ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 36
Chapter 36สายลมอุ่นจากทิศตะวันตก
เสียงปืนดังขึ้นอีกระลอก ลั่นก้องในอาคารร้างจนแทบกลบเสียงลมหายใจที่แผ่วลงของเจบี เขาพิงร่างไว้กับแผ่นอกของใครบางคนที่โอบเขาไว้แน่น ดวงตากึ่งปิดสะท้อนเพดานสลัวที่กำลังบิดเบี้ยวคล้ายฝัน ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง...คือปลายนิ้วที่เปื้อนเลือดของตัวเองแตะอยู่บนปลายคางของอีกฝ่าย
“ถอยก่อน!!” เสียงของเสี่ยวไป๋คำรามขึ้นมาในวินาทีถัดมา ก่อนเสียงกระสุนจะปะทะกันระลอกใหญ่
เงาร่างในชุดดำกระโจนเข้าปะทะกลางกลุ่มของคิมบอม ปืนพกในมือแคสเปอร์เล็งฉับไว ปลอกกระสุนดีดกระทบพื้นขณะที่เรนพุ่งเข้าอัดร่างของหนึ่งในทหารรับจ้างจนล้มฟาดกับเสาคอนกรีต
"ไม่มีเวลาแล้ว เลือดเขาออกมากเกินไป ต้องรีบพาออกไปเดี๋ยวนี้!"
เสี่ยวไป๋พยุงเจบีไว้แน่น ดวงตาเขาแทบไม่กะพริบแม้จะมีเสียงปืนยิงผ่านไหล่ไปด้านหลัง มือข้างหนึ่งยังคงถือปืน ขณะที่อีกข้างกดบาดแผลตรงแขนซ้ายของเจบีที่เลือดไหลไม่หยุด
“ทางเปิดแล้ว ไป!” เรนส่งสัญญาณ ก่อนยิงเปิดทางให้แคสเปอร์พุ่งเข้ายิงกลุ่มที่ขวางอยู่หน้าทางออก
เจบีหายใจรวยริน ความร้อนจากเลือดที่แผ่ซ่านในเสื้อยิ่งทำให้สติเขาเลือนราง
“ฮันแจ...!” เสียงแหบพร่าหลุดออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
“ไม่ต้องห่วงฉัน!” ฮันแจตะโกนกลับมา ทั้งร่างเปรอะเลือดแต่ยังกัดฟันยืนอยู่ มือข้างหนึ่งต้านไว้กับกรอบประตูที่ถูกยิงทะลุ
“พาเขาออกไปก่อน! เร็ว! เขาไม่ไหวแล้ว!!” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่พยายามจะซ่อน “ฉันอยู่ได้ พวกนายต้องพาเขาไป!!”
เสี่ยวไป๋กัดฟันแน่น หันหลังให้ฮันแจทั้งที่ยังไม่อยากทำ ร่างของเจบีแทบจะหมดสติในอ้อมแขนของเขา
“นายต้องรอด...ได้ยินไหม” เขากระซิบแผ่วข้างหูเด็กหนุ่ม ก่อนจะตะโกน “ไป!!”
กลุ่มขนนกสีเงินฝ่าวงล้อมออกมาได้ในที่สุด เสียงกระสุนยังดังไล่หลังแต่ไม่มีใครหันกลับ เจบีในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นแนบอยู่กับอกของเสี่ยวไป๋ ผู้ซึ่งไม่หันกลับไปมองแม้แต่น้อย
เมื่อประตูหนีภัยเปิดออกสู่อากาศเย็นของชานเมืองนัมยางจู แสงแดดแยงตาทำให้เจบีหรี่ตามองขึ้น
สุดท้ายก่อนสติจะดับสนิทไป เขารู้สึกได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่ยังโอบเขาไว้แน่น... และเสียงที่ดังก้องเพียงในใจ
“อดทนอีกนิดนะ ขอร้องล่ะ…”
…
เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ดังกระหน่ำอยู่เหนือศีรษะ ลมหอบแรงจากฟ้าภายนอกพัดเข้ามาทางประตูที่ยังเปิดอยู่ เสี่ยวไป๋รีบพาร่างของเจบีขึ้นมา ชุดของเขาเปื้อนเลือดที่ยังอุ่น ร่างของเจบีแนบกับอกอย่างกับจะสลายหายไปทุกวินาที จังหวะชีพจรที่เต้นอ่อนลงเรื่อย ๆ ทำให้ทุกลมหายใจของเสี่ยวไป๋หนักขึ้นจนแทบขาดตอน
กายนั่งอยู่ด้านใน เขาถูกราฟาเอโร่เรียกตัวมาด่วนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพิ่งเหยียบโซลได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ทว่าไม่มีแม้เสี้ยววินาทีให้ตั้งหลักเขาขยับเข้าประคองร่างนั้นจากเสี่ยวไป๋ มือหนึ่งรองหลัง อีกมือกดผ้าปิดแผลแน่นเข้ากับแขนซ้ายที่ยังมีเลือดซึมออกมาไม่หยุด
“ตอบฉันหน่อยเจบี นายยังอยู่กับพวกเรานะ ได้ยินใช่ไหม?” เสียงนั้นแม้จะนิ่ง แต่แฝงความอ่อนโยนในทุกคำ
