NOOFONG โพสต์ 13 ชั่วโมงที่แล้ว

ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 39





Chapter 39คลื่นลมที่เริ่มอ่อนกำลังลง


เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังแผ่วเบาในยามเช้า ท่าเรือปูซานค่อย ๆ ตื่นจากความเงียบสงบ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านม่านหมอกบางเบา เผยให้เห็นเงาของเรือประมงที่จอดเรียงราย อากาศเย็นสบายพร้อมกลิ่นไอทะเลที่ลอยมาตามสายลม


ในขณะเดียวกัน ที่ฐานลับของคิมบอม สายข่าวรายงานว่าเห็นเจบีที่ท่าเรือจังนิม คิมบอมรับสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“จับตัวกลับมา” คิมบอมสั่ง “อย่าให้หนีไปได้อีก”


ไม่นานนัก รถตู้สีดำไร้ป้ายทะเบียนก็แล่นมาจอดเงียบ ๆ ที่ริมท่าเรือ ประตูข้างเลื่อนเปิดออกอย่างรวดเร็ว ลูกน้องสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้มสามคนก้าวลงมาในเวลาไล่เลี่ยกัน สายตาทั้งหมดจับจ้องไปยังร่างหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพัง


เจบีหันหน้ามาช้า ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อย พลางปลดฮู้ดลงเผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียว แต่ดวงตากลับนิ่งสงบกว่าที่ใครคาดไว้


“ฉันจะไปกับพวกนาย” เขาพูดเรียบ ๆ


ลูกน้องของคิมบอมมองหน้ากันเล็กน้อย ราวกับไม่แน่ใจว่าควรระวัง หรือควรประหลาดใจก่อน แต่เมื่อไม่มีการขัดขืนใด ๆ พวกเขาจึงพยักหน้า แล้วพาเขาขึ้นรถไปโดยไม่มีคำพูดใด


บานประตูปิดลงพร้อมเสียงคลิกล็อกอัตโนมัติ กลิ่นอับชื้นของเบาะหนังเก่าภายในรถค่อย ๆ กลืนเจบีเข้าไปในความมืด ก่อนที่ผ้าผืนหนึ่งจะถูกดึงรัดรอบศีรษะเขา ปิดทั้งดวงตาและแสงสุดท้าย


เจบีไม่ต่อต้าน ไม่พูดแม้แต่คำเดียวตอนที่ข้อมือถูกจับไพล่หลัง เสียงโลหะกระทบกันคลิกหนึ่งครั้งก่อนที่กุญแจมือจะล็อกแน่น


รถตู้แล่นไปตามเส้นทางที่เริ่มลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ ฝุ่นจากถนนดินลูกรังค่อย ๆ เคลือบพื้นรถด้วยชั้นบาง ๆ ของความเงียบ เจบีรู้สึกถึงแรงสะเทือนใต้ฝ่าเท้า ล้อบดทับผิวทางขรุขระอย่างไม่ปรานี


ยิ่งไกลออกไป เสียงเมืองก็ค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามต่ำ ๆ กับแรงสั่นสะเทือน


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเขาไม่อาจแน่ใจ


จนกระทั่งเริ่มรู้สึกถึงแรงเบรกที่ค่อย ๆ หน่วงลง รถกำลังชะลอ ความเร็วลดลงทีละน้อย ราวกับใกล้ถึงปลายทาง


เจบีถูกลากลงจากรถ เสียงขาของเขากระแทกกับขอบประตูรถก่อนจะเซเล็กน้อย แต่เขายังตั้งตัวได้


บรรยากาศเย็นเยียบตั้งแต่ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสพื้นคอนกรีต


เขาไม่เห็นอะไร แต่ทุกเสียงกลับชัดเจนเกินไป เสียงประตูเหล็กเปิด เสียงฝีเท้าอีกสี่ห้าคนที่เดินห่าง ๆ และเสียงหนึ่ง...เสียงเดียวที่ทำให้เขานิ่งค้างไปชั่ววินาที


เสียงนั้น เยือกเย็น เรียบช้า และราวกับมันเคยฝังลึกอยู่ในซอกหลืบของจิตใต้สำนึก


แสงจ้าเจาะเข้าใส่ทันทีเมื่อผ้าที่ผูกปิดตาถูกกระชาก เจบีกระพริบตาถี่เพื่อปรับสายตา สายลมอับที่แทรกเข้ามาทางช่องระบายอากาศทำให้รู้ว่าที่นี่อยู่ลึกกว่าที่คิด


เงาร่างสูงในชุดสูทสีเข้มยืนอยู่ไม่ไกล แสงไฟจากด้านหลังทำให้มองเห็นใบหน้าเพียงครึ่ง แต่ก็ชัดเจนพอจะรู้ว่าเป็นใคร


เจบีตัวสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เพราะสัญชาตญาณบางอย่างที่ตื่นขึ้น


ร่างกายของเขาจำได้ก่อนจิตใจจะยอมรับ


มือหนึ่งเชยคางเขาขึ้นอย่างบังคับ


เจบีไม่หลบ ไม่สบตา แต่ก็ไม่ผินหนี


เพี๊ยะ!


