เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.17
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา...ผมกินอะไรไม่ค่อยลงเท่าไหร่ อาหารที่เคยชอบกลายเป็นแค่รสจืด ๆ ในปาก อาการคลื่นไส้ยามเช้ายังคงไม่จางหาย พอถึงช่วงสาย ๆ ก็เหมือนจะดีขึ้นหน่อย แต่พอตกบ่าย...ก็เริ่มมึนหัวอีกแล้ว
ผมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบห่อผ้าเล็ก ๆ ที่แรนทีลส่งมาให้ไว้ตั้งแต่เช้า เป็นถุงผ้าเย็บมือที่มีกลิ่นของใบโหระพาปนใบไผ่อ่อน
ข้างในเป็นสมุนไพรคล้ายยาหอม เขาบอกให้พกติดตัวไว้ เผื่อเกิดคลื่นไส้ระหว่างวัน
ผมค่อย ๆ คลี่ห่อผ้าออก สูดกลิ่นหอมเย็นเข้าไปช้า ๆ …มันช่วยได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ทำให้เวียนหัวน้อยลง
“ฝ่าบาท…”
เสียงเรียกทำให้ผมหันไป เฟย์ยืนอยู่ตรงประตู โค้งศีรษะเล็กน้อย “ช่วงบ่าย… พระองค์จะเข้าประชุมสภาหรือไม่เพคะ?”
ผมพยักหน้าช้า ๆ “อืม… ไปก็ดีเหมือนกัน”
เสียงตอบของตัวเองเบากว่าที่ตั้งใจนิดหน่อย ไม่ได้ไปนั่งฟังอะไรพวกนั้นมาหลายวันแล้ว ปล่อยให้ใครบางคนก้าวยืนในสภาอย่างไม่มีใครขวาง ก็เหมือนยื่นดาบให้เขายึดอำนาจได้เต็มมือ
ในหัวผมมีชื่อเดียวที่นึกถึง… ซาร์เอล เจ้านั่นคงกำลังชินกับเก้าอี้ที่อยู่กลางห้องประชุม วางหมาก วางเสียงสนับสนุน เหมือนกำลังแสดงบทบาทใหม่ที่ไม่เคยได้รับเมื่อก่อน
แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อย… คือปกติ ไคเรนจะเป็นคนมาเชิญผมด้วยตัวเองทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเป็นเฟย์ที่มาแจ้งแทน...
…ช่างเถอะ อย่างน้อยผมก็คงต้องไปดูด้วยตาตัวเองเสียที ว่าใครกำลังซ่อนอะไรกันอยู่บ้าง
เมื่อผมก้าวเข้าสู่ห้องประชุมสภา บรรยากาศภายในก็ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด เสียงถกเถียงของสองขั้วอำนาจสะท้อนก้องจนแม้แต่เหล่าขุนนางรุ่นเก๋ายังไม่กล้าเปล่งเสียงแทรก
“พวกท่านบอกว่าห่วงแผ่นดิน แต่กลับเสนอแผนใช้งบฟุ่มเฟือยจนเกินเหตุ! หรือว่านี่คือการใช้สภาเวทบังหน้า เพื่อจะดูดกินงบราชสำนักเข้ากระเป๋าพวกท่านเอง!”
เสียงของไคเรนแทบจะเป็นเสียงคำราม กระแทกไปทั่วทั้งห้อง ดวงตาคมดุดันจ้องหน้าแรนทีลราวจะฟาดฟันกันด้วยคมดาบจริง ๆ
แรนทีลยืนตรงข้าม สีหน้าเย็นชาแต่เปลวโทสะในแววตากลับแทบจะเผาได้ “อย่าเอาปากสกปรกของท่านมาดูหมิ่นสภาเวท! ข้าเสนอเพื่ออนาคต ไม่ใช่เพื่อตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างที่พวกท่านทำกันอยู่!”
เสียงขุนนางบางคนอุทานเบา ๆ ไคเรนแค่นหัวเราะเย็น “อนาคตงั้นหรือ? หรือแค่ต้องการสร้างฐานอำนาจของตนเองให้ยิ่งใหญ่ขึ้น จนคิดว่าไม่มีใครแตะต้องได้!?”
แรนทีลขยับเท้าเข้ามาใกล้ สองคนประจันหน้าแทบจะชิดจมูก “แล้วท่านล่ะ?! หุบปากเรื่องศักดิ์ศรีเสียบ้างเถอะไคเรน! คนอย่างท่านน่ะหรือที่สมควรพูดถึงความสมดุลของบ้านเมือง ข้าล่ะไม่เห็นด้วยตาเลยว่า ท่านทำเพื่อบ้านเมืองจริงหรือเปล่า!”
