ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? ตอนพิเศษ 3.1
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-7-15 17:08ตอนพิเศษ 3.1Love Island🏝️💖
เสียงวุ่นวายของแผนกฉุกเฉินดังขึ้นเป็นปกติ หมอกายที่เพิ่งจะถอดเสื้อกาวน์ออกมาจากห้องผ่าตัดเล็ก กำลังนั่งดื่มกาแฟแก้วโปรดพร้อมเช็กเคสคนไข้ในมือถือ แสงไฟนีออนสีขาวสว่างจ้าสะท้อนแว่นตาของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
“อ้าวคุณหมอ ออกจากห้องผ่าตัดแล้วเหรอคะ?” เสียงพยาบาลคนหนึ่งเอ่ยทักขณะเดินผ่าน
“อืม…ได้สักพักแล้วล่ะ” หมอกายตอบรับพลางละสายตาจากหน้าจอ
“แล้วนี่คุณเจบีได้เข้ามาพบหรือยังคะ เห็นยืนอยู่ด้านนอกเมื่อกี้”
หมอกายชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกคิ้วขึ้นเหมือนไม่แน่ใจ “หืม…เจบีเนี่ยนะ? ผมยังไม่เจอเขาเลยนี่นา”
พอรู้ว่าเจบีมาหา หมอกายก็แทบจะวางแก้วกาแฟแล้ววิ่งวุ่นออกมาตามหาทันที เขาเดินไล่ถามพยาบาลแต่ละจุดอย่างร้อนใจ จนกระทั่งเจอร่างคุ้นตาที่นั่งก้มหน้ารอเรียกคิวอยู่ตรงเก้าอี้ยาวหน้าห้องตรวจคนไข้ทั่วไป
“นี่! เจบี!”
กายรีบสาวเท้าเข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายขึ้นมาทันทีโดยไม่รอให้เจ้าตัวตั้งตัวได้ “มานั่งรอคิวอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปหาฉันที่ห้อง!”
เจบีเงยหน้ามองคนที่ยืนบังแสงไฟอยู่ข้างหน้า ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม “…ก็แค่ รู้สึกไม่ค่อยสบาย เหมือนจะมีไข้… เลยคิดว่ามาเช็กดูเฉย ๆ”
“เฉย ๆ บ้านนายสิ!”
เสียงหมอกายขึ้นจมูกนิด ๆ แบบคนหงุดหงิดแต่ห่วงจัด เขายื่นมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่าย ลูบเบา ๆ ไล่ลงมาถึงแก้ม เจอบีถึงกับชะงักกับสัมผัสที่ใกล้ขนาดนั้น
“ตัวร้อนขนาดนี้ยังจะมานั่งรอคิวอีกนะ…” กายพึมพำเบา ๆ เหมือนบ่น แต่ปลายนิ้วยังค้างอยู่ตรงข้างแก้มคนป่วยไม่ยอมเอาออกไปง่าย ๆ
“ไม่อยากรบกวนหมอกายนี่ครับ…” เจบีพูดเสียงอ่อย
“รบกวนที่ไหนกันล่ะ!” กายถอนหายใจอย่างหงุดหงิดแต่ก็ดึงแขนอีกฝ่ายให้เดินตามไปทางห้องพักแพทย์อยู่ดี “เข้ามารอในห้องก็ได้ จะไปนั่งต่อคิวให้เสียเวลาทำไม”
“ขอโทษครับ…”
“ไม่ต้องมาขอโทษเลย!” น้ำเสียงดุแต่ปลายน้ำเสียงฟังแล้วกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ตอนนี้ก็นั่งพักไปก่อน เดี๋ยวฉันจะดูให้เองว่านายเป็นอะไรกันแน่”
เจบีเพิ่งจะนั่งลงได้ไม่กี่วินาที มือใหญ่ของหมอกายก็ยื่นมาขยี้ผมนุ่ม ๆ ของเขาเบา ๆ อย่างลืมตัว ความเหนื่อยล้าของหมอหนุ่มเหมือนจะจางหายไปเพราะเห็นคนที่รอคอยอยู่ตรงหน้า
“สงสัยต้องจับไปพักผ่อนบ้างแล้วมั้ง ดูสิ ผอมลงไปเยอะเลย…” กายบ่นในลำคอเบา ๆ พลางถอนหายใจอีกครั้ง แต่ในใจกลับเถียงตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว
