ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 22
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-27 15:41Chapter 22
การเผชิญหน้ากับยอดพีระมิดแห่งอำนาจ
ปลาที่มันหลงดีใจว่าตัวเองได้กินเหยื่อจริง แต่ถูกหลอกเพราะเหยื่อนั้นเป็นของปลอม…มันจะรู้สึกยังไงนะ?
เสียงเคาะนิ้วช้า ๆ บนพื้นโต๊ะไม้ดังสม่ำเสมอ
ราฟาเอโร่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมจ้องเอกสารและรูปถ่ายที่วางเรียงอยู่เบื้องหน้า ภาพการเคลื่อนไหวล่าสุดของใครบางคนที่เขาสนใจเป็นพิเศษ
ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะพอใจ แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่รู้อยู่แก่ใจว่า ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่เขาคาดไว้
“ว่ายเข้ามาเองเชียว”
เขาพึมพำเบา ๆ พลางหยิบรูปหนึ่งขึ้นมา พลิกดูด้านหลังที่มีตัวเลขวันเวลาแสตมป์ไว้ชัดเจน
“น่าสงสารนิดหน่อย... แต่ก็โง่เองนี่นะ”
แค่เหยื่อที่วางไว้…แค่ปลอมให้ดูจริงพอที่จะทำให้ใครบางคนกระโจนเข้าหาโดยไม่ทันคิด
ไม่ต้องออกแรงไล่ ไม่ต้องเหนื่อยล่า แค่เฝ้าดู...และรอให้ ‘ปลาน้อย’ ติดเบ็ดด้วยตัวเอง
ราฟาเอโร่วางรูปนั้นลงกับโต๊ะอีกครั้ง สายตาของเขานิ่งราวกับน้ำในบ่อลึก ไม่มีระลอกไหวให้คาดเดา
แต่ในใจเขากำลังร้อยเชือก รัดปม และเตรียมเหวี่ยงตาข่ายให้ตึงที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ต้องรีบหรอก…” เขาพูดกับตัวเอง
“เวลาที่ปลารู้ตัวว่าเหยื่อมันปลอม มันจะดิ้นแรงกว่าเดิม… และนั่นแหละ ช่วงเวลาที่สนุกที่สุด”
10: 40 PM | Silver Nest
แสงไฟของมหานครทอประกายระยิบระยับราวทะเลดาวที่ไม่มีขอบเขต เจบียืนพิงระเบียงกระจกใสของชั้นบนสุดในตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่ง สายตากวาดมองออกไปไกลสุดสายตา เส้นขอบฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยไฟหลากสีของเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ลมเย็นเฉียบพัดผ่านเข้ามาใต้ปีกเสื้อโค้ตบางเบา โอบล้อมเขาไว้เหมือนเตือนสติว่า
ที่นี่…ไม่ใช่ที่ปลอดภัย
ระเบียงเปิดโล่งรับลม ลึกเข้าไปในเงาสลัวของค่ำคืน เจบีขยับมือจับขอบราวไว้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความเย็นจากโลหะซึมผ่านเข้าฝ่ามือ ช่วยเรียกเขากลับมาสู่ความจริง
เขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับได้แล้ว
จากจุดนี้ เขามองเห็นทุกอย่าง ทั้งความสวยงาม ความมั่งคั่ง และความอันตรายที่แฝงอยู่ในเงา
เครือข่าย ‘ขนนกสีเงิน’ กำลังขยับตัวชัดเจนขึ้นทุกขณะ และเขาก็กำลังถูกดึงเข้าไปในนั้น...ช้า ๆ แต่ลึกจนแทบไม่รู้ตัว
พื้นที่ตรงหน้าไม่ใช่แค่ใจกลางของโลกใต้ดิน แต่มันคือรังของเหล่าสิงโตที่พร้อมฉีกเขาเป็นชิ้น หากเขาพลาดแม้เพียงก้าวเดียว
เจบีก้มมองปลายนิ้วของตัวเองที่กำแน่น
‘ที่นี่ไม่มีพื้นที่สำหรับความผิดพลาด’
เขากำลังเล่นอยู่ในเกมที่เดิมพันไม่ใช่แค่ข้อมูลหรือผลประโยชน์
แต่คือ ‘ชีวิต’
เจบียกมือขึ้นมากุมไว้แน่น ก่อนจะยกขึ้นใกล้ริมฝีปาก เป่าไออุ่นเบา ๆ ไล่ความเย็นที่เกาะติดปลายนิ้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น มือของเขาก็ถูกใครบางคนคว้าไปกุมไว้ก่อน
“หนาวเหรอ” เสียงเรียบนิ่งของเสี่ยวไป๋ดังขึ้น พร้อมกับที่เขาเป่าลมหายใจอุ่น ๆ ลงบนฝ่ามือเจบีแทน “กลับเลยมั้ย”
เจบีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตา เสี่ยวไป๋ดูเหนื่อยนิดหน่อย ดวงตานิ่งลึกนั่นยังคงจับจ้องเขาโดยไม่หลบเลี่ยง
...หรือปกติเขามักเป็นแบบนี้ทุกครั้งหลังจากประชุม?