เสียง “ปัง!” ดังขึ้นเมื่อไคเรนทุบโต๊ะประชุมจนทุกคนสะดุ้ง “พูดให้มันชัด ๆ แรนทีล! ท่านต้องการกล่าวหาข้างั้นหรือ?!”
“ก็แล้วแต่ว่าท่านจะยอมรับหรือเปล่า!” แรนทีลกัดฟันตอบ สายตาทิ่มแทงกลับไปแบบไม่กลัวตาย
ทั้งสองยังคงประชันคารมและจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมถอย ในห้องเต็มไปด้วยสายตาหลากอารมณ์ บ้างก็ดูอึดอัด บ้างก็เหลือบมองเหมือนจะเลือกข้าง บางคนถึงกับก้มหน้าหลบ สงบเสงี่ยมราวกับกลัวไฟจะลามมาถึงตัว
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความอึดอัด ‘โอ้โห… มาถึงก็เจอแจ็กพอตเลยสินะ’
ทันทีที่ผมก้าวเข้ามา เสียงโต้เถียงทั้งหมดก็เงียบกริบทันที ทุกสายตาหันมาที่ผม ราวกับเพิ่งนึกได้ว่ามีใครที่พวกเขาควรให้ความเคารพ ไคเรนกับแรนทีลก็ชะงัก แววตาของทั้งคู่ฉายความตกใจเล็กน้อย เหมือนไม่คาดคิดว่าผมจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง
ผมก้าวไปยังที่นั่งของรัชทายาทอย่างสงบ นั่งลงโดยไม่พูดอะไร แววตายังจับจ้องพวกเขาที่ยืนห่างกันเพียงคืบ ท่ามกลางบรรยากาศมาคุจนได้ยินเสียงลมหายใจชัดขึ้น
แต่ต่อหน้าสภาที่เต็มไปด้วยขุนนางผู้หิวอำนาจ… ผมทำได้แค่กดฝ่ามือลงบนพนักเก้าอี้ พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด ดวงตาที่ฉายแววผิดหวังอาจจะหลุดรอดไปบ้าง แต่ผมไม่มีสิทธิ์ลุกขึ้นตะโกนห้ามหรือปัดมือทุบโต๊ะสวนกลับ ถ้าผมแสดงความอ่อนแอออกมา จะยิ่งเข้าทางพวกที่รอเหยียบซ้ำ
‘นี่สินะ เหตุผลที่ไคเรนไม่ยอมมาเชิญผมเอง… ไม่อยากให้ผมเห็นพวกเขาทะเลาะกันต่อหน้าแบบนี้…’
อาการคลื่นไส้ตีขึ้นมาเหมือนจะจุกคอ ความมึนงงแผ่ขึ้นสมอง ผมกัดริมฝีปาก บีบห่อผ้าสมุนไพรในมือแน่นจนรู้สึกได้ถึงกลิ่นยาแผ่ว ๆ
‘ไม่นะ… ตอนนี้ไม่ได้…’
ความผิดหวังมันกัดกินลึกกว่าที่คิดไว้ พวกเขา… คนที่ควรจะเป็นเสาหลักให้ผม กลับยืนประจันหน้ากันราวศัตรู ไม่ต่างอะไรกับตอกย้ำว่าทุกสิ่งที่ผมคาดหวังไว้ มันเปราะบางแค่ไหน
“ดูท่า คนของท่านจะมีปัญหากันเองแล้วนะ ฝ่าบาท…” น้ำเสียงเรียบแต่เย้ยหยันของซาร์เอล ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนแผลที่ยังสด “แบบนี้… ท่านก็คงไม่ต่างอะไรกับอยู่ตัวคนเดียว”
คำพูดนั้นกรีดลึกลงในใจจนชาไปทั้งอก ผมกัดฟันแน่น พยายามไม่หันไปมองเขา แต่ก็รู้ดีว่าซาร์เอลกำลังยิ้มมุมปากกับความอ่อนแอของผมอยู่ตอนนี้
‘อยู่ตัวคนเดียว… งั้นเหรอ… บางทีอาจจะจริง…’
ผมกำหมัดแน่นใต้โต๊ะ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้น แต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวกลับถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
เสียงโต้เถียงยังดังสะท้อนในอกผมจนแทบชา เหล่าขุนนางได้แต่นั่งนิ่ง มีแค่เสียงซุบซิบแว่วมาเป็นระยะ… แววตาพวกเขาชัดเจนดี ว่าพวกเขาไม่เห็นผมเป็นอะไรไปมากกว่าเด็กที่ห้ามคนของตัวเองก็ยังทำไม่ได้
และทันทีที่เห็นรอยร้าวนั้นชัดเจนพอ ซาร์เอลก็ไม่รอช้า หยิบเรื่องที่เขาจับตาไว้แต่แรกขึ้นมาโจมตีทันที
“ว่าแต่… ท่านทั้งสองได้พิจารณาข้อเสนอของข้าหรือยัง?”
