลไปทั่วไซต์งานก่อสร้าง
เขาในวัยเกือบสามสิบปีเต็ม ทำงานอย่างหนักจนเหงื่อชุ่มไปทั่วทั้งเสื้อยืดเก่าๆ ที่ขาดวิ่น ไม่ได้สนใจเรื่องความสำเร็จหรือชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่เงินค่าจ้างที่เต็มจำนวนเพื่อไปใช้หนี้ที่เบิกมาล่วงหน้าให้กับเจ้าของบริษัทรับเหมา ซึ่งมักจะหักเงินค่าจ้างของเขาจนแทบไม่เหลือทุกเดือน เพราะต้องนำไปดูแล ยาย ที่เจ็บป่วยอยู่ที่บ้าน
ชีวิตของนับหนึ่งไม่มีอะไรซับซ้อน เขาแค่ต้องทำงานไปวันๆ เพื่อหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลยายที่เปรียบเสมือนลมหายใจเดียวของเขาในโลกใบนี้ แม้จะเป็นหัวหน้างาน แต่เขาก็ยังคงเป็นแค่เครื่องมือของนายทุนที่ใช้ประโยชน์จากความยากจนของเขาได้อย่างง่ายดาย
วันนี้เป็นวันแรกที่สองโลกที่แตกต่างกันของคีตะและนับหนึ่งกำลังจะมาบรรจบกัน คีตะกำลังขับรถสปอร์ตคันหรูมุ่งหน้าไปยังไซต์งานก่อสร้างที่เขาเป็นผู้ออกแบบ
ในขณะที่นับหนึ่งกำลังเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ท่ามกลางความร้อนระอุ เขาไม่รู้เลยว่าการมาถึงของชายหนุ่มที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารเล่มไหนสักเล่ม จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
…
รถสปอร์ตสีดำเงาวับแล่นเข้ามาจอดในลานดินลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่น คีตะก้าวลงจากรถพร้อมกับแว่นกันแดดทรงสวยที่ยังคงสวมไว้อย่างมีสไตล์ เขาก้มลงหยิบแฟ้มแบบแปลนในกระเป๋า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้า
ไซต์งานก่อสร้างที่เขาออกแบบเองกับมือช่างดูแตกต่างจากในแบบแปลนเหลือเกิน กลิ่นปูนและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว เสียงเครื่องจักรที่ดังอึกทึกทำให้คีตะรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับชายคนหนึ่ง
ชายคนนั้นยืนอยู่กลางวงล้อมของคนงานคนอื่น ๆ ที่กำลังมุงดูเขา เขาสูงโปร่ง ผิวเข้มจากการทำงานกลางแดด เสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงยีนส์ขาด ๆ ทำให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอย่างชัดเจน ใบหน้าคมเข้มมีเหงื่อผุดพราย ท่าทางของเขาดูมั่นคงและเป็นธรรมชาติอย่างที่คีตะไม่เคยเจอมาก่อน
"หัวหน้าครับ มีคนมาหา" ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเรียก นับหนึ่งหันไปมองตามเสียง และสายตาก็ประสานเข้ากับคีตะเข้าอย่างจัง
"สวัสดีครับ" คีตะเอ่ยทักทายเสียงนุ่ม ขณะที่สายตาของเขาลอบสำรวจผู้ชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่รองเท้าบูทเก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นซีเมนต์ ไปจนถึงกล้ามแขนที่แข็งแรงซึ่งโผล่พ้นจากเสื้อยืดสีทึม ๆ ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบในสายตาของเขา นับหนึ่งพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยตอบ เขามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเรียบนิ่ง กะพริบตาช้า ๆ ราวกับกำลังประมวลผลอะไรบางอย่าง
"คุณคือนาย...เอ่อ...หัวหน้าคนงานใช่ไหมครับ" คีตะตั้งใจถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว และจงใจเว้นจังหวะให้ดูเหมือนกำลังนึกชื่อ
"ครับ ผมนับหนึ่ง" นับหนึ่งตอบสั้น ๆ ห้วน ๆ พร้อมกับขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการประจันหน้าโดยตรง "มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณ..." เขารอให้คีตะบอกชื่อ
"คีตะครับ" ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะยื่นแฟ้มในมือไปให้นับหนึ่ง "ผมมาดูความคืบหน้าของงาน แล้วก็อยากคุยเรื่องแบบแปลนเพิ่มเติมครับ"
นับหนึ่งรับแฟ้มมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเปิดดูอย่างคร่าว ๆ "ส่วนไหนครับที่คุณอยากปรับปรุง" น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยและความไม่สนใจอย่างชัดเจน
"ตรงนี้ครับ" คีตะชี้ลงไปที่แบบแปลนแผ่นหนึ่ง "ผมว่าถ้าเราเปลี่ยนวัสดุตรงนี้เป็น..." เขาอธิบายรายละเอียดอย่างยาวเหยียด แต่สายตาของเขากลับไม่ได้อยู่ที่แบบแปลนเลยแม้แต่น้อย สายตาของคีตะจ้องมองอยู่ที่ปลายนิ้วของนับหนึ่งที่กำลังจับกระดาษแผ่นนั้นอย่างไม่วางตา
นับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองคีตะ เขาไม่เคยเจอสถาปนิกคนไหนที่ตั้งใจมาดูงานถึงไซต์ก่อสร้างด้วยตัวเองขนาดนี้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีของชายหนุ่มตรงหน้าก็ดูแปลกไปจากที่เขาเคยเจอ คีตะดูเหมือนลูกคุณหนูที่หลงเข้ามาเดินเล่นในโลกของคนใช้แรงงาน นับหนึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงดูสนใจเขามากนัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ เพราะชีวิตของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องคิดมากกว่านั้นมาก
"ครับ เดี๋ยวผมจะไปดูหน้างานให้อีกที" นับหนึ่งตอบรับสั้น ๆ อย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะทำท่าจะเดินหนีไป
"เดี๋ยวสิครับ!"