‘ถ้าไม่ติดว่าเป็นที่โรงพยาบาลนะ ฉันจับฟัดไปแล้ว…’
กายวางฝ่ามือแผ่วลงบนหน้าผากเจบี ไล้นิ้วช้า ๆ เพื่อตรวจดูไข้ซ้ำอีกที ดวงตาคมหลุบต่ำลงคล้ายจะเพ่งสำรวจทุกอาการเล็กน้อยที่คนตรงหน้าพยายามปิดไว้
“หายใจลึก ๆ สิ” เขาบอกเสียงนุ่ม มืออีกข้างวางลงบนอกเจบีอย่างระวังเพื่อเช็กจังหวะหัวใจไปด้วย
เจบีหายใจตามที่บอก ทั้งที่สายตายังเผลอมองเสี้ยวหน้าของหมอกายที่โน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นครีมล้างมือจาง ๆ ปนกลิ่นกาแฟประจำตัว
“แน่นหน้าอกมั้ย เจ็บตรงนี้รึเปล่า” ปลายนิ้วหมอกายเคลื่อนไปกดเบา ๆ บริเวณซี่โครงข้างหนึ่ง เจบีสะดุ้งเล็กน้อยเพราะมันเย็น
“ม…ไม่ครับ แค่รู้สึกหน่วง ๆ นิดหน่อย…”
“อือ…”
กายพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะกดนิ้วแช่ไว้เหมือนจะยืนยันอีกครั้ง จากนั้นจึงล้วงเทอร์โมมิเตอร์ออกมาจ่อปากเจบี
“อมไว้ ห้ามพูด” เขาสั่งเสียงเรียบแต่แฝงรอยยิ้มชวนให้รู้ว่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่ทำหน้าที่หมอ
เจบีทำตามอย่างว่าง่าย มองตามปลายนิ้วที่แตะหลังคอเขาเหมือนจะจัดให้ศีรษะเอนไปพิงพนักพอดี ความใกล้ชิดทำให้ได้ยินเสียงหายใจของอีกคนชัดเจน
หมอกายยังยืนพิงขอบเตียง รอวัดไข้ไปพลาง มือใหญ่ลูบเรือนผมของคนป่วยเบา ๆ อย่างเผลอตัว
“ถ้าเป็นแบบนี้อีก…นายจะโดนกักตัวในห้องฉันทั้งอาทิตย์เลย รู้ตัวไว้ด้วย”
เจบีพยายามจะหัวเราะแต่ทำได้แค่หลุดเสียง ‘อือ’ ผ่านลำคอเพราะยังอมปรอทอยู่ พอเห็นอย่างนั้นกายก็หลุดหัวเราะเบา ๆ พลางใช้นิ้วโป้งเช็ดขมับอีกฝ่ายแผ่ว ๆ
“อย่าเพิ่งดื้อ เข้าใจมั้ย”
เจบีเม้มปากแน่น พยักหน้าน้อย ๆ ทั้งที่ยังอมเทอร์โมมิเตอร์อยู่ ใบหูแดงขึ้นนิดหน่อยเพราะความใกล้ของคนตัวสูงกว่า ยิ่งตอนกายเลื่อนมือไปประคองท้ายทอยเขาไว้ด้วย ฝ่ามืออุ่นจนสั่นวูบไปหมด
“เด็กดี…” กายพึมพำเบาเหมือนหลุดจากความคิด ริมฝีปากแตะลงที่หน้าผากเจบีอย่างเผลอ ๆ สัมผัสนิ่มร้อนนั้นทำให้คนถูกตรวจไข้ชะงักไปทั้งตัว
เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังขึ้นติดคอ หมอกายดึงหน้าออกมาเล็กน้อย ดวงตาคมยังฉายแววเอ็นดูแบบที่เจ้าตัวเองก็รู้ว่าดูออกเกินหมอปกติไปมากแล้ว
“ให้รางวัล… สำหรับคนป่วยที่ยอมอยู่นิ่ง ๆ” เขาพูดยิ้ม ๆ พลางใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยผมเปียก ๆ บนหน้าผากเจบีเบา ๆ
เจบีมองตาเขานิ่ง พอเทอร์โมมิเตอร์ส่งเสียงติ๊ดบอกว่าครบเวลา เขาก็รีบคายมันออกมาจนเกือบจะลน
“ห้ามลุกนะ เข้าใจไหม” กายก้มไปอ่านค่าไข้แล้วถอนหายใจเบา ๆ “ถ้าไม่อยากโดนฉันลากขึ้นเตียง"
เจบีเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พึมพำอุบอิบแทบไม่ได้ยิน “ขู่เก่ง…อืม แต่ก็ไม่ได้แย่…”
กายยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะโน้มตัวลงมาอีกครั้ง คราวนี้ก้มไปกระซิบข้างหู “อะไรนะ พูดให้ชัดหน่อยสิ”
เจบียกมือดันอกอีกฝ่ายเบา ๆ หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมจนกายหลุดหัวเราะ
“หายดีเมื่อไหร่ นายไม่รอดแน่” หมอกายพูดเสียงขำ ทิ้งท้ายเหมือนแกล้งขู่ ก่อนจะขยี้กลุ่มผมที่เริ่มแห้งของเจบีอีกทีราวกับลูบหัวเด็ก
หลังเช็กไข้เสร็จ เจบีดูเหมือนจะหมดแรงเอาดื้อ ๆ เพราะพิษไข้กับฤทธิ์ยาลดไข้ที่กายจัดให้ มือเล็กที่ดันอกเขายังวางค้างอยู่ตรงนั้น แต่เปลือกตากลับปิดลงช้า ๆ เหมือนจะข่มตาไหวก็ไหวไม่อยู่แล้ว
“เฮ้อ…” กายถอนหายใจเบา ๆ มองคนบนเตียงที่หลับไม่รู้ตัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะก้มลงขยับผ้าห่มให้คลุมถึงอก มืออีกข้างก็กดปุ่มเรียกพยาบาลให้เตรียมน้ำอุ่นกับผ้าขนหนู
แต่เพราะกลัวว่าพยาบาลจะเช็ดตัวแรงไป กายเลยจัดการเองทั้งหมด มือหมอที่คุ้นชินกับการแตะเนื้อตัวคนไข้กลับขยับเช็ดตัวให้เจบีอย่างเบาที่สุด ราวกับว่าถ้าแรงมือหนักไปนิดเดียว เด็กดื้อที่นอนนิ่งอยู่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก
“เอาแต่ป่วยให้คนเขาเป็นห่วง…” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะโน้มตัวลงแตะแผ่นหลังมือกับหน้าผากเจบีอีกรอบ อุณหภูมิยังอุ่นจัดจนกายต้องถอนหายใจ
ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นถี่ ๆ แจ้งเตือนวิดีโอคอลจากใครสักคนในกลุ่ม
: <<ต่อสาย>>
“โอะนี่ซัง~ เป็นไงบ้าง เจบีอยู่กับนายใช่ไหม”
กายยื่นมืออีกข้างไปรับสายโดยที่มือข้างหนึ่งยังจับผ้าขนหนูเช็ดต้นคอให้เจบีไปด้วย
“อือ อยู่กับฉัน คนที่พวกนายให้คนขับรถมาส่งโรงพยาบาลน่ะ หายห่วงไปได้เลย”
: “ก็บอกแล้วว่าอย่าดื้อ เห็นมั้ย ไข้ขึ้นจริง ๆ แล้วไง”
: “แล้วนายประชุมได้ไหม กาย นายจะต้องเข้าประชุมด้วยไม่ใช่รึไง”
หมอกายเหลือบมองตารางงานในแท็บเล็ตที่ตอนนี้โดนเขาเลื่อนหมดเรียบร้อย แถมยังตอบด้วยน้ำเสียงกวนประสาทตามสไตล์
“ฉันคนเดียวไม่อยู่ก็ไม่พังหรอกน่า ประชุมกันไปเถอะ เด็กคนนี้ฉันดูแลเองได้… เออ ไม่ต้องมาแย่งด้วย รำคาญ”
เสียงหัวเราะกับคำแซวเบา ๆ ของปลายสายดังขึ้นระคนกัน กายได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วตัดสายไป ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนของเจบี
เขาก้มลงเช็กไข้ซ้ำอีกครั้งด้วยหน้าตาจริงจัง มือก็ยังวางแผ่ว ๆ บนแก้มขาวที่ตอนนี้ขึ้นสีเพราะพิษไข้ พลางพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว
“หายช้าหายเร็วก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วล่ะ… ถ้าไม่ยอมพักดี ๆ ฉันจับมัดไว้กับเตียงแน่”
ระหว่างที่กายกำลังจัดผ้าห่มให้เจบีไม่ให้ลมแอร์พัดโดนตรง ๆ เสียงโทรศัพท์ก็สั่นครืดอีกครั้ง คราวนี้ขึ้นชื่อคนโทรมาเต็มหน้าจอ
: กำลังวิดีโอคอล...