น้ำเสียงเขาเหมือนถามด้วยความสุภาพ แต่ทุกคนในห้องต่างรู้ดีว่ามันคือเชือกเส้นสุดท้ายที่จะบีบคนของผมให้ออกจากเมือง
คิ้วผมกระตุกเล็กน้อย ‘ข้อเสนออะไรกัน…? ข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย…’
ก่อนจะได้ถาม ไคเรนก็พูดแทรกขึ้นโดยไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย “ข้ายินดี ข้าจะเป็นผู้แทนไปดูแลเส้นทางเศรษฐกิจตามข้อเสนอขององค์ชายซาร์เอล ข้าจะไปเอง”
ประโยคสั้น ๆ แต่เหมือนแรงกระแทกที่อัดเข้ามาเต็มอก ผมหันไปหาไคเรนทันที ดวงตาแทบจะถามออกมาดัง ๆ ว่า ‘นี่ท่านกำลังคิดจะไปจากข้าจริง ๆ เหรอ?’
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแววตามืดหม่นที่หลบเลี่ยง สบตาผมเพียงเสี้ยววินาที แล้วเบนกลับไปมองโต๊ะประชุมด้วยใบหน้าที่ไม่มีร่องรอยอ่อนโยนแบบที่เคยมี
ยังไม่ทันให้หัวใจได้ตั้งหลัก แรนทีลก็ก้าวเข้ามาย้ำมีดอีกเล่ม “ข้าเองก็อยากไปดูด้วยตา เรื่องพลังงานเวทที่ค้นพบใหม่นั่น อย่างน้อยก็คงดีกว่ามานั่งถกเถียงเรื่องเดิม ๆ ในสภา”
“เดี๋ยว…” ผมกลั้นใจเปล่งเสียงออกมา มือกำชายเสื้อแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
“พวกท่าน…”
แต่เสียงผมเบาเกินไป ท่ามกลางเสียงลมหายใจของผู้คนในห้องที่เหมือนกับกำลังเฝ้าดู ‘ละครฉากใหญ่’ ของราชสำนัก
ขุนนางบางคนหันมองผมด้วยสายตาเวทนาบางคนก็แสยะยิ้มเหมือนมองหมากในเกมที่กำลังจะพ่าย
“แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันอีกในสภา” ซาร์เอลว่าต่อเสียงเรียบ ราวกับผู้ชนะที่ไม่ต้องลงมือเองสักนิด “ฝ่าบาทก็คงจะ… วางใจขึ้นใช่หรือไม่?”
ผมอยากจะตะโกน อยากจะรั้งพวกเขาเอาไว้ตรงนี้
แต่ริมฝีปากกลับขยับไม่ออก คำพูดทุกอย่างจุกอยู่แถวลำคอเหมือนถูกบีบแน่น
ความเงียบของผม คือสิ่งเดียวที่ตอบซาร์เอลได้ในตอนนี้
และเมื่อเงยหน้ามองคนสองคนที่ควรจะเป็นเสาหลักของผม
ตอนนี้กลับหันหลังให้กันเอง แล้วก็หันหลังให้ผมด้วย
...
