ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 34
Chapter 34ภารกิจตามเมียกลับบ้าน
00:42 AM | บนเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว | เส้นทางลอนดอน – ดูไบ – เกาหลีใต้
เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำเบื้องล่างขณะเครื่องบินทะยานผ่านชั้นบรรยากาศเหนือยุโรปกลาง ทุกอย่างภายในห้องโดยสารเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมหายใจและกลิ่นอาวุธที่เพิ่งถูกแกะขึ้นมาจากกล่องเหล็ก
เสี่ยวไป๋นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโดยสาร ยกปืนไรเฟิลขึ้นพาดตัก ตรวจสอบกลไกอย่างใจเย็น นิ้วเรียวไล้ผ่านลำกล้องทีละส่วน ก่อนจะหรี่ตาเล็งผ่านสโคป ราวกับกำลังคาดคะเนระยะยิงล่วงหน้า แม้จะอยู่ในเครื่องบิน แต่สีหน้าของเขากลับนิ่งกว่าทุกครั้ง เหมือนคนที่พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นหมาป่าทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นเกาหลี
เรนนั่งอยู่ข้างกัน พลิกอาวุธสั้นขนาดพกในมือขวา ก่อนจะโยนขึ้นเบา ๆ แล้วรับไว้อย่างแม่นยำในอุ้งมือ เขามองมันเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง ดวงตาเรียวหรี่ครุ่นคิดขณะหยิบอีกกระบอกขึ้นมาลองจับ เทียบระหว่างน้ำหนักและความถนัด แล้วพึมพำว่า “อันนี้แหละ…เหมาะจะปิดเกมในระยะประชิด”
แคสเปอร์นั่งไขว่ห้างอยู่บนเบาะหนังอีกฝั่งหนึ่ง แท็บเล็ตในมือต่อเข้ากับระบบดาวเทียมของซิลเวอร์เนสต์ กำลังดึงข้อมูลเส้นทางหลบหนีที่เป็นไปได้ออกมาประกอบการตัดสินใจ เขาไม่พูดมาก มีเพียงแววตาที่จริงจังผิดปกติ
ราฟาเอโร่นั่งอยู่หน้าโต๊ะประชุมเล็กตรงกลางเครื่อง เขาเปิดแฟ้มเอกสารบาง ๆ อ่านข้อมูลที่กายส่งมาซ้ำอีกครั้ง ทุกรายละเอียดเกี่ยวกับ "คิมบอม" อยู่ในนั้น ตั้งแต่เส้นทางลำเลียงยาและอาวุธ ไปจนถึงจุดเสี่ยงของฐานลับในโซล ริมฝีปากเขากดแน่น ดวงตาคู่คมนั้นไม่มีแววลังเลเลยแม้แต่น้อย
"เราไม่ได้แค่พาเขากลับมา..." ราฟาเอโร่พูดเสียงเรียบ แต่ถ้อยคำนั้นหนักแน่นจนอีกสามคนเงยหน้าขึ้นฟัง "...แต่เราจะปิดเกมของคิมบอมตรงนั้นเลย"
เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้น ดวงตาแวววาวอย่างเข้าใจในทันที “ถ้าเขาส่งคนมาขวาง เราจะทำยังไง?”