กายกดรับสายพลางถอนหายใจแรง ปลายสายปรากฏใบหน้าคมเข้มของราฟาเอโร่ที่ดูเหมือนจะเพิ่งลงจากรถ เขายกโทรศัพท์ขึ้นเหมือนจะกวาดดูรอบห้อง ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง ๆ
“เจบีอยู่กับนายใช่ไหม”
กายไม่ได้ตอบทันที แต่ขยับกล้องให้เห็นร่างเจบีที่นอนซุกผ้าห่มอยู่บนเตียง ท่ามกลางกองถาดน้ำอุ่นกับผ้าเช็ดตัวที่พยาบาลเพิ่งมาเก็บ
“ใช่ เห็นแล้วใช่ไหม ไข้ขึ้นจนสลบไปเรียบร้อยแล้วเนี่ย”
ราฟาเอโร่เงียบไปนิดเดียว ดวงตาคมกริบใต้กรอบแว่นหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนจะประเมินอาการ แล้วเอ่ยสั้น ๆ
“ให้พักกี่วัน”
กายเบ้ปากทันที “พักกี่วันงั้นเหรอ? ก่อนจะถามเรื่องนั้น ฉันถามนายหน่อยเถอะ ใช้งานเด็กยังไงให้ต้องมานอนซมที่โรงพยาบาลเนี่ย หืม?”
อีกฝ่ายหัวเราะจาง ๆ ผ่านสายแต่ไม่ได้ปฏิเสธ กายกลอกตาแรงจนอีกคนในสายเห็นชัดเต็มสองตา ก่อนจะกระแทกเสียงอย่างคนขี้หวงแต่แกล้งทำเป็นนิ่ง
“สรุปนะ ช่วงสุดสัปดาห์นี้ ฉันจะลางานพาเด็กนี่ไปพัก—ไม่สิ… ไปฮันนีมูน สักหน่อย จะได้ฟื้นตัวไว ๆ ห้ามหวง!”
ราฟาเอโร่เลิกคิ้วกับคำว่า ฮันนีมูน แต่ไม่ได้เถียง กลับมีเสียงหัวเราะนุ่ม ๆ หลุดลอดออกมาแทน
“แน่ใจหรือว่าพักเฉย ๆ น่ะ…กาย”
หมอกายตีหน้าเรียบ ใส่กล้องไปทีนึง “ก็แน่ใจสิ จะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศให้สบายหัว ไม่ต้องมานั่งดูหน้าพวกนายที่เอาแต่สั่งงานแล้วกัน ฝากไปบอกเรนกับแคสเปอร์ด้วย ไม่ต้องโทรมาจิก ฉันจะปิดมือถือหนีเลย โอเคนะครับ คุณหัวหน้า?”
ราฟาเอโร่หัวเราะในลำคออีกครั้ง รับคำสั้น ๆ “ตามใจ…ดูแลเขาดี ๆ ก็พอ”
ปลายสายตัดไป กายก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างหัวเตียง พลางโน้มตัวไปเช็กหน้าผากเจบีอีกรอบ ลมหายใจของอีกฝ่ายยังร้อนแต่ก็เริ่มนิ่งขึ้นแล้ว
“เฮ้อ…เด็กดื้อเอ๊ย…ฮันนีมูนจริงนะเว้ย คราวนี้ไม่รอดแน่” เขาพึมพำยิ้ม ๆ ก่อนจะก้มลงแตะแก้มข้างขมับอย่างแผ่วเบา ราวกับจะยืนยันคำขู่ที่พูดออกไปจริง ๆ
ทั้งคืนกายแทบไม่ออกจากข้างเตียง เจบีตัวร้อนสลับหนาวอยู่พักใหญ่ หมอกายก็คอยเช็ดตัวให้จนผ้าขนหนูชื้นไปกี่ผืนแล้วก็ไม่รู้ พออาการเริ่มทรงขึ้น ไข้ลดลงหน่อย ๆ เขาก็เอาเก้าอี้มานั่งพิงขอบเตียง จ้องคนป่วยที่นอนซุกผ้าห่มจนไม่เห็นแม้แต่ปลายจมูก
“คนอะไร ดื้อได้ขนาดนี้…ให้ทำงานก็ทำยาวไม่พัก จนไข้ขึ้นแทบไม่รู้ตัว”