ร่างในอ้อมแขนไม่ได้ตอบอะไร สติที่เลือนรางคล้ายจะหลุดลอยไปตลอดกาล
เสี่ยวไป๋ก้มหน้าลงแนบหน้าผากกับหน้าผากเจบีเบา ๆ เสียงหายใจเขาหนัก และเปียกชื้นจากบางอย่างที่ไม่อาจกลั้น
“อีกนิดเดียว...นายต้องรอด” เขาพูดแผ่ว ๆ ราวกับภาวนา
กายเสียบเข็มน้ำเกลือเข้าที่แขนอีกข้างของเจบีอย่างแม่นยำ แม้เส้นเลือดจะจมหายจากอุณหภูมิร่างกายที่ลดฮวบ รอยฟกช้ำตามเนื้อผิวทำให้การแทงเข็มยากกว่าปกติ แต่มือของกายยังมั่นคงเหมือนแพทย์สนามผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วน
“เรน ช่วยยกแขนเขาให้หน่อย” เสียงนิ่ง ๆ เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงใบพัดที่โหมกระหน่ำอยู่เหนือศีรษะ
เรนขยับตัวทันทีโดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ มือทั้งสองยื่นมารับแขนเจบีไว้เบา ๆ แต่แน่นพอจะค้ำประคองไม่ให้ขยับขณะกายจัดการกับสายให้น้ำเกลือ
“เสร็จแล้ว รั้งไว้อีกสักหน่อย เดี๋ยวฉันจะพันยึดไว้” กายพูดต่อขณะใช้ผ้ายืดพันตรึงเข็มให้นิ่ง เขาไม่ละสายตาจากทุกจังหวะการหายใจของเจบีแม้แต่วินาทีเดียว
“เขาจะไม่เป็นไรใช่มั้ย…” เสียงของเรนเบาแต่สั่นเทา เขาหันไปหากายเหมือนเด็กที่ไม่รู้จะเกาะใครอีกแล้ว
กายไม่ตอบทันที มือยังคงกดบาดแผลด้วยผ้าที่แช่เลือดจนสีแดงเข้ม เขาสบตาเรน แล้วพยักหน้านิ่ง ๆ
“ไม่ต้องห่วง… เขาจะต้องไม่เป็นอะไร” เสียงของกายมั่นคงพอจะทำให้ทุกคนในห้องโดยสารหายใจได้อีกครั้ง
คำพูดนั้น…ไม่ใช่แค่ปลอบใจเรน แต่เหมือนบอกกับทุกคน
เสี่ยวไป๋ยังคงนั่งข้างเจบี ดวงตาไม่ละจากใบหน้าซีดเซียว เขาใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเลือดที่ซึมออกจากมุมปากเจบีเบา ๆ เหมือนกลัวจะทำให้เจ็บ ราวกับทุกสัมผัสนั้นคือสิ่งเดียวที่เขามอบให้ได้
แคสเปอร์ยืนเงียบอยู่ที่ประตูด้านท้าย มือกำแน่นจนเส้นเอ็นขึ้นที่ข้อนิ้ว ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง แต่ความรู้สึกภายในแทบจะระเบิดออกมาทุกวินาที
ส่วนราฟาเอโร่นั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง แววตาเรียบนิ่งเย็นเฉียบอย่างเคย แต่หากมองลึกลงไปจะเห็นบางอย่างที่เหมือนพายุคลั่ง เขาเบือนหน้ามองท้องฟ้าที่ทอดยาวเบื้องนอก ไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียว แต่ในใจกลับหนักหน่วงเกินบรรยาย
เขากำลังสาบานกับตัวเองเงียบ ๆ ว่านี่จะต้องเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้เห็นเด็กคนนั้นในสภาพแบบนี้ เพราะจากนี้ไป เขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องเจบีอีก
เขาจะใช้ทั้งชีวิต…ปกป้องเอง
…
โรงพยาบาลเอกชนในโซล | ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ชั้นดาดฟ้า
เสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์ยังคงกระแทกหูไม่หยุดเมื่อประตูด้านข้างถูกเปิดออก กายเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปโบกสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่รออยู่ตรงลาน พอเท้าแตะพื้นเขาก็หันกลับมา ช่วยประคองร่างเจบีลงจากเครื่องด้วยมือที่แม่นยำและคุ้นชินกับสถานการณ์วิกฤต
“บาดแผลกระสุนเจาะที่แขนซ้าย ใกล้เส้นเลือดหลัก เลือดออกมากแต่ไม่ได้ทะลุกระดูก ฉีดมอร์ฟีนไปแล้ว ห้ามเลือดเบื้องต้น มีภาวะช็อกจากเสียเลือด ต้องผ่าตัดเดี๋ยวนี้!”