เรนหัวเราะเบา ๆ “ก็แค่…ไม่ให้พวกมันได้กลับไปบอกใครก็พอ”
แคสเปอร์พูดขึ้นบ้าง “พวกเราทำพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง…ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมเสียเขา ไม่ว่าด้วยเหตุผลไหนก็ตาม”
เครื่องบินสั่นเล็กน้อยเมื่อกำลังลดระดับเข้าสู่เส้นทางจอดพักที่ดูไบ หัวใจของทุกคนเหมือนกำลังเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งอีกต่อไป แต่มันคือสงครามเงียบที่อาจเปลี่ยนสมดุลอำนาจในโลกมืดของเอเชียทั้งหมด
และเมื่อเอเชียสั่นสะเทือน... ยุโรปก็ไม่มีวันนิ่งเฉย
…
03:48 AM | ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ
เสียงนาฬิกาดิจิทัลบนผนังเลานจ์ดังขึ้นเบา ๆ ตามจังหวะวินาทีที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า ข้างนอกกระจก สนามบินยามดึกถูกแต้มด้วยไฟลานจอดสีส้มสลัว เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวจอดสงบนิ่งกลางแสงที่ทอดยาวไปบนพื้นแอสฟัลต์
ภายในห้องประชุมส่วนตัวของเลานจ์ระดับสูงสุด เสียงแอร์นิ่งสนิทจนแทบไม่ได้ยิน ราฟาเอโร่เอนตัวไปด้านหน้า แขนทั้งสองข้างพาดอยู่บนโต๊ะประชุม กระดาษแผนการ พิมพ์เขียวโครงสร้างองค์กร และภาพดาวเทียมของเขตภายในกรุงโซลวางกระจายเต็มโต๊ะ
“เราจะไม่เข้าเกาหลีแบบเปิดหน้า” เสียงของเขาเรียบ แต่ทุกถ้อยคำแหลมคม “ตั้งแต่วินาทีที่เจบีเหยียบโซล คิมบอมต้องรู้แล้ว และตอนนี้…มันอาจจะกำลังตามล่าตัวเขาอยู่”
เสี่ยวไป๋ขยับมาวางแฟ้มข้อมูลอีกชุดตรงหน้าเขา ราฟาเอโร่รับไว้ กวาดตามองตัวอักษรอย่างรวดเร็ว ราวกับสมองของเขาแปลภาพเป็นกลยุทธ์ได้ในทันที
“ฐานหลักของมันอยู่ย่านนัมยางจู” เสี่ยวไป๋เริ่มรายงานด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ดวงตาทอดลึกไปยังโต๊ะด้านหน้า “โครงข่ายกระจายอยู่ตามตึกสำนักงานเช่าในย่านธุรกิจ ใช้ชื่อบริษัทนำเข้า-ส่งออกบังหน้า บางส่วนฝังตัวอยู่ในองค์กร NGO เพื่อเคลื่อนไหวโดยไม่เป็นที่สงสัย”
“ทางฝั่งจีนแจ้งมาว่า มันเพิ่งดึงทหารรับจ้างจากยูเครนเข้ามาในโซลช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นหน่วยเฉพาะกิจของเครือที่ทำงานแบบไม่ทิ้งร่องรอย…มันรู้แน่ ว่าเรากำลังจะมา และมันอยากให้เราเป็นฝ่ายรุก”
แคสเปอร์ลุกจากเก้าอี้ เดินช้า ๆ ไปที่หน้าจอแสดงผลบนผนัง เขากดปุ่มเปลี่ยนภาพจากแผนตึกกลายเป็นภาพถ่ายดาวเทียมของเขตภายในกยองกีโด เส้นทางเคลื่อนไหวของเครือข่ายที่คิมบอมควบคุมปรากฏขึ้นเป็นเส้นสีแดงที่วิ่งตัดกันยุ่งเหยิง
“มันกระจายกำลัง แต่มีจุดศูนย์รวมอยู่ไม่กี่แห่ง” แคสเปอร์พูดพลางใช้นิ้วลากเส้นบนหน้าจอ
แผนที่ตรงหน้าถูกซูมเข้าออกด้วยปลายนิ้วของแคสเปอร์ ดวงตาใต้กรอบแว่นเงียบงัน เขาเลื่อนตำแหน่งจุดยุทธศาสตร์ที่คิมบอมเคยใช้เป็นฐานแต่ละแห่งขึ้นมาทีละจุด ไม่มีที่ไหนที่ดูเหมาะจะซ่อนเจบีเลยสักแห่ง
“ถ้าเขาหนีจริง ๆ เขาจะหนีไปที่ไหน...” เรนพูดเสียงเบาเหมือนถามตัวเอง มือกุมท้ายทอยแน่นขณะมองออกไปในความมืดนอกหน้าต่าง
ราฟาเอโร่นั่งนิ่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ แสงจากจอเรืองขึ้นในดวงตานิ่งเฉียบ ราวกับกำลังประมวลผลบางอย่างอย่างเงียบงัน
เสี่ยวไป๋เงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “เขาไม่มีบ้าน ไม่มีที่ให้กลับ แล้วอะไรคือที่แรกที่คนแบบนั้นจะคิดถึง...”