เสียงฝ่ามือฟาดดังจนใบหน้าสะบัดไปด้านข้าง เลือดซึมจากมุมปากทันที กลิ่นสนิมคาวของมันคละคลุ้งในโพรงจมูก


“กล้าดีนี่…ที่หันปืนใส่ฉัน”


น้ำเสียงของคิมบอมยังคงเรียบเฉียบเย็น ไม่จำเป็นต้องตะคอกเพื่อให้เจ็บ


เจบีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ก่อนจะก้มศีรษะต่ำลงแทนคำขอโทษ


“...ผมผิดไปแล้วครับ บอส”


เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ แต่นิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


ริมฝีปากของคิมบอมยกยิ้มช้า ๆ ราวกับกำลังพอใจกับความว่างเปล่าในน้ำเสียงนั้น


ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เจบีก็ถูกเตะเข้าที่ข้อพับอย่างแรง


ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้นคอนกรีต เย็นเยียบจนสะท้านขึ้นถึงกระดูก


ก่อนที่ฝ่ามือหนึ่งจะกระชากเส้นผมของเขาจนแหงนหน้าขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ใบมีดปลายแหลมถูกกดลงแนบผิวแก้ม


เย็นจัด ชิดพอจะสะกิดเลือดได้ด้วยแรงเพียงน้อยนิด


“รู้ใช่ไหม...” คิมบอมโน้มหน้าลงช้า ๆ เสียงของเขาเยือกเย็นจนแทบกลืนกับอากาศ


“…ว่าหมาที่มันเลี้ยงไม่เชื่อง ต้องถูกสั่งสอนยังไง”


ใบมีดยังคงแนบแน่นอยู่ตรงแก้ม


เสี้ยววินาทีที่คิมบอมพูดจบ ปลายมีดก็ถูกกดลึกลงอีกนิดจนเลือดผุดขึ้นเป็นเส้นบาง ๆ ไหลช้า ๆ ลงมาตามแนวกราม


เจบียังคงนิ่ง ไม่หลบ ไม่สั่น


มีเพียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นเล็กน้อย กับฝ่ามือทั้งสองที่ยังถูกล็อกไพล่หลังแน่นหนา


คิมบอมจ้องใบหน้าของเขาอย่างเงียบงัน


เหมือนกำลังมองหาเศษเสี้ยวของความต่อต้าน


แต่เจบีไม่มีให้แม้แต่เศษเสี้ยวนั้น


“น่าสมเพช” เขาพูดเสียงเบา พริบตาหนึ่งที่ดวงตาเขาขุ่นคล้ายดูแคลน


มีดถูกยกออกอย่างช้า ๆ แต่ไม่ใช่เพราะใจอ่อน


เพราะคิมบอมใช้หลังมืออีกข้างตบเข้าเต็มแรงที่มุมปากเดิมซ้ำไปอีกครั้ง


เสียงกระทบแห้ง ๆ ดังก้องในห้องโล่ง เจบีหน้าหัน ริมฝีปากแตกเลือดซึม


แต่เขายังไม่ล้ม ยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ราวกับถูกฝังไว้กับพื้น


“แต่สุดท้าย…ก็ยังเป็นแค่หมาขี้แพ้ที่ทำได้แค่ขอร้อง”


คิมบอมหมุนมีดเล่นในมืออย่างเบื่อหน่าย ปลายนิ้วเรียวหมุนด้ามมีดอย่างเชื่องช้า ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้อีกครั้ง


“พูดสิ” เสียงนั้นกระซิบราวกับลมหายใจ


“ขอร้องฉันอีกหน่อยสิ เจบี…”


เจบีนิ่งไปเพียงครู่ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองยังคงถูกล่ามไว้ด้านหลัง แต่เขาก้มตัวลงสุด ดึงร่างกายทั้งร่างโน้มไปข้างหน้า เอาหน้าผากแนบพื้นซีเมนต์เย็นเฉียบ


“…ผมขอร้องล่ะครับ”


เสียงของเขาดังอู้อี้อยู่กับพื้น


“ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะไม่ทำให้บอสผิดหวังอีก”


คิมบอมยืนนิ่ง กอดอกมองภาพตรงหน้า


หัวเข่าแนบพื้น หลังค้อมต่ำ ใบหน้าที่หมอบอยู่ตรงปลายรองเท้าของเขา


เขาแสยะยิ้มบาง ๆ อย่างเงียบงัน แล้วค่อย ๆ ยกเท้าขึ้น กดลงบนศีรษะนั้นช้า ๆ


ไม่แรงพอให้แตกหัก


แต่หนักพอให้รู้ว่าใครอยู่เหนือกว่า


“รู้ใช่ไหม…” คิมบอมก้มลงกระซิบชิดหู


น้ำเสียงยังคงเรียบสนิท แต่เฉือนลึกยิ่งกว่าเดิม


“…ว่าฮันแจต้องเจ็บเพราะนาย”


“ถ้านายยังอยากให้เขามีชีวิตที่ดี…นายก็ต้องฟังฉัน ต้องเชื่อฟังฉันทุกอย่าง”


“ครับบอส…”


เจบีตอบออกไปช้า ๆ


เสียงของเขาไม่ได้สั่น ไม่ขาดห้วง


แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงในใจของเขา ที่ดังชัดกว่าอะไรทั้งหมด


‘อดทนอีกหน่อยนะ ฮันแจ…’


‘ฉันจะหาทางพาเราออกไปจากนรกนี่ให้ได้’


“ฉันจะใจดี...”


คิมบอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะหมุนมีดในมือเล่นช้า ๆ อย่างไม่เร่งรีบ


“ยังไม่ฆ่านายตอนนี้”


คำพูดนั้นลอยอยู่ในอากาศเหมือนฝุ่นที่ไม่จับตัว แต่กลับหนักพอจะกดทับทุกลมหายใจของเจบีให้จมหาย


เขาเงียบไปชั่วจังหวะหนึ่ง


เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดังแผ่วเบาเมื่อเขาเดินวนอ้อมด้านหลังเจบีที่ยังคุกเข่าอยู่


“เพราะฉันรู้...”


คิมบอมหยุดเดินช้า ๆ ใกล้แผ่นหลังนั้น


“…ว่านายยังพอจะมีประโยชน์อยู่”


เจบียังนิ่ง ไม่ขยับแม้แต่ปลายนิ้ว แผ่นหลังตั้งตรงราวกับไม่อนุญาตให้สั่นสะท้าน


แม้จะยังคุกเข่าอยู่ แต่ร่างนั้นกลับเหมือนกำลังท้าทายความต่ำต้อยด้วยความเงียบที่ยืนหยัด


คิมบอมยืนมองเงียบ ๆ ดวงตาว่างเปล่า ก่อนจะเอ่ยถามออกมาในจังหวะที่เหมือนตั้งใจทิ่มแทง


“ทำไมล่ะ…ทำไมไม่หนีไป ทั้งที่มีโอกาส?”