เขาพูดเร็ว ชัด ลมหายใจยังไม่ทันปรับเข้ากับอากาศในเมืองใหม่ ทว่าความมั่นคงในน้ำเสียงของกายก็ทำให้เจ้าหน้าที่แพทย์รีบพยักหน้ารับคำสั่ง พร้อมกันนั้นก็ช่วยกันรับตัวเจบีไปบนเปลโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ
เสี่ยวไป๋เดินเคียงข้างเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง ราวกับทุกคำพูดของเขาได้ทิ้งไว้ตั้งแต่อยู่บนฟ้า สายตาไม่ละจากใบหน้าซีดเซียวของเจบีแม้เพียงวินาทีเดียว
เสียงคำสั่งต่อเนื่องจากทีมแพทย์ดังสวนไปมาตลอดทางเดิน เตียงเข็นถูกดันพรวดเข้าไปในลิฟต์ฉุกเฉิน เรนกับแคสเปอร์มาถึงทันพอดี และได้แต่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกขณะประตูลิฟต์ปิดลง
เมื่อถึงชั้นผ่าตัด ทุกอย่างเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน เจ้าหน้าที่อีกชุดรออยู่หน้าห้อง ก่อนจะรีบเปิดทางให้เปลเข็นผ่านเข้าไป ประตูห้องผ่าตัดเลื่อนปิดลงช้า ๆ ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าดูอย่างกดดันของทุกคน
กายตามเข้าไปโดยไม่ต้องขออนุญาต เขาได้รับสิทธิ์ให้เฝ้าสังเกตการณ์ผ่านม่านกระจกภายใน ทีมแพทย์เกาหลีทำงานแข่งกับเวลาอย่างสุดความสามารถ
ความเงียบในห้องสว่างจ้าตัดกับเสียงเครื่องมือที่ดังสม่ำเสมอ เจบีไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่าเวลานี้คือกลางวันหรือกลางคืน ร่างกายเขาเหมือนลอยอยู่ในน้ำหนักของบางสิ่งที่มองไม่เห็น หนักเกินกว่าจะขยับเบาเกินกว่าจะรั้ง
เสียงเครื่องวัดชีพจรดังห่างไกล ใจเขาเต้นช้าเหมือนจะหยุดในวินาทีถัดไป ทุกอย่างรอบตัวพร่าเบลอ เหมือนความจริงและความฝันกำลังแยกชั้นกันด้วยม่านบาง ๆ
เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์มืดที่ไม่มีจุดหมาย มีเพียงความเงียบที่โอบล้อมเขาไว้ทุกด้าน จนเริ่มอยากจะจมดิ่งลงไปในความสงบนั้น ลึกเสียจนไม่มีใครตามหาเจอ
บางที...ถ้าไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก มันอาจจะดีที่สุดก็ได้
เขาเหนื่อยเกินไป เหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะหายใจ มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาตกลงไปในทะเลครั้งนั้น วันที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่กลับรู้สึกอิสระอย่างประหลาด
และตอนนี้...ก็ไม่ต่างกันเลย
ชีวิตที่ไม่เหลืออะไรให้กลับไปหาอีก เขาแค่อยากปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วเดินไปให้สุดปลายอุโมงค์นั้น
แต่ในความพร่ามัวของเปลือกตาที่ปิดไม่สนิท แสงไฟจากห้องผ่าตัดกลับกลายเป็นช่องทางให้ภาพบางอย่างแทรกเข้ามา มันไม่ได้ชัดเจน ไม่ใช่ภาพที่จับต้องได้เหมือนความจริง หากเป็นเพียงเงารางเลือนเหมือนหมึกจางบนหน้ากระดาษเก่า ราวกับความฝันที่เขาเคยลืมไปแล้ว
ในความมืดลึกของอุโมงค์นั้น เงาของปีกบางเบาสีเทาเงินพลิ้วผ่านแสงสลัว ผีเสื้อตัวหนึ่งค่อย ๆ โบยบินเข้ามาช้า ๆ แทบไม่มีเสียงแม้แต่จังหวะกระพือของปีก แล้วบินวนตรงหน้าเขา เหมือนชักชวนให้ก้าวตาม
เจบีไม่รู้ว่ามันคือภาพหลอน หรือเศษเสี้ยวของสติสุดท้าย เขาลืมตาขึ้นเล็กน้อย แสงไฟในห้องผ่าตัดพร่ามัวและจ้าเกินรับไหว แต่เขากลับเห็นผีเสื้อตัวเดิม…ยังคงลอยอยู่ตรงนั้น
และในขณะที่เขากำลังลังเล ว่าจะเอื้อมมือไปแตะมัน หรือจะหันหลังให้แล้วเดินหายไปตลอดกาล...
เสียงหัวใจของเขาก็เต้นขึ้นมาแรงจังหวะหนึ่ง…
ไม่มาก…แต่พอให้แถบกราฟบนหน้าจอขยับ แสงสีเขียวที่เคลื่อนไหวแผ่วเบาเหมือนจะหยุดลงเมื่อครู่ กลับกระตุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้า ๆ
“ชีพจรเริ่มคงที่” หนึ่งในทีมแพทย์เอ่ยขึ้นทันที ก่อนทุกคนจะยิ่งเร่งจังหวะลงมือ
แสงไฟจากโคมผ่าตัดส่องตรงลงมาที่บาดแผลตรงแขนซ้าย เลือดที่แม้จะถูกห้ามไว้แล้วในเบื้องต้นยังคงซึมออกอย่างต่อเนื่อง ศัลยแพทย์ก้มมองผ่านแว่นขยาย ลมหายใจหนักและมั่นคง มือที่สวมถุงมือยางค่อย ๆ แยกเนื้อเยื่อออกด้วยเครื่องมือแพทย์อย่างระมัดระวัง
“ต้องเอากระสุนออกก่อน” พยาบาลรับคำแล้วส่งอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว
ปลายแหนบโลหะถูกสอดเข้าไปในบาดแผลอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางเลือดสดที่ยังไหลไม่หยุด เครื่องดูดเลือดเริ่มทำงาน ดูดซับของเหลวสีแดงออกจากแผลเพื่อเปิดทางให้เห็นกระสุนโลหะที่ฝังอยู่ลึก
“เจอแล้ว” ศัลยแพทย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อย ๆ ดึงปลายแหนบหนีบวัตถุที่สะท้อนแสงขึ้นมาอย่างช้า ๆ
เสียงโลหะกระทบถาดดังแผ่วเบาเมื่อกระสุนหล่นลง ใจของกายในวินาทีนั้นเหมือนถูกดึงกลับมาอยู่กับที่
