เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.15
สายตาของผมทอดผ่านบานหน้าต่างไปยังสวนด้านนอก ผีเสื้อปีกบางไล้ระเรื่อสีรุ้งกำลังเริงระบำอยู่เหนือหมู่มวลดอกไม้ที่บานสะพรั่ง มันดูเป็นอิสระ... อย่างที่ผมไม่เคยเป็น
แสงแดดอ่อนๆ สาดลงมากระทบพื้นหญ้า ทุกอย่างดูนิ่งและสวยงามดี จนน่าหงุดหงิด ผมนั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองหล่นหายไปจากภาพตรงหน้า
ช่วงนี้ผมแทบไม่มีเวลาได้หยุดพักเลย เหมือนกำลังวิ่งแข่งอยู่ในสนามที่มองไม่เห็นเส้นชัย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังวิ่งอยู่ตรงไหน มันทำให้ทุกย่างก้าวของผมรู้สึกไร้ทิศทาง ทั้งหมดที่พอทำได้คือ... วิ่งต่อไป
ที่จริงผมควรจะชินกับความรู้สึกพวกนี้ได้แล้ว ไม่ใช่เหรอ? เพราะชีวิตก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ง่ายอะไรอยู่แล้ว และผมก็เรียนรู้ที่จะยิ้มรับมัน แม้มันจะฝืนเพียงใด เพราะในโลกนั้น ผมไม่มีอะไรจะเสีย...
แต่อยู่ที่นี่...ทุกอย่างดูสวยงาม หรูหรา เปล่งประกายเสียจนผมเผลอคิดว่านี่อาจเป็นรางวัลของชีวิตที่เคยลำบาก แต่พออยู่ไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าผมแค่ถูกย้ายมาอยู่ในภาชนะที่ดูดีขึ้น หรูหราขึ้นก็จริง แต่ข้างในก็อึดอัดไม่แพ้กันเลย ต่างกันแค่ครั้งนี้ มีคนชื่นชมความงามของเปลือกนอก
ทั้งที่ความจริง...มันเปราะบางพอจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ถ้าเผลอทำหลุดมือ ชีวิตรัชทายาทนี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะ
ขณะที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นใกล้ตำหนัก
เมื่อผมหันไปมองก็เห็น ไคเรน แรนทีล เอลเซียน และเฟลด์ เดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับนัดแนะกันไว้ พวกเขาใส่เสื้อคลุมสีเข้มตัดกับบุคลิกแต่ละคนแบบพอดิบพอดี ดูดีชนิดที่ถ้าเดินเข้าวังพร้อมกันแบบนี้ทุกวัน อาจมีนางกำนัลสาวแก่แม่ม่ายเป็นลมคาตำหนัก
...และแน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะบอกผมก่อนว่าพวกเขาจะมารวมตัวกันแบบนี้
ผมมองภาพตรงหน้าอยู่นิ่ง ๆ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งแรนทีลเป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาหาผม เขาย่อตัวลงช้า ๆ ก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของผมขึ้นไปแนบริมฝีปากอย่างอ่อนโยน ท่าทางประหนึ่งอัศวินที่ให้สัตย์ต่อราชัน
"ฝ่าบาท... พวกข้ามารับท่าน" เขากล่าวเสียงนุ่ม น้ำเสียงนั้นเจือรอยยิ้มที่ดูแปลกกว่าทุกวัน
"มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?" ผมถามกลับไปอย่างไม่ไว้ใจนัก
"พวกข้าอยากพาท่านออกไปผ่อนคลายนอกเมือง" แรนทีลตอบ ขณะยังคุกเข่าอยู่เช่นนั้น
"...หืม วันนี้พวกท่านเป็นอะไรกันแน่เนี่ย ทำไมถึงตามใจกันแปลก ๆ"
“รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ ข้าจัดรถม้าไว้แล้ว” ไคเรนเอ่ย พลางกวาดตามองผมจากหัวจรดเท้าอย่างสุภาพเกินเหตุ “ท่านสวมอะไรเบา ๆ สบาย ๆ ก็พอ"