กายบ่นในลำคอแต่ก็ยังลูบผมเจบีไปด้วย แผ่นหลังเจบีขยับน้อย ๆ เหมือนจะรู้สึกตัว พอไข้เริ่มลด คนป่วยก็ค่อย ๆ เงยตาขึ้นอย่างงัวเงีย ดวงตายังแดง ๆ จากพิษไข้
“คุณหมอ…”
“หืม? คุณหมออะไร” กายเลิกคิ้วนิด ๆ มือยังคงลูบแก้มอีกฝ่ายเช็กอุณหภูมิ “เรียกชื่อสิ จะได้รู้ว่ารู้สึกตัวแล้วจริง”
เจบีเบ้ปากน้อย ๆ เสียงแหบยังอู้อี้อยู่ใต้ผ้าห่ม “กาย…”
“ดีมาก เด็กดี” เขายื่นมืออีกข้างไปแตะหน้าผาก ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเจบีขยับหน้าเบียดมือเหมือนแมว “หิวมั้ย เดี๋ยวจะให้พยาบาลเอาข้าวต้มมา”
“ไม่เอา…คุณป้อน…”
“เออ ได้ เดี๋ยวป้อนให้ อย่าเรื่องมากแล้วกัน” กายว่าเสียงดุแต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม จัดแจงเรียกให้พยาบาลเอาอาหารอ่อนกับยาออกมาเตรียม พอข้าวต้มร้อน ๆ มาวาง กายก็จัดการตักคำเล็ก ๆ เป่าให้พออุ่น ก่อนจะจ่อช้อนให้เจบี
“อ้าปาก…ไม่กินเองฉันจะกรอกนะ”
เจบีเลยจำใจอ้าปากกัดคำช้า ๆ เคี้ยวแล้วก็เงยหน้ามองอีกคนเหมือนเด็กโดนจับป้อนยา กายเห็นก็ถอนหายใจแรง แต่สายตาที่มองกลับนุ่มจนคนป่วยเองยังอดเขินไม่ได้
“จะมองอีกนานมั้ย กินไปสิ จะได้กินยา”
“ก็มอง…คุณดูแลขนาดนี้ ใครจะไปเชื่อว่าหมอจะมานั่งเฝ้าคนไข้ไม่ห่างแบบนี้…”
กายยกช้อนอีกคำจ่อปากอีกคน ใบหน้ากับเสียงนิ่งเหมือนจะรำคาญ แต่แววตากลับเอ็นดูจนน้ำเสียงฟังดูอบอุ่นเกินเหตุ
“ไม่เฝ้าได้ไง เดี๋ยวพวกหมาป่ากลุ่มนั้นก็เอาไปใช้งานจนไข้ขึ้นอีก…คราวนี้ฉันจะจับใส่ห้องพิเศษ ล็อกไว้เลยคอยดู”
“ขนาดนั้น…”
“อือ…ขนาดนั้นแหละ ป้อนข้าวเสร็จแล้วก็ต้องกินยา เข้าใจไหมครับ…คุณเจบี”
เจบียิ้มอ่อน ๆ พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะยื่นมือไปจับชายเสื้อกายไว้เบา ๆ คล้ายกลัวอีกคนจะลุกไปไหน
กายเลยก้มลงแตะหน้าผากอีกครั้ง แกล้งจุ๊บเบา ๆ ตรงกึ่งกลางคิ้วเหมือนรางวัลให้เด็กดี แล้วก็บ่นติดหัวเราะในลำคอ
“อยากได้ขนาดนี้ เดี๋ยวหายเมื่อไหร่ จะพาไปพักที่ไหนก็บอกเลยนะ ฉันตามใจหมด…แต่ตอนนี้กินให้หมดก่อน เดี๋ยวจะจับป้อนเองทั้งคืนถ้ายังงอแงอยู่”
...
หลังจากเจบีฟื้นตัวจนเดินได้คล่อง กายก็ไม่รอช้า รีบลากตัวอีกฝ่ายขึ้นรถออกจากโรงพยาบาลทันที โดยไม่บอกจุดหมายสักคำ มีแค่กระเป๋าใบเล็ก ๆ ที่หมอจัดเองเสร็จสรรพ ทั้งยากิน ยาทา ไปยันของใช้ส่วนตัว
“นี่จะพาไปไหนกันแน่…” เจบีทำหน้าเหนื่อยใจอยู่เบาะข้างคนขับ มองคนขับรถที่กำลังฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีเกินเหตุ
“ฮันนีมูน”
"..."
