ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? ตอนพิเศษ 2.2
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-7-15 09:05ตอนพิเศษ 2.2หน้าหนาว⛄ไม่ใช่เพราะที่นั่นมีแสงเหนือ…แต่เพราะที่นั่นมีนาย
บ่ายวันใหม่ หิมะเพิ่งหยุดตกไม่นาน เมืองลอนดอนทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยสีขาวโพลนราวกับถูกเสกให้กลายเป็นเมืองในเทพนิยาย แสงแดดบางเบาสะท้อนผิวหิมะเป็นประกาย เจือความหนาวเย็นที่ยังไม่ทันจางไปไหน
เสียงประกาศเรียกเที่ยวบินถัดไปดังแว่วอยู่เป็นระยะ พร้อมกับเสียงล้อกระเป๋าเดินลากไปมาบนพื้นกระเบื้องที่เย็นจัดในช่วงฤดูหนาว อาคารผู้โดยสารขาออกเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ บางคนรีบเดิน บางคนหยุดยืนดูตารางไฟลต์ บางคู่ก็กำลังถ่ายรูปหน้ากระจกยาวบานใหญ่ริมทางเดิน
เจบีกับแคสเปอร์ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง ใกล้เกตที่ยังไม่เปิด แสงแดดจาง ๆ ลอดเข้ามาผ่านกระจกสูง ชะลอลมหายใจของบรรยากาศลงเล็กน้อย เพิ่มความอุ่นบาง ๆ ให้กับอากาศหนาวที่ยังปกคลุมอยู่โดยรอบ
เจบีอยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวอ่อนที่ดูจะหลวมไปนิด แต่กลับดูน่ารักนุ่มนิ่มอย่างประหลาด...พอดีกับภาพที่แคสเปอร์วาดไว้ในหัวไม่มีผิด
แคสเปอร์เดินเข้ามาใกล้ ยกมือจัดปกเสื้อให้แล้วหันตัวเจบีไปทางซ้ายที ขวาที คล้ายเช็กความเรียบร้อย แต่ก็เหมือนจะหาข้ออ้างแตะตัวไปด้วยในคราวเดียว
“อืม...น่ารักใช้ได้เลย” แคสเปอร์พูดพลางยิ้มมุมปาก มือยังค้างอยู่ที่ปกเสื้อของเจบี ราวกับยังไม่อยากให้โมเมนต์นี้จบลงเร็วเกินไป
เจบีเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงแววเหนื่อยใจ ขณะก้มดูตั๋วในมือ
“นี่ แคสเปอร์...คุณจะจ้องผมอีกนานไหม?”
แคสเปอร์ยักคิ้วตอบ รอยยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า
“ก็มองแล้วอุ่นดีนี่นา...ถ้าได้กอดด้วย คงอุ่นไปถึงฟินแลนด์เลยล่ะ”
เจบีถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ตามแบบของเขา
“ถ้าจะกอด ก็รีบกอดครับ จะได้ไปเข้าเกตสักที”
คำตอบนั้นดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นใบอนุญาตชัดเจนสำหรับคนที่ยืนรออยู่
แคสเปอร์ไม่พูดอะไรต่อ เขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวแล้วรวบเจบีเข้ามาในอ้อมแขนทันที
เสียงแคสเปอร์ลดต่ำลง ใกล้พอให้ลมหายใจอุ่น ๆ สัมผัสข้างแก้มของเจบี
“ฉันดีใจนะ ที่วันนั้นตัดสินใจนั่งเครื่องบินโดยสาร ถึงจะวุ่นวายไปบ้าง แต่มันก็ทำให้ฉันได้เจอนาย...คนที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉัน”
เจบีนิ่งไปเพียงครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดเมื่อครู่ หรือเพราะอ้อมแขนที่ยังไม่ยอมคลาย
“แล้วทำไมครั้งนี้ถึงตัดสินใจนั่งอีกล่ะครับ คุณไม่ชอบความวุ่นวายนี่นา...แถมยังจองชั้นประหยัดอีก”
แคสเปอร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ก็เพราะฉันอยากใช้เวลาต่อจากนี้ไปกับนาย อยากเป็นคนธรรมดา ทำเรื่องธรรมดา ๆ ไปกับคนที่ฉันชอบ”
เจบีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตาเขานิ่ง ๆ
“แค่ชอบเหรอครับ...”
