เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.16
ในยามสายที่อากาศสดใส ลมเย็นอ่อน ๆ พัดเอากลิ่นหอมของต้นข้าวในปลายฤดูเก็บเกี่ยวมาแตะจมูก ผมลืมตาขึ้นช้า ๆ แม้ว่าอากาศจะเย็นลงจากฝนที่ตกพรำตลอดคืน แต่ผมกลับรู้สึกถึงไออุ่นรอบกาย
ท่อนแขนที่โอบไว้หลวม ๆ ไม่ได้กดน้ำหนักลงมาเลยสักนิด คล้ายกับเจ้าของแขนจะกึ่งหลับกึ่งตื่น ราวกับกลัวว่าจะเผลอทำให้ผมไม่สบายตัว
ผมยังไม่ขยับในทันที แต่ปล่อยให้ตัวเองซึมซับความอบอุ่นนั้นอีกสักครู่ เฝ้ามองเส้นผมที่ตกลงบนหมอน ผิวเนียนใต้แสงอ่อน และลมหายใจสม่ำเสมอของสวามีทั้งสี่ที่นอนล้อมรอบผมไว้ราวกับผ้าห่มอีกชั้นหนึ่ง
...บางที พวกเขาอาจไม่ได้นอนทั้งคืน คงมัวแต่ผลัดเวรกันเฝ้าผมตลอด แค่คิดถึงตรงนั้น หัวใจก็อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว
ผมค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นจากฟูก จู่ ๆ ความรู้สึกคลื่นไส้ก็แล่นขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเอามือกุมท้อง เงยหน้าหายใจลึก ๆ พยายามกดมันไว้… แล้วย่องออกจากห้อง เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเปิดประตูเรือนไปสู่อากาศเช้าเย็นสดชื่นของชนบท
กลิ่นหญ้าชื้นกับไอดินหลังฝนชัดเจนขึ้นทันทีเมื่อก้าวออกมา เสียงไก่ขันอยู่ไกล ๆ ปนเสียงวัวที่ร้องอื๊อจากคอกด้านหลังเรือน ทุ่งข้าวสีเขียวสลับทองทอดตัวไปไกลสุดตา สายลมยามเช้าพัดยอดรวงไหวเอนเหมือนท้องทะเลขนาดย่อม ฟ้าสีฟ้าหม่นยังมีหมอกจาง ๆ ลอยอยู่
ผมย่อตัวลงตรงถังไม้ วักน้ำล้างหน้าให้สดชื่น แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นจากน้ำเย็น ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ผมทรุดตัวลงข้างถัง หอบหายใจถี่ มือหนึ่งยันไว้ที่ขอบไม้ อีกมือกุมหน้าท้องที่บิดเกร็งจนชา กลืนอะไรไม่ลงแม้แต่น้ำลาย แล้วในที่สุดก็อาเจียนออกมา แม้ไม่มีอะไรให้อาเจียนจริง ๆ มีเพียงเสียงแห้ง ๆ และน้ำตาที่คลอหน่วย
ช่วงนี้มันเป็นบ่อยจนอดคิดไม่ได้ว่าร่างกายกำลังเตือนอะไรบางอย่าง...ผมไม่อยากให้ใครรู้ ไม่อยากให้พวกเขาต้องเป็นห่วง ทั้งที่พวกเขาเองก็น่าจะได้พักบ้าง
...หรือบางที ผมก็แค่เครียดมากเกินไป จนทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนตามไปด้วย
ผมหอบแฮ่ก พิงฝาเรือนด้วยแรงที่เหลือ หน้าร้อนผ่าวจนต้องยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ขมับ
ในหัวผมตอนนี้มีแต่คำถาม ว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงต้องเป็นผม ทำไมต้องได้รับทุกอย่างจากพวกเขา ทั้งที่…ผมไม่เคยขออะไรเลย
ผมไม่ได้ทำอะไรให้สมกับความรักที่ได้รับ
กลับกัน…ผมเอาแต่รับ และรับ และรับทุกอย่างจากพวกเขา
จนบางครั้งก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นภาระที่พวกเขาไม่กล้าปล่อยมือ
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าเบา ๆ จากพื้นดินชื้นก็ดังใกล้เข้ามา ผมรีบลุกขึ้นยืน ทำทีเป็นกำลังล้างหน้าล้างตาต่อ แม้ลมหายใจจะยังหอบเบา ๆ อยู่ก็ตาม
“ท่านตื่นแต่เช้าเลยนะ”
เสียงของไคเรนดังขึ้นข้างหลัง เป็นน้ำเสียงนิ่ง ๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่ฟังดูนุ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย...เหมือนกำลังระวัง
ผมหันไปยิ้มให้ “อากาศดี ข้าเลยอยากออกมาสูดลมสักหน่อยน่ะ”
เขาไม่ตอบในทันที แค่เดินเข้ามาใกล้ แล้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งราวกับจะจับจังหวะลมหายใจของผม จากนั้นจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดให้
“ใบหน้าท่านยังแดงอยู่... ล้างหน้าเย็นไปหรือเปล่า?”