"พวกท่านมีเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้ข้ารู้ใช่ไหม..." ผมขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนตัดสินใจถามตรง ๆ ดื้อ ๆ ไปแบบนั้นเลย
เฟลด์ที่เงียบมาตลอดจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เป็นคำสั่งของราชินี พระนางมีรับสั่งให้พวกเราพาท่านออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ”
ผมกระพริบตาปริบ ๆ อึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “อ้อ แบบนี้นี่เอง…”
จะว่าไป ช่วงนี้ผมก็รู้สึกไม่ปกติอยู่เหมือนกัน ทั้งเวียนหัวบ่อย ทั้งง่วงง่ายอย่างกับคนอดนอนมาหลายคืน แถมเบื่ออาหารไปหมด ข้าวในวังก็จืดสนิทราวกับคนครัวหมดใจกับชีวิต กินได้แค่คำสองคำก็รู้สึกเหมือนจะพ่นออกมาเสียให้ได้
…ถ้าไม่ติดว่าเป็นองค์ชายล่ะก็ ผมคงนั่งงับแตงกวาดองแล้วมองท้องฟ้าไปทั้งวันแทนแล้วก็ได้
ภายในตำหนักเงียบสงบมีเพียงเสียงผ้าลื่นไหลจากการพับ จัด ทาบไปบนร่างผมอย่างเบามือ เฟย์ทำงานของเธออย่างคล่องแคล่ว มือนั้นแม่นยำราวกับกำลังจัดแต่งภาพวาดที่เคยคุ้น แม้ชุดที่ผมสวมวันนี้จะเรียบง่าย ไม่มีลวดลายปักทอง ไม่มีสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์หรือชายผ้าที่ยาวเกินจำเป็น แต่กลับดูสง่างามในแบบที่พอเหมาะพอดี สมกับเป็นสายเลือดของตระกูลผู้ดี
"ชุดนี้พอจะผ่านสายตาชาวบ้านได้ไหม" ผมเอ่ยขึ้นเบา ๆ ในขณะที่เขากำลังจัดปกเสื้อให้เข้าทรง
เฟย์เงยหน้ามองผมนิ่ง ๆ แวบหนึ่ง ริมฝีปากแตะรอยยิ้มบาง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ "ต่อให้พระองค์ใส่ถุงป่าน คนก็ดูออกอยู่ดีว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา"
“งั้นก็แย่ล่ะสิ” ผมหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกไปแบบไม่ให้ใครจำได้นี่นา”
“แค่ไม่ใส่มงกุฎ ก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้วเพคะ” เธอกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงล้อเลียนนิด ๆ จนผมหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
หลังจากแต่งตัวเสร็จ เฟย์ช่วยวางผ้าคลุมไหล่ไว้บนบ่าผม จัดปลายให้เรียบร้อย จากนั้นเธอก็ก้าวถอยออกมาเล็กน้อย มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตานิ่ง ๆ
“พร้อมแล้วหรือยังเพคะ” เธอถามในที่สุด น้ำเสียงเหมือนจะถามถึงแค่เรื่องเสื้อผ้า แต่สายตากลับเหมือนกำลังถามถึงอะไรลึกไปกว่านั้น
ผมพยักหน้าเบา ๆ
เมื่อก้าวออกจากตำหนัก ไคเรน แรนทีล เอลเซียน และเฟลด์ ต่างยืนรออยู่ที่บันไดหน้าตำหนักกันครบแล้ว ทุกคนดูผ่อนคลายกว่าปกติเล็กน้อย คงเพราะวันนี้ไม่มีภาระหน้าที่ ไม่มีสภา ไม่มีเอกสาร ไม่มีกลุ่มขุนนางจ้องจับผิด ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่หายากนี้จนเผลอยิ้มออกมา
“มาสายนะ” แรนทีลพูดขึ้นทันทีที่เห็นผม สีหน้าเขาไม่จริงจังนัก คล้ายจะตั้งใจแกล้งให้ผมยิ้มออกมาเสียมากกว่า
“ก็เฟย์ไม่ปล่อยให้ข้าออกมาในสภาพที่ไม่พร้อมนี่นา” ผมตอบพลางหันไปทางเฟย์ซึ่งเดินตามหลังมา เฟย์เพียงก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบงันตามหน้าที่