แคสเปอร์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จังหวะนั้นเองที่ในหัวของราฟาเอโร่ผุดภาพบางอย่างขึ้นมา
‘ตอนเขาออกจากโรงพยาบาล ฉันให้บัตรไว้หนึ่งใบ...เผื่อเขาไม่มีเงินติดตัว’
เสียงของกายในห้องประชุมครั้งล่าสุดย้อนเข้ามาอย่างเฉียบพลัน
ราฟาเอโร่ขยับตัวในที่นั่งทันที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเรียกช่องสื่อสารภายใน “ตรวจธุรกรรมล่าสุดของบัตรที่กายเคยให้เด็กคนนั้น...เดี๋ยวนี้”
ไม่ถึงนาที เสียงตอบกลับจากทีมข่าวกรองก็ดังขึ้นในหูฟัง
“เจอแล้วครับ มีการกดเงินสดจากตู้ ATM ใกล้ย่านนัมยางจู เมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว กล้องวงจรปิดจับภาพคนคนหนึ่งในเสื้อฮู้ดสีเข้ม รูปร่างตรงกันกับเป้าหมาย”
ทุกคนในห้องนิ่งไปชั่วขณะ สายตาประสานกันเหมือนรับรู้ความนัยเดียวกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
“เขาหนีไปที่นั่นจริง ๆ …” เสี่ยวไป๋พึมพำ
เรนพูดขึ้นเป็นครั้งแรก สีหน้าเครียดจัด “แต่ถ้าเขาถูกจับไปก่อนล่ะ? เขาไม่มีอะไรเหลือจะต่อรองแล้ว ทางนั้นอาจใช้เขาเป็นเหยื่อล่อ หรือไม่ก็ฆ่าปิดปากไปเลย”
ความเงียบชั่ววูบหนึ่งผ่านไประหว่างที่ใคร ๆ ต่างครุ่นคิด ก่อนที่ราฟาเอโร่จะกล่าวเรียบ ๆ
“เราต้องไปถึงก่อนคิมบอม”
“แล้วเราจะเข้าไปยังไง?” เรนแย้งทันที “ถ้าแม้แต่จุดนั้นก็เสี่ยงจะโดนสไนเปอร์ตั้งแต่ยังไม่ถึงรั้ว”
แคสเปอร์ที่นั่งเงียบมาตลอด เงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงของเขาเย็นและมั่นคงอย่างน่ากลัว
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน...”
สายตาทั้งห้องหันไปที่เขา
“ฉันจะปล่อยข่าวปลอมออกไป ส่งข้อมูลล่อว่าเรามีบางอย่างที่ฝ่ายเราพร้อมแลกกับข้อมูลภายในขององค์กรคิมบอม ส่งให้สายข่าวของมันอย่างจงใจ เพื่อบีบให้มันเปิดช่อง”
เสี่ยวไป๋เลื่อนมือไปบนแผนที่ ลากเส้นอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องมอง
“เราจะแบ่งออกเป็นสองทีม ทีมแรกแทรกเข้าแนวเขตด้านนอก พอให้เข้าถึงตัวเจบีถ้าเขายังอยู่ข้างใน อีกทีมวางดักเส้นทางเคลื่อนย้าย หากเขาถูกจับตัวขนออกจากพื้นที่ เราจะปิดเส้นหลบ”
เขาชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะเปิดเส้นล่อให้พวกมันขยับ ถ้าเป็นไปตามคาด จะเกิดจังหวะสั้น ๆ ที่พอให้เราดึงตัวเจบีออกมา...โดยไม่ต้องปะทะโดยตรง”
…
ลมทะเลทรายยามดึกพัดแผ่วผ่านสนามบินที่เงียบสงัด แสงไฟสีขาวส่องสะท้อนพื้นแอสฟัลต์จนเป็นประกาย ขณะที่เจ็ทลำเดิมซึ่งผ่านการเติมเชื้อเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จอดนิ่งรออยู่ริมลานจอด พนักงานภาคพื้นดินถอยห่างเมื่อเห็นชายทั้งสี่คนปรากฏตัว
ราฟาเอโร่เดินนำหน้าท่ามกลางความเงียบงัน สวมเสื้อสูทสีเข้มเรียบไม่ติดเครื่องหมายใด เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่ก้าวมั่นคงไปยังบันไดขึ้นเครื่อง ส่วนเสี่ยวไป๋เดินตามหลังโดยสะพายกระเป๋าอาวุธเอาไว้แนบหลัง มือขวากำเคสใส่กล้องซุ่มยิงไว้แน่น
“ขอให้ไฟล์ทนี้จบแบบไม่ต้องมีใครเลือดตกยางออกก็แล้วกัน” เรนพูดขึ้นเสียงเบา พลางมองไปยังเครื่องบินที่เปิดประตูรออย่างสงบ มีแสงไฟสว่างจาง ๆ ส่องลอดออกมา
แคสเปอร์เป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้ามา เขาหยุดมองท้องฟ้าสีดำเหนือหัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วหันไปพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ภาคพื้น "เช็กระบบความปลอดภัยอีกครั้งก่อนเทกออฟ เราไม่เสี่ยง"