แคสเปอร์ยิ้มนิด ๆ ไม่ตอบทันที เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกนิดจนเสียงแทบกลายเป็นกระซิบ
“อืม...แล้วนายอยากได้ยินว่าอะไรล่ะ”
เจบีหลบตาแทบจะในทันที สีหน้าดูเหมือนจะนิ่งเหมือนเดิม แต่หูแดงขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่พูดอะไร แค่อมยิ้มเบา ๆ เหมือนยอมรับก็ไม่ใช่ ปฏิเสธก็ไม่เชิง
แล้วเสียงประกาศขึ้นเครื่องก็ดังขึ้นพอดี
“ขอเชิญผู้โดยสารทุกท่านที่ถือบัตรโดยสารเที่ยวบิน...”
"ได้เวลาแล้วครับ"
เจบีพูดสั้น ๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วหมุนตัวเดินหนีไปทางเกตอย่างรวดเร็ว
แคสเปอร์ยืนมองตาม มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม
“…หนีเก่งจริงนะ”
เขาก้าวตามไปเงียบ ๆ พอทันกัน ก็เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าในมือเจบีอย่างไม่ให้เจ้าตัวตั้งตัว
เจบีหันมามอง
“ผมถือเองก็ได้ครับ”
“ไม่เอาน่า แบบนี้แหละดีแล้ว… ฉันกำลังทำหน้าที่คนรักอยู่ ไม่เห็นหรือไง”
ชายหนุ่มผมทองตาสีฟ้าใสกระพริบตาช้า ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าอ้อนหรือกวน
“แต่ดูเหมือนจะมีคนมองคุณมากกว่าผมนะครับ”
“ก็ดีแล้วไง คนจะได้รู้ว่าฉันเป็นของนาย แค่ของนายคนเดียว”
...
| บนเที่ยวบินโดยสารจากลอนดอนไปฟินแลนด์
เสียงประกาศภายในเครื่องบินดังคลอไปกับเสียงขยับตัวของผู้โดยสารที่ทยอยเข้ามานั่งประจำที่ เที่ยวบินระยะกลางที่บรรจุผู้คนเต็มลำดูวุ่นวายตามแบบของมัน แต่ชายหนุ่มผมทองกลับไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดอะไรออกมานัก
เขาเพียงถอนหายใจเบา ๆ เหมือนคนที่รู้ดีว่าตัวเองเลือกอะไรไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และคงไม่มีสิทธิ์โวยอะไรทั้งนั้น
“เข้าใจแหละ ว่าชั้นประหยัดมันก็ต้องเจออะไรแบบนี้...” เขาพึมพำขณะหย่อนตัวลงบนที่นั่งตรงกลางระหว่างเจบีกับผู้โดยสารอีกคนที่ดูจะยังไม่มา
ขายาว ๆ ของเขาแทบไม่มีที่ขยับ เข่าชิดพนักเบาะหน้าแทบติด จนเจ้าตัวอดสบถเบา ๆ ไม่ได้
“เบาะแน่นจนเข่าฉันจะไปอยู่บนเพดานอยู่แล้ว…”
เจบีที่นั่งริมหน้าต่างเหลือบตามองข้าง ๆ ก่อนจะยื่นหมอนรองคอให้แบบไม่ต้องพูดอะไรมาก
“คุณเป็นคนจองเองนี่ครับ ทนหน่อย”
“ตอนนั้นคิดว่าทนได้...ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว”
เขาตอบขำ ๆ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งโดยดี สอดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างคนที่พยายามจะทำใจยอมรับกับความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เครื่องบินค่อย ๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แรงสั่นเบา ๆ จากช่วงเร่งความเร็วสะเทือนผ่านพื้นใต้เท้า พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลบเสียงพูดคุยภายในห้องโดยสารไปเกือบหมด