ไม่มีเสียงตอบกลับทันที เจบีก้มหน้าลงช้า ๆ เหมือนกำลังค้นหาคำตอบจากที่ใดสักแห่งในตัวเอง


คิมบอมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับรู้ทัน


“เป็นห่วงกันมากสินะ…”


เขาพูดขึ้นในน้ำเสียงที่เรียบเกินไปจะถือว่าแดกดัน แต่ก็ไม่อ่อนโยนพอจะเรียกว่ารู้สึก


เจบียังก้มหน้า ไม่พูดโต้ตอบ เหมือนกำลังพิจารณาคำพูดของคิมบอมอย่างระมัดระวัง


เป็นประโยคที่ฟังดูเรียบง่าย แต่กลับเหมือนมีมือมองไม่เห็นค่อย ๆ แยกเขาออกจากฮันแจทีละน้อย


ราวกับความห่วงใยที่เขาพยายามปกป้องไว้…ไม่มีน้ำหนักพอในโลกของคิมบอม


และเจบี…ก็ทำได้แค่ก้มหน้าเงียบอีกครั้ง


เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าพูดอะไรออกไปตอนนี้


คนที่จะต้องเจ็บมากกว่าเดิม…อาจไม่ใช่เขา


...






ในขณะที่เจบีกำลังถูกพาตัวเข้าไปในพื้นที่ปิด พ้นระยะสายตาและเกินจุดที่ใครจะวิ่งตามได้ทัน แผนอีกด้านของ “ขนนกสีเงิน” ก็ได้เริ่มต้นอย่างเงียบงัน


ราฟาเอโร่ส่งสัญญาณแรกออกไปด้วยปลายนิ้วเดียว ข่าวลวงที่ถูกวางโครงสร้างไว้อย่างพิถีพิถันถูกผลักเข้าสู่ช่องทางใต้ดินราวกับระเบิดเวลา


ข้อความสั้น ๆ ว่าด้วยการกลับมาของอดีตสายจากฝั่งลอนดอน ผู้ซึ่งถือข้อมูลระดับลึกติดตัวและกำลังติดต่อกับเครือข่ายเกาหลีเพื่อเจรจาข้อตกลงลับบางอย่าง กลายเป็นคำกระซิบที่ลุกลามเป็นเปลวไฟในตลาดมืดฝั่งยุโรปอย่างรวดเร็ว


และนั่นยังไม่ใช่ส่วนที่อันตรายที่สุด เพราะทันทีที่คิมบอมเริ่มพยายามควบคุมกระแส ความสงสัยก็จะย้อนกลับเข้าทิ่มแทงตัวเขาเอง ไม่ใช่เพราะความจริงหลุด แต่เพราะโลกใต้ดินไม่เคยอดทนกับคำว่า “ควบคุมไม่ได้”


แคสเปอร์กำลังนั่งอยู่หน้าจอภายในรถควบคุมเคลื่อนที่ เขาไม่ได้เอ่ยคำใดมาเกือบสิบนาที แต่ทุกจังหวะของนิ้วที่แตะหน้าจอ แสดงถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับความกังวล เสียงของระบบแจ้งเตือนเบา ๆ จากคลื่นที่ขาดช่วงซ้ำ ๆ กลายเป็นเหมือนหมุดตอกซ้ำลงกลางอก


ความเงียบจากเจบีไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเตรียมใจไว้ สัญญาณจากกำไลถูกรบกวนเป็นช่วง ๆ เหมือนถูกจับจงใจตัด เขาลอบสบถในใจ ไม่ใช่เพราะโกรธเจบีที่ไม่ส่งสัญญาณกลับมา แต่เพราะเขาเริ่มคำนวณถึงความเป็นไปได้ว่า...จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข่าวลือกระจายไม่ทันกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ


ในขณะเดียวกัน ที่ฝั่งจุดเฝ้าระวัง เสี่ยวไป๋กับเรนยังคงจับตามองภาพจากกล้องที่ติดตั้งไว้ในระยะปลอดภัย ภาพจากกล้องซูมทำให้เห็นชัดทุกการเคลื่อนไหว


เจบีถูกพาตัวลงจากรถ มือถูกล่ามไพล่หลังแน่นด้วยกุญแจเหล็ก ผ้าสีดำคลุมตาทำให้มองไม่เห็นสีหน้า


แต่ท่าทางที่ถูกบังคับลากเข้าไปในประตูข้างตึกเก่า ก็เพียงพอจะทำให้เรนหมดความอดทน มือของเขาเอื้อมไปที่ประตูรถ เตรียมจะเปิดออกโดยไม่พูดอะไร


เสี่ยวไป๋คว้าไว้ได้ทันในเสี้ยววินาที ดวงตาของเขานิ่งกริบแต่แฝงร่องรอยแข็งกระด้าง


“ใจเย็นก่อน เรน”


น้ำเสียงไม่ได้เบา แต่หนักแน่นพอให้ทุกอารมณ์ถูกบังคับให้หยุดชั่วคราว


“ถ้านายเข้าไปตอนนี้ แผนทั้งหมดจะพัง”


เรนหันขวับ ดวงตาแดงกรุ่นอย่างคนที่อดกลั้นเต็มที่ “แผนงั้นเหรอ? นายเห็นมั้ย พวกมันใส่กุญแจมือ ปิดตาเขาเหมือนนักโทษ! แล้วยังจะกล้าบอกว่านั่นคือส่วนหนึ่งของแผน?”