นับตั้งแต่วันที่ซาร์เอลได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทลำดับที่สองอย่างเป็นทางการ บรรยากาศภายในวังก็แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความกระปรี้กระเปร่าและเสียงหัวเราะที่เคยมีรอบกายเซย์เรนค่อยๆ ลดเลือนลง ราวกับมีเงามืดคืบคลานเข้ามาปกคลุม ซาร์เอลไม่เคยโจมตีเซย์เรนตรงๆ แต่เขากลับใช้กลยุทธ์ที่แนบเนียนยิ่งกว่า นั่นคือการ แยกเซย์เรนออกจากเหล่าสวามี ผู้เป็นทั้งคนรักและกำลังสำคัญ
เขาเริ่มต้นด้วยการเสนอโครงการเร่งด่วนที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อแคว้น แต่กลับต้องใช้ความสามารถของสวามีแต่ละคนอย่างเต็มที่ และที่สำคัญ...ต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่ นอกเมือง หรือในพื้นที่ที่ห่างไกลจากวังหลวง
ค่ำคืนที่ลมเย็นพัดพาเสียงอึกทึกของผู้คนลอดออกจากตรอกเล็กริมถนนสายเก่า ใต้แสงไฟสลัวของร้านเหล้าคับแคบ อวลกลิ่นควันบุหรี่และเหล้าข้าวราคาถูก มีชายสองคนสวมฮู้ดคลุมหัวต่ำ นั่งประจันหน้ากันในมุมอับที่ไม่มีใครชายตามอง
ไคเรนยกแก้วกระดก เหล้าขมไหลผ่านลำคอ ดวงตาเขาลอบมองแรนทีลที่นั่งฝั่งตรงข้าม สายตาคุกรุ่นไปด้วยความคิดหนักหน่วง
“ไม่คิดเลยนะ ว่าสุดท้ายจะต้องมานั่งดื่มกันในสภาพแบบนี้…” ไคเรนเอ่ยเสียงแผ่ว ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะไม้เก่า เสียงกระทบกันเบา ๆ แต่คมเหมือนใบมีดในความเงียบ
แรนทีลหัวเราะเบา ๆ มุมปากยกขึ้นอย่างเย็นชา ดวงตาภายใต้เงาฮู้ดส่องแสงสะท้อนจากตะเกียง “มีอะไรที่เราไม่คิดว่าจะต้องทำอีกเยอะ… ตั้งแต่ไอ้คนบ้าอำนาจนั่นได้ตำแหน่งรัชทายาทลำดับสอง ทุกอย่างก็ยิ่งสกปรกขึ้นทุกวัน”
“เรื่องวันนี้ในสภา…” ไคเรนโน้มตัวเข้าใกล้ ลดเสียงจนได้ยินกันเพียงสองคน “ข้ารู้ว่ามันผิดแผนไปหน่อย”
เสียงหัวเราะแห้งหลุดลอดลำคอ เหมือนรสขมที่ยังค้างอยู่ปลายลิ้น “ฝ่าบาทไม่ควรต้องเห็นพวกเราทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่น… ร่างกายก็ยังอ่อนแรงอยู่แท้ ๆ ถ้าจะให้จิตใจแตกสลายซ้ำอีก…”
แรนทีลนิ่งไปชั่วอึดใจ ปลายนิ้วเคาะขอบแก้วเป็นจังหวะช้า ๆ เสียงไม้กระทบดังแผ่วแต่กดดันเสียจนบรรยากาศรอบตัวหนักอึ้งกว่าเดิม “ใช่… ข้าเองก็ไม่อยากให้ฝ่าบาทต้องมารับรู้ภาพแบบนั้น แต่ปัญหาคือ... มีใครบางคนกำลังแอบเล่นอะไรลับหลังเราอยู่”
“หรือไม่ก็คนที่อยู่ใกล้ฝ่าบาทที่สุด…” ไคเรนเอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาคมราวกับจะเฉือนความเงียบให้ขาด “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก คนข้างกายฝ่าบาท…อาจมีสักคนที่ไม่เคยอยู่ข้างเดียวกับเราเลยก็ได้”
คำพูดนั้นทำให้แรนทีลชะงัก มือที่เคาะแก้วหยุดนิ่ง ดวงตาภายใต้เงาฮู้ดเหลือบมองเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างอ่านใจ
“ท่านหมายถึง…” เขาเว้นคำ ขมวดคิ้วแน่นราวกับกำลังกลืนความระแวงเข้าไปในลำคอ