เอลเซียนเป็นคนเปิดประตูรถม้าให้ผมขึ้นก่อน เฟลด์ยื่นมือมาให้เช่นเคย ผมวางมือบนมือเขาอย่างเคยชิน พลางเหลือบตามองหน้าเขาเล็กน้อย “ท่านไม่เหนื่อยหรือ ที่ต้องคอยดูแลข้าทุกครา”
เฟลด์หัวเราะเบา ๆ “เหนื่อยหรือ? ข้าคงลืมความรู้สึกนั้นไปแล้วละ”
“โกหก” ผมพึมพำแล้วก้าวขึ้นรถม้า
ไคเรนขึ้นตามมาติด ๆ นั่งลงข้างผมในขณะที่แรนทีลกับเอลเซียนขึ้นฝั่งตรงข้าม รถม้าเคลื่อนตัวออกอย่างนุ่มนวลไปตามถนนด้านหลังวัง มุ่งหน้าไปยังประตูทิศตะวันออก เสียงล้อไม้บดลงบนพื้นหิน เสียงม้ากระทืบเท้าอย่างเป็นจังหวะ ลมหอบแรกจากนอกวังพัดเข้ามาผ่านหน้าต่าง ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้หายใจจริง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
“ออกไปให้ไกลหน่อยก็ดีเหมือนกัน” ผมพึมพำ มองแสงแดดยามสายที่ลอดม่านรถม้าเข้ามา
“พวกข้าตั้งใจพาท่านไปที่ที่เงียบสงบจริง ๆ” ไคเรนพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนลงกว่าเดิม
“ที่ไหนล่ะ?” ผมหันไปถาม
เฟลด์เป็นคนเฉลย “เมืองทางตะวันออก...ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้าเอง”
ผมชะงักเล็กน้อย “บ้านเกิดของเจ้า?”
เฟลด์พยักหน้า ดวงตาของเขามีประกายบางอย่างที่ทำให้ผมรู้ทันทีว่า มันเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเขา... และในวินาทีนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่า...อยากไปจริง ๆ แล้วล่ะ
แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านผ้าม่านของรถม้าเป็นลำ เงาใบไม้เต้นระริกบนฝ่ามือที่วางอยู่บนตัก ผมมองมันอย่างเงียบงัน รู้สึกได้ว่าลมหายใจของตัวเองเริ่มสม่ำเสมอขึ้น…
ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางเสียงแปร่งหูของพวกขุนนางที่คอยประจบประแจง หรือคอยจับผิดทุกการกระทำ ไม่ต้องพยายามวางมาดรัชทายาทที่แสนน่าเบื่อหน่าย หรือเลือกทุกถ้อยคำอย่างรอบคอบจนปวดหัว
จุดหมายของเราคือเมืองทางตะวันออก บ้านเกิดของเฟลด์ สถานที่ที่พวกเขาบอกว่าจะพาผมไปพักผ่อน ไม่ได้มีกำแพงสูง ไม่มีระเบียงหินอ่อน มีเพียงไร่กว้าง ๆ ปศุสัตว์เล็ก ๆ
อากาศในชนบททางตะวันออกสดชื่นจนแทบไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในแผ่นดินเดียวกับวังหลวง ท้องฟ้ากว้างและใสจนมองเห็นเส้นขอบฟ้าละเอียดราวกับวาดด้วยปลายพู่กันอ่อน เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้โบกไหวเป็นจังหวะเหมือนกำลังต้อนรับผู้มาเยือน
ผมนั่งอยู่บนรถม้าตัวโครงไม้ด้านในบุผ้าหนา ๆ รู้สึกถึงแรงกระเทือนเล็กน้อยตามเส้นทางลูกรังที่ตัดผ่านไร่นา
เฟลด์นั่งข้างผม แขนของเขาวางพาดพนักเบาะด้านหลังพอดี ราวกับเผื่อพื้นที่ไว้ให้ผมเอนตัวได้ถ้าต้องการ ส่วนแรนทีลนั่งตรงข้าม มือข้างหนึ่งถือขนมอบที่เขาแอบหยิบมาจากห้องครัววังหลวงแล้วยื่นมาหาผม
“ลองหน่อยไหม ฝ่าบาท? ยังอุ่นอยู่นะ” เขายิ้มตาหยี
ผมหยิบมาหนึ่งชิ้น กัดเบา ๆ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “ฝีมือท่านเหรอ?”