“อาจจะ” ผมหัวเราะเบา ๆ ขณะรับผ้ามาเช็ดหน้าอย่างเนียน ๆ ก่อนรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่... คนอื่นยังไม่ตื่นอีกเหรอ?”
“ข้ามีหน้าที่ดูแลท่านในยามเช้า” เขาตอบเรียบ ๆ แต่สายตากลับทอดมองมาอย่างลึกซึ้ง “แต่พอเห็นว่าท่านออกมาเพียงลำพัง ข้าก็เลยตามมา”
“ท่านพาข้าไปเดินเล่นตรงนั้นหน่อยสิ” ผมพยักพเยิดไปทางแนวต้นไม้ริมทุ่ง ไคเรนไม่พูดอะไร แค่เดินเข้ามายกแขนขึ้นรออย่างรู้ใจ ผมจึงสอดมือเข้าไปในวงแขนนั้น เดินเคียงข้างเขาไปตามทางเดิน
หมอกบางยังคงลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดหญ้า กลิ่นดินชื้นหลังฝนชัดเจนขึ้นเมื่อเราก้าวลงบนพื้นทางเดินที่ยังเปียกนิด ๆ แสงแดดอ่อน ๆ ยามสายค่อย ๆ ไล่ความหนาวเย็นออกจากผิว
“หนาวหรือไม่?” ไคเรนเอ่ยเสียงต่ำ เหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบนัก เพราะทันทีที่ถาม เขาก็เปลี่ยนจากการเดินประคองอยู่ด้านข้างมาเป็นโอบแขนรอบไหล่ผมไว้แน่น
ผมไม่ได้ตอบเช่นกัน แค่เอนหัวพิงไหล่เขาเบา ๆ แล้วหลับตาลงครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก...
“…พวกท่าน...ไม่ได้นอนกันทั้งคืนเลยใช่ไหม” ผมถามเบา ๆ
ไคเรนถอนหายใจช้า ๆ “ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ พวกข้าคุ้นชินกับมันอยู่แล้ว ต้องคอยระวัง...จะให้หลับเต็มตาได้อย่างไรกัน”
“ถ้าไม่มีข้า…พวกท่านก็คงมีชีวิตที่ดีกว่านี้” ผมหยุดเดินเล็กน้อย ยิ้มนิด ๆ อย่างฝืดเฝื่อน แล้วหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างขื่นขม
“บางทีข้าก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วง ที่คอยให้พวกท่านมาปกป้องอยู่เรื่อย…”
เสียงฝีเท้าของไคเรนหยุดลงเช่นกัน เขายืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่เร่งเร้า ไม่ขัดขึ้นในทันที จนกระทั่งเขาเอ่ยเสียงนิ่งต่ำ แต่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“ไม่เลย ฝ่าบาท…”
น้ำเสียงเขานุ่มขึ้น ราวกับเลือกใช้คำด้วยความระมัดระวังที่สุด
“พวกข้าเองก็อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูกเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้แน่คือ...ฝ่าบาทในตอนนี้ คือคนสำคัญสำหรับพวกเรา คือแสงในชีวิตที่เคยมีแต่ความมืด...หากไม่มีท่าน พวกข้าก็คงไร้ซึ่งเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เขาหันมามองผมตรง ๆ แววตาสงบนิ่ง แต่ลึกซึ้ง
“เพราะฉะนั้น...ได้โปรด อย่าคิดว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงเลย”
ผมกลืนน้ำลายลงช้า ๆ หัวใจเหมือนถูกประคองไว้ในมือเขาอย่างเบามือจนน้ำตาแทบซึม
“…นี่ท่านไม่ได้กำลังปลอบใจข้าอยู่ใช่ไหม”
