ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 42
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-7-10 08:31Chapter 42ถ้าความรักคือยารักษา ฉันจะจ่ายให้เขาทุกวัน
ห้องพักฟื้นพิเศษชั้นในสุดของโรงพยาบาลยังคงมีแสงเช้าสีอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งบาง เส้นแสงทอดพาดบนพื้นสะอาดเรียบอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจาง ๆ คลุกรวมกับกลิ่นชาเขียวอุ่นที่เพิ่งวางไว้บนโต๊ะใกล้หัวเตียง
เจบีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง มือถือหนังสือเล่มเดิมที่อ่านวนมาเป็นรอบที่สาม ข้างเตียงฮันแจยังเงียบสงบ เครื่องวัดสัญญาณชีพยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอ เสียงติ๊กเบา ๆ เป็นจังหวะเดียวที่ไม่เคยขาดหาย
ประตูห้องเปิดออกช้า ๆ พร้อมเสียงฝีเท้านิ่ง ๆ ที่คุ้นเคย
"กินข้าวหรือยัง?" กายถามเสียงเรียบ ขณะวางถุงข้าวกล่องกับขวดน้ำแร่ไว้บนโต๊ะเล็กข้างโซฟา
เจบีส่ายหน้าเบา ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย "ยังครับ ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่"
กายเลิกคิ้วช้า ๆ "หืม...แต่สีหน้าบอกว่าระดับน้ำตาลนายกำลังตก"
เขานั่งลงข้างเจบี หยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดฝา แล้วยื่นให้ตรงหน้า
"รับไปเถอะ ถือว่าเป็นคำสั่งจากหมอ"
เจบีรับมาเงียบ ๆ พลางอมยิ้มบาง ๆ อย่างคนเริ่มชินกับการดูแลเงียบ ๆ แบบไม่ปล่อยให้เขามีทางเลือกอื่น
"วันนี้อาการฮันแจดีขึ้นไหมครับ?" เขาถามพลางมองไปที่เตียง
"ชีพจรนิ่ง อัตราการตอบสนองดีขึ้นนิดหน่อย" กายตอบก่อนจะเว้นช่วงนิดหนึ่ง แล้วเสริม "แต่คนเฝ้านี่สิ ดูท่าจะต้องตรวจมากกว่า"
เจบีหันมามอง เห็นแววขำเบา ๆ ในแววตาคู่นั้น
"ผมสบายดีครับ หมอไม่ต้องเป็นห่วง"
"อืม…แต่ถ้าจะสบายกว่านี้ นายต้องยอมให้ฉันดูแลมากกว่านี้อีกนิด"
"หืม?"
"เช่น นั่งกินข้าวดี ๆ ดื่มน้ำให้หมด แล้วก็…เลิกทำหน้าเหมือนจะโทษตัวเองตลอดเวลา" กายพูดขณะเอื้อมไปหยิบตะเกียบออกจากถุง
"หมอพูดแบบนี้กับคนไข้ทุกคนเลยหรือเปล่าครับ?"
