ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 21
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-26 11:16Chapter 21เกมจับผิด
8:45 PM | ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ไฟสนามบินส่องสว่างไปทั่วรันเวย์เมื่อเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวแตะล้อจอดลงอย่างนุ่มนวล หลังจากเวลาหลายชั่วโมงบนท้องฟ้า ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงลอนดอน เสี่ยวไป๋ก้าวลงจากเครื่องเป็นคนแรก ตามมาด้วยแคสเปอร์และเรนที่ดูสบาย ๆ กว่าตอนเดินทางออกจากจีน
"กลับมาเหยียบลอนดอนอีกทีแล้วรู้สึกโล่งเนอะ" เรนยืดแขนพลางหาวหวอด "น่าจะอยู่ยาวหน่อย พักผ่อนให้เต็มที่"
"คิดจะพักผ่อนจริง ๆ หรือหาทางหนีงาน?" แคสเปอร์เลิกคิ้วมองอย่างรู้ทัน
"ก็นิดนึง" เรนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยักไหล่ "ฉันแค่ยังไม่อยากกลับญี่ปุ่นตอนนี้ เรื่องปวดหัวเยอะไปหมด ขอชาร์จแบตก่อน อีกอย่าง—"
เขาเหลือบตามองแคสเปอร์ก่อนยิ้มมุมปาก "ฉันก็คิดถึงกาย ค่อยนัดรวมตัวกันอีกทีแล้วกัน"
"ก็ตามใจ" แคสเปอร์พ่นลมหายใจ "แต่จำไว้ว่านายมีงานต้องเคลียร์"
"อ่าฮะ~ เอาไว้ทีหลัง" เรนโบกมือไล่เรื่องงานอย่างไม่ใส่ใจ
เจบีที่เดินตามหลังเงียบ ๆ ฟังพวกเขาคุยกันไปพลาง เมื่อออกจากสนามบินแล้ว พวกเขาแยกกันขึ้นรถไปตามเส้นทางของตัวเอง แคสเปอร์กับเรนเลือกพักที่เพ้นท์เฮ้าส์ในเมือง ส่วนเจบีถูกพากลับไปยังบ้านพักของเสี่ยวไป๋ที่ลอนดอน ที่เดิมที่เขาเคยอยู่ก่อนจะไปจีน
บ้านพักส่วนตัวของเสี่ยวไป๋ – ลอนดอน | 9:30 PM
หลังจากเดินทางมาทั้งวัน เจบีกลับมาถึงบ้านพักของเสี่ยวไป๋ ความเงียบสงบของสถานที่นี้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด อาจเป็นเพราะตอนที่อยู่จีน เขาแทบไม่มีเวลาคิดอะไรเลย แต่ที่นี่... ทุกอย่างดูช้าลง ราวกับบังคับให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความคิดของตัวเอง
เสี่ยวไป๋ยังคงเหมือนเดิม นิ่งขรึม ไม่พูดมาก แต่ใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง เขาไม่ได้ถามว่าเจบีเหนื่อยหรือไม่ แต่ดึงแขนเจบีให้มานั่งลงบนโซฟากลางห้องนั่งเล่นแทน
“เอาเสื้อลง” น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเขาเอ่ยขึ้น
เจบีเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาถอดแจ็กเก็ตที่ใส่มาทั้งวันออกช้า ๆ ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น เผยให้เห็นแผลที่เริ่มตกสะเก็ดบริเวณต้นแขน ผิวรอบ ๆ ยังคงแดงจาง ๆ จากรอยกระสุนที่เฉียดผ่านมา
เสี่ยวไป๋มองมันนิ่ง ๆ ก่อนจะเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างโซฟา หยิบหลอดยาทาลดรอยแผลเป็นหลอดเดิมขึ้นมา
เขาบีบยาลงบนปลายนิ้ว ก่อนจะแตะลงบนรอยแผลเบา ๆ
สัมผัสเย็น ๆ ทำให้เจบีสะดุ้งเล็กน้อย แต่แรงมือของเสี่ยวไป๋นั้นเบากว่าที่คิด แม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะดูนิ่งเรียบเหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่การลงน้ำหนักมือกลับระมัดระวังราวกับไม่ต้องการให้เจ็บ