แคสเปอร์นั่งพิงพนัก หลับตาลงชั่วครู่เหมือนจะทำใจให้สงบ…แต่ยังไม่ทันได้ถอนหายใจให้จบดี เสียงร้องแหลมเล็กของเด็กน้อยก็ดังแทรกขึ้นมาจากเบาะด้านข้าง
เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ เหลือบมองด้วยหางตา เห็นหญิงสาวคนหนึ่งอุ้มเด็กเล็กวัยประมาณขวบกว่าไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยกำลังส่งเสียงงอแงไม่หยุด พยายามดิ้นพลางร้องไห้ ทำเอาผู้โดยสารรอบข้างต่างก็เหลือบตามามองเป็นระยะ
แคสเปอร์ไม่ได้พูดอะไร แค่หันหน้ากลับไปตรง ๆ แล้วนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น สายตาเหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้ใส่ใจ
…แต่ลึก ๆ แล้ว เขากำลังค่อย ๆ ทำใจยอมรับกับสถานการณ์อึดอัดที่ต้องอยู่ด้วยไปอีกหกชั่วโมงข้างหน้า
แล้วแม่เด็กก็หันมาหาพวกเขาพร้อมรอยยิ้มรีบร้อน
“ขอโทษนะคะ พอจะช่วยดูเขาสักครู่ได้ไหมคะ เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว…”
แคสเปอร์ยังไม่ทันตอบ เด็กก็ถูกวางลงในอ้อมแขนของเขาแบบไม่ทันให้ปฏิเสธ
แคสเปอร์นิ่งไปเกือบสิบวินาที สองแขนโอบเด็กไว้แบบเก้ ๆ กัง ๆ เหงื่อซึมตรงขมับทั้งที่แอร์ก็เย็นดี เด็กน้อยหยุดร้องทันทีที่ได้เปลี่ยนมือ แล้วเงยหน้ามองเขาตาแป๋ว ก่อนจะเอื้อมมือเล็ก ๆ มาแตะจมูกเขาอย่างสนุกสนาน
“เขาจับหน้าฉัน…” แคสเปอร์หันมาพูดพลางมองเจบี เหมือนคนที่ยังไม่แน่ใจว่าควรทำตัวยังไงต่อไปดี
“ก็เขาอยากเล่นไงครับ” เจบีพยายามกลั้นหัวเราะ
“ฉันไม่รู้จะเล่นยังไง…”
ดวงตาสีฟ้าของเขาดูสับสนเล็กน้อย คล้ายเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่ถนัด
“งั้นส่งมาครับ”
เจบีพูดพร้อมยื่นมือไปรับ
แคสเปอร์รีบส่งเด็กให้เจบีแทบจะทันที ราวกับว่าได้พ้นจากภารกิจที่ไม่เข้าใจที่สุดในชีวิต
เจบีรับไว้ด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ เขากล่อมเด็กน้อยด้วยเสียงเบา ๆ พลางทำเสียงตลกเล็กน้อย เด็กหัวเราะคิกคักทันที มือเล็ก ๆ เกาะเสื้อเขาแน่น ดวงตากลม ๆ เต็มไปด้วยความไว้ใจ
แคสเปอร์นั่งมองเงียบ ๆ ข้าง ๆ ไม่พูดอะไร
...แต่มุมปากกลับยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่เคยเห็นเจบีในมุมแบบนี้มาก่อน อ่อนโยน เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นแปลก ๆ ที่แม้แต่เด็กก็รับรู้ได้
ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็…
เขานึกภาพขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ บ้านสีอ่อนริมทะเล เจบีกำลังอุ้มเด็กเล็กไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวเบา ๆ เหมือนภาพตรงหน้า เสียงหัวเราะเด็กกับเสียงเจบีที่กล่อมเบา ๆ มันกลายเป็นเสียงที่เขาอยากได้ยินทุกวัน
แคสเปอร์ถอนหายใจช้า ๆ เอียงหน้าพิงพนักพิง หรี่ตามองเจบีที่กำลังขยับตัวกล่อมเด็กในอ้อมแขน แล้วพูดเสียงเบา
“…ถ้าเรามีลูกกันจริง ๆ …ฉันว่า—”
เจบีหันขวับมาหา “อะไรนะครับ?”