"เปล่า" กายตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด "คนที่ได้สิทธิพิเศษแบบนี้ มีแค่นายคนเดียว"
ประโยคนั้นเบา แต่แรงพอจะทำให้เจบียกมุมปากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มือที่วางบนตักกำแน่นน้อยลง แล้วเขาก็ยอมเปิดกล่องข้าวในที่สุด
กายนั่งมองเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเจบีกำลังตักข้าวเข้าปากอย่างเชื่องช้า นับคำได้ ไม่ต่างจากคนฝืนกินเพียงเพื่อตอบแทนความหวังดีของใครบางคน
เขาไม่พูดอะไรให้ยืดยาว แค่ลุกจากฝั่งตรงข้าม ขยับเก้าอี้มานั่งข้างเจบี แล้วเอื้อมมือไปแย่งช้อนออกจากมืออีกฝ่ายอย่างแนบเนียน
"กินเหมือนแมวดมแบบนี้ จะมีแรงได้ยังไง" เสียงทุ้มต่ำว่าเรียบ ๆ แต่สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใยแบบไม่ปิดบัง
ว่าแล้วก็จัดการตักข้าวคำโตพอดีคำ ยื่นมาตรงหน้าเจบีพลางทำเสียง "อ้าม~" แบบหน้าตาเฉย
เจบีชะงัก มือยังค้างอยู่ที่ปลายโต๊ะ
"ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ…" เขาว่า พลางหลุบตาลงน้อย ๆ แก้มร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"งั้นก็ดี จะได้ไม่ดื้อเวลาโดนบังคับกินข้าว" กายตอบพลางยิ้มมุมปาก แล้วขยับช้อนเข้าใกล้อีกนิด
เจบีถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ยอมอ้าปากรับคำข้าวนั้นโดยดี แอบมองค้อนเล็ก ๆ อย่างคนที่รู้ตัวว่าถูกเอาใจแบบไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
"ดีมาก" หมอหน้านิ่งพูดแผ่ว ๆ แล้วตักอีกคำต่อทันที
เจบีเคี้ยวข้าวช้า ๆ พยายามไม่เงยหน้าขึ้น แต่ก็รู้สึกถึงสายตาของกายที่มองเขาอยู่ตลอด มือวางบนตักขยับเล็กน้อยอย่างคนไม่รู้จะทำอะไรกับความเก้อเขินของตัวเองดี
กายไม่ได้เร่ง ไม่ได้บังคับ แต่ก็ไม่ปล่อยให้เจบีมีเวลาหนี เหมือนคนที่รู้ดีว่ากำลังดูแลใครบางคนอยู่ด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่ความจำเป็น แต่เพราะอยากทำ
“กินอีกนิด” เขาว่า ขณะยื่นช้อนมาให้ใหม่
เจบีรับช้อนเงียบ ๆ ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ เหมือนพยายามกลบความประหม่าในอก
“คุณหมอไม่มีเวรตรวจคนไข้เหรอครับ…”
กายเหลือบมองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะตอบโดยไม่เว้นจังหวะ
“ก็กำลังตรวจอยู่นี่ไง”
แค่ไม่กี่คำ แต่กลับทำให้หัวใจเจบีเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาก้มหน้าลงนิดหนึ่ง พยายามกลบสีหน้าที่เริ่มร้อนขึ้น
“ตรวจผมเนี่ยนะ…”
กายไม่ได้ตอบทันที เขาเพียงเอื้อมมือไปหยิบทิชชูขึ้นมา ก่อนจะเช็ดมุมปากให้เจบีอย่างเบามือ จากนั้นจึงหยิบแก้วน้ำขึ้นมายื่นให้
“กลืนน้ำตามด้วย จะได้ไม่ติดคอ” หมอหน้านิ่งยังคงเสียงเรียบ แต่การกระทำกลับอ่อนโยนเสียจนเจบีไม่รู้จะหลบสายตาไปทางไหน
เขารับแก้วน้ำมาเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะดื่มช้า ๆ อย่างคนที่กำลังพยายามไม่ให้เสียงหัวใจตัวเองดังกว่าเกินไป
กายมองเขาอยู่นิ่ง ๆ สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“วันนี้เสี่ยวไป๋ไม่มารับเหรอ”
เจบีส่ายหน้าบาง ๆ “ผมว่าจะค้างที่นี่ครับ อยู่เฝ้าฮันแจด้วย...พรุ่งนี้ต้องเข้าซิลเวอร์เนสต์ คงอีกหลายวันกว่าจะได้แวะมาอีก”
“อืม…กินเสร็จแล้วก็พักผ่อนบ้างนะ”
กายพยักหน้ารับคำ ดวงตายังคงจับจ้องโดยไม่ละไปไหน เขาเก็บกล่องอาหารที่เหลืออย่างใจเย็น ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ทว่าในจังหวะที่มือแตะประตู เขาหันกลับมา ยิ้มบาง ๆ ให้หนึ่งครั้ง แล้วขยับปากเบาๆ "มีอะไรเรียกฉันนะ"
เจบีมองตามแผ่นหลังของกายจนประตูปิดสนิทลง เขาก้มลงมองแก้วน้ำในมือตัวเอง ก่อนจะยกขึ้นจิบอีกเล็กน้อย