เสี่ยวไป๋ไม่ตอบทันที เขาเพียงมองภาพจากหน้าจอต่อ ก่อนพูดเสียงเย็น “ฉันกำลังจำหน้ามันทุกคนเอาไว้”


คำพูดนั้นทำให้เรนนิ่งไปเพียงครู่ แต่เขายังไม่ยอมแพ้ “ถ้าพวกมันแตะต้องเจบีแม้แต่ปลายเล็บ”


“ฉันจะเข้าไปพร้อมนาย” เสี่ยวไป๋พูดขัด น้ำเสียงเรียบสนิทแต่เยือกเย็นกว่าเดิม “แล้วฉันจะลั่นไกใส่พวกมันทีละคน”


จังหวะระหว่างพวกเขาสั้น แต่หนักราวกับสัญญาลับ เรนกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง มือยังคงกำแน่น เสียงลมหายใจเหมือนเตาไฟที่ยังไม่ดับลง เขาเฝ้ามองหน้าจอ


รอแค่เพียงสัญญาณจากเจบี สัญญาณใดก็ได้...


เพื่อจะได้เริ่มนับถอยหลังการล่มสลายของฝั่งตรงข้ามอย่างเป็นทางการ


...






คิมบอมยกมือขึ้น เตรียมจะตบซ้ำอีกครั้งอย่างไร้ความลังเล แรงพอจะให้เลือดผุดขึ้นอีกฝั่งของใบหน้าเจบีที่ยังบวมช้ำ แต่เสียงประตูเปิดกระแทกจากด้านนอกกลับทำให้มือของเขาชะงักกลางอากาศ


“บอส!” ชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาแทบจะในทันที หอบเสียงกระชั้น รายงานเร็วแทบกลืนคำ


“เกิดความปั่นป่วนในตลาดหุ้นฝั่งยุโรปครับ มีข่าวลือแพร่ออกมาจากฝั่งมาเก๊า ว่ามีกลุ่มติดอาวุธกำลังเตรียมลอบเข้าโจมตีเซิร์ฟเวอร์หลักเพื่อทำลายข้อมูลเครือข่ายใหญ่!”


“ตอนนี้ราคาตลาดมืดเหวี่ยงหนัก ระบบความปลอดภัยในหลายช่องทางเริ่มแสดงสัญญาณผิดปกติ…ฝ่ายพันธมิตรบางส่วนเริ่มถอนตัวครับ”


คิมบอมชะงัก สีหน้าที่เคยเรียบนิ่งเริ่มเปลี่ยนทันทีเป็นเครียดขึง มือที่ชูค้างอยู่กำแน่นก่อนจะลดลงช้า ๆ เขาไม่พูดอะไรกับลูกน้องคนนั้น เพียงแค่หันกลับมา ลากแขนเจบีอย่างแรงจนร่างเซไปตามแรงกระชาก


“จะเล่นสกปรกใส่ฉันงั้นเหรอ…” เสียงเขาต่ำ ชิดข้างหูเจบีขณะลากอีกฝ่ายไปตามทางเดิน


เขาลากเจบีไปจนถึงห้องหนึ่งที่ประตูเหล็กปิดสนิท ก่อนจะผลักเข้าไปด้วยแรงเหวี่ยง ร่างของเจบีเซเข้าไปในห้องควบคุมขนาดกลาง ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์ที่ฉายภาพจากเซิร์ฟเวอร์หลายสิบแห่งทั่วโลก บางจอแสดงโค้ดรหัสไหลไม่หยุด บางจอแสดงความเคลื่อนไหวของข้อมูลหุ้นใต้ดิน


ในห้องเดียวกันนั้น เจบีเห็นเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่มุมมืด ผอมแห้ง เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย และเมื่อเขาเพ่งสายตาให้ชัด…


“ฮันแจ…”


เสียงนั้นหลุดออกมาจากลำคอโดยไม่ทันได้ตั้งใจ เจบีก้าวพรวดไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ถูกคิมบอมกระชากคอกลับมาอย่างแรง มือของเขากดแน่นจนเจบีแทบหายใจไม่ออก


ฮันแจเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาบวมช้ำ แววตาพร่ามัวราวกับแทบจะหมดสติ แต่เมื่อเห็นเจบี ร่องรอยแห่งการรับรู้กลับจุดแสงบางอย่างในแววตานั้น


คิมบอมก้าวข้ามสายตาทั้งคู่ไปตรงไปที่โต๊ะควบคุม เขาชักปืนออกมา ก่อนจะจ่อเยื้องข้างที่ศีรษะของฮันแจ ใบหน้าเรียบนิ่งประหนึ่งนี่คือพิธีกรรมประจำวัน


“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”


น้ำเสียงของเขานิ่งสนิท เย็นเยือก ราวกับไม่ได้ขู่ แต่บอกเงื่อนไขชัดเจน


เจบีไม่ขยับ ร่างกายเขาแข็งค้าง ใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด แต่สมองกลับต้องประมวลผลเร็วกว่าเคย ทุกจอในห้องคือสนามรบ และปลายนิ้วของเขา...คือลมหายใจสุดท้ายของคนที่เขาห่วงที่สุด


มือของเจบีสั่นน้อย ๆ ขณะถูกผลักให้นั่งลงหน้าเทอร์มินัล เขารู้สึกได้ถึงเงาของกระบอกปืนที่ยังคงเล็งอยู่ข้างตัว ดวงตาของฮันแจที่เฝ้ามองเขาจากอีกมุมหนึ่ง แม้จะไม่เอ่ยคำ แต่แรงในแววตานั้นเหมือนบอกให้เขาอย่ายอมแพ้ แม้ทั้งร่างกายจะเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทรมาน


หน้าจอฉายตัวอักษรเรียงกันไม่หยุด สคริปต์ระบบหลายบรรทัดเปิดค้างเหมือนกับกับดักที่รอเขาก้าวพลาด ข้อมูลจำนวนมากกำลังรันแบบไร้การควบคุม การรั่วไหลจากเซิร์ฟเวอร์หลักกำลังแพร่กระจาย และหนึ่งในจอแจ้งเตือนขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าแหล่งที่มาน่าจะมาจากฝั่งมาเก๊า สงสัยว่าเป็นการโจมตีเจาะระบบจากภายนอก