“ก็อยากพามาเซอร์ไพรส์ไง รอเดี๋ยวก็รู้”
กายตอบพลางเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อเจบีให้เอนหัวพิงบ่าเหมือนกันดื้อ ๆ “หลับไปเลยก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุกเองนะครับ คุณเจบี”
กว่าคนตัวเล็กจะรู้ตัวอีกที พวกเขาก็มาถึงท่าเรือไม้เล็ก ๆ ที่เงียบสงบ มีแค่เรือสปีดโบ๊ทจอดรออยู่กลางแสงแดดยามเช้า น้ำทะเลใสราวกับกระจกสะท้อนผิวฟ้า
“หมอกาย…” เจบีเริ่มกังวลเมื่อเห็นไม่มีใครเลยสักคน “นี่มันเกาะอะไรเนี่ย จะพามาฆ่าทิ้งรึเปล่า?”
“พูดดี ๆ นะครับคนป่วย” กายหัวเราะเบา ๆ ขณะโยนเป้ใบเล็กลงเรือ “นี่เกาะส่วนตัวฉันเอง แอบซื้อไว้นานแล้วด้วยนะ ไม่บอกใครแม้แต่หมาหมู่ของนายก็ไม่รู้”
“หา!? หมายถึง…ราฟาเอโร่ก็ไม่รู้?”
“ก็ใช่สิ ไม่งั้นจะเรียกว่า ‘ลับ’ เหรอ” หมอหันมายักคิ้วกวน ๆ ใส่ “เตรียมใจเลยนะ ไม่มีไฟฟ้า มีแต่โซลาร์เซลล์แล้วก็เทียน ที่สำคัญ อาหารทะเลหากินเอง ตกปลา ตกหมึก อยากกินปูหอยก็ไปเดินงมหาเอา ไม่รู้พามาฮันนีมูนหรือพามาลำบากเหมือนกัน”
“หมอกาย!!!”
เจบียังโวยวายไม่ทันขาดคำ สปีดโบ๊ทก็ตัดน้ำออกจากท่าเรือ พาเขามาถึงเกาะเล็ก ๆ ที่เงียบสงบจริงตามคำพูด บังกะโลไม้หลังน้อยริมชายหาดมีแค่ไฟพลังงานแสงอาทิตย์สองสามดวง กระท่อมครัวแบบเปิดโล่ง และตะกร้าอุปกรณ์ตกปลา หัวเราะทั้งน้ำตาเถอะงานนี้
“จะอยู่ได้มั้ยเนี่ย…”
“ก็มีฉันอยู่ด้วยทั้งคนนะ” กายว่าพลางเดินโอบไหล่ดันให้เจบีเดินตามขึ้นบ้านพัก “อยู่ไม่ได้ก็หนีไม่ได้แล้วล่ะ เกาะนี้มีแต่เราสองคน เรือก็กลับไปแล้ว…หึ ๆ”
เจบีอยากจะผลักคนข้าง ๆ ลงทะเลให้จมเกาะมันไปซะตรงนี้ แต่ก็ทำได้แค่หน้าแดงเพราะอีกฝ่ายแนบหน้าเข้ามากระซิบชิดหู “ถ้าจะเหนื่อยก็ให้เหนื่อยแค่เรื่องเดียวพอ…เข้าใจใช่มั้ยครับ?”
...
แดดบ่ายคล้อยแต่ยังร้อนฉ่า ลมทะเลพัดเอื่อยพอให้ไม่เหนอะหนะเกินไป เจบีเดินเอื่อย ๆ ตามหลังหมอกายที่ตอนนี้เปลี่ยนลุคจากเสื้อกาวน์เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวบางจนแทบมองทะลุได้ กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า เผยหน้าท้องแข็ง ๆ มีร่องซิกแพคเป็นเงาจาง ๆ พอให้คนมองต้องกลืนน้ำลาย
“…แต่งตัวแบบนี้ คิดจะตกปลาจริง ๆ เหรอครับคุณหมอ” เจบีโวยวายเบา ๆ ทั้งที่สายตาแอบกวาดมองแผ่นหลังแล้วหลังเล่า
กายโยนตะกร้าใส่เหยื่อตกปลาให้อีกฝ่ายถือ มืออีกข้างคีบคันเบ็ดพาดบ่า หันมายักคิ้วกวน ๆ “คิดจะตกปลาหรือจะตกนายดีล่ะ?”
“บ้า! …คนบ้า!”