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นต่อเนื่อง เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา ไล่สายตาอ่านข้อความทีละอัน ส่วนใหญ่เป็นข้อความไร้สาระพวกกลุ่มขนนกสีเงินที่ดูเหมือนจะหาเรื่องหยอกเขาเล่นเสียมากกว่า ทั้งแคสเปอร์ที่ส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวหัวเราะไม่หยุด เรนที่แปะรูปถุงขนมกับข้อความ "กินเยอะ ๆ จะได้กอดอุ่น" หรือแม้แต่เสี่ยวไป๋ที่ส่งแค่สั้น ๆ ว่า "อย่าคิดมาก" ตามสไตล์คนพูดน้อย
เจบียิ้มนิด ๆ อย่างอดไม่ได้กับความวุ่นวายน่าเอ็นดูของพวกเขา ก่อนที่สายตาจะสะดุดกับข้อความหนึ่ง
ไม่มีชื่อ ไม่มีรูปโปรไฟล์ ไม่มีเบอร์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
'ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม'
นิ้วมือของเขาค้างอยู่กลางหน้าจอ ก่อนจะค่อย ๆ เหลือบมองฮันแจที่นอนนิ่งอยู่ข้างเตียง เสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังสม่ำเสมอในห้อง ทำให้หัวใจของเจบีเหมือนถูกบีบช้า ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาโกรธ โกรธแทบบ้า ที่ผู้ชายคนนั้นทำให้ฮันแจต้องเจ็บปวดขนาดนี้ โทรศัพท์ในมือสั่นนิด ๆ ตามแรงกดที่เขาไม่รู้ตัว
แต่ในขณะเดียวกัน...ภาพของฮันแจที่เอาตัวเองเข้าขวางกระสุนเพื่อปกป้องคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ก็ย้อนกลับมาตอกย้ำเขาอีกครั้ง
ฮันแจยอมเสียสละทุกอย่างให้กับคน ๆ นั้น แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง
ความรู้สึกระหว่างพวกเขา คงมีอะไรมากกว่าที่เขาเคยเข้าใจ ลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดธรรมดาจะอธิบาย เจบีกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอ สายตาสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่
เขาควรเกลียด ควรโกรธ
แต่กลับลังเล...ลังเลจนไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร
ความคิดที่ซ้อนทับเหมือนคลื่นใต้น้ำถูกขัดจังหวะ เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมแรงผลักเบา ๆ ที่ไม่ได้นุ่มนวลนัก เจบีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือทันที ก่อนจะเห็นใบหน้าคุ้น ๆ โผล่เข้ามาก่อนใคร
"โอฮาโย~ เจบีคุง! ทาไดมะ~" เรนเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ มือข้างหนึ่งหิ้วถุงกระดาษจากสนามบิน ส่วนอีกข้างถือของกินเล่นพะรุงพะรังราวกับเด็กเพิ่งออกจากร้านของเล่น
“เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเหรอ?” เจบีถามพลางเลิกคิ้ว
“ก็ใช่น่ะสิ~ คิดถึงเลยรีบบึ่งมาตรงนี้ก่อนเลยเห็นมั้ย” เรนโยนถุงของฝากลงบนโต๊ะข้างเจบี ก่อนจะหยิบของในนั้นออกมาโชว์อย่างภูมิใจ
“ดูนี่ กาชาปองตุ๊กตาแมวตัวจิ๋ว!” เรนหยิบโมเดลแมวขนาดเท่าปลายนิ้วขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มซุกซน
ยังไม่ทันให้เจบีได้พูดอะไร เขาก็ล้วงออกมาอีก “นี่กาชาปองรถไฟมินิ! สะสมได้ห้าสีเลยนะ ฉันสุ่มมาให้หมดแล้ว”
จากนั้นก็เป็นพวงตุ๊กตาเล็ก ๆ รูปร่างเหมือนขนมหวาน ทั้งเค้กทั้งโดนัทจิ๋ว ๆ ถูกเทลงมาจนเต็มโต๊ะ
“แล้วก็อันนี้…” เขาลากเสียงยาวอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหยิบกล่องขนาดเล็ก ๆ ที่มีแพ็กเกจสีชมพูหวานแหววขึ้นมา “ของสำคัญ”
เจบีขมวดคิ้ว “อะไร…”
“ถุงยางลายการ์ตูนลิมิเต็ดจากญี่ปุ่น! แถมเจลกลิ่นซากุระด้วย~” เรนพูดเสียงใส ยักคิ้วหนึ่งทีแบบเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยื่นถุงใบนั้นมาตรงหน้าเจบีแบบไม่ถามก่อนด้วยซ้ำ
เจบีแทบสำลักลมหายใจตัวเอง “เรน!”