คิมบอมนั่งพิงโต๊ะด้านหลัง ปืนพกวางบนเข่า มือแตะแผ่วบนด้ามราวกับพร้อมยกขึ้นได้ทุกเมื่อ สายตาเขาไม่ละจากจอ


เจบีกัดฟันแน่น เขารู้ดีว่าคำสั่งที่เขากำลังจะรัน ไม่ใช่แค่ลบการรั่วไหล ไม่ใช่แค่ตรวจสอบที่มา แต่มันคือการ “สยบ” ทั้งแผนของคิมบอม หากเขาทำตามอย่างตรงไปตรงมา ทุกอย่างจะถูกเชื่อมโยงกลับไปยังเครือข่ายขนนกสีเงิน…และใครบางคนจะตายก่อนทันได้อธิบายอะไร


เขาพิมพ์ช้า ๆ ทีละบรรทัด คำสั่งพื้นฐานที่ดูไม่มีพิษภัยอะไร แต่ในระหว่างบรรทัดเหล่านั้น เขาซ่อนบางสิ่งไว้ คำสั่งลับที่ออกแบบร่วมกับแคสเปอร์เมื่อไม่กี่วันก่อน ช่องทางพิเศษที่ไม่มีชื่อ ไม่มีบันทึก ไม่อยู่ในระบบกลาง และไม่มีใครรู้ว่ามันยังเปิดใช้งานได้อยู่หรือไม่…นอกจากคนเพียงไม่กี่คนใน “ขนนกสีเงิน”


เขาเอียงคอเล็กน้อย หลุบตาเหมือนกำลังพิมพ์ตามคำสั่ง แต่ปลายนิ้วเรียวกลับเลื่อนไปกดชุดคีย์เฉพาะ ราวกับกำลังดีดสายไวโอลินชุดสุดท้ายที่ขึงตึงเกินไป


//:ghost-tunnel.init


ไม่มีเสียง ไม่มีไฟกระพริบ ไม่มีอะไรแสดงผลบนหน้าจอให้ผิดสังเกต


แต่ลึกลงไปในชั้นข้อมูล…คำสั่งนั้นได้ถูกส่งออกไปแล้ว พร้อมชุดพิกัดแฝงและข้อความเพียงบรรทัดเดียว


> "I'm not alone. Prepare."





หากฝั่งของราฟาเอโร่ยังติดตามพิกัดสำรองที่ฝังไว้ในตัวเจบีอยู่ พวกเขาจะเห็นสัญญาณนี้ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า


เจบีถอนหายใจเบา ๆ ยังคงพิมพ์ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเปลี่ยนหน้าไปยังสคริปต์ปลอมที่ดูเหมือนกำลังตรวจสอบที่มาของข่าวลือ และปล่อยให้หน้าจออีกฝั่งแสดง “ผลวิเคราะห์” ตามคำสั่งที่คิมบอมต้องการ


“เร็ว ๆ” เสียงคิมบอมดังขึ้นจากด้านหลัง


เจบีพยักหน้าเบา ๆ ไม่หันกลับไปมอง ใบหน้าเขานิ่งเหมือนน้ำ แต่หัวใจกลับเต้นรัวจนแทบระเบิด


เขาพิมพ์ต่อราวกับกำลังเล่นตามบทที่ถูกวางไว้ คำสั่งกลบเส้นทางการรั่วไหลของข้อมูลถูกกรอกลงไปทีละบรรทัดด้วยมือที่สั่นเพียงเล็กน้อย แต่มั่นคงพอจะไม่ให้คิมบอมสงสัยอะไร


ระหว่างนั้น เขาแทรกคำสั่งหนึ่งลงไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ปรากฏบนจอ ไม่เข้าสู่ล็อก ไม่ทิ้งร่องรอยในระบบกลาง คำสั่งที่มีเพียงหนึ่งคนบนโลกนี้จะเห็นมัน และรู้ว่ามันไม่ใช่โค้ดทดสอบทั่วไป


//secure.ping --target=CSP-GATE


//payload:{HB003} || status:ALIVE || HOST:HJ-FIND


//message: "ฉันเจอเขาแล้ว แคสเปอร์"**   **“บอกราฟาเอโร่…เข้ามาเดี๋ยวนี้”**   **“อย่ารอ. ฉันไม่แน่ใจว่ามีเวลาพอไหม”**   **“เจบี.”


คำว่า "HB003" คือรหัสประจำตัวของฮันแจที่เคยใช้ในระบบฝึกจำลอง


"HOST:HJ-FIND" คือคีย์ที่แคสเปอร์เป็นคนตั้งไว้เองในระบบสำรอง


และ "CSP-GATE" ก็คือชื่อเรียกเฉพาะที่เจบีใช้เรียกเขา…ในทุกช่องทางลับที่ไม่มีใครรู้


เจบีกดปุ่มยืนยันเบา ๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเปลี่ยนหน้าจอกลับไปยังสคริปต์หลัก เหงื่อเย็นไหลซึมจากขมับแม้ห้องจะเย็นจัด ปลายนิ้วแทบชา แต่เขาไม่หยุด


ในสมอง มีเพียงภาพของราฟาเอโร่ เรน เสี่ยวไป๋ แต่ที่เขาหวังที่สุดตอนนี้...คือเสียงของคนที่ไม่เคยพลาดสัญญาณอะไรเลยสักครั้ง


แคสเปอร์...เห็นใช่ไหม


เขาไม่สามารถหันไปมองฮันแจได้อีก ไม่แม้แต่จะสบตา เพราะเขากลัวว่าเพียงเสี้ยววินาทีแห่งความอ่อนแอ...จะทำให้คิมบอมจับได้ทุกอย่าง


เขาแค่ต้องรอ ขอแค่สัญญาณเดียว…


ว่าแคสเปอร์ได้รับข้อความแล้ว


และโลกนรกที่เขาอยู่…กำลังจะถูกทลายลงจากภายนอก


...