คีตะรีบคว้าแขนของนับหนึ่งไว้ สัมผัสจากฝ่ามือที่แตะลงไปบนกล้ามเนื้อที่แข็งแรงใต้เสื้อยืดเก่า ๆ นั้นมันทำให้หัวใจของคีตะเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นับหนึ่งชะงักฝีเท้า หันมามองคีตะด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะจ้องมองมือที่กำลังจับแขนเขาไว้
"มีอะไรอีกครับ" นับหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่พอใจ
คีตะรู้สึกตัวและรีบปล่อยมือออกอย่างรัดกุม เขายิ้มแก้เก้อและปรับท่าทีให้ดูนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ "ขอโทษครับ ผมแค่...อยากจะถามว่าปกติคุณใช้เวลาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนครับ"
นับหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนจะประหลาดใจกับคำถามนั้น "จนกว่างานจะเสร็จครับ แล้วแต่ว่ามีอะไรให้ทำบ้าง"
"งั้นก็ดีเลยครับ" คีตะพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "ผมอาจจะแวะมาดูงานบ่อยหน่อยช่วงนี้ เพราะอยากจะให้งานออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด"
นับหนึ่งพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามองคีตะอีกเลย
คีตะมองตามแผ่นหลังที่แข็งแรงของนับหนึ่งที่กำลังเดินจากไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาสัมผัสที่หัวใจของตัวเองที่ยังคงเต้นรัวไม่หยุด แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับความสำเร็จที่ได้มาอย่างง่ายดาย แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
"อะไรของเขาวะ" นับหนึ่งพึมพำกับตัวเองขณะเดินไปยังกองทรายที่ต้องไปขน เขานึกย้อนไปถึงสายตาที่คีตะใช้มองเขาเมื่อครู่ สายตาแบบนั้นมันไม่เหมือนที่สถาปนิกคนอื่นใช้มองคนงานก่อสร้างเลยสักนิด
"มึงเห็นไหมวะไอ้เจ สถาปนิกคนใหม่นี่หล่อชิบหายเลย" เสียงของลูกน้องคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ ทำให้เขาต้องแอบเงี่ยหูฟัง
"เห็นดิไอ้เอ็ม หน้าอย่างกับดาราเกาหลี" อีกคนตอบ "แต่กูก็ว่างั้นแหละ...หน้าตาดีขนาดนี้สงสัยมีแฟนแล้วมั้ง"
"ก็ผัวเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอวะ" ไอ้เอ็มสวนกลับเสียงเบาลง "เห็นเขาเคยมากับผู้ชายอีกคนนึง หล่อไม่แพ้กันเลย"
"เออจริงดิวะ! ผู้ชายกับผู้ชายมันเอา...กันยังไงวะ" เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับคำพูดหยาบคายที่ตามมา
นับหนึ่งได้ยินบทสนทนานั้นอย่างชัดเจน หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ความรู้สึกสยองและขยะแขยงผุดขึ้นมาในอกทันที เขาได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง แต่ไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน เขาจินตนาการภาพตามที่ลูกน้องพูดไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องที่ขัดต่อความรู้สึกของเขาไปเสียหมด การที่ผู้ชายสองคนจะมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันมันเป็นเรื่องที่น่าขนลุกจนเขาต้องรีบเดินหนีไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด
สองวันถัดมา คีตะกลับมาที่ไซต์งานอีกครั้ง เขาไม่ได้ส่งสัญญาณบอกล่วงหน้าเหมือนเคย และตั้งใจที่จะไม่สวมแว่นกันแดดราคาแพงเหมือนวันก่อน เพื่อให้ดูเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นรัศมีความ "คุณหนู" ของเขาก็ยังเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจนในหมู่คนงานก่อสร้างที่เต็มไปด้วยเหงื่อและฝุ่นปูน
คีตะเดินเข้าไปหานับหนึ่งที่กำลังตรวจดูโครงเหล็กด้วยความตั้งใจ "สวัสดีครับพี่นับหนึ่ง"
นับหนึ่งหันมามองด้วยความแปลกใจ คำว่า 'พี่' ที่หลุดออกมาจากปากของคนอายุอ่อนกว่าเกือบห้าปีทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ "มาอีกแล้วเหรอครับ" เขาตอบกลับเสียงเรียบ ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