“เปล่าหรอก ข้าแค่ขโมยมา” เขาหัวเราะ "อร่อยไหม?"
ผมยิ้มให้เขา "อืม อร่อยมาก ขอบคุณนะ"
ผมเอนหัวพิงไหล่เฟลด์อย่างสบายใจ ไคเรนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลิกคิ้วเล็กน้อย มองมาด้วยสายตาที่อ่านยาก แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
"ไหวไหม?" ไคเรนเอ่ยถามเสียงเบา
ผมพยักหน้าเล็กน้อย "อือ สบายขึ้นเยอะเลย"
"ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายให้รีบบอกทันทีเลยนะ พวกข้าจะได้แวะพัก" เฟลด์กระชับอ้อมแขนที่โอบผมไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย
ผมส่ายหน้า "ไม่เป็นไร..."
เอลเซียนไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตาพิงเบาะอย่างคนที่ปล่อยใจให้กับเสียงล้อไม้ที่ครืดคราดไปตามถนน
ในห้วงเวลานั้น ผมรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ไม่ใช่เซย์เรน รัชทายาทผู้ถูกห้อมล้อมด้วยกฎระเบียบและสายตาน่ากลัวของเหล่าขุนนาง แต่เป็นแค่... คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ได้ออกมาเดินเล่น สูดอากาศดี ๆ มีแดดอ่อน ๆ ส่องหน้า มีเสียงนกแทนเสียงโวยวายของสภา และไม่มีเอกสารปึกหนามากองอยู่ตรงหน้าให้ปวดหัว
รู้ตัวอีกที ผมก็เผลอยิ้มให้ตัวเองอย่างงง ๆ มันแปลกดีที่อากาศแค่เย็น ๆ กับเสียงนกมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนรอดตายจากสนามรบมาได้ชั่วคราว
"ถ้าท่านอยากจะหลับสักหน่อยก็ทำได้นะ ข้าจะคอยดูเอง" ไคเรนพูดขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นผมเริ่มเอนหัวพิงเฟลด์
ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย คือในสถานการณ์ที่ข้างตัวมีหมอนกล้ามโตอย่างเฟลด์ กับเบาะรองนุ่ม ๆ และบรรยากาศสงบแบบนี้ จะให้ผมขืนใจไม่หลับยังไงไหวเล่า?