เสียงสัญญาณจากระบบด้านความปลอดภัยดังขึ้นเบา ๆ หน้าจอบางจอเริ่มกะพริบแปลกไปจากเดิม เจบีฝืนแรงกดที่คอเสื้อจากมือของคิมบอมขณะพิมพ์ เขาไม่สนว่าตัวเองจะถูกจ้องด้วยกระบอกปืนหรือไม่ เพราะในวินาทีนี้ หน้าจอตรงหน้าเขากลายเป็นมีดเล่มเดียวที่เขาใช้แลกอิสระให้ตัวเองและคนที่เขารักได้


เขาพิมพ์คำสั่งสั้น ๆ ซ้อนทับลงบนโปรแกรมควบคุมความปลอดภัยชั้นใน


override //gate-lock=alpha-clear


bridge_access //tunnel-open


เสียงคลิกเบา ๆ ดังขึ้นจากฝ้าเพดานและพื้นด้านล่าง


และคิมบอมก็รู้ตัว…ช้าไปหนึ่งวินาที


ปัง!


ประตูบานเหล็กถูกถีบกระแทกเปิดออก เสียงปืนเก็บเสียงดังรัวเข้ามาพร้อมแสงเลเซอร์ที่กวาดผ่านทุกมุม


ร่างของชายสองคนที่อยู่ใกล้ประตูถูกยิงล้มลงก่อนจะตั้งตัวได้


“หมอบ!” เจบีตะโกนบอกฮันแจ ขณะที่เขาเองก็พุ่งหลบออกจากมือของคิมบอมได้ทันในจังหวะสับสน


เสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องจากมุมห้อง เรนกับเสี่ยวไป๋เข้ามาแล้ว แต่คิมบอมไม่ใช่คนที่จะถอยง่าย ๆ


เขาหมุนตัวหลบหลังแท่นเซิร์ฟเวอร์ ชักปืนสองกระบอกขึ้นมายิงสวนอย่างแม่นยำ


ลูกน้องอีกสองคนพุ่งเข้ามาด้านหลัง เสี่ยวไป๋หันไปยิงสวนอย่างไร้ความลังเล กระสุนเฉือนไหล่หนึ่งในนั้นก่อนที่เรนจะกระโจนเข้าประชิด


เสียงกระแทกของร่างคนกับโลหะดังสนั่น เรนล็อคคออีกฝ่ายแล้วแทงมีดสั้นเข้าชายโครง ก่อนจะคว้าปืนอีกกระบอกขึ้นมาโยนให้เจบี


“จับไว้!”


เจบีคว้าปืนได้ทัน เขาหันไปด้านหลังทันทีคิมบอมเพิ่งยิงไปทางที่ฮันแจหมอบอยู่ เจบีพุ่งเข้าไปขวาง ใช้โต๊ะเซิร์ฟเวอร์เป็นกำบัง ก่อนจะเล็งกลับอย่างไร้ทางเลือก


สายตาของเขาประสานเข้ากับคิมบอมเพียงเสี้ยววินาที


เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความกลัว และความกล้า…ที่รวมเป็นดวงตาของคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว


“พอที…” เสียงของเจบีสั่นนิดหนึ่ง แต่ปลายนิ้วยกขึ้นบนไกปืน


“จบมันตรงนี้”


คิมบอมไม่ตอบ เขาเพียงพุ่งเข้ามาแทน


และในจังหวะที่ทุกอย่างใกล้ระเบิด เสี่ยวไป๋พุ่งเข้าใส่จากด้านข้าง ชนเข้ากับลำตัวคิมบอมเต็มแรง


ทั้งสองล้มลงกลางห้อง เสียงปืนลั่นใส่ฝ้าเพดาน เรนตามเข้าซ้ำโดยไม่ลังเล


เสียงกระแทก หมัด กระสุน และการแย่งชิงกันระหว่างสามฝ่ายกระจายไปทั่วห้อง


เจบีโอบตัวฮันแจไว้แน่น ขณะที่สายตาเขายังไม่ละจากการปะทะที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตร


ไฟระบบเริ่มกระพริบแดง จอควบคุมแสดงข้อความแจ้งเตือนความเสียหายของเซิร์ฟเวอร์หลัก


ฝุ่นกระจาย เสียงหายใจหอบ เสียงรองเท้าย่ำพื้นดังระคนเสียงร้องโอดของลูกน้องที่เหลือ


และเมื่อทุกอย่างสงบลง คิมบอมถูกกดไว้ใต้เข่าของเสี่ยวไป๋ ใบหน้าเปื้อนเลือดแต่ยังยิ้มเย้ย


เรนยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว ปืนในมือถูกเล็งไว้ตรงกลางลำตัวของอีกฝ่าย ระยะห่างพอให้ตัดสินใจได้ภายในวินาทีเดียวหากมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ท่าทางของเขานิ่งสนิท แต่ในแววตามีร่องรอยของแรงอารมณ์ที่ยังไม่คลาย


และเจบี…ก็ยังคงกอดฮันแจเอาไว้แน่น ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แขนเขาสั่นน้อย ๆ แต่ไม่ยอมคลายจากร่างที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอด


เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา พร้อมเงาของคนสองคนที่เพิ่งมาถึง แคสเปอร์ กับราฟาเอโร่ เดินผ่านศพที่นอนกระจัดกระจายอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของพวกเขาไม่ได้ไล่ตรวจสอบความเสียหายรอบห้องด้วยซ้ำ มันจับจ้องอยู่ที่กลางห้องเพียงจุดเดียว


แคสเปอร์หยุดอยู่ใกล้สุด เขาเห็นเจบีกอดฮันแจแนบแน่น ใบหน้าของเจบีเปรอะเลือด แก้มข้างหนึ่งยังบวมจากแรงกระแทก แต่ไม่มีเสียงบ่น ไม่มีแม้แต่คำถาม สีหน้าที่เขาแสดงออกคือ…ความเจ็บที่รับไว้เงียบ ๆ ด้วยตัวคนเดียว