"ครับ" คีตะยิ้มกว้าง "วันนี้ผมอยากลองลงมือดูงานจริงด้วยตัวเองบ้างน่ะครับ จะได้เข้าใจดีไซน์ของตัวเองมากขึ้น"
นับหนึ่งทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร "แล้วจะให้ผมช่วยอะไรล่ะ"
"สอนผมหน่อยสิครับ" คีตะพูดพร้อมกับทำตาเป็นประกาย "สอนผมใช้เครื่องมือพวกนี้หน่อย" เขาชี้ไปที่กองเครื่องมือที่เต็มไปด้วยคราบปูนและน้ำมัน นับหนึ่งมองคีตะตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนที่มีชีวิตอยู่แต่ในห้องแอร์เย็น ๆ อย่างคีตะจะสามารถจับเครื่องมือพวกนี้ได้อย่างไร แต่ก็ยอมสอนไปอย่างเสียไม่ได้
ตลอดทั้งบ่าย คีตะพยายามเรียนรู้การใช้เครื่องมือต่าง ๆ อย่างตั้งใจ เขาไม่ได้เก่งเลยแม้แต่น้อย ทำอะไรก็ดูเงอะงะไปหมด แต่คีตะไม่เคยบ่นสักคำ และทุกครั้งที่เขาทำอะไรพลาด นับหนึ่งจะเดินเข้ามาช่วยและแก้ไขให้เสมอ
"พี่นับหนึ่งครับ! เครื่องนี้มันใช้ยังไงนะครับ ผมฟังไม่ค่อยได้ยินเลย!"
นับหนึ่งส่ายหัวอย่างระอา ก่อนจะถอดถุงมือหนังออกแล้วเดินเข้ามาใกล้คีตะมากขึ้น เขาโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูของคีตะ
"จับแบบนี้...แล้วก็ระวังสะเก็ดมันด้วย"
ลมหายใจอุ่นๆ ของนับหนึ่งที่รดรินอยู่ข้างใบหู ทำให้คีตะรู้สึกขนลุกเล็กน้อย กลิ่นเหงื่อและกลิ่นควันปูนที่ควรจะทำให้เขารู้สึกขยะแขยง กลับกลายเป็นกลิ่นที่ดูเป็นธรรมชาติและน่าดึงดูดอย่างประหลาด คีตะพยักหน้าเข้าใจอย่างตั้งใจ ก่อนจะรับเครื่องมือจากมือของนับหนึ่งมาลองทำด้วยตัวเอง
แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด คีตะทำมันพลาดไปหลายครั้งจนได้รอยเปื้อนสีดำมาประดับเสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมองนับหนึ่งที่กำลังมองดูเขาอย่างนิ่งๆ
"ผมทำได้แย่มากเลยใช่ไหมครับ" คีตะถามยิ้มๆ อย่างไม่ยอมแพ้
นับหนึ่งไม่ได้ตอบ แต่ยื่นมือมาจับที่มือของคีตะ ก่อนจะช่วยจับเครื่องมือให้ถูกวิธี "ต้องใช้แรงแบบนี้...แล้วก็ต้องมั่นคงด้วย"
คีตะพยายามตั้งสมาธิไปที่มือที่จับเครื่องมืออยู่ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกมนตร์สะกดด้วยสัมผัสที่มั่นคงและแข็งแรงของนับหนึ่งที่กำลังประคองมือของเขาไว้
"พี่นับหนึ่งทำงานแบบนี้มานานหรือยังครับ" คีตะเอ่ยถามทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด
"ตั้งแต่เรียนจบ...ก็สิบกว่าปีแล้วมั้ง" นับหนึ่งตอบกลับเสียงเรียบ "ทำไม"
"ผมรู้สึกว่าพี่นับหนึ่งเก่งมากเลยครับ" คีตะพูดอย่างจริงใจ "ผมไม่เคยคิดเลยว่างานแบบนี้มันจะยากขนาดนี้ ผมคิดว่ามันง่ายเหมือนวาดภาพในแบบแปลนเสียอีก"
นับหนึ่งหัวเราะเบาๆ ในลำคอ "งานในกระดาษมันก็ง่ายแบบนั้นแหละ แต่โลกจริงมันไม่ได้มีแค่เส้นดินสอ"
บทสนทนาสั้น ๆ ที่แลกเปลี่ยนกัน ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันมากขึ้น นับหนึ่งเริ่มเห็นว่าคีตะไม่ได้เป็นแค่ลูกคุณหนูที่เอาแต่สั่งงานไปวัน ๆ ส่วนคีตะก็รู้สึกว่าโลกของนับหนึ่งมันมีอะไรที่น่าค้นหามากกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
จนกระทั่งตะวันเริ่มคล้อยต่ำ คีตะก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าที่แทรกซึมไปทั่วทั้งร่างกาย แต่เขากลับรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยรู้เลยว่าการใช้แรงงานอย่างหนักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตชีวาได้ถึงขนาดนี้ ก่อนกลับ คีตะหันไปยิ้มให้นับหนึ่ง "ขอบคุณมากนะครับพี่นับหนึ่ง วันนี้ผมสนุกมากเลย"
นับหนึ่งมองคีตะที่ดูเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยังคงยิ้มกว้าง เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่สายตาของเขาที่มองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คีตะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ตอนแรก เขามีบางอย่างที่น่าสนใจและแตกต่างจากคนที่นับหนึ่งเคยเจอมาทั้งชีวิต
...