แคสเปอร์สบตาเขาเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยักไหล่แทนคำตอบ
“เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
เขายังคงมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรอีก แต่ในใจกลับเริ่มจริงจังกับความคิดที่ว่านั่นขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ไม่นาน หญิงสาวก็กลับมานั่งที่เดิม ก่อนจะรับเด็กน้อยคืนสู่อ้อมแขน
"ขอบคุณนะคะ ปกติเขาไม่ค่อยงอแงเท่านี้ แต่น่าจะเพราะยังไม่ชินกับเครื่องบินค่ะ"
เจบีพยักหน้ารับพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ ให้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะยังไม่ยอมปล่อยมือจากเจบีง่าย ๆ นิ้วเล็ก ๆ ยังกำชายเสื้อเขาไว้แน่น ดวงตากลมใสมองขึ้นอย่างออดอ้อน
เจบีเห็นเข้า ก็เลยล้วงมือลงไปในกระเป๋า หยิบตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ยื่นให้ เด็กน้อยหัวเราะคิกคักทันทีเหมือนจะถูกใจ กอดของเล่นไว้แน่น แล้วเล่นอยู่เงียบ ๆ จนในที่สุดก็ผลอยหลับไปในอ้อมกอดของคนเป็นแม่
“น่ารักจังนะครับ”
เจบีพูดเบา ๆ พลางมองเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาอ่อนโยน
แคสเปอร์เหลือบมองเขา ก่อนจะหันกลับไปทางเดิม แต่ก็ยังปล่อยคำหนึ่งลอยออกมาช้า ๆ ราวกับไม่ได้ตั้งใจ
“อืม...นายก็น่ารัก”
เจบีก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยังแตะอยู่บนริมฝีปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ เอนศีรษะพิงเบาะ หลับตาลงช้า ๆ
เสียงเครื่องยนต์ภายในห้องโดยสารยังคงดังสม่ำเสมอ กลายเป็นจังหวะกล่อมอย่างแปลกประหลาด แคสเปอร์เหลือบมองข้างตัวอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นปิดสนิทไปแล้ว ลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ น้ำหนักตัวค่อย ๆ เอนมาทางเขาช้า ๆ
แคสเปอร์มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะขยับแขน ดึงเจบีเข้ามาใกล้ แล้วปล่อยให้อีกคนซบลงบนอกของเขาเต็มที่
เขายกแขนขึ้นโอบอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ ลมหายใจอุ่น ๆ ของเจบีแตะที่อกเขาเบา ๆ
แคสเปอร์เอนหลังพิงเบาะ หลับตาลงตาม ปล่อยให้ตัวเองหลับไปพร้อมกัน
...
เครื่องบินไถลลงจอดอย่างนุ่มนวลบนรันเวย์ เสียงล้อเสียดพื้นคอนกรีตดังเบา ๆ ตามจังหวะการเบรกช้า ๆ ของนักบิน ม่านเมฆสีเทาอ่อนนอกหน้าต่างเบาบางลง เปิดเผยให้เห็นทิวทัศน์ด้านล่างที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาทึบ
แสงไฟสีส้มจากเสาไฟส่องลอดม่านหมอกและละอองหิมะบาง ๆ ที่ยังโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เสียงประกาศภายในห้องโดยสารดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับแรงสะเทือนเล็กน้อยที่ทำให้เจบีรู้สึกตัว
เขากะพริบตาช้า ๆ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อย ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าตัวเองยังพิงอกใครบางคนอยู่เต็มน้ำหนัก
แคสเปอร์หลับตาอยู่ แต่ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอ
แขนที่โอบเขาไว้ตลอดทางไม่มีทีท่าว่าจะขยับหนีไปไหนแม้แต่น้อย
เจบีไม่พูดอะไร แค่หลุบตาลงเล็กน้อย ปล่อยให้ตัวเองซึมซับช่วงเวลานั้นเงียบ ๆ อีกนิด ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวออกจากอ้อมแขนของอีกคนอย่างเบามือ
“ถึงแล้วเหรอ…”
เสียงของแคสเปอร์แหบต่ำเล็กน้อย เขาลืมตาช้า ๆ ก่อนจะกะพริบตาไล่ความง่วงที่ยังค้างอยู่
“อืม...” เจบีตอบสั้น ๆ
เสียงประกาศในห้องโดยสารเริ่มเปลี่ยนเป็นภาษาฟินนิช บอกชัดว่าพวกเขามาถึงสนามบินเฮลซิงกิแล้ว
เจบีหันไปสบตาเขาเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น
แคสเปอร์ยักไหล่นิด ๆ พลางหยิบกระเป๋าจากชั้นเก็บของ แล้วเดินตามออกมา
“อีกไฟลต์เดียวก็จะถึงเลวิ อดทนอีกนิดนะ”
สนามบินในประเทศดูเงียบกว่าเทอร์มินัลหลัก แต่คนก็ยังคึกคักพอสมควร
เจบีดูเริ่มเหนื่อย สีหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการเดินทางหลายชั่วโมง เขาไม่ได้บ่นอะไร แต่แคสเปอร์สังเกตออก
เขาเลยไม่พูดมาก แค่เดินจับมือเจบีไว้แน่น พร้อมกับถือกระเป๋าให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องให้เอ่ยขอ