“กระสุนออกแล้วครับ”
ศัลยแพทย์ใช้ไฟส่องในโพรงบาดแผล ตรวจสอบว่ากระสุนทะลวงเข้าไปใกล้เส้นประสาทหรือกระดูกหรือไม่ หลังประเมินแล้วพบว่าไม่มีสิ่งใดฉีกขาดเพิ่มเติม เขาพยักหน้า
“เริ่มห้ามเลือด เย็บกล้ามเนื้อทีละชั้น”
เข็มเย็บพิเศษถูกส่งต่อเข้าไปในมือของศัลยแพทย์ เส้นไหมสีดำถูกสอดผ่านปลายเข็มโค้ง เย็บลึกผ่านเนื้อเยื่อที่บอบช้ำ เข็มแรกแทงลงไปพร้อมเสียงดูดเลือดที่ยังทำงานไม่หยุด ความนิ่งเงียบของห้องมีเพียงเสียงอุปกรณ์กับเสียงชีพจรที่ยังอ่อน
กายยืนอยู่หลังม่านกระจก สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของทีมแพทย์ หัวใจเต้นแรงด้วยความกังวล แต่เขาต้องรักษาความสงบไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการทำงานของทีมแพทย์
เมื่อการห้ามเลือดและเย็บกล้ามเนื้อภายในเสร็จเรียบร้อย ศัลยแพทย์ตรวจเช็คอีกครั้งแล้วพยักหน้า “การไหลเวียนเลือดกลับมาเป็นปกติ ไม่มีเลือดรั่ว”
“เย็บปิดแผล”
พยาบาลส่งเข็มและไหมเย็บแผลที่ผ่านการฆ่าเชื้อ ศัลยแพทย์เย็บปิดแผลด้วยความประณีต ตามหลักการเย็บแผลที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการติดเชื้อรวมถึงภาวะแทรกซ้อน พยาบาลส่งผ้าก๊อซและแผ่นปิดแผลที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เตรียมพันแผลให้เรียบร้อย
เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้น ทีมแพทย์นำเจบีไปยังห้องพักฟื้น กายถอนหายใจยาว รู้สึกโล่งใจที่การผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี เขายืนนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามออกไป
…
ห้องพักฟื้นในชั้นพิเศษของโรงพยาบาลกลางกรุงโซลถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เสียงจากโลกภายนอกถูกตัดขาดด้วยกระจกสองชั้นและม่านหนา ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แสดงถึงลมหายใจของใครคนหนึ่งที่ยังมีอยู่
เจบีนอนอยู่บนเตียงกลางห้อง สีหน้าซีดเซียวแต่เต็มไปด้วยร่องรอยของความอดทน แขนซ้ายที่ถูกพันไว้แน่นด้วยผ้าสะอาด มีท่อน้ำเกลือและสายให้เลือดพาดอยู่ข้างลำแขน ของเหลวสีแดงเข้มในถุงเลือดหยดผ่านท่อช้า ๆ ราวกับกำลังคืนชีวิตให้เขาทีละนิด
เสี่ยวไป๋นั่งอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองใบหน้าของเจบีไม่วางตา มือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนมือของเจบี เงียบงันแต่มั่นคงราวกับกำลังส่งผ่านอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องพูด
แคสเปอร์ยืนพิงกรอบหน้าต่างอีกฝั่ง มองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสี ยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองอย่างเงียบ ๆ เหมือนพยายามจัดระเบียบความคิดที่ยังปั่นป่วนอยู่ในอก
เรนนั่งอยู่ปลายเตียง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เพียงแค่จ้องมองฝ่าเท้าเล็ก ๆ ที่พ้นผ้าห่มออกมาเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร มือของเขากำหมัดไว้แน่นอยู่บนตัก
ประตูเปิดออกเบา ๆ กายก้าวเข้ามาพร้อมแฟ้มในมือ เขาหยุดมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงไปยังด้านข้างเตียง เช็กระดับน้ำเกลือ ตรวจสัญญาณชีพ และแนบหลังมือแตะหน้าผากของเจบีเพียงแผ่วเบา
“อุณหภูมิคงที่แล้ว... ความดันเริ่มกลับมาในเกณฑ์” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แต่ก็เหมือนเป็นคำพูดที่ทำให้ทุกคนได้หายใจอีกครั้ง
เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กายเพียงพยักหน้าให้แทนคำอธิบาย
ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนเพียงแค่อยู่ที่นั่น อยู่กับเด็กคนหนึ่งที่รอดกลับมาอย่างหวุดหวิดจากขอบเหว
ราฟาเอโร่เป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้ามา เขายืนห่างออกไปเล็กน้อย มองภาพตรงหน้าผ่านความเงียบของตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ หยุดยืนที่ปลายเตียง
เขาไม่พูดอะไรเลย แต่สายตาของเขามั่นคง และในเงาสะท้อนจากกระจกหน้าต่าง... ใครบางคนอาจเห็นแววบางอย่างที่ไม่เคยปรากฏในดวงตานั้นมาก่อน
เจบียังไม่รู้ว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เคยทำให้เขาเจ็บ หรือผู้คนที่ไม่เคยปล่อยมือจากเขาเลยตั้งแต่ต้น
แต่ความเงียบนี้ไม่อึดอัดอีกต่อไป มันอุ่น และนิ่ง อย่างที่ใจของเขาอาจต้องการมานานแล้ว
แสงสีขาวนวลลอดผ่านม่านผ้าสะอาด ดวงตาของเขากระพริบอย่างช้าๆ และงุนงง เหมือนกำลังพยายามแยกแยะว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน
เมื่อสายตาเริ่มปรับกับแสงได้ เขาก็เห็นเงาร่างบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่รอบเตียง ลมหายใจเบา ๆ ของคนที่ยืนอยู่ข้างเขา เสียงฝีเท้าแผ่วเบา...และสัมผัสอุ่น ๆ ที่แตะเบา ๆ บนหน้าผาก
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงหนึ่งเอ่ยเบาแผ่ว กาย โน้มตัวลงมาตรวจเช็กดวงตา ลมหายใจ และสัญญาณชีพของเขาอย่างนุ่มนวล แววตาของแพทย์หนุ่มเต็มไปด้วยความอ่อนโยนปนโล่งใจ คล้ายกับตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น เขาเฝ้าดูเจบีมาตลอดโดยไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
เสี่ยวไป๋อยู่ตรงนั้นเสมอ เขานั่งอยู่ข้างเตียง ลูบผมเจบีเบา ๆ ปลายนิ้วแตะเส้นผมอย่างอ่อนโยน ไม่พูดอะไรออกมา แต่ในความเงียบนั้นกลับเต็มไปด้วยคำปลอบโยนทั้งหมดที่ไม่มีคำพูดใดแทนได้
“ไอ้บ้าเอ๊ย...” เรนพึมพำเสียงเครือ แล้วก็ปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงมาก่อนจะรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดอย่างรวดเร็ว สีหน้ากึ่งขุ่นกึ่งโล่งใจเหมือนเด็กที่เพิ่งหายจากฝันร้าย
แคสเปอร์ยืนอยู่ใกล้ประตู แขนกอดอกแน่น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงแต่ดวงตาอ่อนลงกว่าทุกครั้ง เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบงัน ราฟาเอโร่ยืนอยู่ใกล้กัน สีหน้าคมคายของเขานิ่งเฉย แต่สายตากลับจดจ้องที่เด็กหนุ่มบนเตียงราวกับไม่อาจละไปได้เลย
ในห้องที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ของความกลัวและความแปลกแยก ตอนนี้กลับกลายเป็นพื้นที่เดียวที่เจบีรู้สึก...ปลอดภัยที่สุด
เขาไม่แน่ใจว่านี่คือภาพจริงหรือเพียงแค่ภาพหลอน เขาเคยเห็นใบหน้านี้ในฝันหลายครั้งเกินไป ริมฝีปากแห้งผากขยับไม่ได้จึงเลือกเอื้อมมือขึ้นช้า ๆ แทบไม่มีแรง แตะลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
เสี่ยวไป๋ไม่ได้ขยับหนี เขานิ่งอยู่อย่างนั้น ให้ปลายนิ้วเย็นเฉียบแตะผิวแก้มเขาอย่างลังเล ก่อนที่เจบีจะดึงเบา ๆ เหมือนเด็กที่อยากรู้ว่าสิ่งตรงหน้านั้น...จริงหรือไม่
“โอ๊ย...” เสี่ยวไป๋ร้องออกมาเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงติดจะกลั้วหัวเราะจากความตกใจ เจบีชะงัก มือชะงัก สายตาเบิกกว้างในทันที
เขาพยายามขยับตัว ถอยหนีเล็กน้อยเหมือนคนเพิ่งรู้ตัวว่าฝันนั้นคือความจริง ร่างกายอ่อนแรงจนขยับแทบไม่ไหว แต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่
“...ไม่ใช่ฝันเหรอ” เขาพึมพำเสียงแหบ ราวกับยังไม่เชื่อ
เสี่ยวไป๋ไม่ตอบ เขาเพียงยื่นมือขึ้นมาแตะหลังมือของเจบีที่ยังค้างอยู่บนแก้มเขา แล้วพยักหน้าน้อย ๆ
เจบียังมองอีกฝ่ายนิ่งงัน สายตาค่อย ๆ วูบไหวเหมือนกระจกเงาที่สั่นจากแรงสะเทือนภายใน ใบหน้าเขาซีดจัดแต่เปื้อนน้ำตา ราวกับร่างกายกำลังระบายความรู้สึกที่กักเก็บมาทั้งหมดในคราวเดียวโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
ไม่มีคำพูดใดต่อจากเสี่ยวไป๋ เขาเพียงขยับเข้าใกล้อีกนิด ก้มลงใช้หน้าผากแนบหน้าผากเจบีแผ่วเบา ลมหายใจผสานกันเงียบ ๆ เหมือนทุกอย่างกำลังปลอบประโลมกันผ่านการมีอยู่ของอีกฝ่าย
เจบีหลับตาแน่นขึ้นเล็กน้อย… ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะกลัวว่าภาพทั้งหมดตรงหน้าจะหายไปอีกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
เพราะสิ่งที่เขาผ่านมา สอนให้เขาไม่ไว้ใจสายตา เสียงพูด หรือแม้แต่ความอ่อนโยนของใครบางคน มันง่ายเหลือเกินที่จะกลายเป็นฝันร้ายในวินาทีถัดไป
เมื่อเสี่ยวไป๋ถอยออกมาเล็กน้อย กายก็ขยับเข้ามาแทน เขาหยิบผ้าชุบน้ำเช็ดซับข้างแก้มของเจบีอย่างเบามือ น้ำเสียงนิ่งแต่จริงใจเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว เจบี…นายปลอดภัยแล้วจริง ๆ”
เจบีไม่ตอบ ดวงตาเขายังสั่นระริกเหมือนสัตว์เล็กที่ยังไม่รู้ว่ากรงตรงหน้าเปิดไว้เพื่อปล่อย…หรือหลอกให้เดินเข้ามาอีกครั้ง
เรนที่ยืนอยู่ปลายเตียงขยับเข้ามาใกล้โดยไม่พูดอะไร เขาหยิบหมอนอีกใบมาวางซ้อนด้านหลังหัวเจบี แล้วใช้มือจัดชายผ้าห่มให้เข้าที่ เสียงหายใจเขาสั่น ก่อนจะฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตาไหลไม่หยุด
“โง่จริง ๆ…” เขาว่าเบา ๆ “นายเกือบทำให้หัวใจฉันหยุดเต้นไปด้วยแล้วรู้ไหม…”
เจบียังไม่พูดอะไร ริมฝีปากเขาเม้มแน่น ดวงตายังจับจ้องใบหน้าของเรนตรงหน้า ไม่ได้เบือนหนี ไม่ได้กลัว เพียงแค่นิ่ง...เพราะยังไม่รู้ว่าจะเชื่อความรู้สึกไหนดี