“อะไรล่ะ ของดีทั้งนั้น ฉันห่วงสุขภาพทางใจของนายไง~”
เจบียกมือปิดหน้า หันหนีไปทางหน้าต่าง “นายมัน…บ้า”
เรนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี
“เอาน่า ไม่ได้ใช้ก็เก็บไว้ประดับโต๊ะ อย่างน้อยกลิ่นมันก็หอม”
เจบีถอนหายใจ “กลับญี่ปุ่นไปเลยไป”
“โห ใจร้าย ฉันอุตส่าห์มาดูอาการนายกับฮันแจนะเนี่ย” เรนหันไปมองเตียงคนไข้ที่ยังหลับสนิท แล้วกลับมาหย่อนตัวนั่งข้างเจบี “เขาเป็นไงบ้างล่ะ”
เจบีพยักหน้าช้า ๆ “ดีขึ้นเรื่อย ๆ”
เรนยิ้มจาง ๆ ท่าทางปั่นเมื่อครู่หายไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมาวางมือบนหัวเจบีเบา ๆ
“ดีแล้ว”
"ว่าแต่นายพอมีเวลาว่างมั้ย" เจบีถามหลังจากลังเลนิดหน่อย
"สำหรับนาย ฉันว่างเสมอ มีอะไรล่ะ" เรนตอบทันควันโดยไม่ต้องคิด
"คือ...ฉันอยากให้พาไปที่นึงหน่อย" เจบีพูดพลางหลบตาเล็กน้อย
เรนหัวเราะเบา ๆ "ชวนออกเดทว่างั้น"
"ไม่ใช่สักหน่อย..." เจบีรีบปฏิเสธ หน้าเริ่มร้อนขึ้นนิด ๆ "แค่...ไม่อยากไปคนเดียวน่ะ"
"รับทราบ!" เรนยกมือทำท่าเหมือนรับคำสั่งอย่างขึงขัง "ฉันขับแลมโบมาพอดี เสียงมันอาจดังหน่อยนะ อาจจะเผลอเหยียบมิดไมล์หน่อย ๆ…เผื่อฉันจะได้หันไปปลอบนายกลางทาง"
เจบีหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า "เอาที่นายสบายใจเลย"
“พูดแล้วนะ อย่ามาโทษกันทีหลังล่ะ” เรนขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนจะคว้ากุญแจรถในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
...
แลมโบร์กินีสีดำแดงจอดรออยู่ตรงลานจอดรถช่องพิเศษ ราวกับจงใจขโมยสายตาทุกคนที่ผ่านไปมา
เจบีขึ้นรถตามไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาดโดยสัญชาตญาณ ราวกับรู้ดีว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ชีวิตเขาจะไม่อยู่ในการควบคุมของตัวเองอีกต่อไป
เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำใต้พื้นรถ ท่อไอเสียแตกระเบิดเสียงกระหึ่มจนพื้นสั่นสะเทือน เรนทำหน้ากรุ้มกริ่ม หมุนพวงมาลัยไปมาราวกับนักแข่งมือโปร แล้วเหยียบเบิ้ลเครื่องเสียงดังสนั่น
กายเดินผ่านมาในจังหวะนั้นพอดี หยุดมองรถกับสองคนข้างในด้วยสายตาแบบคนที่ชั่งใจว่าจะเตรียมเรียกหน่วยกู้ชีพดีไหม ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ ยืนเท้าเอวแล้วส่ายหน้าอย่างหมดคำจะพูด
เรนทำเหมือนกำลังจะพุ่งทะยานออกตัว แต่แล้ว...หลังจากที่อวดเครื่องซะยิ่งใหญ่ เขากลับค่อย ๆ แตะคันเร่งเบา ๆ แล้วเคลื่อนรถออกจากลานจอดอย่างเชื่องช้า ราวกับเต่าคลานข้ามถนน
เจบีเลิกคิ้วขึ้นมองนิด ๆ ก่อนหลุดขำเบา ๆ ขณะที่เรนหันมาขยิบตาหนึ่งที
"ก็รถมันติดนี่นา..." เรนบ่นพึมพำ แต่ในน้ำเสียงฟังออกชัดว่ากำลังกลั้นหัวเราะตัวเองอยู่เหมือนกัน
เจบียกมือขึ้นปิดปาก กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นเบา ๆ พูดแผ่ว ๆ ว่า
"นึกว่าจะเหาะไปแล้วซะอีก"
"อดใจรอหน่อย เดี๋ยวถึงทางโล่งเมื่อไหร่...ฉันจะพานายบินเอง!"
เจบียิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูดเบา ๆ "ขอบคุณนะ..."
"ขอบคุณอะไรเล่า" เรนยื่นมือมาขยี้ผมเจบีเบา ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว "นายน่ะ สมควรได้รับมันอยู่แล้ว"
"อืม..." เจบีพยักหน้าเบา ๆ ดวงตานิ่งลงเหมือนมีอะไรในใจสักอย่าง
"แล้วนี่จะไปไหนกันแน่" เรนถามอีกครั้ง พลางเหลือบตามอง
เจบีไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้แทน ข้อความที่ถูกเปิดอ่านแล้วฉายอยู่บนหน้าจอ ราวกับไม่ต้องการซ่อนอะไรอีก
เรนก้มมองข้อความที่เด้งขึ้นมา พอเห็นเนื้อหาสั้น ๆ เท่านั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนทันที
"ไอ้เวรนั่นยังกล้าติดต่อมาหานายอีกเหรอ" เขาขบกรามแน่น น้ำเสียงขุ่นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
"นายช่วยใจเย็นหน่อยได้มั้ย" เจบีพูดเบา ๆ เหมือนกำลังกล่อม "ฉันแค่อยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่"
เรนหายใจแรงหนึ่งครั้ง กำพวงมาลัยแน่น ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นเสยผมแรง ๆ ราวกับระบายอารมณ์
"เข้าใจแล้ว" เขาพึมพำเสียงต่ำ "ฉันจะพยายาม...ไม่ต่อยหน้าเขาก่อนละกัน"
...
เรนขับรถพาเจบีออกจากเขตตัวเมือง ลัดเลาะไปตามซอยเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เงียบลงเรื่อย ๆ จนมาถึงเขตท่าเรือเก่า ริมแม่น้ำเทมส์ โกดังขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายในสภาพทรุดโทรม บางหลังก็ถูกทิ้งร้างจนมีเพียงโครงเหล็กผุ ๆ ตะไคร่น้ำเกาะแน่นไปทั่ว
เสียงเครื่องยนต์แลมโบร์กินีดับลง พร้อมกับที่เรนหยิบปืนสั้นติดตัวลงมาด้วย สีหน้าเรียบนิ่งแต่ดวงตาเย็นเฉียบ เหลือบมองรอบข้างสั้น ๆ ก่อนพยักหน้าให้เจบีก้าวลงจากรถ
ลมเย็นจากแม่น้ำพัดปะทะหน้าแรงขึ้นเมื่อเจบีกับเรนก้าวเข้าไปใกล้โกดังเก่าหลังหนึ่ง ประตูเหล็กบานใหญ่เปิดแง้มอยู่นิดหน่อย พอให้แสงจาง ๆ จากภายนอกเล็ดลอดเข้าไปข้างในที่มืดทึม เสียงบานประตูเหล็กสั่นเอี๊ยดอ๊าดตามแรงลม ทำเอาทุกก้าวที่เดินเข้าไปยิ่งฟังดูวังเวงกว่าที่ควรจะเป็น
กลิ่นสนิม กลิ่นน้ำทะเลเก่า ๆ และกลิ่นอับของเหล็กเปียกชื้นอบอวลอยู่ในอากาศ เจบีพยายามตั้งสติ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่กลับรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวหนักขึ้นจนแทบขยับไม่ได้
เสียงฝีเท้าแผ่ว ๆ ดังขึ้นจากด้านใน โกดังโล่งกว้างจนเสียงฝีเท้าเดียวสะท้อนก้องไปทั่ว
แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในเงามืด
คิมบอม...ในสภาพที่เจบีแทบจำไม่ได้ เสื้อโค้ทยาวสีเข้มดูหลวมโพรกบนร่างที่ซูบผอมลง ดวงตาลึกโบ๋ใต้แสงไฟนีออนสลัว ๆ ผมยุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้นอนมาเป็นวัน ๆ
เขาไม่ได้ถืออาวุธ ไม่มีท่าทีขู่เข็ญ
มีเพียงมือสองข้างที่สั่นน้อย ๆ...กับดวงตาที่มองตรงมาแบบแทบจะกลืนกิน