และก็แน่นอนครับ... ผมหลับจริง
เมื่อรถม้าหยุดลง เฟลด์เป็นคนแรกที่ก้าวลงไป เขายื่นมือมาให้ผมจับไว้มั่น ๆ อย่างกับเจ้าชายในนิทาน
“ระวังเท้า ข้าจะพาเดินดูรอบ ๆ” เฟลด์ว่าเสียงนุ่ม
ผมยังงัวเงีย ๆ อยู่ แต่พอได้กลิ่นหญ้า กลิ่นดิน และเห็นวัวตัวหนึ่งกำลังเดินตามไคเรนแบบหน้าด้าน ๆ ก็หัวเราะออกมาแบบห้ามไม่อยู่ วัวตัวนั้นคือฮีโร่ของวันนี้ มันทำให้วันของผมสดใสขึ้นมาทันตา
"ตรงนี้ข้าเคยตกจากต้นไม้นั่น" เฟลด์ชี้ไปยังต้นโอ๊คใหญ่ ข้างคอกม้า
“เจ้าปีนต้นไม้เหรอ?” ผมหัวเราะเบา ๆ
“ใช่ แล้วก็ร้องไห้เสียงดังจนคนทั้งหมู่บ้านได้ยิน” เขาตอบหน้าตาย
ผมหัวเราะไม่หยุด แทบจะต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้ แรนทีลยิ้มตามเล็ก ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือผมพาเดินไปทางเล้าไก่ เอลเซียนตามหลังมาด้วยสีหน้าสงบเหมือนเดิม มือถือกระติกน้ำเย็นไว้แน่นราวกับกำลังเดินตรวจพื้นที่ในวัง ส่วนไคเรนก็ยังคงรักษาความสง่างามแบบองครักษ์มือหนึ่งไว้ไม่ตก เดินตามอยู่เงียบ ๆ อย่างไม่พูดไม่จา...
จนกระทั่งไก่ตัวหนึ่งโผล่มาจากพุ่มไม้แล้วเดินมากระโดดเกาะชายเสื้อเขาอย่างหน้าตาเฉย
“เจ้าตัวนี้ดูถูกชะตาท่านนะ ไคเรน” ผมหันไปแซวเสียงขำ ตาทั้งสองข้างแทบจะหรี่จนมองอะไรไม่เห็นเพราะยังขำค้างจากเมื่อครู่
เขาก้มลงมองเจ้าตัวต้นเหตุ แล้วเหลือบกลับมาทางผมก่อนจะยักไหล่น้อย ๆ อย่างคนยอมรับชะตากรรม “ก็ไม่ได้แย่... แต่ข้าหวังว่าจะไม่โดนมันจิก”
ผมหลุดหัวเราะอีกรอบทันที โอย ไคเรนกับไก่นี่มันภาพที่หาดูไม่ได้จริง ๆ
ในขณะเดียวกัน เฟลด์ก็เดินออกมาจากด้านในเล้าไก่พร้อมตะกร้าไข่ในมือ เสื้อแขนยาวพับขึ้นถึงศอก เผยท่อนแขนที่เปื้อนฝุ่นเล็กน้อย
“วันนี้ได้ยี่สิบสาม…แดดดี พวกมันเลยขยันหน่อย” เขาพูดเสียงเรียบ เหมือนกำลังสรุปผลวิเคราะห์ยุทธศาสตร์สงครามอยู่
ผมหันไปมองหน้าเขาทันที ความทึ่งกับความขำตีขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าเขาจริงจังขนาดนั้นจนผมนึกว่าเขากำลังจะรายงานความเคลื่อนไหวของศัตรูจากชายแดนตะวันออกเสียอีก
ผมส่ายหัวเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู... ผมรู้ว่าเฟลด์เก่งรอบด้าน แต่ใครจะไปคิดว่าหัวหน้าหน่วยลับอย่างเขาจะมายืนเล่าชีวิตแม่ไก่อย่างภาคภูมิใจเต็มร้อยขนาดนี้ แบบนี้โลกจะไม่สงบก็ให้มันรู้ไปสิ!
ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทุ่งหญ้า พวกเรานั่งล้อมวงกันบนผ้าปูปิกนิกที่เอลเซียนกับแรนทีลเตรียมไว้ ตะกร้าอาหารเต็มไปด้วยของง่าย ๆ อย่างขนมปัง แฮมอบ ซุปผัก และผลไม้ที่เก็บมาสด ๆ จากสวนตรงท้ายเนิน
ไคเรนจัดมีดกับช้อนส้อมเรียงเป็นแถวเป๊ะเหมือนทำหน้าที่ในวังไม่มีผิด แรนทีลรินน้ำใส่แก้วให้ทีละคนอย่างคล่องแคล่ว เฟลด์...ก็หั่นขนมปังอย่างสง่างามราวกับกำลังลับมีดสั้นในสนามรบ ส่วนเอลเซียนน่ะเหรอ? เขานั่งเท้าคาง มองผมแบบไม่ละสายตา ราวกับไม่รู้จะมองอะไรอีกในโลกนี้ถ้าไม่ใช่ผม
“เหมือนฝันเลย...” ผมพึมพำเบา ๆ ขณะหมุนผลแอปเปิ้ลเล็ก ๆ ในมือ กลิ่นหอมสดชื่นจนเผลอยิ้มออกมาเอง
“ชอบก็ดีแล้ว” ไคเรนตอบเสียงเรียบ ทว่าไม่ทันไรก็เอาผ้าคลุมมาคลี่วางบนตักผมอย่างเงียบ ๆ แล้วจัดปกเสื้อให้ด้วยท่าทางจริงจัง “ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบายอีก”
ผมแอบยิ้ม แล้วโน้มตัวไปกระซิบกับแรนทีล “แบบนี้...มันให้ฟีลเหมือนคนรักแอบมานั่งกินข้าวด้วยกันเลยนะ”
เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบพวงองุ่นมาวางบนจานผม “ท่านก็เป็นคนรักที่ถูกตามใจที่สุดในแคว้นแล้วล่ะ” แล้วก็ไม่วายกระซิบต่ออีกประโยค “แถมยังน่ารักจนน่าอุ้มกลับไปไว้บ้านคนเดียวเลย”
ผมหรี่ตาใส่เขาอย่างขำ ๆ “พูดแบบนี้ต้องโดนหักเบี้ยขนม” แล้วหันไปหาเอลเซียนแทน “เจ้าล่ะ ไม่กินหน่อยเหรอ?”
“ข้ารอให้ฝ่าบาทกินก่อน” เขาตอบเสียงเรียบนิ่ง แต่ยื่นถ้วยซุปมาให้ทันที “ระวังร้อน”
ผมรับมาแล้วเป่าช้า ๆ ก่อนจะตักเข้าปาก อืม…ร้อนจริงอย่างที่ว่า แต่ก็อร่อยแบบง่าย ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกมานาน มันไม่ใช่อาหารชั้นสูงจากครัววัง แต่มันอุ่นและเต็มไปด้วยรสของการลงแรง ผมเคี้ยวไป มองพวกเขาไป แล้วอยู่ดี ๆ ก็เงียบไปสักพัก รู้ตัวอีกทีคือตอนที่มีใครสักคนส่งผ้าเช็ดปากมาให้
“อย่าคิดมาก” เฟลด์พูดพลางโน้มตัวเข้ามาใกล้ “คิดว่าเป็นการมาเยี่ยมบ้านสวามีก็พอ”
ผมหัวเราะน้อย ๆ ถอนหายใจเบา ๆ เหมือนลมหายใจนั้นพัดเอาความเหนื่อยล้าออกไปครึ่งหนึ่ง
“จริง ๆ ข้าแค่หวังให้พวกท่านสี่คนมีความสุขบ้าง ไม่ใช่มัวแต่วุ่นวายกับข้า” ผมบ่นเหมือนกำลังตัดพ้อ แต่น้ำเสียงก็ยังแฝงความขี้เล่นไว้
“แล้วถ้าไม่มีท่าน พวกข้าจะมีความสุขได้อย่างไร?” เอลเซียนถามกลับเสียงเรียบ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ผมหันไปหาเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ แรนทีลกับไคเรนหันมาสบตากันนิดหนึ่ง ส่วนเฟลด์ก็แค่ยิ้มมุมปาก...แบบที่ผมเห็นเมื่อเขาพอใจมาก
จะว่าไป...บรรยากาศมันเหมือนฉากในนิทานจริง ๆ พวกเราไม่ต้องพูดถึงศึกในวัง ไม่ต้องพูดถึงสภา หรือพวกขุนนางที่จ้องจับผิด แค่มีต้นไม้ มีทุ่งหญ้า มีอาหารอุ่น ๆ กับคนที่ผมรักนั่งอยู่รอบตัว
ผมนั่งอยู่ตรงกลาง หัวเราะอยู่ท่ามกลางคนที่ผมรัก ไม่ใช่ในฐานะ "รัชทายาทเซย์เรน" แต่เป็นแค่ตัวผม คนธรรมดาที่ได้หัวเราะ ได้ล้อเล่น ได้ถูกรัก