“หมอนั่นกลัวว่านายจะมีรอยแผลเป็น” เสี่ยวไป๋พูดขึ้นเรียบ ๆ มือยังคงทายาให้อย่างใจเย็น
“จริง ๆ ผมไม่คิดมากขนาดนั้นนะ”
เสี่ยวไป๋ปรายตามอง “แคสเปอร์คิด”
เจบีนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดี
“นายก็อยู่นิ่ง ๆ อย่าพูดมาก” เสี่ยวไป๋ว่าพลางกดนิ้วเบา ๆ ไปตามแนวแผล ทำให้เจบีสะดุ้งหนี
“คุณทำแรงไป”
“ก็อยู่เฉย ๆ สิ” เสี่ยวไป๋ถอนหายใจ ก่อนจะเป่าลมเบา ๆ ลงบนแผล
เจบีชะงัก ดวงตากะพริบปริบ ๆ กับสัมผัสที่ไม่คาดคิด
นี่คือเสี่ยวไป๋คนเดิมที่ไม่ค่อยพูด แต่ดูแลเขาในแบบของตัวเอง
เจบีเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นแปลก ๆ เขาเลือกที่จะเงียบ แล้วปล่อยให้เสี่ยวไป๋ดูแลแผลให้ต่อไป
หลังจากทายาเสร็จ เสี่ยวไป๋ปิดฝาหลอดยา ก่อนจะเก็บทุกอย่างเข้าที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาลุกขึ้นยืน พลางมองเจบีที่ยังนั่งอยู่บนโซฟา
"ไปพักผ่อนซะ" น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด
เจบีเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเหมือนถูกไล่กลาย ๆ แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นแบบไม่มีทางเลือกนัก ก่อนจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปอย่างเงียบ ๆ มุ่งหน้าไปยังห้องพักของตัวเองที่ชั้นบน
เสี่ยวไป๋มองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตา เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่พอเห็นว่าเจบีเดินขึ้นไปพักจริง ๆ มุมปากของเขาก็ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ราวกับพอใจกับสิ่งที่เห็น
จากนั้น เขาก็หันกลับไปยังมุมโซฟาที่วางของไว้ ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาจากโต๊ะข้าง กดเปิดไฟล์เอกสารที่ค้างไว้ งานบางอย่างยังต้องจัดการต่อคืนนี้ รายงานจากทีมในฮ่องกงยังไม่ได้อ่าน และเขามีสายประชุมอีกหนึ่งช่วงดึก
รวมถึง... "แขก" ที่กำลังจะมาหาเขาในคืนนี้
--
เมื่อมาถึงห้อง เจบีวางกระเป๋าเดินทางลงข้างเตียง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ทันทีที่หัวแตะลงบนหมอน กลิ่นสะอาดจากปลอกหมอนและความนุ่มของฟูกก็เหมือนจะกล่อมให้เขาจมลงไปในห้วงนิทราโดยไม่ต้องพยายาม ร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากการเดินทางและบาดแผลเหมือนหมดแรงดื้อๆ
และเขาก็เผลอหลับไปในเวลาไม่ถึงห้านาที
…กระทั่ง
แสงสลัวจากโคมไฟหัวเสียงยังเปิดไว้ เจบีขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ความรู้สึกแห้งคอและเหนียวตัวจากเหงื่อทำให้เขาขมวดคิ้ว เสียงนาฬิกาข้างเตียงบอกเวลาตีหนึ่งสิบเจ็ดนาทีพอดี
เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย…”
ความรู้สึกอึดอัดตามผิวหนังกระตุ้นให้เขาลุกขึ้น เขาคว้าผ้าขนหนูเล็กติดมือไว้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างงัวเงีย เสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นกระเบื้องดังสม่ำเสมอ เจบีใช้เวลาพอประมาณในการจัดการตัวเอง ไม่รีบไม่เร่ง