ผมถามเสียงค่อย เหมือนคนกลัวจะได้ยินคำตอบตรงข้ามกับสิ่งที่หวัง
ไคเรนไม่พูด เขาแค่ส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ แล้วเอื้อมมือมาจับมือผมไว้แนบอก
“ไม่ใช่คำปลอบใจ แต่คือความจริงที่อยากให้ท่านรู้…”
เสียงเขานิ่ง แต่นุ่มลึกอย่างที่สุด
“แค่ท่านยังอยู่ ยิ้มให้พวกเรา ไม่หันหลังให้เรา แค่นั้น…ก็เพียงพอแล้ว”
เขากระชับมือแน่นขึ้นอีกนิด “อยู่เป็นแรงใจให้เรานะ ฝ่าบาท”
ผมเงยหน้ามองเขา มองตาเขาที่นิ่งแต่เต็มไปด้วยความจริง
“ที่ผ่านมา...พวกข้าไม่เคยได้รับความรักจากท่านเลย” ไคเรนเอ่ยเสียงเบา แผ่วแต่ชัดเจน “จนบางครั้งก็เผลอคิดไปว่า...คงไม่มีวันได้สัมผัสมันอีกแล้ว”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนกลั้นหายใจ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“แต่ท่านในตอนนี้...ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แววตา คำพูด และความรู้สึกของท่านเปลี่ยนไปจนพวกข้ารับรู้ได้ชัดเจน”
เขาก้มมองผมที่อยู่ในอ้อมแขน ดวงตานิ่งสงบ ทว่าเปี่ยมด้วยความอบอุ่น
“เพราะฉะนั้น...เพื่อท่าน พวกข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้ จะเป็นเสาหลักที่มั่นคง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ ซบอยู่ในอกแกร่งของเขาที่โอบไว้แน่น มืออีกข้างยังคงลูบหลังผมช้า ๆ อย่างปลอบโยน เหมือนกำลังบอกให้ผมอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา
ลมยามเช้าพัดเบา ๆ ทำให้ชายเสื้อปลิวไหว ก่อนจะมีแสงจาง ๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
แรนทีลก้าวออกมาจากวงแหวนเวทอย่างเงียบเชียบ ราวกับรับรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้น เขาไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงเดินเข้ามา แล้วใช้ปลายนิ้วลูบเส้นผมอย่างเบามือเหมือนเคย เป็นการปลอบโยนโดยไม่ต้องพูดคำปลอบใจใด ๆ
ไม่นาน เอลเซียนกับเฟลด์ก็เดินกลับมาจากทางสวน พวกเขามีตะกร้าในมือคนละใบ เต็มไปด้วยผักสด ไข่ไก่ที่เพิ่งเก็บได้ และเนื้อที่คงจะเตรียมไว้สำหรับมื้อเช้า
เอลเซียนมองมาทางผมที่น้ำตายังเปียกแก้ม แล้วเหลือบไปมองไคเรนอย่างรู้ทัน
“ท่านรังแกฝ่าบาทอีกแล้วหรือ?” เขาถามเสียงเรียบ แต่แฝงความเอ็นดูไว้เต็มเปี่ยม
“หากท่านได้กินของอร่อย จะต้องอารมณ์ดีแน่นอน” เฟลด์เอ่ยสั้น ๆ พลางยกตะกร้าในมือขึ้นเล็กน้อย แล้วหันไปพยักหน้าให้พวกเราเดินเข้าครัวกัน
พวกเขาพากันเข้าครัวไม้หลังเล็กอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่ผมนั่งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ครัวที่เคยว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยเสียงจานกระทบกัน เสียงน้ำไหล เสียงมีดสับเบา ๆ และ...เสียงทะเลาะหยอกกันตามประสาผู้ชายหลายคนอยู่รวมกัน