แคสเปอร์กำหมัดแน่น ปลายนิ้วซีดขาวจากแรงกด แต่เขาไม่พูดอะไร เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนพยายามกดบางอย่างในอกให้ไม่ระเบิดออกมาต่อหน้าทุกคน


ราฟาเอโร่ก้าวมาหยุดกลางห้อง เสี่ยวไป๋และเรนหันมามองเขาพร้อมกัน ในสายตามีน้ำหนักเดียวกันชัดเจน พวกเขารอคำสั่งสุดท้าย รอให้เขาตัดสินว่าจะให้เรื่องนี้จบ...อย่างไร


ราฟาเอโร่มองคิมบอมที่ถูกกดไว้กับพื้น เลือดไหลจากหางคิ้ว หายใจหอบแต่ยังยิ้มเย้ยไม่เลิก


ไม่มีใครพูด แต่แรงตึงเครียดในอากาศหนาแน่นจนเหมือนจะกรีดออกได้


ราฟาเอโร่พยักหน้าเบา ๆ


เสียงกดไกปืนดังขึ้น แชะ!


และในวินาทีนั้นเอง ร่างของฮันแจที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของเจบีก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย มือที่ซีดเย็นจับมือเจบีไว้แน่นกว่าเดิม สายตาพร่ามัวหันไปทางคิมบอม ริมฝีปากแห้งแตะกันแผ่วเบา


“อ...อย่า...”


เจบีชะงัก เขาก้มหน้าลงแนบข้างแก้มฮันแจ น้ำตาที่เขากดไว้มาตลอดเริ่มเอ่อล้น แม้จะไม่หลุดเป็นหยด


เขากระซิบเบา ๆ ข้างหูคนที่ยังพยายามหายใจอย่างยากลำบากในอ้อมแขนเขา


“ทำไมล่ะฮันแจ...ทำไมนายถึงยังอยากปกป้องคนที่ทำร้ายนายขนาดนี้”


เสียงของเขาเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจ


แฝงทั้งคำถาม ความเจ็บ ความรักที่ยังคงค้างคาอยู่ในอก


และความสับสนที่ไม่เคยได้รับคำตอบเลยสักครั้งจากดวงตาคู่นั้น


ฮันแจไม่ตอบในทันที มีเพียงแรงกดที่ปลายนิ้วซึ่งจับมือเขาไว้แน่นขึ้นอีกนิด เหมือนจะบอกว่า...เขายังมีเหตุผลของเขา แม้ไม่มีแรงจะพูดมันออกมา


แต่ก่อนที่เจบีจะทันได้เข้าใจความหมายของมันทั้งหมด


เสียงปืนก็ดังลั่น


ปัง!


ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที


เจบีหันขวับ แต่ร่างที่ร่วงลงกลับไม่ใช่คิมบอม...


แต่เป็นฮันแจ


เขาเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของเจบีในวินาทีสุดท้าย และพุ่งเข้าไปบังคิมบอมไว้เต็มแรง


เสียงกระสุนฝังเข้าแผ่นหลังชัดเจน แขนเขาอ้าออกเหมือนจะกันโลกทั้งใบเอาไว้ให้คนข้างหลัง


ก่อนร่างจะทรุดลงกับพื้น เงียบ...และช้า


“ไม่นะ—ฮันแจ!”


เจบีตะโกนลั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปคว้าร่างที่กำลังเย็นลงทันที เขากดมือที่แผล เลือดทะลักออกมาราวกับไม่มีวันหยุด


“ฮันแจ…นายทำใจดี ๆ ไว้นะ…ได้ยินฉันไหม ฮันแจ!!”


เสียงเขาสั่นราวกับเด็กที่กำลังสูญเสียโลกทั้งใบตรงหน้า


“ทำไมถึงทำแบบนี้…”


แต่ฮันแจยังคงยิ้ม


รอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก


ไม่ใช่เพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นไร


แต่เหมือนกำลังจะบอกว่า มันคุ้มแล้ว


...






คิมบอมแทบไม่ขยับ เขามองภาพตรงหน้าราวกับคนถูกตัดลมหายใจทิ้ง เสียงรอบตัวเงียบลงจนเหมือนห้องทั้งห้องจมอยู่ใต้ผิวน้ำ


เขาไม่ได้ร้องเรียก ไม่ได้กรีดร้อง


เขาเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น หยุดนิ่งเหมือนหิน และตาเบิกค้างเหมือนไม่รู้จะรับความจริงนี้ยังไง


ร่างกายแข็งทื่อเหมือนหิน แต่หัวใจกลับไหวจนแตกละเอียด


เขาหายใจถี่ขึ้นเหมือนคนจมน้ำ มือเริ่มสั่น…แล้วก็ยิ่งสั่นจนหยุดไม่อยู่


เลือดของฮันแจที่ซึมออกมาเรื่อย ๆ จากร่างที่อ่อนแรงในอ้อมกอดของเจบี เหมือนกำลังบอกว่าบางอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิตหลุดมือไปอย่างช้า ๆ โดยไม่มีอะไรดึงกลับมาได้


จู่ ๆ คิมบอมก็สะบัดตัวออกจากการจับกุมของเสี่ยวไป๋อย่างแรง แม้ปืนของเรนจะจ่ออยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว เขาก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เขาไม่เหลืออะไรให้กลัว ไม่เหลือแม้แต่แรงจะต่อต้าน เขาพุ่งเข้าไปหาร่างของฮันแจที่เปื้อนเลือด พุ่งเข้าไปกอดเหมือนเพิ่งเข้าใจว่าทุกวินาทีที่ปล่อยให้เขาอยู่ลำพัง คือลมหายใจที่ไร้ความหมาย


เจบีพยายามจะรั้งไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ไม่ยอมปล่อยให้ชายคนนั้นแตะต้องร่างของฮันแจอีก