“อย่าเพิ่งเอ่ยชื่อ” ไคเรนตัดบทเสียงขรึม “ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐาน อย่าเพิ่งทำให้ฝ่าบาทระแวงใครไปมากกว่านี้”
เสียงครืดของเก้าอี้ไม้เสียดสีกับพื้นกระดานเก่า ๆ ดังขึ้นเมื่อไคเรนขยับตัวเล็กน้อย เขาเทเหล้าลงแก้วอีกครั้ง เสียงน้ำขลุกขลิกแทบกลืนหายไปกับเสียงหัวเราะของนักดื่มโต๊ะอื่นที่ไม่รับรู้ความลับในมุมมืดนี้เลย
“นอกจากเรื่องคนใกล้ตัว…” ไคเรนพึมพำ ดวงตาคมทอดมองเหล้าที่สะท้อนแสงไฟ “แล้วเรื่องที่ต้องออกนอกเมืองล่ะ? ข้ารู้ว่าท่านเองก็ไม่อยากปล่อยฝ่าบาทไว้ลำพัง…”
แรนทีลวางศอกพาดขอบโต๊ะ คางเกยลงบนหลังมือ ใต้เงาฮู้ด ดวงตายังคงนิ่งแต่ฉายแววแหลมคมขึ้น “ถามว่าข้าเต็มใจหรือไม่ ย่อมไม่ใช่… แต่กับดักนี้มันปูทางมานานแล้ว ถ้าเราปฏิเสธ ก็เท่ากับเปิดช่องให้พวกในสภาแยกเสียงสนับสนุนออกไปทีละคน”
“แต่ถ้าไปตามข้อเสนอ…” ไคเรนกระแทกแก้วลงเบา ๆ เสียงลอดไรฟันต่ำ “…พวกเราจะกระจัดกระจายกันหมด ฝ่าบาทจะอยู่ในวังกับหมาป่าเจ้าเล่ห์แบบนั้น โดยไม่มีใครข้างกาย ท่านก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร”
แรนทีลหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่รอยยิ้มไม่แตะดวงตา “หมายถึง…ฝ่าบาทจะไม่เหลือใครจริง ๆ ไงล่ะ ทั้งที่เราควรยืนข้างกัน กลับต้องแยกไปแดนไกล ทำงานตามแผนบ้า ๆ ของซาร์เอล”
รอบโต๊ะตกสู่ความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจหนักอึ้งของคนสองคนที่รู้ดีว่าทางไหนก็เสี่ยงไม่ต่างกัน
“แล้วจะเอายังไง?” ไคเรนเอ่ยเสียงเบาในเงามืด “จะถอนตัว? หรือจะกดดันกลับ? ถ้าเราดึงใครไว้ได้สักคน อย่างน้อยก็ยังมีคนอยู่ข้างกายฝ่าบาท”
แรนทีลก้มตาลงช้า ๆ ปลายนิ้วเคาะขอบแก้วเบา ๆ อีกครั้งเหมือนใช้เรียงความคิด “…ข้าก็อยากอยู่ข้างกายฝ่าบาท แต่ท่านเองก็รู้ว่าถ้าเราถอยตอนนี้ พวกเสียงในสภาจะฉวยโอกาสยกเรื่องงบ เรื่องศักดิ์ศรี มาบีบให้ฝ่าบาทไร้ที่พึ่งกว่าเดิม”
ไคเรนพ่นลมหายใจแรง ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียว “ข้าเกลียดเกมแบบนี้ชะมัด จะอยู่ก็ไม่ได้ จะไปก็ไม่ได้…”
แรนทีลพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ในดวงตากลับสะท้อนประกายดื้อรั้นที่ไม่คิดจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนใครง่าย ๆ
“เราเลยต้องยอมตามน้ำ ให้ทางนั้นตายใจว่าเรายอมโง่ไปตามแผน แต่ก่อนจะออกไป…เราต้องกันฝ่าบาทให้อยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด”
เสียงไม้กระทบขอบแก้วดังแผ่วเมื่อไคเรนหมุนแก้วเหล้าในมือ ก่อนที่เสียงหัวเราะในร้านจะเลือนรางลงอีกครั้ง
“แล้วเอลเซียนล่ะ?” ไคเรนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน สายตายังคงกดต่ำเหมือนคนที่ยังหาทางออกไม่ได้ “ตอนนี้คงวุ่นวายอยู่กับปัญหาชายแดน ถ้ามีอะไร เขาก็กลับมาไม่ได้ทันทีเหมือนกัน… ถ้าพวกมันลงมือเร็ว เราจะดึงเอลเซียนกลับมายังไง?”
แรนทีลเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาในเงาฮู้ดยกขึ้นมองรอบร้านเหมือนระวังคนแปลกหน้า ก่อนก้มลงตอบเสียงแผ่ว
“เอลเซียนคงยังต้องอยู่ควบคุมสถานการณ์ที่ชายแดนไปก่อน ถ้ากลับมาพร้อมกัน มันจะยิ่งเผยไพ่ในมือเราให้ซาร์เอลเห็นชัด เราถึงต้องแยกกันไปคนละทาง”
“อย่างน้อยก็ยังมีเฟลด์” ไคเรนเสริมขึ้นมาเอง ดวงตาเรียบนิ่งแต่เจือรอยเชื่อใจ “เขาอยู่ข้างกายฝ่าบาทแทบจะตลอดเวลา ถ้ามีอะไรผิดปกติ เขาจะส่งสัญญาณให้เราได้ทัน”
“เขาทำได้แน่นอน” แรนทีลตอบสั้น แต่แฝงแรงหนักแน่น “เฟลด์ไม่ได้ด้อยกว่าใครในหมู่เรา แถมเขารู้ดีว่าฝ่าบาทสำคัญแค่ไหน ถ้ามีใครคิดทรยศ…เขาจะเป็นคนแรกที่ลากคอมันออกมาและให้บทลงโทษที่สาสม”
ไคเรนยกแก้วยิ้มเย็น ความอึมครึมในอกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ถ้าเป็นเฟลด์ ข้าก็วางใจได้…”
“ดี…” แรนทีลยิ้มบางในเงามืด รอยยิ้มคมราวใบมีด “ถ้าใครมันกล้าแตะฝ่าบาท แม้แต่ซาร์เอลเอง ข้าจะฉีกหัวมันออกมาต่อหน้าสภาให้ได้เห็นกันชัด ๆ ว่าใครคือหมาป่าจริง ๆ”
“ระหว่างนี้ ข้าจะเริ่มขุดรากพวกกองกำลังลับของซาร์เอล” ไคเรนเอ่ยเรียบ ๆ เสียงของเขานิ่งเหมือนน้ำที่ไม่กระเพื่อม แต่กลับฟังแล้วรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ก่อตัวใต้ผิวนิ่งนั้น
“ข้าเชื่อว่า...ซาร์เอลไม่เคยลงมือด้วยตัวเอง แต่เส้นสายเบื้องหลังมันซับซ้อนกว่าที่เห็น ข้าจะไล่เก็บข้อมูลทั้งหมด คนที่รับคำสั่งโดยตรง เงินทุนที่หมุนเวียน และผู้ที่เกี่ยวข้อง…ทุกจุดจะต้องเชื่อมกันให้ได้”
แรนทีลฟังโดยไม่แทรก ดวงตาใต้เงาฮู้ดก้มต่ำราวกับกำลังกลั่นความคิดแต่ละชั้นอย่างรอบคอบ ก่อนจะตอบเสียงเบา
"ข้าจะช่วยให้งานของท่านง่ายขึ้นเอง"
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นเหมือนคนที่มีแผนในใจ ก่อนจะหยิบวัตถุชิ้นเล็กออกมา ต่างหูสีเงินประดับอัญมณีสีน้ำทะเลที่สะท้อนประกายแผ่วในแสงไฟ ชิ้นเดียวกับที่เซย์เรนเคยมอบให้ในคืนเข้าหอ
“ของชิ้นนี้…เป็นของสำคัญของข้า ท่านต้องเก็บรักษามันให้ดี” น้ำเสียงแรนทีลราบเรียบแต่แฝงความหมาย “ข้าได้ผนึกพลังเวทไว้ภายใน สำหรับยามจำเป็นจริง ๆ แม้แต่ผู้ที่ไร้เวทก็สามารถใช้ได้ มันจะช่วยให้ท่านปกปิดตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แบบชั่วขณะ หากต้องการปลอมตัว หรือสืบข่าวในที่ลับตา"
เขาหยุดสั้น ๆ สายตาใต้เงาฮู้ดเหลือบมองไคเรน ราวกับจะย้ำว่าทุกอย่างต้องใช้ด้วยสติ
“หากถูกต้อนจนหนีไม่พ้น มันจะเปิดวงเวทเคลื่อนย้ายระยะสั้นให้ได้ในเสี้ยววินาที พาท่านหลุดออกจากสถานการณ์คับขันได้ทันที…แต่จำไว้ ของชิ้นนี้มีขีดจำกัด ห้ามใช้พร่ำเพรื่อเด็ดขาด"
ไคเรนยื่นมือออกมารับต่างหู น้ำหนักของมันแม้จะเบา แต่กลับรู้สึกได้ถึงพลังงานเวทที่นิ่งสงบและแน่นลึก ราวกับแรนทีลฝากชีวิตส่วนหนึ่งไว้ในนั้น
“ขอบใจมาก ข้าจะใช้มันอย่างระมัดระวัง”
...