“อย่าหั่นอย่างนั้นสิ มันจะเละหมด” แรนทีลขมวดคิ้วขณะมองเอลเซียนหั่นหัวหอมไม่เท่ากันสักแผ่น
“ข้าไม่ได้หั่นให้ท่านกินนี่นา” เอลเซียนบ่นกลับเสียงอู้อี้ น้ำตาไหลเพราะโดนฤทธิ์หัวหอมเข้าเต็ม ๆ “ถ้าคิดว่าทำดีกว่า ก็หั่นเองเลยสิ”
แรนทีลถอนหายใจเงียบ ๆ แต่สุดท้ายก็ขยับเข้าไปแย่งเขียงไปอย่างไม่พูดมาก
ไคเรนยืนประจำอยู่หน้าเตาไฟ ท่าทางนิ่งขรึมและจริงจังไม่ต่างจากตอนประชุมในสภา พอแรนทีลเข้าไปใกล้เตา เขาก็เอ่ยทันทีโดยไม่หันมามอง
“อย่าขยับหม้อ ข้ากะเวลาไว้แล้ว”
“ก็ข้าแค่...จะเติมเกลือนิดเดียวเอง” แรนทีลพึมพำ แล้วคีบเกลือใส่ด้วยสีหน้ารำคาญเล็กน้อย
เฟลด์ไม่พูดอะไร เขาจัดผักและวัตถุดิบลงตะกร้าใหม่อย่างเป็นระเบียบ ทำความสะอาดของทุกอย่างอย่างเงียบ ๆ มือไม่เคยหยุด ขณะที่หางตายังคอยมองมาทางผมเป็นระยะ โดยไม่ต้องพูดให้รู้ว่าเขาเป็นห่วง
ผมนั่งมองภาพตรงหน้าแล้วเผลอยิ้มออกมาเบา ๆ …หนึ่งคนยืนถือมีดเหมือนจะไปออกรบ อีกคนก้มกวนซุปเหมือนกำลังปรุงยาเวทอันล้ำค่า ขณะที่อีกคนคอยชี้นิ้วควบคุมเหมือนประชุมคณะรัฐมนตรี ส่วนคนสุดท้ายที่เงียบที่สุดในกลุ่มก็กำลังตั้งใจทำหน้าที่ในส่วนของตัวเอง
พวกเขาดูเหมือนทะเลาะกันอยู่ทุกนาที แต่ในทุกการขัดคำนั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยและความเคยชินระหว่างกัน
(ย้อนความเมื่อคืน หลังจากที่เซย์เรนหลับ)
เสียงฟืนในเตาผิงแตกเปรี๊ยะเบา ๆ เป็นจังหวะเดียวที่แทรกเข้ามาในห้องเงียบสงบ ขณะสวามีทั้งสี่ของเซย์เรนนั่งล้อมวงกันอยู่รอบโต๊ะไม้เรียบง่ายที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง
เซย์เรนหลับไปแล้ว
เอลเซียนเทน้ำชาร้อนใส่ถ้วยด้วยมือมั่นคง ก่อนจะวางกาน้ำไว้ข้าง ๆ แรนทีลที่เพิ่งถอดเสื้อคลุมออกจากบ่า พาดไว้กับพนักเก้าอี้แบบไม่เรียบร้อยนัก
เฟลด์เอนตัวพิงพนัก เก็บดาบเล่มสั้นที่พกไว้ประจำลงข้างตัว พลางทอดสายตาไปยังเตาผิงที่ลุกวาวอยู่เงียบ ๆ ส่วนไคเรนกำลังพลิกเอกสารบางอย่างในมือช้า ๆ ด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ
ไม่มีใครพูดในทันที
จนกระทั่งเอลเซียนเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ซาร์เอลเริ่มเข้ามายุ่งกับงานของข้าแล้ว...เขาเปลี่ยนเส้นทางส่งกำลังเสบียงโดยไม่แจ้งให้ข้าทราบล่วงหน้า และออกคำสั่งกับแม่ทัพภาคใต้โดยตรง”
แรนทีลเบ้ปากทันที “เขาคิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิหรืออย่างไร? ข้าก็โดนเหมือนกัน เขาแก้สูตรยาชุดหนึ่งในห้องวิจัยที่ข้าทำไว้ แล้วเซ็นชื่อข้าไปกับรายงานส่งขึ้นราชสภา ทั้งที่ข้ายังไม่ได้ตรวจทาน!”