คิมบอมก้าวมาข้างหน้าเพียงก้าวเดียว ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่ากลางโกดัง พื้นกรวดเศษเหล็กเสียดสีกันดังกรอบแกรบ ใบหน้าที่เคยหยิ่งผยองตอนนี้เต็มไปด้วยร่องรอยความพังทลาย
คิมบอมทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าเจบี ทั้งมือทั้งเสียงสั่นเทาเหมือนคนจะขาดใจ
"เจบี..." เขาเอ่ยชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงแหบพร่า ราวกับไม่แน่ใจว่าตัวเองยังเหลือสิทธิ์แม้แต่จะเอื้อนเอ่ย
"ขอร้อง...ขอร้องล่ะ..."
มือที่เคยถือปืนอย่างมั่นคงตอนนี้กลับกำชายเสื้อเจบีแน่นราวกับเด็กหลงทาง
"บอกฉันที...ได้ไหม..."
เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำ จ้องมองเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำตาย
"ขอแค่คำเดียว...แค่บอกฉัน...ว่าเขายังอยู่..."
เสียงสุดท้ายแทบกลืนหายไปในลมหายใจที่ขาดเป็นช่วง ๆ
"แค่คำเดียว...ได้ไหมเจบี...ฉัน...อยู่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ"
คิมบอมก้มหน้าลงจนหน้าผากแทบแนบพื้น มือกำเสื้อเจบีแน่นจนสั่นแทบปลิวไปตามลม ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างน่าสงสาร ภาพตรงหน้าบีบคั้นหัวใจเสียจนเจบีต้องกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
และข้างหลังเขา เรนยังคงยืนอยู่อย่างเงียบงัน ปืนในมือกดต่ำลง แต่สายตากลับกดดันคิมบอมอย่างไร้ความปรานี เหมือนพร้อมจะยิงได้ทุกเมื่อ หากอีกฝ่ายทำอะไรแม้แต่นิดเดียวที่ดูผิดปกติ
และในจังหวะที่เจบีกำลังลังเล เสียงของเรนก็ดังขึ้น ต่ำและกดดันเหมือนกระแทกเข้ากลางอกคนฟัง
"นายรู้ตัวไหม ว่าตัวเองมันโคตรเห็นแก่ตัว"
เรนขยับปลายนิ้วบนไกปืนเบา ๆ โดยไม่ละสายตาจากร่างที่ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
"ทำร้ายเขาแทบตาย... แล้วคิดว่าคำขอโทษงี่เง่าประโยคเดียว มันจะเปลี่ยนอะไรได้?"
เรนก้าวเข้าไปช้า ๆ ก่อนจะก้มลงมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉียบ ราวกับกำลังมองบางสิ่งที่ไร้ค่าจนไม่แม้แต่จะรู้สึกสงสาร
"คนที่นายรักต้องตายเพราะมือของนายเอง...ก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ"
เจบีรู้สึกได้เลย ว่าร่างของคิมบอมสั่นหนักขึ้นในวินาทีนั้น
แต่เรนก็แค่ยืนนิ่ง ไม่ซ้ำเติม ไม่สงสาร และไม่ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากหลุมที่ขุดไว้ด้วยมือตัวเอง
คิมบอมกัดฟันแน่น พยายามรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายคลานเข้าใกล้เจบี แต่เรนขยับตัวเร็วกว่า
เขาก้าวเข้ามาขวางระหว่างเจบีกับคิมบอม ปืนในมือกดต่ำลงแนบต้นขา ท่าทางไม่เปิดโอกาสให้เข้าใกล้แม้แต่นิดเดียว
"อย่าแม้แต่จะคิด...แตะต้องเขา" เรนพูดเสียงเบา แต่ชัดเจนราวกับกระสุนที่ฝังลึกในอก
คิมบอมหายใจหอบ เสียงแตกพร่า พยายามเอ่ยออกมาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
"ได้โปรด...เจบี...บอกฉันที...ว่าเขายังอยู่..."