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลังจากนั้น แต่มันไม่ใช่ความเงียบที่ว่างเปล่า มันเต็มไปด้วยบางสิ่ง ความรู้สึกที่เกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำ บางอย่างอัดแน่นอยู่ภายในสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่เขา
แล้วคำหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกัน
“ขอโทษ…”
ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนพูดก่อน แต่หลุดออกมาพร้อมกันจากปากพวกเขาทั้งหมด ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่อยากจะพูดตั้งแต่ต้นแต่ไม่เคยกล้าพอจะเอ่ย
เจบีนิ่งงัน… ไม่คิดว่าจะได้ยินมันจากปากของคนกลุ่มนี้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา คือเหล่าผู้กุมอำนาจที่ทั้งโลกใต้ดินเกรงกลัว คือคนเดียวกันกับที่เคยทำให้เขาต้องเจ็บปวดถึงขีดสุด
แต่ตอนนี้…ทุกคนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษกับเขา
“ขอโทษสำหรับทุกอย่างเลยนะ…” เสียงของแคสเปอร์ดังขึ้นต่อจากนั้น “พวกเราทำเกินไปจริง ๆ เรา...ไม่เคยมองเห็นว่านายรู้สึกยังไง”
“ทั้งที่เราควรเชื่อใจนาย…” เสี่ยวไป๋เอ่ยเบา ๆ ขณะยังลูบผมเจบีอย่างแผ่วเบาเหมือนเดิม
“ต่อจากนี้...เราจะปกป้องนายเอง ไม่ต้องกลัวแล้ว” เรนพูดขณะที่น้ำตายังคลออยู่เต็มดวงตา
“ขอโอกาสให้เราได้ดูแล ปกป้องนายสักครั้งได้ไหม…” กายเป็นคนพูดประโยคถัดมา น้ำเสียงมั่นคงแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก
และสุดท้าย ราฟาเอโร่ที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“เราสัญญา…ว่าจะไม่มีใครทำให้นายต้องเสียน้ำตาอีก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร”
เสียงคำสัญญานั้นดังก้องอยู่ในใจเจบี แม้เขาจะยังไม่รู้ว่าควรเชื่อทั้งหมดนี้หรือไม่ เพราะในใจยังมีทั้งบาดแผลและความลังเลฝังลึก
เสียงลมหายใจของทุกคนยังอยู่ใกล้ แววตาที่เคยเย็นชาแข็งกร้าวกลับอ่อนลงเหลือเพียงความตั้งใจแน่วแน่ และความรู้สึกบางอย่างที่เขาเคยเฝ้ารอจากพวกเขามาตลอด
เจบีไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่นอนนิ่ง ปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบ ๆ อีกครั้ง
...แต่คราวนี้ ไม่ใช่เพราะความเสียใจ
สัมผัสของทุกคนรอบตัวอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มหนาในฤดูหนาว เสี่ยวไป๋เอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาบนแก้มเขาอย่างเบามือ แคสเปอร์เดินเข้ามาลูบมือเขาเบา ๆ และราฟาเอโร่...ใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากเขาออก ก่อนลูบใบหน้าเขาช้า ๆ ราวกับเด็กที่เพิ่งกลับถึงบ้าน
“บอกแล้วไง ว่าจะไม่ทำให้มีน้ำตาอีก” ราฟาเอโร่พูดเสียงเบาแต่หนักแน่น
“ฮึก…ฮึก...” เจบีสะอื้นเบา ๆ ในลำคอ น้ำตายังไม่หยุดไหล แต่ครั้งนี้ มันเหมือนสิ่งสกปรกในใจถูกชะล้างออกไปทีละหยด
…
หลายวันต่อมา เจบียังคงพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล อาการของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ยังมีผ้าพันแผลและสายให้น้ำเกลือคาอยู่ที่แขน แต่สีหน้าซีดเซียวก่อนหน้ากลับมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย ร่างกายเริ่มรับรู้ถึงการหายใจที่ไม่ต้องฝืนเหมือนวันแรก
ช่วงบ่ายที่แสงอาทิตย์ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาเป็นริ้ว เรนนั่งอยู่ข้างเตียง ท่าทางสบาย ๆ พาดแขนกับพนักเก้าอี้ มือข้างหนึ่งหมุนช้อนในถ้วยไอศกรีมอย่างขะมักเขม้น เหมือนเด็กที่กำลังสนุกกับของเล่น ไม่เหมือนชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยกดเจบีไว้กับพื้นอย่างเย็นชา
ใบหน้าเรียบเฉยของเรนในวันนั้นกลับกลายเป็นใบหน้าขี้เล่นในวันนี้ แววตาไม่มีความแข็งกร้าว หลงเหลือเพียงความอ่อนโยนที่ยังไม่กล้าเอ่ยออกมา
เจบีรับรู้ทุกอย่างผ่านหางตา แม้จะไม่ได้มองตรง ๆ แต่เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ก่อนจะเบนสายตาหนี ทว่าในใจยังแอบหวั่นอยู่เล็กน้อย ทั้งที่ควรจะชินกับการอยู่ใกล้เรนแล้ว แต่บางภาพจากวันก่อนยังฝังลึกในความทรงจำเกินกว่าจะลบง่าย ๆ ความกลัวยังคงซ่อนอยู่ในใจเขาเสมอ
เรนเอียงหน้าลงแนบกับขอบเตียง แขนข้างหนึ่งพาดบนผ้าห่ม ใบหน้าแนบอยู่ใกล้กับช่วงแขนของเจบี ก่อนจะค่อย ๆ เบนสายตามามองเขานิ่ง ๆ
“ง่วงหรือยัง?” เขาถามเบา ๆ เสียงนั้นไม่มีแรงบังคับ มีแต่ความลังเลแบบเด็ก ๆ ที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองควรอยู่ตรงนี้หรือเปล่า “ถ้าง่วงก็หลับได้เลยนะ สัญญาว่าจะไม่กวน”