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาสวมเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงขาสั้น ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนตั้งใจจะไปหาน้ำเย็นดื่มที่ครัวชั้นล่าง
ความมืดและความเงียบของบ้านพักส่วนตัวทำให้ทุกฝีก้าวของเขาดูชัดเจนขึ้น แม้จะไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังวลอะไร แต่เขาก็ไม่อยากส่งเสียงรบกวนใคร
ระหว่างเดินผ่านหน้าห้องทำงานของเสี่ยวไป๋ แสงไฟสลัวที่ลอดออกมาตามขอบประตูกลับทำให้เขาชะงักฝีเท้า
‘ยังไม่นอนอีกเหรอ…’ เจบีคิดในใจ
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังแว่วออกมา เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่สายตากลับเผลอมองลอดผ่านช่องเล็ก ๆ เข้าไปข้างใน เงาของคนสองคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง
แต่ระยะก้าวถอยของเขากลับดังเล็กน้อย ก่อนที่คนในห้องจะเดินออกมาเปิดประตู เจบีรีบหมุนตัววิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังตามมา
เจบีรู้สึกใจเต้นแรงเหมือนโดนจับได้ เขาไม่แน่ใจว่าจะเปิดประตูดีหรือไม่ ก่อนที่เสียงจากด้านนอกจะดังเข้ามา
“จะเปิดดีๆ หรือจะให้พังเข้าไป”
เจบีถอนหายใจเฮือก ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตู เสี่ยวไป๋ยืนพิงผนัง กอดอกพร้อมกับสายตาที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก
“ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอน? ออกไปเดินข้างนอกทำไม?”
“ผมแค่อยากดื่มน้ำ…” เจบีตอบเสียงแผ่ว สีหน้าดูรู้สึกผิดนิดหน่อย
“มานี่” จู่ ๆ เสี่ยวไป๋ก็คว้าแขนเขาให้เดินตามไป ก่อนจะผลักประตูห้องทำงานเปิดออก
ภายในห้องสลัวไปด้วยแสงไฟอ่อนๆ และกลิ่นบุหรี่จางๆ หญิงสาวคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา ดวงตาคมกริบปรายตามองมาทางเจบีทันที เสื้อสายเดี่ยวของเธอหล่นจากไหล่ไปข้างหนึ่ง เผยให้เห็นเนินอกอย่างไม่ตั้งใจ ผมยาวสลวยกระจายอยู่กับพนักพิง เธอเลื่อนสายตาขึ้นลงมองเจบีเต็ม ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจปนดูแคลน
เสี่ยวไป๋เดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน หยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจุดด้วยท่าทางไม่รีบร้อน ก่อนจะพ่นควันออกมาอย่างเฉยชา จากนั้นก็รั้งแขนเจบีให้นั่งลงบนตักเขาโดยไม่ถามความสมัครใจ
“อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันกำลังทำอะไร” เขาถามเสียงเรียบ ไม่สบตาเจบีด้วยซ้ำ
เจบีนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับ แต่อีกฝ่ายกลับโอบเอวเขาไว้แน่น ราวกับตั้งใจจะไม่ให้หนี
หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นช้า ๆ เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังกึกกักก่อนเธอจะเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
“นี่อะไรคะ เสี่ยวไป๋? นี่มันอะไรกัน?” เสียงเธอสูงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาจ้องเจบีอย่างประเมิน “ฉันนึกว่าคืนนี้เรา...”