เจบีเบือนสายตาหนีไปด้านข้าง ลมหายใจเหมือนถูกดึงกระชากออกจากอก ไม่กล้ามองดวงตาแตกสลายของอีกฝ่าย
"นายไม่มีค่าพอจะได้ยินคำตอบนั่นด้วยซ้ำ"
น้ำเสียงของเรนราบเรียบ แต่เย็นพอจะปิดตายประตูทุกบานที่คิมบอมหวังจะไขว่คว้าไว้
ก่อนที่เขาจะเอื้อมแขนโอบไหล่เจบีแน่น ๆ ดึงตัวอีกฝ่ายให้หันหลังกลับ
มือข้างหนึ่งยังถือปืนแนบต้นขาไว้อย่างไม่ประมาท ขณะที่อีกข้างกดไหล่เจบีเบา ๆ อย่างตั้งใจจะพาออกไปจากที่ตรงนั้น
"กลับกันเถอะ" เรนพูดเสียงเรียบ แต่หนักแน่นพอจะตัดทุกความลังเล "อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่คู่ควรเลย"
เจบีไม่ได้ขัดขืน เขายอมให้เรนพาเดินไปเงียบ ๆ ลมหายใจสะดุดเล็กน้อยในอก รู้สึกถึงแรงกดอุ่น ๆ บนไหล่ที่ไม่ได้บังคับ...แต่กำลังปกป้อง
ด้านหลัง เสียงสะอื้นอันเงียบงันของคิมบอมจมอยู่กับลมเย็นเฉียบของลานร้างที่ไร้แสงไฟ
และเจบี...ไม่หันกลับไปมองอีกเลย
เจบีก้าวขึ้นรถเงียบ ๆ เรนปิดประตูให้อย่างระวัง ก่อนจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ
เรนสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสั้น ๆ เขาไม่พูดอะไรอีก แค่โน้มตัวมาขยี้หัวเจบีเบา ๆ เหมือนจะบอกโดยไม่ต้องใช้คำพูด
"นายทำดีแล้ว"
เขาว่าเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้า เหยียบคันเร่งเคลื่อนตัวออกจากโกดังเก่าอย่างไม่ลังเล
เจบีเอนหลังพิงเบาะ มองภาพถนนไหลย้อนผ่านกระจกตาอย่างไร้จุดหมาย เขารู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว...สิทธิ์ในการให้อภัยหรือเกลียดชัง ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาจะตัดสินใจแทนได้ ฮันแจเท่านั้น...ที่มีสิทธิ์เลือกทางของหัวใจตัวเอง
เสียงเรนดังขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับจะดึงเขาออกจากห้วงคิดเหล่านั้น
"ไม่ต้องคิดมากนะ" เสียงของเรนนุ่มกว่าปกติเล็กน้อย "คนอย่างนั้น...ไม่สมควรจะได้รับความรักจากใครทั้งนั้น คนที่ไม่รู้จักวิธีรักน่ะ"
คำพูดนั้นเหมือนคำปลอบใจมากกว่าคำตัดสิน เจบีก้มหน้าลงนิดหนึ่ง ก่อนจะพึมพำเหมือนบ่น
"แต่นายเอง...ก็เคยทำร้ายฉันเหมือนกันนะ"
เรนหันขวับมามองเขา คิ้วกระตุกน้อย ๆ แต่กลับยิ้มขำอย่างเหนื่อยใจ
"เรื่องนั้นน่ะ..." เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวเจบีอีกครั้งแบบไม่แรงนัก "ฉันก็กำลังไถ่โทษอยู่นี่ไง หายโกรธได้แล้วนะ ฉันจะปกป้องนายเอง ไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนแตะต้องนายได้อีกแน่นอน"
เจบีหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบที่ทั้งตรงและจริงใจอย่างน่าประหลาด รอยยิ้มบาง ๆ คลี่ออกบนใบหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว
...