เจบีไม่ได้ตอบในทันที เขาแค่หันหน้าไปอีกด้านหลบสายตา มือหนึ่งขยับดึงผ้าห่มขึ้นเล็กน้อยเหมือนไม่อยากให้ใครรู้ว่ามุมปากกำลังยกขึ้นจาง ๆ อยู่
ไม่ถึงนาที เสียงประตูห้องก็เปิดขึ้น พร้อมกับแคสเปอร์ที่เดินเข้ามาในลักษณะไม่เคยรู้จักคำว่า ‘เบาเสียง’ ของกินเต็มสองมือจนแทบจะล้นจากถุง เขาเดินวางของลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหันไปมองเรนที่ยังนั่งพาดขอบเตียงอยู่
“จะกอดเตียงไว้แบบนั้นทั้งวันเลยหรือไง ลุกมาช่วยหน่อย”
เรนไม่ขยับแม้แต่นิด แค่มุมปากยกยิ้มก่อนจะเอียงหน้าชิดแขนเจบีมากขึ้น แล้วตอบอย่างหน้าตาย “ฉันกำลังทำหน้าที่สำคัญ นายต่างหากที่เดินเข้ามาเหมือนคนหิวจัดแล้วพาลใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้า”
แคสเปอร์เลิกคิ้ว “สำคัญตรงไหน อย่างน้อยฉันก็ไม่ทำตัวเหมือนหมาเฝ้าบ้านที่เอาคางเกยเตียงแล้วจ้องคนป่วยไม่กระพริบแบบนี้”
“หมาเหรอ?” เรนเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างยียวน ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ก็ดี…เพราะฉันจะซื่อสัตย์กับเจ้าของแค่คนเดียวเท่านั้น”
เสียงถุงกระดาษถูกวางลงแรงเกินจำเป็น เจบีที่ได้แต่นอนฟังอยู่นานเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่
เสียงหัวเราะนั้นเบา ราวกับกระซิบในอากาศ แต่กลับชัดพอจะทำให้ทั้งสองคนหยุดเถียงแล้วหันมามอง
แคสเปอร์หันมาขมวดคิ้วเล็กน้อย “หัวเราะอะไร”
“เปล่า...แค่...” เจบีว่าเบา ๆ “พวกนายเถียงกันเหมือนเด็กเลย”
เรนหันกลับมายักคิ้ว “อย่างน้อยก็ทำให้นายยิ้มได้แล้วกัน”
แคสเปอร์ถอนหายใจ ยื่นกล่องขนมให้ “กินอะไรหน่อยสิ จะได้หายเร็ว ๆ ไม่งั้นเรนคงจัดบทละครน้ำเน่ามาเล่นอีกยกแน่”
เจบีมองทั้งสองที่ยืนอยู่ปลายเตียง สลับกันยื่นจานยื่นช้อนอย่างวุ่นวาย เหมือนเด็กเถียงกันในโรงอาหารมากกว่าผู้มีอำนาจใต้ดิน ความรู้สึกอุ่นวาบในอกเขาผุดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
และเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์...ที่เขายิ้มออกมาโดยไม่ต้องฝืน
แต่ในขณะที่เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังอ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศ สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป
"ฮันแจล่ะ...?" เจบีเงยหน้าขึ้นถามทันทีที่ราฟาเอโร่เปิดประตูเข้ามาในห้อง
ทั้งห้องชะงักลงพร้อมกัน เหมือนคำถามนั้นกดปุ่มหยุดทุกจังหวะไว้ในทันที
เจบีนึกขึ้นได้ตอนที่แววตาเยือกเย็นของราฟาเอโร่สบเข้ากับเขา สีหน้าเจบีซีดลงเล็กน้อย ความอุ่นในอกเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเฉียบของความกลัวและความเป็นห่วงที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
“เขา...รักษาตัวอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหม” เสียงเจบีสั่นนิดหน่อยแต่ยังมั่นคงพอให้ทุกคนในห้องได้ยิน
ราฟาเอโร่เงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกำลังชั่งใจ เขาไม่อยากพูดตอนนี้ แต่สีหน้าของเจบี ทั้งความหวั่นไหว ความคาดหวัง และความกลัวที่ปิดไม่มิด ทำให้เขาต้องปริปาก
“ไม่...เขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาช้า ๆ แต่มั่นคง “ตั้งแต่วันที่นายถูกพากลับมา ฮันแจก็หายตัวไป”
โลกของเจบีพลันหยุดนิ่ง
เสียงวุ่นวายเมื่อครู่หายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าที่กดทับกลางอก เขาเบนหน้าลงเล็กน้อย ความวาบในอกเมื่อครู่พลันเย็นชืดลงเหมือนถูกแช่ในน้ำแข็ง
“หมายความว่าอะไร...หายไป?” เขาถามเสียงเบา แทบไม่เหลือแรง
ราฟาเอโร่สบตาเขานิ่ง “เราไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่เรากำลังตามหาอยู่”
เจบียังไม่พูดอะไร สายตาเขาเลื่อนลอยไปยังหน้าต่างห้อง ยามบ่ายของโซลยังคงอบอุ่น แต่ภายในใจเขากลับเริ่มหนาวเย็นลงทุกที
“ทำไมถึงไม่ช่วยเขาออกมาด้วย…” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยการกดกลั้น
เสี่ยวไป๋ที่เดินตามเข้ามารีบทรุดตัวลงข้างเตียง เขาเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเจบีเบา ๆ ปลายนิ้วอุ่นราวกับจะดึงความสั่นไหวในใจออกไปจากปลายเส้นประสาท
“ไม่เป็นไรนะ เด็กดี...” เขาพูดอย่างนุ่มนวล “เราพยายามจะพาเขาออกมาด้วยแล้ว แต่เขายืนยันว่าจะอยู่เอง ตอนนั้นนายบาดเจ็บหนัก...พวกเราไม่มีทางเลือกจริง ๆ เราต้องรักษาชีวิตนายไว้ก่อน” มือของเสี่ยวไป๋กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย “อย่าโกรธเลยนะ”
เจบีหลุบตาลง น้ำตาร้อน ๆ ร่วงลงมาจากหางตา “ฮันแจ...”