พวกเขาต้องต่อเครื่องอีกเที่ยวไปลงที่สนามบินคิตติลา แล้วต่อรถเข้าเมืองเลวิที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาและหิมะหนาแน่น
ระยะทางอาจไม่ไกลมากนัก แต่รวมแล้วก็เกือบห้าชั่วโมง
เมื่อถึงสนามบินคิตติลา ลมหายใจของเจบีกลายเป็นไอทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูอาคาร
อุณหภูมิติดลบที่โอบล้อมทุกอย่างไว้ด้วยหิมะทำให้โลกดูช้าลง แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกว่าต้องรีบไปไหน
ระหว่างทางนั่งรถต่อเข้าสู่เมืองเลวิ เจบีเงียบตลอดทาง กระจกหน้าต่างเริ่มกลายเป็นฝ้าเมื่ออากาศภายนอกเย็นจัด เขาพิงหัวกับกระจกอย่างเหนื่อยล้า ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงไปในที่สุด
แคสเปอร์เหลือบมองแล้วขยับโค้ทของตัวเองไปคลุมให้อีกคนโดยไม่พูดอะไร เขานั่งนิ่งเงียบอยู่แบบนั้นจนกระทั่งรถจอดสนิทที่หน้าที่พัก
บ้านไม้สองชั้นในเขตชานเมืองเลวิปกคลุมไปด้วยหิมะขาว มีแสงไฟสีอุ่นส่องลอดผ้าม่านออกมารอรับ คนขับช่วยยกกระเป๋าไปวางไว้หน้าประตู แล้วโค้งเบา ๆ
เจบียังหลับสนิทบนเบาะหลังของรถ แคสเปอร์เปิดประตูฝั่งนั้นก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เจบีไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าที่ซุกอยู่กับอกเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็สงบจนเขาไม่อยากปลุก
แคสเปอร์อุ้มเขาขึ้นบันไดทีละขั้น เปิดประตูเข้าที่พักอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้างในอบอุ่นกว่าที่คิด กลิ่นไม้แห้งกับความเงียบสงบของบ้านกลางหิมะให้ความรู้สึกเหมือนแยกออกจากโลกทั้งใบ
เขาวางเจบีลงบนเตียงอย่างเบามือ ถอดรองเท้า ถอดโค้ท แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้จนถึงคาง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ และมองอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง
“เหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ…” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มนั่นแผ่ว ๆ
...
เช้าวันใหม่ในเลวิเริ่มต้นด้วยความเงียบและแสงอ่อนของแดดที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เจบีลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาปรับเข้ากับแสงขาวนวลที่กระทบผนังห้องไม้
ร่างกายรู้สึกอบอุ่นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเขานอนอยู่ใต้ผ้าห่มหนา และมีบางอย่างที่แนบอยู่ข้างตัวตลอดเวลา
พอขยับตัวเล็กน้อยถึงได้รู้ว่า…แคสเปอร์กอดเขาไว้เต็มอ้อมแขน
แขนอีกฝ่ายพาดอยู่รอบเอว หน้าผากแนบอยู่กับช่วงไหล่ของเขาอย่างแนบชิด ร่างกายแนบกันจนแทบไม่มีช่องว่าง เหมือนพยายามจะทำให้เขาอบอุ่น ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัดนอกหน้าต่าง
เจบีหลับตาลงอีกครั้ง พลางถอนหายใจแผ่ว ๆ ในลำคอ ไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้ตัวเองเผลอขนาดนั้น แต่เมื่อวานเหนื่อยเกินกว่าจะฝืนอะไรได้อีก
พอรู้สึกตัวอีกที เขาก็นอนอยู่ที่นี่…ในบ้านไม้กลางหิมะ ข้าง ๆ คนที่อ้อมแขนแน่นอย่างไม่ปล่อย
เขาขยับตัวเล็กน้อย แคสเปอร์รู้สึกตัวตาม ลืมตาขึ้นพร้อมเสียงครางต่ำ ๆ ในลำคอ ก่อนจะซบหน้าลงกับไหล่เขาอีกครั้งแบบขี้เกียจลุก
“เช้าแล้ว...” เจบีพูดเบา ๆ
“หนาว…” แคสเปอร์ตอบเสียงงัวเงีย
เจบีขยับตัวเล็กน้อย พลางมองไปรอบห้อง
ห้องไม้เพดานสูง หน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติเข้ามาเต็มที่ นอกหน้าต่าง ต้นสนสูงเรียงรายเงียบ ๆ อยู่ท่ามกลางหิมะขาว แสงแดดอ่อนตกกระทบน้ำแข็งที่เกาะตามกิ่งไม้จนเป็นประกายระยิบระยับ
วิวสวยจนเจบีเผลอจ้องอยู่นาน
เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ โดยไม่ละสายตา
“ที่นี่...วิวดีมากเลย”
แคสเปอร์พยักหน้าเบา ๆ จากตรงไหล่เขา
“บ้านพักตากอากาศของฉันเอง…อยู่ในรายการทรัพย์สินที่ดองไว้ทั่วโลก” เขาพูดง่าย ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
เจบีหันมามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ
“ฟังดูน่าหมั่นไส้แปลก ๆ นะครับ”
“ก็ดีกว่าน่ารำคาญใช่ไหมล่ะ” แคสเปอร์ยิ้มมุมปาก ก่อนจะกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเล็กน้อย “อยู่ตรงนี้ก่อน ยังไม่ต้องรีบไปไหน”
เจบีไม่ได้ตอบอะไรอีก
เขาแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วหลับตาลงอีกครั้งอย่างวางใจ
...