“เธอคิดไปเอง” เสี่ยวไป๋สวนกลับทันควันโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง
“ฉันมาที่นี่เพราะคิดว่าเรายังมีธุรกิจกันอยู่” เธอว่า มือกอดอกอย่างไม่พอใจ “แต่ถ้าคุณจะไม่ให้เกียรติกันแบบนี้ ฉันคงต้องคิดใหม่เรื่องข้อตกลง”
เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วนิด ๆ ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
“เชิญคิดตามสบาย ฉันไม่เคยรั้งคนที่ไม่รู้สถานะของตัวเอง”
คำพูดนั้นเหมือนตบหน้าเธอเข้าเต็มแรง หญิงสาวหน้าขึ้นสี ก่อนจะปรายตาแรง ๆ มาทางเจบีอีกครั้ง แววตาราวกับเจอบุคคลที่แย่งพื้นที่ของตัวเองไปต่อหน้าต่อตา
“ของเล่นใหม่เหรอ?” เธอถามเสียงแข็ง
เจบีสะดุ้ง แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร เสี่ยวไป๋ก็เอ่ยขึ้นแทน
“เขาไม่ใช่ของใคร และไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ”
หญิงสาวขบกรามแน่น ก่อนจะกระแทกกระเป๋าถือของตัวเองขึ้นมา สะบัดหน้าพลางเดินออกจากห้อง พร้อมกับทิ้งกลิ่นน้ำหอมฉุนเฉี่ยวเอาไว้ในอากาศ
เมื่อประตูปิดลง เสี่ยวไป๋ก็กระตุกแขนเจบีเบา ๆ ให้ขยับบนตักเขาเล็กน้อย
“ตกใจเหรอ” เขาถามเรียบ ๆ พลางพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างใจเย็น “นี่แหละโลกของธุรกิจบางประเภท มันไม่ได้มีแค่ตัวเลข หรือโต๊ะประชุมหรอกนะ”
เจบียังคงเงียบ ดวงตาเหลือบไปที่ประตูที่เพิ่งปิดลงเมื่อครู่ รู้สึกเหมือนเพิ่งเดินหลงเข้ามาในพื้นที่ที่เขาไม่ควรเหยียบย่าง
แทนที่เสี่ยวไป๋จะปล่อยมืออย่างที่ควรจะเป็นหลังจากหญิงสาวคนนั้นเดินออกไป แต่เขากลับไม่ทำแบบนั้น
ร่างสูงเพียงแค่ขยับเล็กน้อย ก่อนที่คางของเขาจะโน้มมาเกยลงบนไหล่ของเจบีอย่างแผ่วเบา กลิ่นบุหรี่จาง ๆ ปนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่เจบีคุ้นเคยลอยแตะปลายจมูก ท่าทางของเสี่ยวไป๋ไม่ได้เร่งเร้า... หากแต่กลับสงบนิ่งผิดกับบรรยากาศเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
“ขออยู่นิ่ง ๆ แบบนี้สักพัก” น้ำเสียงนั้นเบาจนแทบจะกลืนหายไปกับอากาศ แต่มันกลับหนักแน่นพอที่จะทำให้เจบีรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้า และความว่างเปล่าบางอย่างที่แฝงอยู่เบื้องหลังท่าทีเยือกเย็นเสมอมา
--
หลายวันผ่านไป…
แสงแดดอ่อนยามสายลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนเข้ามาในห้องทำงานของเสี่ยวไป๋ แสงนั้นตกกระทบบนโต๊ะไม้เนื้อดีที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารและจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ข้างแก้วกาแฟที่ยังมีไอน้ำจาง ๆ ลอยขึ้น มีโน้ตบุ๊คของเจบีวางเปิดอยู่
เสียงแป้นพิมพ์ดังแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เจบีนั่งข้างโต๊ะ ฝั่งที่เจ้าของบ้านมักไม่ค่อยอนุญาตให้ใครแตะต้อง แต่เขา... กลับได้รับสิทธิ์นั้นโดยไม่ต้องร้องขอ