เจบีแทบจะเอาตะกร้าปาใส่หลังหมอถ้าไม่ติดว่าตัวเองก็หิวเหมือนกัน พอเดินมาถึงท่าเรือไม้เล็ก ๆ กายก็จัดแจงกางร่มให้ บังคับให้เจบีนั่งกอดเข่าเฝ้าคันเบ็ดไป ส่วนตัวเองก็ถอดรองเท้าเตรียมเหวี่ยงเบ็ดอีกอันลงทะเล
“นั่งดี ๆ อย่าเพิ่งบ่น เดี๋ยวได้ปลาก็มีข้าวต้มซีฟู้ดกินแล้ว”
“จะได้สักตัวไหมล่ะ…”
เจบีงึมงำแต่ตาก็แอบเหลือบมองหน้าท้องหมอเป็นพัก ๆ ยิ่งตอนหมอเงื้อคันเบ็ด เหงื่อซึมตามไหปลาร้าแล้วไหลลงซิกแพคบาง ๆ นั่นยิ่งทำเอาคนป่วยแทบอยากโดดน้ำหนี
กายหันมามองพอดี แถมยังจับได้อีกต่างหาก
“มองอะไร?”
“ก็…เปล่า…”
“หืม...” กายหัวเราะในลำคอ ขยับเข้ามานั่งลงข้าง ๆ ชนไหล่กันนิด ๆ มืออีกข้างวางพาดต้นขาเจบีแบบไม่รู้จักเว้นระยะให้ใจเต้น “อยากจับซิกแพคฉันมากกว่าคันเบ็ดก็บอกได้เลยนะครับ”
“บ้า!! ใครอยากจับ…”
“ไม่อยากจับซิกแพค งั้นจับอย่างอื่น— โอ๊ย! เจ็บนะ!”
เจบีเอาศอกกระทุ้งสีข้างคนขี้แกล้งไปที แต่กายก็ยังหัวเราะร่า เสียงหัวเราะผสมเสียงคลื่นล้อกันเหมือนเพลงสบาย ๆ ในบรรยากาศที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครกวนใจ
ไม่นาน ปลาตัวแรกก็ติดเบ็ดจนเจบีแทบลุกหนีเพราะดีดน้ำใส่ กายเลยต้องเอื้อมมือมาดึงเอวอีกฝ่ายให้กลับมานั่งที่เดิม พอได้คันแรกแล้วก็เหมือนเปิดทางให้โชคดี ปลาก็ติดเบ็ดเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามตัว พอให้มีเนื้อสด ๆ ไว้ทำมื้อเย็นสำหรับสองคน
พอทุกอย่างเรียบร้อย กายก็เดินนำเจบีกลับมาที่เพิงครัวไม้เล็ก ๆ ริมหาด แสงแดดช่วงเย็นสาดเข้ามาอุ่น ๆ พอให้ได้ยินเสียงคลื่นซัดฝั่งอยู่ไกล ๆ เจบีวางตะกร้าปลาลงแล้วก็ยืนรออย่างสงบ ส่วนหมอกายก็หาพวกผักกับสมุนไพรง่าย ๆ จากแปลงเล็ก ๆ ข้างกระท่อมมาล้างเตรียมไว้
กลิ่นควันไฟผสมกลิ่นเกลือทะเลลอยกรุ่นรอบเพิงครัวเล็ก ๆ ริมหาดที่กายต่อไม้ไว้แบบง่าย ๆ มีเตาถ่าน กะละมังเหล็กกับเขียงไม้เก่า ๆ ให้พอใช้จัดการปลาสด ๆ ที่เพิ่งตกได้
หมอกายนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดิม แต่คราวนี้เสื้อเชิ้ตขาวบางโดนลมทะเลพัดจนปลิวแนบตัว ผ้าบางจนเห็นแผงอกลางแสงแดด จังหวะที่ยืนก้มตัวจัดปลาบนตะแกรงย่าง รอยเหงื่อบาง ๆ ไหลตามแนวกระดูกไหปลาร้าไล่ลงไปที่หน้าท้องแบนราบ
เจบียืนอยู่ข้างหลัง มือยังกอดอกเหมือนจะงอน แต่ตากลับจับจ้องซิกแพคแล้วซิกแพคเล่า จนลืมไปว่าตัวเองก็โดนหมอหลอกมาด้วย
“จะยืนมองอยู่เฉย ๆ หรือจะช่วยกันล้าง…” กายเงยหน้ามายิ้มขำ ๆ ดวงตาคู่นั้นกึ่งเย้า กึ่งจริงจัง “อยากกินปลาย่างไหมล่ะ ถ้าอยากกินก็ช่วยกันสิครับ คนเก่ง”
ไม่รอให้ปฏิเสธ หมอขี้แกล้งก็ล้างมือลวก ๆ แล้วกวักมือเรียกเจบีให้เดินมาใกล้ ก่อนจะหมุนร่างอีกฝ่ายให้ยืนหน้ากะละมังแทนตัวเอง มือกายประกบเข้ากับมือเจบีจากด้านหลัง นิ้วร้อน ๆ จับประคองมือเย็น ๆ ให้จับตัวปลาแน่น ๆ
“มะ…ไม่ต้องแนบมากก็ได้…” เจบีเสียงสั่นนิดหน่อย เพราะช่วงเอวถูกหมอโอบไว้เต็ม ๆ แถมหน้าอกอุ่น ๆ ก็แนบแผ่นหลังอยู่แบบนี้
“แนบแล้วจะได้ล้างถูกไง” กายกระซิบข้างหู ฟังดูเหมือนสอน แต่ริมฝีปากร้อน ๆ เกือบแตะใบหูทุกครั้งที่เปล่งเสียง “นี่ จับท้องมันแน่น ๆ ลูบเกล็ดออกให้หมดก่อน เข้าใจมั้ยครับ?”