เจ้าหน้าที่รับคำทันที พร้อมส่งสัญญาณโบกมือให้ทีมบันไดเตรียมเก็บหลังผู้โดยสารขึ้นครบ
เสียงฝีเท้ากระทบบันไดเหล็กดังแผ่วในความเงียบ เสี่ยวไป๋มองรอบลานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวขึ้นตามหลังทุกคน
ประตูเจ็ทปิดสนิท เสียงลมหายใจของทุกคนภายในดังสะท้อนอยู่เพียงเบา ๆ ไม่มีใครพูดอะไรในช่วงแรก เหมือนแต่ละคนกำลังรับมือกับบางอย่างที่เริ่มสั่นคลอนในใจ
…
10:42 AM | บ้านพักเด็ก ‘โบซอง’ | เขตชานเมืองนัมยางจู
ภายในห้องพักเล็ก ๆ ท้ายทางเดินชั้นล่างเงียบสนิท เมีเพียงเสียงพัดลมตั้งโต๊ะที่ส่ายไปมาอย่างช้า ๆ กระทบผ้าม่านบางสีซีดซึ่งปิดแสงไว้เกือบหมด ริ้วแสงแดดยามสายลอดผ่านช่องว่างระหว่างผืนผ้า ทอดเป็นเส้นสว่างเฉียงลงบนเตียงไม้แคบริมหน้าต่าง
เจบีนอนนิ่ง ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบางที่แทบไม่ช่วยอะไรกับอากาศอบอ้าวในห้อง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำอย่างคนที่ไม่ได้หลับลึกมาหลายคืน เขาขยับตัวช้า ๆ แขนขาดูหนักอึ้งไปหมด ขณะที่หลังยังระบมจากแรงสะสมที่ไม่เคยได้รับการพักจริงจัง
เสียงเปิดปิดของบานประตูด้านนอกดังขึ้นแผ่ว ๆ ตามด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่เล็ดลอดผ่านพื้นไม้
เขาพยุงตัวขึ้น หลังพิงพนักหัวเตียง หูตั้งฟังโดยไม่รู้ตัว สัญชาตญาณเก่าที่เคยช่วยให้รอดหลายครั้งทำให้รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
หน้าต่างห้องมองเห็นรั้วด้านหน้า และถนนสายเล็กที่ตัดผ่านป่าไม้ด้านนอก รถยนต์ที่แล่นผ่านแทบนับคันได้ แต่วันนี้มีรถคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ตรงหัวมุมถนนตั้งแต่เช้ามืด รถตู้สีเข้มแบบที่มักใช้โดยเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็พวกที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่ามา
มันจอดอยู่อย่างนั้น...โดยไม่มีใครลงมา
เจบีหลุบตามองนานสองนาน ร่างกายยังอ่อนแรงแต่ความรู้สึกของอันตรายกลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เขาหันกลับไปมองเป้ใบเล็กที่ซ่อนของจำเป็นไว้ใต้เตียง มือเอื้อมไปแตะแต่ยังไม่หยิบ
เสียงเปิดประตูข้างนอกดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เบากว่าเดิม ราวกับตั้งใจไม่ให้ใครได้ยิน
เจบีนิ่งไป หัวใจเต้นกระชั้นชัดในอกจนได้ยินเสียงของตัวเอง เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มซึมตามไรผม ทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนนัก ดวงตาที่เคยหม่นหมองกลับค่อย ๆ ฉายแววระแวดระวังอีกครั้ง
มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปใต้เตียง หยิบปืนพกสีดำที่พันไว้ด้วยผ้าบางแน่นหนา รอยนิ้วที่กอบด้ามปืนนั้นแน่น แต่มั่นคงพอจะยกขึ้นเตรียมยิง เมื่อเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทีละก้าว
แสงจากนอกหน้าต่างสะท้อนกระจกห้อง วาบขึ้นบนผนังด้านข้างเหมือนภาพสัญญาณ เงาคนทาบเข้ามาใกล้ เจบีสูดลมหายใจลึก หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบได้ยินเสียงตัวเองดังชัดในหู
เสียงคลิกเบา ๆ ดังขึ้นที่มือจับประตู มันหมุนช้า ๆ ก่อนที่บานไม้จะขยับ เปิดออกทีละนิ้ว ทีละฝ่ามือ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น
คนสองคนก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ใบหน้าและร่างกายคลุมไว้ด้วยผ้าและชุดดำแบบพรางตัว หนึ่งในนั้นปิดหน้าจนเหลือเพียงดวงตา ส่วนอีกคนดูสูงกว่าหน่อยแต่ท่าทางคล่องแคล่ว