ไคเรนเงยหน้าขึ้นช้า ๆ วางเอกสารในมือ ก่อนพูดเสียงนิ่งแต่ชัดถ้อย
“เขากำลังวางรากของอำนาจให้ตัวเอง...แบบค่อยเป็นค่อยไปแต่รุกคืบชัดเจน ข้าได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมประชุมสภาใหญ่สัปดาห์หน้า แต่ไม่มีชื่อของฝ่าบาทอยู่ในรายงานวาระ”
“ตั้งใจลบหรือแค่ลืมกันแน่…” เฟลด์พูดเสียงต่ำ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่มือข้างที่กำลังหยิบถ้วยน้ำชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย “คนที่เขาจะมองข้ามได้ไม่มีทางเป็นฝ่าบาทแน่”
ไคเรนพยักหน้าเบา ๆ “และหากปล่อยไว้นานกว่านี้ จุดที่เราควบคุมจะถูกดึงไปทีละจุด…ข้าไม่กลัวเรื่องอำนาจหรอก แต่ข้ากลัวว่าเขาจะหาทางกันฝ่าบาทออกจากเวทีการเมืองโดยสมบูรณ์”
“ข้าคิดว่า...พวกเรากำลังโดนแยกจากเซย์เรนทีละคน”
คำพูดนั้นของเอลเซียนทำให้ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ
แรนทีลเอามือหนุนท้ายทอย แล้วกลอกตาเบา ๆ “เฮ้อ นึกว่าจะมีแต่ข้าคิดไปเอง”
เฟลด์พูดนิ่ง ๆ ไม่เปลืองคำ “ไม่ใช่แค่คิดไปเอง”
“เขาเริ่มจากตำแหน่งในกองทัพก่อน” เอลเซียนเอ่ยเสียงนิ่ง “ตอนนี้ข้าต้องกลับไปประจำการเต็มเวลา...ไม่สามารถอยู่ที่วังหลวงได้บ่อยอย่างเคยและดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ตามแนวชายแดน แม้ข้าจะรู้ดีว่าโดยแท้แล้ว สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่รายงานกล่าวมา แต่หากเป็นคำสั่ง ข้าก็ต้องนำทัพไปด้วยตนเอง”
“ข้าก็ได้รับคำสั่งใหม่จากราชสภา” ไคเรนเสริม “ให้เป็นผู้แทนไปเจรจาเปิดเส้นทางการค้าสายใหม่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องเดินทางเข้าไปสำรวจด้วยตัวเอง พร้อมสร้างความสัมพันธ์กับชนเผ่าในเขตนั้น...ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นภารกิจทรงเกียรติ แต่ข้ารู้ดีว่าจริง ๆ แล้ว มันก็แค่...วิธีกันข้าออกไปจากข้างกายฝ่าบาทเท่านั้นเอง”
“ส่วนข้า...” แรนทีลหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ไม่มีตำแหน่งให้ดึงไปไหนอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้กลับมีคนมายื่นข้อเสนอแปลก ๆ ว่าพบแหล่งพลังงานเวทมนตร์ใหม่ในป่าต้องห้าม ต้องจัดตั้งหน่วยวิจัยเพื่อสำรวจและควบคุมพลังงานที่ว่า...แน่นอนว่าต้องใช้เวลาอยู่นอกวังเป็นเดือน ๆ ฟังดูน่าสนใจใช่ไหมล่ะ แต่แค่เวลา ก็บอกอยู่แล้วว่า...ต้องการให้ข้าออกห่าง”
เฟลด์ไม่ได้พูด แต่เลื่อนสายตาไปทางประตูห้องนอนอย่างแน่นิ่ง
เขารู้ดีว่าคนที่ซาร์เอลต้องการแยกออกมากที่สุด...คือเซย์เรน
“เขาทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจพวกเรา” เอลเซียนพูดต่อเบา ๆ “แต่เพราะเขารู้ว่า...ตราบใดที่พวกเราอยู่เคียงข้างฝ่าบาท ไม่มีใครสามารถควบคุมฝ่าบาทได้จริง ๆ”
“ข้าอยากลากเจ้าหนูนั่นมานั่งฟังพวกเราคุยกันซักชั่วโมง” แรนทีลบ่นงึมงำ “ให้รู้ว่าการอยู่กับฝ่าบาทไม่ใช่เรื่องของอำนาจหรือหน้าที่...แต่เป็นเรื่องของหัวใจ”
“เราไม่สามารถทำอะไรได้ตอนนี้” ไคเรนเอ่ยช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “หากเราขัดคำสั่งหรือแสดงท่าทีต่อต้าน จะยิ่งเป็นช่องให้เขาใช้บีบฝ่าบาทได้ง่ายขึ้น”
เฟลด์หันกลับมาสบตาพวกเขา เสียงพูดของเขายังคงหนักแน่นเหมือนทุกครั้ง “แล้วเราจะทำอย่างไร? ปล่อยให้เขาแยกพวกเราออกไปทีละคนงั้นหรือ?”
เอลเซียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดออกมาเบา ๆ
“ยอมตามน้ำก่อน...อย่างน้อยเรายังสามารถรู้ทิศทางเขา และปรับตัวตามได้ เราไม่รู้ว่าทางนั้นจะเดินหมากอะไรต่อจากนี้บ้าง”
แรนทีลพยักหน้า “ใช่ การอยู่นอกกระดาน...ไม่ได้แปลว่าเราทำอะไรไม่ได้เลย บางที...เราอาจจะมองเกมได้ชัดขึ้นจากภายนอกด้วยซ้ำ”
“เราต้องเล่นเกมนี้อย่างชาญฉลาด” ไคเรนพูด “เอาแบบนี้ เราต้องทำเหมือนว่าเรากำลังมีรอยร้าวจริง ๆ ต้องให้พวกเขาเชื่อว่าเราเริ่มแตกคอกันแล้ว”
เฟลด์ขมวดคิ้วทันที “แต่นั่นจะไม่ทำให้ฝ่าบาทเสียใจหรือ?” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อเสียงเบา “ข้าได้ยินมา...แค่ตอนที่ท่านกับแรนทีลเถียงกันเบา ๆ ฝ่าบาทยังไม่ยอมให้พวกท่านเข้าพบเลย…”
คำพูดนั้นทำให้ห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน ราวกับคำเตือนนั้นปลุกความลังเลในใจที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา
“ข้ารู้” ไคเรนเอ่ยเบา ๆ “แต่ถ้าเราไม่ยอมแสดง พวกนั้นก็จะไม่เชื่อ ถ้าเขาคิดจะทำให้เราผิดใจกัน เราก็แค่เล่นตามเกมเสียหน่อย จะเป็นไรไป”
เอลเซียนถอนหายใจยาว หยิบถ้วยชาขึ้นมากระดกเพียงเล็กน้อย ก่อนวางลงช้า ๆ
“ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังอดห่วงฝ่าบาทไม่ได้อยู่ดี”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยต่อ
“ช่วงนี้ข้าได้รับรายงานจากสาวใช้...ว่าฝ่าบาทเสวยได้น้อยลง ทรงบ่นว่าเวียนหัวบ่อย ๆ ด้วย”
“จะให้หมอหลวงเข้ามาตรวจดูดีหรือไม่?” ไคเรนเอ่ยขึ้นทันที ดวงตานิ่งแต่วูบไหว
“ข้าตรวจให้เองก็ได้” แรนทีลพูดขึ้นบ้าง น้ำเสียงนั้นจริงจัง “ข้าเชี่ยวชาญทั้งสมุนไพรและเวทรักษาอยู่แล้ว”
เอลเซียนส่ายหน้าเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นง่าย ๆ หรอก ต่อให้รู้สึกไม่สบายแค่ไหน ก็ยังฝืน ไม่ยอมปริปาก ข้าคิดว่า...ฝ่าบาทไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วงนั่นแหละ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะร่ายเวทเสริมพลังกาย และใส่ยาบำรุงในอาหารให้ฝ่าบาทเอง”
เฟลด์ที่เงียบอยู่นานก็ขยับตัวลุกขึ้น “ข้าขอตัวไปอยู่กับฝ่าบาทก่อน… เดี๋ยวจะตื่นมาแล้วไม่เจอใคร”
ไคเรนพยักหน้า “อืม ไปเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักพวกข้าจะตามเข้าไป”
เงาสีส้มของเปลวไฟเตาผิงสะท้อนในดวงตาของทุกคน
ไม่มีคำสาบาน ไม่มีเสียงตะโกน
แต่การเงียบของพวกเขา...ชัดเจนพอจะฟังเป็นคำมั่น
ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งเซย์เรน
Talk with me.
เปงเคียด
ฝากเอาใจช่วยทุกคนด้วยนะครับ
สนุกมากครับ เลิฟครับ ขอบคุณครับ โอ้ สถานการณ์เริ่มครุกรุ่นลุ้นเป็นกำลังใจต่อ
สนุกมากเลย ขอบคุณนะครับ
หน้า:
[1]