ช่วงสาย แสงแดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาในครัวไม้ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ อากาศยังเย็น แต่ความอบอุ่นจากในบ้านค่อย ๆ ทะลายความหนาวออกไปทีละนิด
เสียงกาน้ำร้องเบา ๆ บนเตา
แคสเปอร์กำลังคนโกโก้ร้อนในหม้อเล็ก ๆ ด้วยท่าทางใจเย็น ขณะหันมามองเจบีที่ยืนพิงเคาน์เตอร์อยู่ไม่ไกล
“นั่งก่อนสิ"
เจบีมองเขาเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมขยับไปนั่งลงตามที่บอก
มือยังเย็นนิด ๆ จากตอนที่จับลูกบิดประตูบ้านออกไปดูหิมะข้างนอกเมื่อครู่
แคสเปอร์จัดจานอาหารเรียบง่ายตรงหน้า ขนมปังปิ้งทาเนย ไข่คนร้อน ๆ และผลไม้ที่ถูกหั่นอย่างเป็นระเบียบ
เขาวางแก้วโกโก้อุ่น ๆ ลงตรงหน้าของเจบี แล้วโน้มตัวลงนิดหน่อย กระซิบเสียงเบา
“ลองชิมดูสิ ชอบมั้ย”
น้ำเสียงของเขานุ่มจนเหมือนล้อเล่น แต่แววตากลับจริงจังพอให้รู้ว่าเขาตั้งใจทำ
เจบีหลุดยิ้มจาง ๆ ขณะยกแก้วขึ้นมาจิบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ กับรสขมปลายลิ้นแบบพอดีทำให้เขารู้ทันทีว่ามันไม่ใช่ผงชงสำเร็จแน่นอน
“ชอบครับ” เขาตอบง่าย ๆ
แคสเปอร์เท้าคาง มองอีกคนที่กำลังยกแก้วในมือขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเนียน ๆ
“ชอบฉัน? หรือโกโก้?”
เจบีวางแก้วลง ช้า ๆ ยิ้มนิดหนึ่ง ไม่หลบตา
“ก็ชอบทั้งสองนั่นแหละครับ”
แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก แต่แววตากลับจริงจังกว่าที่คิด เขายื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของเจบีเบา ๆ นิ้วไล้อย่างแผ่วเบาเหมือนกำลังจัดระเบียบอะไรบางอย่างที่มากกว่าผม
“แล้วนายชอบทะเลหรือภูเขามากกว่ากัน”
เจบีขมวดคิ้วนิด ๆ “ถามทำไมครับ”
“บอกมาก่อน” แคสเปอร์ยักไหล่น้อย ๆ น้ำเสียงยังดูสบาย ๆ แต่สีหน้าเริ่มมีแววสนใจบางอย่างชัดขึ้น
“ชอบทะเลครับ…เสียงคลื่นมันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เงียบสงบ เหมือนได้อยู่กับตัวเอง”
“อืม…” แคสเปอร์พยักหน้าเบา ๆ
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์หนึ่งในลิสต์ที่ดูคุ้นมือก่อนจะยกแนบหู สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กลายเป็นโหมดจริงจังแบบที่เจบีคุ้นเคยเวลาคนคนนี้จัดการธุรกิจอะไรสักอย่าง
“ลูเซีย” แคสเปอร์พูดเสียงเรียบทันทีที่ปลายสายรับ
“ฉันน่าจะยังมีวิลล่าติดทะเลฝั่งตะวันตกอยู่ ลองเปิดรายการให้ดูทีสิ”
เจบีเหลือบมองเขาเงียบ ๆ สลับกับจิบโกโก้ ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร แต่ด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น…มันดูไม่ใช่เรื่องที่ควรเข้าไปขัด
แคสเปอร์ยังคงคุยต่อในสาย สีหน้าเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย แต่ดูจริงจังขึ้นอย่างชัดเจน
“ขอแผนผัง วิว รายละเอียดทั้งหมดที่อัปเดตล่าสุดด้วย”
เว้นวรรคเพียงครู่เดียว ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเดิม
“แล้วก็เตรียมเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ไว้เลย”
เจบีชะงักไปเล็กน้อย เหมือนสมองยังประมวลไม่ทันว่าได้ยินอะไร ปลายนิ้วที่จับแก้วโกโก้อยู่แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเบา
“…วิลล่าอะไรเหรอครับ?”