“มองหน้าฉันแบบนั้น คิดอะไรอยู่” เสี่ยวไป๋ถามต่อ “หรือว่านายไม่สบายตรงไหน”
“ไม่มีอะไรครับ...” เจบีรีบตอบเสียงเบา ก่อนจะพยักหน้า “เรากลับกันเลยก็ได้ครับ”
เสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไรเพิ่มเติม แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเขาออก กลับเลื่อนมือนั้นไปซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเองแทน ราวกับอยากปกป้องมือของเจบีจากความหนาวเย็นรอบตัว
เสียงประตูเปิดดังขึ้นจากด้านหลัง แคสเปอร์กับเรนเดินตามออกมา พร้อมกับกายและชายหนุ่มอีกคนที่เจบีไม่คุ้นหน้า ก่อนที่เรนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“รีบกลับกันจังนะ”
เรนเอ่ยแซวเสียงใส ขณะเกาะแขนกายแน่นไม่ห่าง กลายเป็นเด็กขี้อ้อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เสี่ยวไป๋เพียงส่ายหน้าน้อย ๆ ส่วนแคสเปอร์นั้นยกไวน์ขึ้นจิบก่อนจะหันมาทางเจบี เขาก้าวเข้ามาใกล้ แล้ววางมือไว้บนไหล่เจบีอย่างนุ่มนวล แต่มั่นคง
“มานี่สิ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ย “ฉันอยากให้นายรู้จักเจ้าของที่นี่”
ดวงตาคมคู่นั้นเหลือบมองเจบีแค่แวบเดียว แต่แค่นั้นก็ทำให้เจบีรู้สึกถึงแรงกดดันรอบตัว
ชายคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนสูงที่สุด เงียบขรึมที่สุด ใบหน้าคมสันเหมือนถูกสลักขึ้นจากความเงียบสงบและอันตรายที่เกาะกุมอยู่ภายในสายตา สัตว์นักล่าที่ไม่จำเป็นต้องคำราม
เจบีก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้มั่นคงที่สุด
“สวัสดีครับ”
อีกฝ่ายเพียงแค่มองเขานิ่ง ๆ โดยไม่พูดอะไร เจบีอึกอักเล็กน้อย รู้สึกถึงความตึงเครียดในอากาศ เขาหันไปมองเสี่ยวไป๋อย่างเงียบ ๆ คล้ายขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อไม่เห็นท่าทีใดจากอีกฝ่าย เจบีจึงสูดลมหายใจแผ่ว แล้วตัดสินใจแนะนำตัวต่อเอง
“ผมชื่อเจบีครับ เป็นผู้ช่วยของคุณเสี่ยวไป๋...ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
มือที่ยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเสี่ยวไป๋ถูกบีบแน่นขึ้นเล็กน้อย เหมือนสัญญาณบอกว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง...ถึงแม้ว่าเจ้าของมือนั้นจะยังคงนิ่งเฉยอยู่ก็ตาม
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศตรงหน้าชักจะไม่ค่อยสู้ดี เสี่ยวไป๋จึงรีบตัดบทขอตัวกลับก่อน สำหรับเขาแล้ว วันนี้ไม่ต่างจากการเดินเข้าสู่สมรภูมิรบ โดยไม่มีแผนรับมืออยู่ในมือเลยสักนิด
ราฟาเอโร่เป็นนักวางแผนที่เฉียบขาด และเขามักจะอ่านเกมของคนอื่นออกตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ต้องมีอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวคิดว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้น เสี่ยวไป๋ก็ยังเลือกที่จะวางตัวเป็นกลางให้มากที่สุด
เขากระชับมือใต้กระเป๋าเสื้อโค้ทแน่น แล้วดึงอีกฝ่ายให้เดินตามออกไป แคสเปอร์กับเรนได้แต่มองตามแผ่นหลังทั้งสอง ก่อนจะหันกลับมามองราฟาเอโร่ที่ยังยืนอยู่อย่างมั่นคง มือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม แล้วถอนหายใจพร้อมกัน