ดวงตาคมของเขากวาดอ่านข้อมูลในเอกสารตรงหน้าอย่างจริงจัง มีบางจุดที่ถูกวงไว้ บางเส้นทางการขนส่งที่ดูวนเวียนไม่ชอบมาพากล และชื่อบริษัทบังหน้าหลายแห่งที่ถูกใช้ซ้ำไปซ้ำมา
เขาหยิบปากกาขึ้นจดลงในสมุดข้างตัวด้วยลายมือเรียบร้อย เส้นทางที่ผิดปกติถูกลากโยงไปยังรายชื่อคนที่เกี่ยวข้อง พร้อมสัญลักษณ์คำถามเล็ก ๆ วงไว้ท้ายประโยค
เสี่ยวไป๋นั่งอีกฝั่งของโต๊ะ เขาไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะถามว่าเจบีกำลังทำอะไร ดวงตาคมคู่นั้นเพียงแค่จับจ้องอีกฝ่ายเงียบ ๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
แสงแดดไล้ผ่านแนวกรามของเจบี เผยให้เห็นเงาอ่อนของความเหนื่อยล้า แต่สิ่งที่ฉายชัดยิ่งกว่าก็คือความตั้งใจ
เจบีพับแฟ้มเอกสารในมือ ก่อนจะหยิบโน้ตบุ๊กเดินอ้อมโต๊ะไปยังฝั่งที่เสี่ยวไป๋นั่งอยู่ ริมฝีปากของเขาขยับเอ่ยอย่างเรียบ ๆ แต่ชัดเจน
“ผมสรุปเส้นทางต้องสงสัยที่อาจเกี่ยวข้องกับบริษัทบังหน้าไว้แล้วครับ มีสามจุดหลักที่ยังไม่มีข้อมูลตรงจากต้นทาง ซึ่งน่าจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติม”
เสี่ยวไป๋ละสายตาจากหน้าจอ หันมามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
“มานั่งนี่แล้วอธิบาย” เขาพยักหน้าเล็กน้อย พลางตบลงบนตักตัวเองเบา ๆ
เจบีชะงัก
“…ตรงนี้เหรอครับ?”
“อืม” เสี่ยวไป๋ไม่พูดซ้ำ แค่มองนิ่ง ๆ ด้วยแววตาที่ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
เจบีถอนหายใจน้อย ๆ อย่างรู้ชะตากรรม ก่อนจะยอมทิ้งตัวลงนั่งบนตักอีกฝ่ายอย่างประหม่า
โน้ตบุ๊กในมือถูกเปิดไว้ตรงหน้า เสี่ยวไป๋ยกมือขึ้นกดแป้นสองสามทีเพื่อเลื่อนข้อมูล ก่อนจะเงียบไป ปล่อยให้เจบีอธิบายต่อ
“จากเส้นทางที่เช็กได้ พอรวมกับการเปลี่ยนชื่อบริษัทกับคนกลางที่ติดต่อซ้ำกัน มันดูเหมือนว่ามีอะไรปิดบังอยู่” เจบีพูดต่อ สายตายังมองหน้าจออย่างมีสมาธิ แม้จะรู้สึกถึงไออุ่นจากแผ่นอกด้านหลังที่แนบอยู่
เสี่ยวไป๋เอียงหน้าเล็กน้อย มองตัวอักษรบนหน้าจอเงียบ ๆ ขณะที่อีกมือก็ยกขึ้นเท้าคางอย่างไม่เร่งร้อน
“วิเคราะห์ดี” เขาว่าเสียงเบา “แล้วคิดว่าควรจัดการยังไงต่อ?”
“ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบต้นทางกับตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องครับ แต่ถ้าคุณให้คนในทีมไป เดี๋ยวผมจะเตรียมรายชื่อให้”
เจบีตอบกลับโดยไม่หันไปมอง แต่รู้ดีว่าคนข้างหลังยังจับตามองเขาอยู่
เงียบไปครู่หนึ่ง เสี่ยวไป๋ก็พึมพำขึ้นชิดหู
“เวลาทำงานก็ตั้งใจดีนะ…”
เสียงนั้นแผ่วต่ำแต่ชัดเจน จนเจบีต้องสะดุ้งเล็กน้อย
“นี่คุณตั้งใจฟังอยู่รึเปล่าครับ…”
“ฉันฟังอยู่” เสี่ยวไป๋ว่าเรียบ ๆ “แต่อยู่ใกล้แบบนี้ สมาธิฉันดีขึ้นเยอะเลย”
เจบีเบือนหน้าหนีเล็กน้อย พยายามตั้งสมาธิกับเนื้อหาในโน้ตบุ๊กอย่างสุดความสามารถ
“ผม…แค่จะอธิบายงาน” เขาตอบกลับเสียงเรียบ พยายามไม่ให้เสียงสั่น