แคสเปอร์ละสายตาจากโทรศัพท์แล้วหันกลับมามองเขาตรง ๆ รอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก สีหน้านิ่งเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่แววตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจที่ไม่มีการหยอกล้อแม้แต่น้อย
เขาตอบเพียงสั้น ๆ
“ของนายไง…”
ประโยคนั้นตกลงกลางความเงียบแบบไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม เจบีนิ่งไป สายตาไหววูบเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาควรเชื่อหรือควรถอย มือวางแก้วลงอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นใหม่
“…คุณกำลังล้อผมเล่นอยู่ใช่มั้ย…”
แคสเปอร์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตายังคงมองเขาตรง ๆ ไม่หลบ
“หน้าฉันดูไม่จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ”
ประโยคนั้นไม่มีน้ำเสียงแข็ง ไม่มีแม้แต่การบังคับให้เชื่อ แต่กลับหนักแน่นด้วยการมองที่ไม่ยอมละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว
เจบีก้มหน้าลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับช้า ๆ เหมือนกำลังเลือกคำอย่างระวัง
“เปล่าครับ…แค่...มันมากเกินไป” เขาพูดเสียงเบา แต่ชัดเจน
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลยนะ”
ไม่ใช่เพราะเขาไม่ซาบซึ้ง ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะมัน...มากเกินกว่าที่จะรับไว้ได้อย่างสบายใจ
แคสเปอร์ยังคงมองเขาอยู่แบบนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นในจังหวะที่เงียบสงบที่สุดของบทสนทนา
“ถ้ามันคือการลงทุน…นายก็คุ้มค่าที่ฉันจะยอมทุ่มสุดตัว”
เขาพูดเรียบ ๆ ราวกับกำลังพูดถึงหุ้น หรือแผนธุรกิจในอีกห้าปีข้างหน้า แต่ทุกคำกลับเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ลึกกว่านั้น ความตั้งใจ ความมั่นใจ และคำสัญญาที่ไม่มีคำว่าถอนตัว
“ฉันมองภาพอนาคตเอาไว้แล้ว และฉันจริงจัง…”
น้ำเสียงเขายังมั่นคงเช่นเดิม ก่อนจะเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วพูดต่ออย่างตรงไปตรงมา
“ฉันไม่มีอะไรมาก…แต่นายจะได้ทั้งหมดที่ฉันมี”
เจบีชะงัก เหมือนทุกเสียงรอบตัวดับเงียบลงทันที ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเบา เหมือนคนที่ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจในตัวผมขนาดนั้นครับ…”
แคสเปอร์ไม่ได้ตอบทันที เขาเพียงมองอีกคนเงียบ ๆ ราวกับกำลังมองอะไรบางอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจ
“ก็ทุกอย่างที่เป็นนายไง”
เพราะสำหรับเขา คำตอบนั้นชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เลือกจะเข้ามาใกล้คนคนนี้แล้ว
ตอนต่อไป >>จิ้ม<<
Talk with me.
ฝากติดตามต่อด้วยนะ
ขอกำลังใจหน่อยน้าา
รักคนอ่าน❤️
สนุกมากครับ เลิฟหลาย เบาๆ น่ารัก น่ารัก
ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]