หลายวันผ่านไป นับตั้งแต่การมาเยือนครั้งล่าสุดของคีตะ ไซต์งานก่อสร้างก็กลับคืนสู่ความวุ่นวายและร้อนระอุเหมือนเดิม นับหนึ่งยังคงทำงานหนักเหมือนทุกวัน
"นับหนึ่ง! มึงมานี่เดี๋ยวนี้!"
เสียงตะโกนของศักดิ์ชัยเจ้าของบริษัทรับเหมาดังลั่นมาแต่ไกล ชายร่างท้วมที่สวมเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมดูสกปรกเล็กน้อยเพราะเปื้อนฝุ่นปูน กำลังยืนกอดอกรออยู่ด้วยใบหน้าถมึงทึง นับหนึ่งรีบเดินเข้าไปหาทันทีด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจที่ไม่ดี
"มึงเบิกงบอะไรไปมากมายขนาดนี้วะ ไอ้หน้าโง่! มึงรู้ไหมว่ากูขาดทุนเท่าไหร่!" ศักดิ์ชัยโวยวายพร้อมกับปาใบเบิกงบประมาณลงพื้นตรงหน้านับหนึ่ง
"ผมขอโทษครับนาย" นับหนึ่งก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม "แต่ถ้าลดคุณภาพวัสดุมากกว่านี้ โครงสร้างมันจะอันตรายนะครับ"
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังสนั่นไปทั่วบริเวณ คราบเลือดซึมออกมาจากมุมปากของนับหนึ่งอย่างรวดเร็ว ศักดิ์ชัยตบหน้าเขาอย่างแรงพร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก
"มึงเป็นใครถึงมาสอนกู! แค่หัวหน้าคนงานอย่างมึงจะไปรู้อะไร! นี่มันงานกู! เงินกู! ถ้ามึงไม่อยากทำก็ไป! ยังมีคนอีกเป็นร้อยที่พร้อมจะมาทำแทนที่มึง!"
นับหนึ่งยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบ ไม่แม้แต่จะเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เขาก้มหน้าลงอย่างเจ็บปวด ไม่ใช่เพราะความเจ็บที่ใบหน้า แต่เป็นความเจ็บที่หัวใจที่ถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี เขามีทางเลือกอะไร? ชีวิตของเขาถูกบีบด้วยคำว่า 'หนี้' และ 'ยาย' จนไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย
ในขณะที่นับหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นเอง รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คันหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าไซต์งาน ชายหนุ่มที่สวมหมวกกันน็อกสีดำสนิทถอดมันออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ดูคุ้นตาของ...คีตะ
เขาไม่ได้มามือเปล่าเหมือนครั้งก่อน แต่มาพร้อมกับถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยข้าวของ คีตะก้าวลงจากรถพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส แต่รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปทันทีเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่ภาพตรงหน้า ใบหน้าของนับหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยแดงและคราบเลือดที่มุมปาก
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นในพริบตาเดียว แต่ความรู้สึกของคีตะมันกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ความไม่สมบูรณ์แบบของโลกใบนี้ช่างโหดร้ายเสียจริง
ทันทีที่สายตาของศักดิ์ชัยเหลือบไปเห็นคีตะ เขาก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ สีหน้าดุดันที่เมื่อครู่ยังเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ประจบประแจงในทันที
"โอ้...คุณคีตะ! ไม่ได้บอกล่วงหน้าเลยนะครับว่าจะมา" ศักดิ์ชัยรีบเดินเข้าไปหาคีตะด้วยท่าทางนอบน้อมผิดกับเมื่อครู่ "พอดีผมกำลังคุยกับลูกน้องนิดหน่อยน่ะครับ ไม่รู้ว่าคุณมาถึงแล้ว"
คีตะไม่ได้ตอบอะไร สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของนับหนึ่งที่ก้มหน้าลงต่ำ ราวกับจะซ่อนความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ เขาอยากจะเดินเข้าไปปกป้องนับหนึ่ง อยากจะตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ต้องยับยั้งชั่งใจไว้ เพราะเขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ การที่เขาเข้าไปยุ่งตอนนี้อาจจะทำให้นับหนึ่งเดือดร้อนกว่าเดิมก็เป็นได้
"ครับ" คีตะตอบสั้น ๆ น้ำเสียงเรียบเฉยจนศักดิ์ชัยสัมผัสได้ถึงความเย็นชา "ผมเอาของว่างมาฝากคนงานน่ะครับ เห็นว่าทำงานหนักกัน"
ศักดิ์ชัยยิ้มรับทันที "ขอบคุณมากเลยครับคุณคีตะ คุณนี่ใจดีจริง ๆ" เขาหันไปมองนับหนึ่งที่ยังคงยืนนิ่ง "ไอ้นับหนึ่ง! มึงก็ขอบคุณคุณคีตะสิ!"
นับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองคีตะแวบหนึ่ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเจ็บปวด สับสน และขอบคุณ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา
คีตะไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ เขาเพียงแต่ยื่นถุงกระดาษที่ถือมาให้นับหนึ่ง "ผมฝากเอาไปแจกให้คนอื่นด้วยนะครับ" เขาพูดเสียงเบาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน "ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ...บอกผมได้นะครับ"
นับหนึ่งสบตากับคีตะอีกครั้ง ความอ่อนโยนที่ฉายชัดในแววตาของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเงียบ ๆ ก่อนจะรับถุงกระดาษมาถือไว้ในมือ
คีตะไม่ได้กลับออกไปเลย สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่นับหนึ่งที่กำลังทำงานต่ออย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาอยากจะเดินกลับเข้าไปหา อยากจะถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่รอ
เมื่อตะวันลับขอบฟ้า เสียงเครื่องจักรก็ค่อย ๆ เงียบลง คนงานเริ่มทยอยเก็บข้าวของและเดินทางกลับ นับหนึ่งเดินออกมาจากไซต์งานเป็นคนสุดท้าย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินไปตามทางอย่างเงียบ ๆ
คีตะถอดหมวกกันน็อกออกแล้วเดินเข้าไปหานับหนึ่ง "จะกลับบ้านแล้วเหรอครับ"
นับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองคีตะด้วยความประหลาดใจ "คุณยังไม่กลับอีกเหรอ"
"ผมอยากคุยกับพี่นับหนึ่งหน่อยน่ะครับ" คีตะตอบเสียงเบา "ให้ผมไปส่งไหมครับ"
นับหนึ่งส่ายหน้าปฏิเสธทันที "ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไปได้"
"แต่ผมอยากไปส่ง" คีตะยืนกรานด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "หน้าพี่นับหนึ่งยัง...ยังมีรอยอยู่เลยนะ"
นับหนึ่งยกมือขึ้นลูบที่แก้มเบา ๆ เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เขาไม่เคยชินกับการถูกทำร้าย แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นความอ่อนแอของตัวเอง โดยเฉพาะชายหนุ่มตรงหน้า
"ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับคุณคีตะ" นับหนึ่งพยายามปั้นยิ้ม "แค่นี้สบายมาก"
"สำหรับผม...มันไม่โอเคเลยครับ" คีตะพูดพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนับหนึ่ง
นับหนึ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจว่าคีตะกำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของคีตะเลยสักนิด "ก็ได้ครับ" นับหนึ่งยอมรับในที่สุด "แต่...ไม่ต้องไปส่งถึงบ้านก็ได้ครับ แค่ไปส่งที่ป้ายรถเมล์ก็ได้"
คีตะไม่ได้ตอบอะไร แต่เดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองแล้วหยิบหมวกกันน็อกอีกใบออกมา ยื่นให้นับหนึ่ง "ใส่นะครับ"
นับหนึ่งรับหมวกกันน็อกมาอย่างเงียบ ๆ เขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ตามหลังคีตะอย่างช้า ๆ คีตะไม่ถามทาง แต่ขับไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้คนซ้อนท้ายรู้สึกปลอดภัย นับหนึ่งซ้อนท้ายโดยไม่ได้โอบกอดหรือจับอะไรคีตะเลย เขานั่งตัวตรงราวกับหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก
"บ้านพี่นับหนึ่งอยู่ไหนครับ" คีตะถามหลังจากที่ขับรถออกมาได้สักพัก
นับหนึ่งนิ่งไป เขาลังเลว่าจะบอกทางดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของคีตะที่มองผ่านกระจกมองข้าง เขาก็จำใจต้องบอกทางไปบ้าน
"เข้าซอยข้างหน้า แล้วก็ตรงไปสุดซอยเลยครับ"
รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้เก่าๆ และชุมชนแออัด คีตะขับไปอย่างช้าๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ชนกับเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามทาง จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่สุดซอย ตัวบ้านทำจากไม้เก่าๆ แต่ดูสะอาดสะอ้าน มีกระถางต้นไม้เล็กๆ วางเรียงรายอยู่หน้าบ้าน
"ถึงแล้วครับ" นับหนึ่งพูดพร้อมกับค่อยๆ ลงจากรถ
ประตูบ้านเปิดออกช้าๆ และหญิงชราที่มีรูปร่างผอมบางและใบหน้ายับย่นด้วยกาลเวลาก็เดินออกมา นับหนึ่งเห็นแล้วก็รู้สึกใจหาย เขามักจะบอกยายเสมอว่าไม่ต้องออกมารอรับเขา แต่ยายก็ไม่เคยฟัง
"ตาหนึ่ง! กลับมาแล้วเหรอ" ยายเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "ทำไมวันนี้กลับช้าจังล่ะ"
"ก็รถมันติดน่ะครับยาย" นับหนึ่งตอบพร้อมกับหันไปมองคีตะ "นี่...คุณคีตะครับ เป็นสถาปนิกที่บริษัทที่ผมทำงานอยู่ เขามาส่งครับ"
ยายยิ้มกว้างให้คีตะ "โอ๊ย...ขอบใจนะพ่อหนุ่มที่มาส่งตาหนึ่ง แล้วนั่น...หน้าตาเป็นอะไรไปน่ะ" ยายหันไปมองรอยช้ำที่แก้มของนับหนึ่งด้วยสายตาที่เป็นห่วง
"เดินชนขอบประตูน่ะครับยาย ไม่มีอะไรมาก" นับหนึ่งรีบตอบเลี่ยง
ยายพยักหน้ารับอย่างไม่ติดใจอะไร ก่อนจะหันมามองคีตะอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม "พ่อหนุ่มชื่อคีตะเหรอจ๊ะ มาๆ ...กินข้าวกับยายก่อนไหม ยายเพิ่งทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย"
นับหนึ่งรีบหันไปพูดกับยายทันที "ไม่เป็นไรหรอกครับยาย เกรงใจคุณคีตะเขา…"
"กินสิครับ" คีตะตอบกลับอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "ผมดีใจมากเลยครับที่ยายชวน"
นับหนึ่งมองคีตะอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาคิดว่าคนอย่างคีตะที่เติบโตมาในความหรูหราจะไม่ยอมลงมาในโลกแบบเขา แต่คีตะกลับไม่ปฏิเสธเลยสักนิด แถมยังยิ้มกว้างอย่างจริงใจอีกด้วย
"งั้นก็เข้ามาเลยพ่อหนุ่ม" ยายว่าพร้อมกับเปิดประตูบ้านออกกว้าง คีตะเดินตามยายเข้าไปในบ้านหลังเล็กๆ โดยไม่ลังเล ทิ้งให้นับหนึ่งยืนมองตามหลังด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสับสนและความสงสัยว่าคนอย่างคีตะ...เข้ามาในชีวิตของเขาทำไม?
ภายในบ้านหลังเล็กๆ มีโต๊ะไม้เก่าๆ ตั้งอยู่กลางห้อง อาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่างวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมชวนกินไปทั่ว นับหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามคีตะได้แต่รู้สึกเกร็งไปหมด เขาเหลือบมองสีหน้าคีตะเป็นระยะๆ ชายหนุ่มยังคงนั่งยิ้มอยู่ไม่ห่างราวกับว่าอาหารตรงหน้าคืออาหารหรูจากภัตตาคารห้าดาว
"ยายว่าอาหารบ้านๆ คงไม่ถูกปากพ่อหนุ่มแน่เลย" ยายเอ่ยขึ้นพร้อมกับตักปลาทอดให้คีตะ
"อร่อยครับยาย" คีตะตอบทันทีพร้อมรอยยิ้ม "ผมไม่เคยได้กินอาหารแบบนี้เลยครับ"
นับหนึ่งหันไปมองคีตะอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดว่าคนตรงหน้าคงคุ้นชินกับอาหารหรู ๆ ในโรงแรมห้าดาว แต่ตอนนี้กลับกินแกงส้มฝีมือยายอย่างเอร็ดอร่อยอย่างไม่ถือตัว ยายเองก็ดูจะถูกใจคีตะไม่น้อย
"พ่อหนุ่มนี่เป็นคนดีจริงๆ" ยายพูดขึ้น "ยายเลี้ยงตาหนึ่งมาตั้งแต่เล็กๆ เลยนะ"
"ยาย! ไม่ต้องเล่าหรอกครับ" นับหนึ่งรีบปรามเสียงเข้ม
"ทำไมจะเล่าไม่ได้ล่ะ ก็พ่อหนุ่มมาถึงบ้านเราแล้ว" ยายพูดต่ออย่างไม่สนใจ "ตั้งแต่พ่อแม่เขาเสียไป ตาหนึ่งก็เป็นคนดูแลยายมาตลอดเลยนะ"
"ยาย!" นับหนึ่งหน้าแดงก่ำ เขารีบก้มหน้าก้มตานับเม็ดข้าวในจานอย่างไม่สนใจใคร
"เขาเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เล็กเลยนะพ่อหนุ่ม" ยายยังคงเล่าต่อ "ตาหนึ่งไม่เคยขออะไรเลย เขาเป็นคนที่ต้องดูแลยายมาตั้งแต่เด็กๆ"
คีตะได้ยินดังนั้นก็หุบยิ้มไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนได้เห็นอีกด้านหนึ่งของนับหนึ่ง ด้านที่ไม่ได้แข็งกระด้างอย่างที่เขาเห็นในไซต์งาน แต่เป็นด้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน เขาจินตนาการภาพนับหนึ่งในวัยเด็กที่คอยดูแลยาย และก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้...สมบูรณ์แบบในแบบของเขาเองแล้ว
ในขณะที่ยายเล่าเรื่องของนับหนึ่งไม่หยุด คีตะก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข ส่วนนับหนึ่งก็ได้แต่ถอนหายใจและกินข้าวในจานต่อไปอย่างเงียบๆ
เมื่อถึงเวลาที่คีตะจะต้องกลับ นับหนึ่งก็อาสาเดินมาส่งที่หน้าบ้าน เขายืนมองคีตะที่กำลังสวมหมวกกันน็อกด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในใจ
"ขอบคุณมากนะครับพี่" คีตะเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง "กับข้าวฝีมือยายอร่อยมากเลยครับ"
นับหนึ่งพยักหน้ารับอย่างเขินๆ "ชอบก็ดีแล้วครับ"
"ไว้วันไหนผมว่างๆ ผมจะแวะมาฝากท้องอีกนะครับ" คีตะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สดใส นับหนึ่งได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป เขากำลังจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาที่จริงใจของคีตะ เขาก็ทำได้เพียงแค่เงียบ
"ผมไปก่อนนะครับ" คีตะเอ่ยลาพร้อมกับติดเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ "แล้วเจอกันที่ไซต์งานนะครับ"
คีตะขับรถออกไปแล้ว แต่นับหนึ่งยังคงยืนอยู่ที่หน้าบ้าน เขามองตามหลังของชายหนุ่มที่ค่อยๆ หายลับไปกับความมืดมิดในซอยเล็กๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
...
เสียงเครื่องยนต์ของบิ๊กไบค์ดังกระหึ่มเข้ามาในโรงจอดรถขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ใจกลางเมือง ก่อนจะค่อย ๆ เงียบลงเมื่อคีตะดับเครื่องยนต์ เขาถอดหมวกกันน็อกออกแล้วเดินลงจากรถ ร่างสูงโปร่งเดินผ่านรถสปอร์ตและรถยุโรปราคาแพงที่จอดเรียงรายอยู่ราวกับเป็นแค่ของตกแต่งบ้าน
"คุณชาย วันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ" ป้าดาแม่บ้านวัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นเมื่อคีตะเดินเข้ามาในตัวบ้านที่เงียบสงบ
"ไม่เป็นไรครับป้าดา ผมทานมาจากข้างนอกแล้ว" คีตะตอบด้วยรอยยิ้มที่สดใสอย่างที่ป้าดาไม่เคยเห็นมาก่อนในหลายปีนี้
ป้าดาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วคุณชายของเธอไม่ค่อยออกไปทานข้าวข้างนอก เว้นแต่มีนัดสำคัญทางธุรกิจ แล้วยิ่งกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใสแบบนี้ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเข้าไปใหญ่ แต่เธอก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงแต่ยิ้มรับและเดินเข้าไปในครัว
คีตะเดินขึ้นบันไดทีละก้าว ร่างสูงสง่าเคลื่อนไปในความเงียบของคฤหาสน์ เขาผลักประตูห้องนอนกว้างเปิดออก เสียงคลิกของลูกบิดดังเบา ๆ ก่อนที่บรรยากาศหรูหราจะโอบล้อมตัวเขาไว้ ห้องกว้างแสนสงบ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่าจนน่าอึดอัด
เขาถอดเสื้อสูทวางบนเก้าอี้ แล้วหยิบสมุดสเก็ตจากชั้นหนังสือมาวางบนโต๊ะริมหน้าต่าง เปิดดินสอหมุนเล็ก ๆ มือเรียวเริ่มขีดเส้นอย่างเคยชิน แต่แทนที่จะออกแบบอาคารหรือเฟอร์นิเจอร์เหมือนทุกครั้ง เส้นแรกที่ปรากฏกลับกลายเป็น โครงหน้าคมเข้มของใครบางคน