เรนขับรถเงียบ ๆ พาเจบีกลับมาถึงโรงพยาบาลในเวลาไม่นาน ลานจอดรถว่างเปล่า มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ จากเสาไฟข้างทางทอดเงาลงบนพื้นคอนกรีต
เรนดับเครื่องยนต์เสียงเบา ตบพวงมาลัยเบา ๆ หนึ่งที ก่อนหันมาทำหน้าตายใส่เจบี
"ไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะกลับ...ก่อนจะเปลี่ยนใจไปนอนเฝ้านายอีกคน"
น้ำเสียงเหมือนล้อเล่น แต่สายตาที่มองมากลับนิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย เหมือนอยากแน่ใจว่าคนตรงหน้าจะไม่เป็นอะไร
เจบียิ้มจาง ๆ พลางผลักประตูรถออกอย่างเงียบ ๆ พอเดินห่างออกมาไม่กี่ก้าว เขาหันกลับไปเห็นเรนยังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ขยับ เหมือนกำลังมองตามอยู่เงียบ ๆ จนแน่ใจว่าเขาเข้าอาคารไปแล้วจริง ๆ จึงค่อยสตาร์ทรถขับออกไป
บรรยากาศชั้นพักฟื้นเงียบงัน มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศแผ่วเบา ฮันแจยังคงหลับนิ่งอยู่บนเตียง ข้างตัวมีสายน้ำเกลือพาดลงมา เครื่องวัดชีพจรยังคงทำงานอย่างสม่ำเสมอ คล้ายเสียงดนตรีที่บรรเลงซ้ำ ๆ อย่างไม่มีวันจบ
เจบีถอดเสื้อคลุมวางไว้บนโซฟา ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม วางแขนพาดบนขอบเตียง แล้วค่อย ๆ ฟุบหน้าลงอย่างเหนื่อยล้า
เสียงหายใจสม่ำเสมอของทั้งเขาและอีกคนในเตียงหลอมรวมเข้ากับบรรยากาศเงียบสงบจนเกือบกลายเป็นบทกล่อมให้หลับได้
ประตูเลื่อนเปิดออกช้า ๆ โดยไม่มีเสียงเท้าให้รู้ตัว กายก้าวเข้ามาในห้องอย่างเบามือ มือถือผ้าห่มพับเรียบร้อยอยู่หนึ่งผืน
เขามองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ เจบีที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง ทั้งที่สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ยิ่งกว่าคนที่นอนป่วยอยู่เสียอีก
“ไปเจอเรื่องอะไรมา...อีกแล้วสินะ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
มือเรียวยกผ้าห่มขึ้นคลุมให้เจบีช้า ๆ ระวังไม่ให้รบกวนแม้แต่ปลายเส้นผม แล้วปล่อยให้เขาฟุบอยู่อย่างนั้นต่อไป
เจบีขยับตัวเล็กน้อย ลืมตาขึ้นแผ่ว ๆ พลางหรี่ตาเพราะแสง
“หมอ…?”
“หลับต่อเถอะ แค่เอาผ้าห่มมาให้” กายพูดเรียบ ๆ มือยังวางเบา ๆ บนหลังอีกฝ่าย
“…ขอบคุณครับ” เสียงเจบีแผ่วจนแทบกลืนกับลมหายใจ
กายยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบสมุดเล็ก ๆ จากเสื้อกาวน์ขึ้นมาจดอะไรบางอย่างเงียบ ๆ
บรรทัดแรกบนหน้ากระดาษเขียนว่า:
‘ถ้าความรักคือยารักษา ฉันจะจ่ายให้เขาทุกวัน’
อ่านต่อ ตอนที่ 43 >>จิ้ม<<
สนุกมากครับ
หน้า:
[1]