และรู้ตัวอีกที…ผมก็ไม่อยากกลับเลยจริง ๆ
พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แสงสีทองส้มก็สาดไปทั่วทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา เงาต้นไม้ใหญ่ที่เราเคยนั่งล้อมวงกันตอนกลางวันเริ่มทอดยาวลงบนพื้นหญ้า เสียงจักจั่นเริ่มแว่วมาเบาๆ กลืนไปกับเสียงลมที่พัดเอื่อยๆ ให้บรรยากาศมันได้ฟีลสุดๆ ไปเลย
แรนทีลที่นั่งข้าง ๆ ยื่นมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าให้อย่างเบามือ ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามากระซิบใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา
“ท่านช่างงดงามเสียจริง…”
ผมหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ท่านก็น่ามองไม่เบาเหมือนกันนะ” พลางยื่นนิ้วไปจิ้มแก้มเขาเป็นการเอาคืน
เอลเซียนลุกขึ้นก่อนใคร เก็บผ้าปูและตะกร้าอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่พอหันมาทางผม เขาก็ยังไม่ลืมส่งยิ้มมุมปากเล็ก ๆ แบบที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวว่ามันละลายหัวใจคนมองแค่ไหน
เฟลด์เดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นมือมาให้ “ได้เวลากลับแล้ว ท่านเริ่มง่วงแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าแค่กินเยอะไปนิด…เลยขี้เกียจขยับต่างหาก” ผมว่าพลางยกมือป้องปากหาว แล้วแอบโน้มตัวพิงใส่ฝ่ามือของเขาเต็มแรงอย่างแนบเนียน
เฟลด์เลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ว่าอะไร เขาเพียงพยุงผมขึ้นด้วยมือที่แน่นพอให้รู้สึกมั่นคง...แต่อ่อนโยนพอให้รู้ว่าเขาไม่เคยคิดจะปล่อย
ไคเรนเดินเข้ามาเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาเช่นเคย แต่คว้าเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ผมอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเหลือบตามองผมนิดหนึ่ง แล้วหันไปทำอย่างอื่นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เราพากันเดินกลับไปยังบ้านไม้สไตล์ชนบทที่เฟลด์เคยบอกว่าเคยเป็นเรือนพักร้อนของครอบครัวเขา ทุกอย่างยังคงเรียบง่าย พอแสงทองภายนอกค่อย ๆ จางหาย เตาผิงก็ถูกจุดขึ้น เปลวไฟอุ่นไหวสะท้อนผนังไม้ ละมุนตาเหมือนฝันดีที่เริ่มต้นด้วยแสงอ่อน ๆ
ผมทิ้งตัวลงบนเบาะหน้าผิง ยกถ้วยชาคาโมมายล์ที่แรนทีลชงให้ขึ้นจิบ รสชาติหวานอ่อน ๆ เหมือนจะมีอะไรบางอย่างมากกว่าน้ำผึ้ง
“ท่านใส่เวทมนตร์อะไรลงไปหรือเปล่า?” ผมถาม
แรนทีลยิ้มหวาน “ไม่มากหรอก…แค่ความรักของข้าประมาณหยิบมือนึง”
ผมสำลักชาแทบไม่ทัน
ไคเรนกับเฟลด์ช่วยกันจัดที่นอนกลางห้อง พวกเขากางฟูกหนาและปูผ้าห่มนุ่มทับไว้อย่างตั้งใจ เอลเซียนยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ส่วนแรนทีลก็หอบหมอนมากองไว้ตรงปลายฟูก ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง
ผมมองพวกเขาสลับกัน แล้วเลิกคิ้ว “เราจะนอนรวมกันหมดเลยเหรอ?”