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ” คราวนี้เป็นกายที่เอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบและบรรยากาศที่เริ่มขมุกขมัว
“หึ...ฉันก็แค่รอดูอะไรที่มันน่าสนุกก็เท่านั้นเอง”
บ้านพักส่วนตัวของเสี่ยวไป๋ – ลอนดอน
ลอนดอนในฤดูหนาวเริ่มมีอุณหภูมิลดต่ำลงอย่างชัดเจน หิมะโปรยปรายเบาบางลงมาจากฟ้า สะท้อนกับแสงแดดสลัวที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในบ้าน เงาต้นไม้ในสวนหลังบ้านทอดตัวยาวเหยียดเหนือผืนหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยชั้นบางของหิมะขาวสะอาด
ในห้องนั่งเล่น เจบีกำลังนั่งอยู่กับชาลอต สุนัขตัวโตสีดำของเสี่ยวไป๋ ซึ่งดูจะติดเขามากเสียจนไม่ยอมไปไหน มันขดตัวนอนหงาย พลางใช้จมูกดุนมือเจบีให้ช่วยเกาพุงอย่างที่มันชอบ
เสียงหัวเราะเบา ๆ จากเจบีหลุดออกมาเมื่อชาลอตยกขาขึ้นมาเกาอากาศพลางเลียมือเขาเบา ๆ ภาพนั้นทำให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเงยหน้าจากแท็บเล็ตขึ้นมามองโดยอัตโนมัติ
รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าของเจบีตอนอยู่กับสุนัข มันดู...เป็นธรรมชาติกว่าตอนอยู่กับคนเสียอีก
เสี่ยวไป๋เฝ้ามองเงียบ ๆ ก่อนที่โทรศัพท์ตรงหน้าจะสั่นเบา ๆ ด้วยสายเรียกเข้าติดต่อกันหลายครั้งติด
“อืม...มีอะไร”
ปลายสายรายงานข้อมูลสั้น ๆ แต่เพียงพอจะทำให้เสี่ยวไป๋เงียบลงไปพักหนึ่ง
“งั้นเหรอ” เสียงของเขายังคงนิ่ง แต่แววตาเริ่มเปลี่ยนไป
หลังจากวางสาย เสี่ยวไป๋เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นบีบขมับเบา ๆ ช้า ๆ เหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดอย่างหนัก
‘ฉันควรพาเขาไปด้วยมั้ย’
หยางหมิง หุ้นส่วนของเขาที่จีนเพิ่งรายงานมาว่า เรือสินค้าที่บรรทุกของล็อตสำคัญกำลังประสบปัญหากับเจ้าหน้าที่ชายฝั่ง และดูเหมือนจะไม่สามารถใช้คนกลางจัดการได้อีกต่อไป
ครั้งนี้เขาต้องเดินทางกลับไปจีนเพื่อจัดการปัญหาให้เรียบร้อย แต่การปล่อยเจบีไว้ลำพังก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ขณะเดียวกัน การพาเขาไปด้วยก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะเท่าไหร่เช่นกัน
ความคิดยังไม่ทันได้ข้อสรุป ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติ เสียงแคสเปอร์ที่พูดไม่หยุดหลังเหตุการณ์วันนั้นยังเหมือนจะก้องอยู่ในหู บ่นยาวไม่เว้นช่องให้หายใจ
แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล จากนั้นจึงลุกขึ้น เดินเข้าไปหาอย่างเงียบ ๆ จนเจบีสะดุ้งเล็กน้อย เสี่ยวไป๋นั่งลงข้าง ๆ แล้วเอนใบหน้าพิงไหล่ของเจบี ราวกับสุนัขที่กำลังอ้อนเจ้าของ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เสี่ยวไป๋ถอนหายใจอีกครั้ง แต่ก็ยอมพูดออกมา
“ฉันต้องไปจีน คืนนี้เลย”
“งานมีปัญหาสินะครับ”
“อืม หยางหมิงเพิ่งโทรมาบอก เรือสินค้ามีปัญหากับเจ้าหน้าที่ ฉันต้องไปเจรจาข้อตกลงใหม่ ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่นานแค่ไหน” เขาเว้นจังหวะไปชั่วขณะ “นายอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