“...เฮ้อ” เขาพึมพำกับตัวเอง แต่ปลายดินสอกลับไม่หยุด มันลากเส้นร่างเค้าโครงไหล่กว้าง ลำตัวสูงใหญ่ และแววตาคมที่เหมือนจะจับจ้องทะลุทะลวงเข้ามาในหัวใจ ภาพนั้นชัดเจนเสียจนเขาแทบจะได้กลิ่นแดดและเหงื่อที่ติดกายผู้ชายคนนั้น
ทุกเส้นที่ขีดลงไปทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ นิ้วที่เลอะรอยดินสอสั่นเล็กน้อย แทบจะกดเส้นแรงเกินไปเมื่อวาดกล้ามอกที่เคยเห็นใต้เสื้อยืดสีจาง ๆ สายตาของคีตะไล่ตามร่องกล้ามที่ตัวเองขีดเอาไว้เหมือนกำลังสัมผัสร่างกายจริง
ลมหายใจเริ่มถี่ เสียงกระดาษเสียดสีกับดินสอดังชัดในห้องเงียบ “แม่งเอ๊ย…” เขากัดฟันแน่น วางดินสอทิ้งอย่างหงุดหงิดเพราะเส้นภาพเริ่มเบลอจากความสั่นของมือ แทนที่จะเป็นงานศิลป์ มันกลับกลายเป็นภาพเร้าอารมณ์ที่ดึงเขาลงไปในห้วงความต้องการ
คีตะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ มือเลื่อนไปสัมผัสหน้าขาตัวเอง ความร้อนจากจินตนาการเอ่อท่วมขึ้นมาทันทีในอก เขาเหลือบมองภาพสเก็ตตรงหน้าอีกครั้ง นับหนึ่งที่ยืนเปลือยท่อนบน หยาดเหงื่อไหลตามร่องกล้ามหน้าท้องที่เขาเผลอใส่รายละเอียดเกินจริง ภาพนั้นมันยั่วจนร่างกายเขาแทบคลั่ง
เสียงหอบพร่าเริ่มดังขึ้นในห้องกว้าง ลมหายใจหนัก ๆ ของเขาเป็นเหมือนดนตรีประกอบให้กับความหื่นในใจที่ไม่อาจหยุดได้อีกต่อไป
“แม่ง…เป็นบ้าอะไรของกูวะ แค่คิดถึงก็อยากกระแทกแล้ว…” เสียงพร่าหนักเอื้อนออกมาจากลำคอ ร่างสูงยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะปลดซิปกางเกงออกช้า ๆ เสียงฟันเฟืองโลหะดัง แกร๊ก ก้องสะท้อนในห้องเงียบจนทำให้เขาเสียววาบไปทั้งสันหลัง
คีตะดึงกางเกงลงต่ำ เผยให้มือร้อนจัดของตัวเองเลื่อนไปสัมผัสแก่นกายที่ตึงจนเจ็บ เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ขยับมือแรกช้า ๆ เหมือนต้องการทรมานตัวเองด้วยภาพนับหนึ่งในหัว เสียงเสียดสีเนื้อกายกับฝ่ามือดังแผ่ว ๆ ผสมกับเสียงหอบที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ
“อึ่ก… ฮึ่ก…” เสียงครางต่ำหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งเขานึกถึงมือหยาบกร้านของนับหนึ่งแทนมือตัวเอง ความรู้สึกยิ่งพุ่งทะยาน มันทั้งร้อน ทั้งแน่น จนร่างกายกระตุกไม่เป็นจังหวะ
เขาแทบเห็นภาพตัวเองถูกผลักติดกำแพง เห็นนับหนึ่งโน้มหน้าลงมา เสียงหายใจแรง ๆ นั้นอยู่ใกล้จนแทบกลืนกิน เขาเผลอกัดริมฝีปากแรงจนเจ็บ แต่กลับยิ่งทำให้เลือดสูบฉีด ปลุกไฟในกายให้แรงขึ้นไปอีก
“อึก…อา…นับหนึ่ง…!”
คีตะครางออกมาอย่างสุดกลั้น ร่างสูงกระตุกถี่ ๆ ปลดปล่อยออกมาแรงจนหน้าท้องเปรอะเปื้อน ร่างสูงหอบถี่ สะโพกยังสั่นกระตุกเล็ก ๆ ขณะที่ชื่อของนับหนึ่งยังติดอยู่บนริมฝีปากเขา
เขาทิ้งตัวเอนกับเก้าอี้อย่างหมดแรง แขนยกขึ้นปิดหน้า หัวเราะแผ่ว ๆ อย่างหงุดหงิดปนกระหาย บ้าจริง…แค่นึกถึงก็แทบขาดใจ แล้วถ้าได้สัมผัสของจริง จะขนาดไหนกันวะ…
-------------------------------------
ฝากติดตามต่อหน่อยนะครับ
รักคนอ่าน
สนุกมากครับ เดือดดี เดี๋ยวต้องติดตามดูเรื่องรามเป็นอย่างไร หุ่นคนงานก่อสร้านี้ต้องจัดเต็มให้ดี อาวุธ จัดอย่างใหญ่เลย เวลาเล่นจะได้มันส์ๆ ติดตามๆ ขอบคุณขอรับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ สงสารนับหนึ่งจังเลย ขอบคุณครับ ขอบคุณ ขอบคุณครับ อ่านแค่ตอนแรกก็อยากอ่านต่อครับน่าติดตาม ขอบคุณคนเเต่งนิยายสนุกๆ ให้อ่านครับ ขอบคันครับ ตอนแรกก็เข้มข้นเลยครับ สนุกครับ
ขอบคุณครับ สุดยอดครับ ขอบคุณคับ ต่อๆ {:5_146:} ขอบคุณครับ รอติดตามครับ