ทันทีที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งของชายตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้เพียงครึ่งก้าว เจบีก็ยกปืนขึ้นเล็งตรงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล ปลายนิ้วแนบกับไกปืนแน่นตึง พรึ่บเดียวก็พร้อมจะลั่นหากจำเป็น
“อย่าเข้ามา..” เสียงเขาแหบพร่า แต่หนักแน่นพอจะหยุดคนทั้งสองได้ทันที
ชายที่ยืนใกล้ที่สุดเงยหน้าขึ้น ดวงตาใต้ผ้าคลุมสบมองมาแน่นิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วดึงผ้าปิดหน้าลง
เป็นเสี่ยวไป๋
อีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังดึงผ้าลงตาม เป็นแคสเปอร์
แต่เจบีไม่ลดปืนลงแม้แต่น้อย ดวงตายังเบิกกว้าง ราวกับสมองกำลังตามไม่ทันกับภาพที่เห็นตรงหน้า
เขายังเล็งปืนไว้ที่พวกเขา นิ้วแตะไกค้างไว้ น้ำหนักของการตัดสินใจทั้งหมดถ่วงปลายนิ้วนั้นจนสั่น
เสี่ยวไป๋ยืนนิ่ง ดวงตาเขาไม่ได้มีความโกรธ ไม่มีคำตำหนิ มีเพียงแววที่เต็มไปด้วยบางอย่างที่เจบีไม่กล้ามองให้ลึก
แคสเปอร์ค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า ๆ ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ ไม่ได้พูด
เจบีหอบหายใจแผ่ว สองไหล่สั่นตามจังหวะลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ ปลายนิ้วเหมือนจะลดปืนลง แต่แล้วกลับยกขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าควรเชื่ออะไร ไม่รู้ว่าควรกลัวใคร
หรือควรจะกลัวตัวเองที่สุด…ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องการให้พวกเขามา หรือไม่อยากให้ใครเจอตัวเลย
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในห้องแคบ ๆ นั้น ระหว่างเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จะไว้ใจใคร กับคนสองคนที่ไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากตรงไหน
“เจบี”
เสียงเรียกชื่อจากเสี่ยวไป๋เบาและชัด ราวกับใช้คำเพียงคำเดียวตีรั้วรอบความวุ่นวายในใจให้หยุดนิ่ง
“กลับไปกับพวกเรานะ”
คำพูดนั้นแทงลึกลงมาในหัวใจที่บอบช้ำจนไม่เหลืออะไรให้ห่อหุ้ม เจบีกัดฟันแน่น ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้ หรือวิ่งหนีไปให้ไกลจากทุกอย่างตรงหน้า
“ไม่มีเวลาแล้ว พวกนั้นกำลังบุกมา”
แคสเปอร์เอ่ยเสียงต่ำหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณในหูฟัง เขารู้ว่าหน่วยไล่ล่าของคิมบอมกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก
“เร็วเข้าเจบี รีบไปกับพวกเรา” เสียงของเขาเริ่มร้อนรน
แต่เจบีกลับยังยืนนิ่ง ปืนยังคงจ่อไว้ไม่ขยับ
เหมือนร่างกายสั่นเพราะความเจ็บมากกว่าความกลัว เขาสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ปากเม้มแน่น ร่างทั้งร่างเหมือนถูกพันธนาการไว้กับความทรงจำที่ยังไม่ยอมจาง
ในหัวของเขายังคงชัดเจนถึงบาดแผลตามร่างกายที่ยังทิ้งรอยช้ำ ความเย็นเฉียบในห้องใต้ดิน กลิ่นเลือดที่เกาะติดอยู่บนผิว และแววตาเฉยชาที่ทอดมองผ่านเขาไปราวกับสิ่งที่ถูกใช้แล้วหมดประโยชน์ ของเล่นที่ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป และถูกโยนทิ้งไว้ในมุมมืด
เขาไม่อยากกลับไป
เพราะการกลับไปอาจหมายถึงต้องเผชิญกับสิ่งที่เขาเอาชีวิตหนีมา
และเขาไม่แน่ใจว่า…หัวใจที่เกือบตายไปแล้ว มันจะมีแรงพอให้เจอกับสิ่งเหล่านั้นได้อีกครั้งหรือไม่
ขอขอบพระคุณ สนุกมากครับ เจอตัวแล้ว นอลุ่นต่อนะครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆนะครับ
หน้า:
[1]