เขายังคงเรียกชื่อเดิมซ้ำ ๆ เหมือนคำเรียกนั้นคือเส้นที่เชื่อมเขาไว้กับโลกนี้
“เขาคงสำคัญกับนายมากเลยสินะ” เสียงของแคสเปอร์ดังขึ้นเบา ๆ จากมุมห้อง “เพราะเขาใช่มั้ย...นายถึงต้องยอมทำทุกอย่างให้ไอ้บ้านั่น”
เจบีสะอื้น ฮึกเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนคำสารภาพ
“เขาเป็นทุกอย่างของฉัน…เป็นโลกทั้งใบ เป็นครอบครัวเดียวที่ฉันมี เป็นพี่ชายที่คอยปกป้องฉันมาตลอด ถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่เราโตมาด้วยกัน...เขาไม่เคยปล่อยมือจากฉันเลย ไม่เคยเลย...” เสียงของเจบีขาดหายไปกลางประโยค น้ำตาไหลเงียบลงมาตามข้างแก้ม “คิมบอมต้องไม่ปล่อยเขาไว้แน่...”
"ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คิดนะเจบี" เสี่ยวไป๋พูดเสียงเบา พลางลูบผมเขาช้า ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างคนที่กำลังปลอบเด็กเล็ก "ฉันเชื่อว่าไอ้หมอนั่น...ไม่กล้าทำอะไรพี่ชายนายหรอก"
เจบีส่ายหน้าเบา ๆ “แต่นายไม่เคยเห็นเขาในสภาพที่ฉันเห็น...ทุกครั้งที่ฉันทำผิดพลาด เขาจะเป็นคนที่โดนแทนเสมอ” แววตาเขาสั่นไหว ความเจ็บฝังลึกสะท้อนอยู่ในน้ำเสียงจนทั้งห้องเงียบลง
ราฟาเอโร่ที่ยืนนิ่งอยู่นานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ทรงพลัง “เสี่ยวไป๋ นายให้คนของนายเริ่มแกะรอยจากทุกจุดที่เป็นไปได้”
“อืม” เสี่ยวไป๋พยักหน้า “ฉันจะสั่งให้ทีมลุยทันที ถ้าได้เบาะแสจะรายงานทันที ไม่ต้องห่วง”
“เรน” ราฟาเอโร่หันไปอีกทาง “เตรียมอาวุธกับคนให้พร้อม ถ้ามีสัญญาณ...ลุย”
“เข้าใจ” เรนพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาวาววับ แววซุกซนหายไป เหลือเพียงความแน่วแน่
“แคสเปอร์” เสียงของราฟาเอโร่ยังคงนิ่งแต่แฝงแรงกดดัน “นายดูแลเรื่องการปิดเมือง อย่าให้หมอนั่นมีช่องทางหนี”
แคสเปอร์พยักหน้าช้า ๆ ขณะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดแผนผังเมือง “ระบบเฝ้าระวังของเรายังแทรกซึมอยู่ทุกจุด ฉันจะทำให้เส้นทางการหนีทั้งหมดของเขากลายเป็นเขาวงกต”
“ดี” ราฟาเอโร่พยักหน้า
แล้วทุกคนก็หันมามองเจบีที่ยังนั่งอยู่บนเตียงสีขาวกลางห้องพัก สีหน้าซีดเซียวจากการพักฟื้นยังไม่หายดี แต่ในแววตานั้นเริ่มมีแสงสว่างอันจางจางเรืองขึ้นมาเหมือนแสงแรกของวันใหม่
ราฟาเอโร่ก้าวเข้ามาใกล้ ช้าแต่มั่นคง ก่อนจะหยุดลงหน้าปลายเตียง ดวงตาคมเข้มจ้องลึกอย่างไม่หลบเลี่ยง และกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เราจะล้มหมากกระดานนี้ไปด้วยกัน ไม่ใช่เพราะนายเป็นหมากตัวหนึ่ง...แต่นายคือเหตุผลที่เราต้องชนะ”
ติดตามครับ สนุกมากครับ โอ้ว เตรียมลุยปิดเกม มันส์แน่เลย
ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]