"ครับ" เจบีตอบรับโดยไม่เอ่ยถามเหตุผล
“ราฟาเอโร่เพิ่งคุยกับฉัน เขาอยากได้นายไปช่วยงานที่นั่น ฉันบ่ายเบี่ยงมาตลอด... แล้วถ้าฉันถามความสมัครใจของนายล่ะ นายอยากจะไปทำงานกับเขาไหม แค่ช่วงที่ฉันไม่อยู่”
เจบีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง “ผมตามใจคุณครับ เสี่ยวไป๋”
อีกฝ่ายถอนหายใจเบา ๆ พลางเอนศีรษะพิงลงบนไหล่เจบีแน่นขึ้นเล็กน้อย
“นายทำให้ฉันลำบากใจนะ”
ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ เสี่ยวไป๋หลุบตามองสวนที่มีหิมะเกาะบาง ๆ ข้างนอก แต่ในหัวกลับวุ่นวายจนไม่อาจนิ่งได้ เขาไม่ไว้ใจราฟาเอโร่ ไม่ใช่เพราะกลัวจะเสียเจบีไป...แต่เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน
แม้เขาจะพยายามปกป้องเจบีเท่าที่ทำได้ แต่กับบางเรื่อง…เขาก็ไม่มีสิทธิ์ขวาง
อย่างน้อยที่สุด เขาหวังว่าเจบีจะทำให้ราฟาเอโร่มองเห็น ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แค่เบี้ย ที่จะจับวางยังไงก็ได้ตามเกม
แต่เป็นคนที่มีค่า…มากพอจะรักษาไว้
.
.
.
“ดูแลตัวเองให้ดี…แล้วรอฉันกลับมานะ”
เสียงเรียบนิ่งที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนประตูรถจะปิดลง พร้อมกับแววตาของเสี่ยวไป๋ที่มองสบเขาเพียงชั่วครู่ แฝงความห่วงใยไว้มากกว่าที่ยอมพูดออกมา
เจบียืนนิ่งมองรถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานหน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์จางลงพร้อมภาพของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา
เขายกมือขึ้นโบกเบา ๆ เหมือนต้องการให้กำลังใจ ไม่ใช่แค่เสี่ยวไป๋…แต่กับตัวเองด้วย
ใจหนึ่งก็รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคือความจำเป็น แต่ลึกลงไปอีกใจยังอดรู้สึกหวั่นไม่ได้ เพราะการได้เข้าใกล้บุคคลที่อยู่สูงสุดบนยอดพีระมิดแห่งอำนาจ...
นั่นหมายความว่าภารกิจของเขา กำลังเดินทางมาถึงจุดจบแล้วเช่นกัน
การต้องเผชิญหน้ากับราฟาเอโร่ ผู้ชายที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นดั่งเงาในโลกใต้ดิน เยือกเย็น มองทะลุ และอันตราย ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากทำเลยสักนิด
เจบียืนนิ่ง สูดลมหายใจลึก พยายามกดความรู้สึกไม่มั่นคงลงไปให้ลึกที่สุด
ทำไมราฟาเอโร่ถึงอยากได้ตัวเขา ทั้งที่อีกฝ่ายแทบไม่เคยมองหน้าเขาด้วยซ้ำ
คำถามนั้นวนอยู่ในหัว…ไม่มีคำตอบ แต่สิ่งที่เขารู้แน่คือ ตั้งแต่วินาทีนี้ เขาไม่มีเสี่ยวไป๋อยู่ข้างกายอีกต่อไป
และเขาต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างเพียงลำพัง
เวลาล่วงเลยมาถึงเช้าวันใหม่…
อากาศวันนี้อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย หิมะที่ปกคลุมพื้นสวนตั้งแต่วันก่อนเริ่มละลาย ทิ้งไว้เพียงคราบชื้นและกลิ่นของดินเปียกปนเย็น เจบียืนหน้ากระจก มองเงาสะท้อนของตัวเองขณะจัดปกเสื้อสูทให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาจะต้องเผชิญกับอะไร แต่เขาไม่มีทางเลือก