ราฟาเอโร่ก้าวเข้ามา เขาดึงเจบีเข้ามากอดแน่นจากด้านหลัง ไม่ปล่อยให้เขาเผชิญความเจ็บปวดตรงหน้านั้นเพียงลำพัง แขนแกร่งโอบแน่นไว้ในอ้อมอก ลูบหลังเบา ๆ อย่างมั่นคง


เจบีพังทลายลงในอ้อมกอดนั้นทันที น้ำตาที่กลั้นไว้แตกทะลัก เขาร้องไห้ออกมาอย่างหมดแรง


“ไม่เป็นไรแล้วนะ…” เสียงของราฟาเอโร่เอ่ยเบา ๆ ข้างหู


เรียบ…นิ่ง…แต่นุ่มพอจะโอบทั้งร่างของคนที่หัวใจแทบขาดไปแล้ว


“ฮึก…ทำไม…”


“ทำไมฮันแจต้องทำแบบนั้นด้วย…”


คำถามที่เจบีถาม…ไม่มีใครตอบได้


ราฟาเอโร่ไม่ได้พูด


เพราะบางครั้ง…ความเจ็บปวดก็ไม่ต้องการคำอธิบาย


มันแค่ต้องการใครสักคนอยู่ตรงนั้น


อยู่ข้าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าแม้หัวใจจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ยังมีมือใครสักคนช่วยกอดไว้ไม่ให้หล่นกระจัดกระจายจนไม่เหลือชิ้น


...






ฝั่งคิมบอม เขากำลังกอดร่างของฮันแจไว้แน่น มือที่เคยถือปืนสั่งตาย ใจที่เคยเย็นชาจนไม่มีใครอ่านออก...ตอนนี้กลับสั่นเทาอย่างหยุดไม่อยู่ ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เสียงกลับหล่นหายไปกับลมหายใจที่ขาดเป็นช่วง ดวงตาเบิกค้าง และน้ำตาเริ่มไหลเงียบ ๆ โดยไม่มีการปฏิเสธอีกต่อไป


ครั้งแรกในชีวิต...ที่เขารู้ซึ้งว่าการสูญเสียที่แท้จริง คือการไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูดคำว่า “ขอโทษ” ให้ทันเวลา


มือสั่น ๆ ของเขาแตะแก้มซีดเผือดที่เปื้อนเลือด ก่อนเสียงแหบพร่าจะหลุดออกมาแทบไม่ได้ยิน


“นายทำบ้าอะไร...ทำไม…”


ฮันแจหอบหายใจอีกครั้ง ลมหายใจสั้นและเบาเต็มที แต่สายตายังพยายามโฟกัสที่เขา พร้อมรอยยิ้มที่อ่อนแรงแต่มั่นคง


“คุณชาย…ใช้ชีวิตที่เหลือแทนผมด้วยนะครับ”


คิมบอมตัวสั่นไปทั้งร่าง เสียงในลำคอเหมือนอะไรบางอย่างที่กดไว้จนกลืนไม่ลง


“แต่ฉันทำกับนายไว้ขนาดนั้น…ฉันทำร้าย…กักขัง ใช้นายเป็นเครื่องมือ...ฉันเห็นนายไม่มีค่าเลย…”


ฮันแจพยักหน้าเบา ๆ อย่างคนที่รู้มาตลอด รู้และยอมรับมันโดยไม่เคยปริปาก


“ผมรู้…”


“แล้วทำไม…ถึงยัง…”


เสียงของคิมบอมสั่นพร่า มือที่กอดเขาไว้แน่นขึ้นราวกับเพิ่งนึกกลัวการสูญเสียเมื่อมันสายไปแล้ว


“นาย…รักเจบีไม่ใช่เหรอ…”


ฮันแจหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นสั้น ล้า แต่เต็มไปด้วยไออุ่นที่ไม่เคยมีใครได้รับจากเขายามปกติ


“เจบี...เป็นเหมือนน้องชาย”


เขาเบนสายตาขึ้นสบตาคิมบอมเป็นครั้งสุดท้าย แผ่วเบาแต่ชัดเจน


“คนที่ผมรักมาตลอด…คือคุณ”


คิมบอมเหมือนทั้งโลกถล่มลงในอก ไม่ใช่เพราะคำว่า “รัก” แต่มันคือครั้งแรกที่เขาได้ยิน และมันก็มาพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของคนที่พูด


“ฮันแจ…อย่าเพิ่งหลับ…อย่าทิ้งฉัน…”


เขาสะอื้นอย่างคนที่ไม่รู้จะคว้าอะไรไว้ได้อีกแล้ว พยายามเขย่าร่างบางเบา ๆ ราวกับหวังว่าความรักเพิ่งรู้ตัวในวินาทีนี้จะย้อนเวลากลับไปได้


แต่เปลือกตาของฮันแจค่อย ๆ ปิดลง ไม่มีคำตอบกลับมา ไม่มีเสียง ไม่มีการขยับ


มีเพียงน้ำตาของคิมบอม ที่หยดลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายทีละหยด อย่างเงียบงัน


เขากอดร่างนั้นไว้แน่นกว่าที่เคยกอดอะไรในชีวิต เสียงในคอแหบพร่า แตกสลายเหมือนหัวใจที่ไม่มีทางซ่อมได้อีก


“ขอโทษ...ขอโทษ…ฉันขอโทษ…”


เขาไม่เคยรู้เลย


ว่าคนที่เขาเหยียบย่ำมาทั้งชีวิต


คือคนเดียวที่รักเขาจริง


รัก...ทั้งที่ไม่เคยได้รับอะไรกลับไปเลย












Talk with me


มาต่อให้แล้วนะคะ ฝากติดตามเป็นกำลังใจ


และช่วยเชียร์หนุ่มๆกันด้วยนะ🩷♥️🫶






nuangnut1996 โพสต์ 11 ชั่วโมงที่แล้ว

สนุกมากครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 39