“แล้วท่านไม่อยากหรือ?” แรนทีลเลิกคิ้วกลับ ยิ้มทะเล้นอย่างรู้คำตอบ
“ข้าแค่สงสัยว่าถ้าข้านอนตรงกลาง พวกท่านจะไม่แย่งที่กันหรือไง”
“หากท่านอยู่กลาง ข้าจะอยู่ซ้าย” ไคเรนตอบเสียงเรียบ แต่ไม่มีทีท่าจะยอมใคร
“ข้าขอขวา” เฟลด์เอ่ยสั้น ๆ แต่ชัดเจนเหมือนสั่งวางหมากรบ
“ข้าอยู่ตรงปลายเท้า เฝ้าฝันให้ท่าน” เอลเซียนเงยหน้าขึ้นพูด โดยไม่ละสายตาจากหน้าหนังสือ
“งั้นข้าอยู่บน!” แรนทีลประกาศเสียงดัง แล้วก็วางหมอนแหมะไว้เหนือหัวผมจริง ๆ
“พวกท่านนี่นะ!” ผมหัวเราะแล้วรีบซุกหน้าลงกับหมอนหนีความวุ่นวายแบบกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่
เสียงหัวเราะของพวกเขาดังตามมา ราวกับลืมไปชั่วครู่ว่าเราทุกคนแบกรับอะไรไว้ข้างหลังบ้าง มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทุกอย่างดูเรียบง่าย แค่ห้องไม้หนึ่งหลัง เตาผิงอุ่น ๆ หมอนนุ่ม ๆ และเสียงหายใจของคนที่เรารักอยู่ข้าง ๆ
พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ถูกดึงให้ไปนั่งกลางฟูก เอลเซียนวางหนังสือแล้วเดินมาหย่อนตัวลงข้าง ๆ มือหนึ่งดึงผมเข้าไปกอดหลวม ๆ พร้อมพึมพำเสียงเบาว่า “ถ้าง่วงก็นอนได้เลย”
ผมขยับตัวซุกเข้าหาเฟลด์ที่นอนอยู่อีกด้าน ฝ่ามือของเขาวางลงบนแผ่นหลังผมอย่างแผ่วเบา ไคเรนก็เอื้อมมือมาวางบนศีรษะราวกับกล่อมให้สงบ ส่วนแรนทีลก็กำลังพึมพำเบา ๆ ว่า “หากท่านฝันร้าย ข้าจะร่ายคาถาไล่มันออกไปให้”
ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ทั้งที่ตาหลับอยู่… ไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ?
แล้วในค่ำคืนนั้นเอง ก่อนที่เสียงลมหายใจจะกลืนเราทั้งหมดเข้าสู่ห้วงนิทรา
ผมก็รู้…ว่า 'บ้าน' ของผม อาจไม่ใช่วัง หรือบัลลังก์ใด ๆ
แต่เป็นที่ที่พวกเขาเหล่านี้ กำลังกอดผมไว้แน่น…และหัวเราะไปพร้อมกัน
Talk with me.
มาเสิร์ฟความหวานก่อนจะขมปี๋
หลังจากนี้จะดราม่าแบบจัดเต็มแล้วน้าา😅
สนุกมากครับ ขอบคุณนะครับ ตอนนี้หวานละมุนมาก แอบอิจฉาเลยครับ
ขอบคุณนะครับ
หน้า:
[1]