ผ่านไปหลายวันแล้ว...หลังเหตุการณ์ในสภา ข่าวลือที่ว่าสวามีของผมมีปัญหากันจนถึงขั้นแยกกันไปคนละทางก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง เหล่าคนรับใช้ต่างซุบซิบนินทากันไม่หยุด สายตาที่มองมาก็ราวกับจะบอกว่าผมเป็นรัชทายาทตกอับ ไร้ที่พึ่ง ไม่เหลือใครหนุนหลังเหมือนแต่ก่อน
ตลกดีนะ...ทั้งที่เอาเข้าจริง พวกเขาไม่เคยรักผมอยู่แล้ว ต่อให้จะแตกหักกันเมื่อไหร่ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนัก จะคาดหวังอะไรกับความซื่อตรงในระบบที่ทุกอย่างถูกซื้อขายด้วยผลประโยชน์ล้วน ๆ
ผมนึกถึงเนื้อเพลงเก่า ๆ ที่เคยฟัง ความรักก็เหมือนเครื่องเล่นหวาดเสียว พอขึ้นไปบนจุดสูงสุดก็เหมือนจะมองเห็นโลกทั้งใบ ตื่นเต้น ลืมหายใจอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็มีแต่ดิ่งหัวลงมาจูบพื้นแข็ง ๆ อยู่ดี โชคดีที่คราวนี้อย่างน้อยผมยังมีสติพอจะหัวเราะกับมันได้
บางที เรื่องนี้มันก็ง่ายแค่นั้นจริง ๆ
ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ตรงไหน ระหว่างจะตกลงไปลึกกว่านี้ หรือแค่ยืนรอให้ทุกอย่างพังลงอย่างเงียบ ๆ หรือจะยอมตายไปตามพล็อตเดิม ๆ ที่ใครเขียนทิ้งไว้ให้
…สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนี่นะ
ผมหัวเราะในใจแผ่ว ๆ เห็นภาพเดิมซ้ำ ๆ ว่าไม่ว่าจะพยายามรักษาความสัมพันธ์แค่ไหน สุดท้าย “เซย์เรน” ก็ยังคงตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ดี ต่อให้พยายามเท่าไหร่ ฉากจบก็ยังไม่ต่างไปจากเดิมเลย
ถ้าจะเป็นแบบนี้ ก็หวังว่าจะมีอะไรให้ได้จดจำบ้าง…
ผมขยับนิ้วแตะขอบหน้าต่าง มองผ่านเงากระจกที่สะท้อนภาพตัวเองกลับมา… ใบหน้าแบบนี้ ฐานันดรแบบนี้ แทนที่จะมีคนแย่งกันปกป้อง กลับกลายเป็นว่าใคร ๆ ก็พร้อมจะสลัดทิ้งได้ทุกเมื่อ
ในโลกเดิมผมก็เหมือนตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่แล้ว ทำงานจนดึกดื่น ข้าวแทบไม่ตกถึงท้องก็ยังต้องกัดฟันไปต่อเพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าจะโลกไหน โชคชะตาก็ยังใจร้ายกับผมไม่เปลี่ยน แล้วผมต้องอดทนไปถึงเมื่อไหร่กัน เรื่องเลวร้ายพวกนี้ถึงจะผ่านไปสักที
ไม่รู้ว่าช่วงนี้อ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า ทำไมถึงร้องไห้ง่ายกว่าที่เคย ทั้งที่ปกติผมก็คิดว่าตัวเองเข้มแข็งมาตลอด
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นหลังประตูห้อง ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้นช้า ๆ หนึ่ง สอง ครั้ง
ผมหยุดความคิดฟุ้งซ่านทันที หันขวับไปมอง เงาสูงโปร่งคุ้นตาปรากฏขึ้นเมื่อประตูแง้มออกช้า ๆ
“…อยู่นี่เอง” ไคเรนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกลัวย้ำความเงียบให้แตกละเอียดไปกว่านี้ เขาก้าวเข้ามาโดยไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าผมในห้องที่เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจชัด
“ไคเรน…” ผมเรียกชื่อเขาเบา ๆ รู้สึกได้ว่าคำพูดที่อยากพูดหลายอย่างมันจุกอยู่แค่ตรงคอ
เขาไม่ตอบทันที ดวงตาคมคู่นั้นแค่จ้องมองลงมาเหมือนจะมองให้ทะลุทุกอย่าง มือข้างหนึ่งยื่นมาลูบข้างแก้มผมแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นแต่มั่นคงจนทำให้รู้สึกเหมือนได้ยึดเหนี่ยวอะไรสักอย่าง