มือใหญ่รั้งมืออีกฝ่ายแน่นขึ้น นิ้วเรียวยาวของเจบีเปียกน้ำปลาผสมฟองสบู่ กายหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางที่คนตัวเล็กเริ่มเงอะงะกว่าเดิม
“มือสั่นทำไมล่ะ…เขิน?”
“ไม่ได้เขิน…” เจบีเถียงเสียงเบาแต่หน้าแดงชัด พยายามบิดเอวออกแต่โดนอีกฝ่ายรั้งไว้แน่นกว่าเดิม
“ก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ล้างปลาเองครับ…” หมอกายพูดเสียงต่ำ แล้วโน้มหน้าลงแตะแก้มเจบีแผ่ว ๆ ก่อนจะลากปลายจมูกผ่านไปที่กกหู
“…แต่ถ้าทำเสร็จแล้วจะกินอะไรเพิ่ม บอกได้นะ เดี๋ยวป้อนให้”
เจบียังคงปล่อยให้กายกุมมือล้างปลาอยู่แบบนั้น แม้จะพยายามเบือนหน้าหนี ลมหายใจก็ยังร้อน ๆ เพราะปลายจมูกกับเสียงกระซิบเมื่อครู่มันทำเอาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เขาไม่คิดเลยว่าคุณหมอที่วัน ๆ เห็นใส่แต่เสื้อกาวน์ อยู่ในห้องผ่าตัด หรือไม่ก็ถือแฟ้มเดินวุ่นอยู่แผนกฉุกเฉิน จะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ได้ถึงขนาดนี้
ตั้งแต่ใช้เบ็ดไม้ตกปลา ต่อเพิงครัวง่าย ๆ ริมหาด ก่อไฟ จัดการปลาสดด้วยมีดพกเพียงเล่มเดียว ไหนจะหั่นสมุนไพร หุงข้าวหม้อเล็กบนเตาถ่านได้สุกพอดีอีก
…แถมยังทำอาหารเก่งอย่างกับเป็นเชฟประจำรีสอร์ตยังไงยังงั้น
“อะไร…มองหน้าแบบนั้น?” กายถามยิ้ม ๆ ดันตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนเจบีต้องเอนหลังหนีแทบชิดผนังไม้
“ปะ…เปล่า แค่ไม่คิดว่าหมอจะทำอะไรแบบนี้ได้” เจบีเถียงเสียงแผ่ว ปลายหูยังขึ้นสีแดงจาง ๆ ไม่เลือนง่าย ๆ
กายหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ริมฝีปากแตะขมับอีกคนแทนคำตอบ มือก็ยังล้างปลาไปด้วยท่าทางสบาย ๆ
“ก็นี่ไง คนที่นายจะแต่งงานด้วย ต้องดูแลได้ทุกอย่าง…ตั้งแต่เช็กอาการในห้องฉุกเฉิน ยันติดเกาะหุงข้าวให้กิน” เขากระซิบยั่วเสียงต่ำ ลมหายใจอุ่นเป่าผ่านไปจนคนฟังขนลุกซู่
“ฉันน่ะ ดูแลนายได้หมดแหละ…ไม่ต้องห่วง”
อ่านต่อ >><จิ้ม<<
Talk with me.
ฝากติดตามความกวนทีนของคูมหมอด้วยนะ
ถึงจะกวนแต่ดูแลดุนะ ดุดันไม่เกรงใจใคร
เลิฟเลิฟครับ สนุกมากครับ ว้าวทบรรยากาศริมทะเล เป็นใจมาก
ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]