รถคันสีดำเคลื่อนมาจอดรับตรงหน้าบ้านพัก เสียงเครื่องยนต์ที่เงียบสนิทไม่ได้ช่วยลดแรงสั่นในอกลงได้เลย เจบีสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งอย่างเงียบงัน
ตลอดทางที่รถเคลื่อนตัวผ่านถนนในลอนดอน ใจของเจบีไม่ได้ว่างพอจะชื่นชมวิวข้างทางนัก เขารู้ดีว่าสถานที่ที่เขากำลังมุ่งหน้าไปนั้น ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะคนที่มีสถานะคลุมเครืออย่างเขา
เมื่อมาถึงอาคารสูงใจกลางเมือง เจบีแหงนหน้าขึ้นมองยอดตึกที่ดูราวกับจะแทงทะลุท้องฟ้า ความยิ่งใหญ่ของมันไม่ใช่แค่ในด้านสถาปัตย์ แต่คือศูนย์บัญชาการเบื้องหลังของกลุ่มอำนาจที่ครอบคลุมทุกมุมโลกใต้ดิน
เจบีไม่เคยรู้สึกตัวเล็กเท่านี้มาก่อน
เขาถูกพาไปยังห้องรับรองส่วนตัวด้านบนของตึก พื้นไม้เงาวับสะท้อนเงาเท้าของเขา เสียงรองเท้าหนังที่กระทบพื้นในความเงียบฟังดูดังเกินจริง และยิ่งเข้าใกล้ประตูห้องนั้น หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง
...ในที่สุด ประตูก็เปิดออก
เจบีเงยหน้าขึ้นสบตากับชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สีดำสนิท ร่างสูงใหญ่ในสูทสีเข้ม ผมดำแซมเงินนิด ๆ บ่งบอกอายุอย่างสง่างาม ดวงตานิ่งและลึกล้ำ เหมือนกำลังอ่านทุกอย่างในใจเขาโดยไม่ต้องพูดคำใด
เจบีสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ พยายามเรียกสติ พยายามบังคับตัวเองให้ไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่มีคำทักทาย ไม่มีคำเชื้อเชิญให้เขานั่ง มีเพียงความเงียบที่ปะทะเข้ามาเต็มแรง
เขาตัดสินใจเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงสุภาพและมั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คุณต้องการให้ผมช่วยงานด้านไหนครับ”
ราฟาเอโร่ไม่ได้ตอบทันที เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ พลางหรี่ตาลงอย่างพินิจ ก่อนจะวางแท็บเล็ตในมือลงบนโต๊ะ
“ถ้าฉันไม่ต้องการอะไรจากนายเลยล่ะ...” น้ำเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ “...นายจะยังอยากอยู่ที่นี่ไหม?”
เจบีนิ่งไป ไม่ใช่เพราะคำถาม...แต่เพราะแววตาคู่นั้นต่างหาก ที่จ้องมองราวกับเขาไม่ใช่คน แต่เป็นเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดาน
“ถ้าคุณไม่ต้องการ ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะอยู่”
คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ราฟาเอโร่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย แต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยววินาที รวดเร็วจนเกือบมองไม่ทัน
“อย่างน้อย...” เขาว่าเสียงแผ่ว ต่ำ แต่ทุ้มหนัก “...ก็ตอบได้ฉลาดดี”
เจบีไม่ได้ตอบอะไรต่อ เพียงยืนสงบนิ่ง รับแรงกดดันที่เหมือนโซ่ตรวนล่องหนพันธนาการอยู่ตรงหน้า แม้จะรู้ว่าทุกคำพูด ทุกจังหวะหายใจของเขากำลังถูกจับตามอง ไม่ต่างจากวัตถุในกำมือ ที่พร้อมจะถูกบิดเบี้ยวได้ทุกเมื่อหากอีกฝ่ายออกแรงเพียงน้อยนิด
สายตาของราฟาเอโร่ยังจับจ้องเขาไม่วางตา เย็นชา แต่แฝงไว้ด้วยแววเคลือบแคลงบางอย่างที่คาดเดาไม่ได้ ต่างจากเสี่ยวไป๋ ผู้แม้จะดูเงียบขรึมและเย็นชาในบางครั้ง ทว่าการกระทำของเขากลับมักสวนทางกับท่าทีเหล่านั้น