“ท่านร้องไห้หรือ” ไคเรนถามเสียงต่ำ เห็นตาผมยังแดงบวมไม่หาย เขาไม่รอฟังคำตอบ แต่รั้งตัวผมเข้าไปชิดอกอย่างแผ่วเบา แขนอีกข้างโอบประคองแผ่นหลังผมราวกับกลัวว่าผมจะพังลงต่อหน้าต่อตา
กลิ่นประจำตัวของเขาโอบล้อมผมเอาไว้ทันที ทำให้หัวใจที่ตื้อเหมือนถูกบีบรัดอยู่เมื่อครู่ค่อย ๆ คลายออก
“อย่าร้องเลยนะ…” เสียงของเขาดังข้างหู นุ่มแต่หนักแน่นพอให้หัวใจสั่น “ข้ารู้ว่ามันยากสำหรับท่าน แต่เชื่อใจข้าเถอะนะ…”
“ฮึก…” แล้วผมก็พังทลายอีกครั้ง ผมซุกหน้าลงกับอกเขา ปล่อยเสียงสะอื้นแตกพร่าราวกับว่ามันคือทางเดียวที่พอจะให้หัวใจได้หายใจอีกครั้ง
มือไคเรนลูบแผ่นหลังผมช้า ๆ เป็นจังหวะเหมือนจะกล่อมให้ผมสงบลง เขาก้มลงกดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมเบา ๆ
ผมยังซุกหน้าอยู่ในอกเขา สัมผัสความอบอุ่นจากร่างสูงที่โอบกอดแน่นไว้ไม่ยอมปล่อย มือไคเรนลูบแผ่นหลังผมเบา ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนกำลังรอให้เสียงสะอื้นของผมค่อย ๆ จางหายไปเอง
แต่เสียงในใจกลับยังคงสับสน ไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้รู้สึกอ่อนไหวขนาดนี้ หรือบางที…ก็แค่อยากให้มีใครสักคนคอยกอดปลอบ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร อยู่แบบนั้น
ผมเอ่ยออกไปเบา ๆ เสียงยังอู้อี้ในอกเขา
“…ไม่ไป…ได้มั้ย”
เสียงของผมแผ่วราวกับสายลม ไคเรนชะงักมือที่ลูบหลัง ดวงตาคมใต้เงาผมมองผมแน่วนิ่งเหมือนอยากฟังให้ชัด
“หมายถึง…ไม่ให้ข้าไปไหน?”
ผมกะพริบตาถี่ ๆ ความร้อนขอบตากำลังเอ่อล้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกไปจนได้
“…ข้าไม่อยากให้ท่านไปตามคำสั่งของซาร์เอลเลย”
เสียงผมแผ่วลงเรื่อย ๆ เหมือนคนสารภาพความเห็นแก่ตัวออกไปจนหมด
“ข้าแค่อยากให้ท่านอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างข้า…ได้มั้ย…”
มือเขาที่วางอยู่บนแผ่นหลังเลื่อนมาจับท้ายทอยผม กดให้หน้าผมแนบอกเขาอีกครั้ง ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนโน้มลงมากระซิบข้างขมับ
“ท่านดื้อเอาแต่ใจจังนะ…รู้ตัวไหม”
ผมไม่ตอบ แต่กำชายเสื้อเขาแน่นขึ้น ทั้งที่เสียงสะอื้นยังสั่นในอก
ไคเรนใช้ปลายนิ้วเกลี่ยกลุ่มผมที่ปรกแก้มผมเบา ๆ ก่อนพูดช้า ๆ คล้ายคำสัญญาที่ไม่ชัดเจน
"ข้าจะรีบกลับมา รอข้านะ..."
“ฮึก…แล้ว…กับแรนทีลล่ะ พวกท่านมีปัญหาอะไรกันแน่…ทำไมถึงเอาแต่เงียบใส่กันแบบนั้น…”
ไคเรนชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาเฉียบคมสบตาผม แล้วกลับพูดเสียงเรียบเหมือนไม่ได้หลบเลี่ยง
“อย่าคิดมากเลย ข้าจะหาทางจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง หยุดร้องไห้เถอะนะ…เจ้าเด็กขี้แย”
เขาก้มลงมาจูบหน้าผากผมแผ่วเบา เหมือนจะปิดท้ายคำสัญญาที่คลุมเครือของเขาด้วยสัมผัสสุดท้าย
“…ฮึก… ไม่ไป… ได้มั้ย…”
ผมยังคงเอ่ยประโยคเดิมอยู่ในอกเขา เสียงสั่นเครือราวกับคนหมดแรงจะฝืน ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจ… ต่อให้ผมดื้อแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนได้เลย
Talk with me.
สงสารเซย์เรน
ทุกคนก็ต่างพยายามทำหน้าที่ของตัวเอง
ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยน้า♥️
สนุกมากครับ ขอขอบคุณ รอคอยตามแผนของพวกสวามีต่อนะครับ เข้มข้นขึ้นทุกทีแล้ว
ขอบคุณครับ ขอบคุณ
หน้า:
[1]