“ชงกาแฟให้ฉันหน่อย” น้ำเสียงเรียบเย็นของราฟาเอโร่ดังขึ้น
“ค ครับ...” เจบีตอบรับเสียงเบา ขยับตัวตรงทันที รู้สึกเหมือนฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อโดยไม่รู้ตัว
ราฟาเอโร่ไม่พูดซ้ำ ไม่แม้แต่จะเหลือบตามามอง เขาหันกลับไปจดจ่อกับหน้าจอแท็บเล็ตตรงหน้าอีกครั้ง ท่าทีเรียบเฉยเหมือนไม่ได้ใส่ใจการมีอยู่ของเจบีแม้แต่น้อย ทิ้งให้เขายืนอยู่อย่างเงียบงันท่ามกลางอากาศที่เริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกวินาที หนักเสียจนแทบกลืนหายใจไม่ลง
เจบีเดินไปยังมุมเครื่องชงกาแฟของห้อง ค่อย ๆ ขยับมือหยิบแก้ว จัดเซ็ตเครื่อง และเตรียมทุกอย่างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ความเงียบของห้องขับเน้นเสียงกดปุ่มเล็ก ๆ ให้ฟังดูดังเกินจริง จังหวะเต้นของหัวใจเขาเหมือนถูกจับจังหวะทุกขณะ
มือของเขาสั่นเล็กน้อย แต่พยายามคุมสัดส่วนให้พอดีที่สุด ไม่หวานเกินไป ไม่ขมจนเกินไป ทุกอย่างต้องสมดุล
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราฟาเอโร่ชอบกาแฟแบบไหน แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดา...และหวังให้เดาถูก
เพราะบางครั้ง...การชงกาแฟให้ถูกใจใครบางคน อาจหมายถึงการได้อยู่รอดต่อไปอีกวัน
เจบีถือแก้วกาแฟที่ยังมีไอร้อนลอยขึ้นจาง ๆ ก่อนจะเดินไปวางเบา ๆ ลงบนโต๊ะหน้าราฟาเอโร่ โดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วจึงถอยกลับไปยืนยังตำแหน่งเดิม รักษาระยะห่างอย่างระมัดระวัง
ราฟาเอโร่ไม่ละสายตาจากแท็บเล็ตในมือ ไม่แม้แต่จะปรายตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเพียงเลื่อนนิ้วบนหน้าจออย่างใจเย็น ท่าทีสงบเหมือนไม่มีอะไรน่ากังวล
ผ่านไปครู่หนึ่ง ราฟาเอโร่จึงค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟขึ้นมา ชิมเพียงอึกเดียว ก่อนจะวางมันลงอย่างแผ่วเบาในจังหวะที่พอเหมาะพอดีราวกับคำนวณมาแล้ว
“ชอบเล่นเกมไหม” เสียงทุ้มนิ่งดังขึ้นโดยไม่เงยหน้า น้ำเสียงฟังดูเรียบง่าย แต่คล้ายแฝงความหมายอะไรบางอย่าง
เจบีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเบา “ไม่ถนัดครับ”
“แต่นายกำลังเล่นอยู่นะ… และเล่นได้ดีทีเดียว” คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเข้มสบประสานกับเจบีอย่างตรงไปตรงมา ชั่วขณะนั้น ห้องทั้งห้องเหมือนจะเย็นลงเล็กน้อย
“ฉันชอบคนที่มีไหวพริบ และกล้าเดินเข้ามาในพื้นที่ของฉันโดยไม่สั่น” ราฟาเอโร่เอนตัวพิงเก้าอี้ สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ “แต่จำไว้ให้ดี เจ้าเหยื่อที่กล้ากระโดดเข้าหาเบ็ดด้วยตัวเอง มักคิดว่าตัวเองควบคุมเกมได้…”
เจบีไม่ตอบ เขาก้มศีรษะเล็กน้อยรับคำ โดยไม่แสดงความกลัวหรือท้าทาย
ราฟาเอโร่หรี่ตามองเขาเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักอะไรบางอย่าง ก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากยกขึ้นเพียงนิด ราวกับพึงพอใจ
“กาแฟใช้ได้” เขาว่าแผ่วเบา ราวกับเป็นคำชม…หรืออาจเป็นเพียงคำยืนยันว่า ‘นายยังอยู่ในเกม’
สนุกมากครับ ชอบมากครับ
หน้า:
[1]