เสี่ยวไป๋ยกมุมปากนิด ๆ ก่อนจะเป่าลมเบา ๆ ที่หลังคอของเจบี ราวกับจงใจจะแกล้ง
เจบีสะดุ้งเล็กน้อย รีบเบี่ยงตัวออกห่างเท่าที่พื้นที่เล็ก ๆ บนตักจะทำได้ พร้อมกับหันขวับไปมองอีกฝ่ายอย่างตำหนิ
“คุณเล่นอะไรเนี่ยครับ…”
“ไม่ได้เล่น” เสี่ยวไป๋ว่า “แค่อยากแน่ใจว่าคนตรงหน้าฉันยังมีสติเข้ากับงานดีอยู่หรือเปล่า”
เจบีพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะปิดโน้ตบุ๊กเสียงเบา
“ผมจะไปสรุปงานต่อในห้องตัวเองแล้วกันครับ” เขาพูดเรียบ ๆ พลางลุกขึ้นยืน เสี่ยวไป๋ปล่อยให้เขาขยับออกห่างโดยไม่รั้ง
“จะไปก็ไป” น้ำเสียงนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด “แต่ถ้าเปลี่ยนใจ ฉันยังมีที่ให้กลับมานั่งนะ”
เจบีไม่หันกลับไปตอบอะไร แค่เดินออกจากห้องอย่างเงียบ ๆ แต่ใบหูแดงจาง ๆ ที่แอบโผล่พ้นปกคอเสื้อนั้นบอกทุกอย่างแล้วโดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรเลย
--
เวลาผ่านไปได้ไม่นาน เจบีกลับมาอยู่ในห้องตัวเอง เขาพยายามดึงสมาธิกลับมาที่หน้าจอและเอกสารที่ยังต้องตรวจสอบ มีข้อมูลหลายจุดที่ต้องสรุปและจัดระเบียบใหม่ให้ชัดเจน
“ตรงนี้มันต้องทำแบบไหนนะ...” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะขยับนิ้วพิมพ์ลงบนแป้นอย่างตั้งใจ
“อ่า... นึกออกแล้ว” เขายิ้มมุมปากน้อย ๆ อย่างพอใจกับความคิดที่เรียบเรียงได้ลงตัว
เจบีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะขยับตัวบิดขี้เกียจ เสียงกระดูกดังกร๊อบเบา ๆ คลายความเมื่อยล้าลงได้เล็กน้อย
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“…อีกแล้วเหรอ” เขาถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตู
“ทำไมช้า” น้ำเสียงเรียบนิ่งของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิด
“ผมทำงานอยู่นะครับ”
“เลิกทำได้แล้ว” เสี่ยวไป๋ว่าพลางดันตัวเข้ามาในห้องหน้าตาเฉย แล้วนั่งลงบนขอบเตียงอย่างเป็นเจ้าของพื้นที่
“เลือกชุดออกงานแล้วใส่ให้ฉันดูสักชุดสิ”
เจบีขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก
“เร็วเข้า ฉันมีเวลาไม่มาก” เสี่ยวไป๋เร่งโดยไม่อธิบายเพิ่ม
เจบีจำใจเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบชุดหนึ่งขึ้นมาดู ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ พอออกมาก็พบว่าอีกฝ่ายนั่งไขว่ห้าง มองมาตรง ๆ อย่างพิจารณา
สายตาของอีกฝ่ายกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นเดินไปเลือกชุดด้วยตัวเอง
“ตัวนี้” เขาหยิบออกมาแล้วยื่นให้เจบี
“…งั้นเมื่อกี้จะให้ผมเลือกทำไม” เจบีพึมพำเบา ๆ แต่ก็รับมาเปลี่ยนแต่โดยดี
เสี่ยวไป๋มองเขาเปลี่ยนชุดอีกครั้งด้วยสายตาที่เหมือนกำลังวิเคราะห์บางอย่าง เมื่อเจบีเดินออกมาอีกครั้ง เขาก็พยักหน้า
“อืม… ดูเข้ากับนายดี”
“เราจะไปไหนกันเหรอครับ?” เจบีถามพลางขยับปลายแขนเสื้อให้เข้าที่
“รังของฉัน”
“ห๊ะ…” เจบีทำหน้างง “หมายถึง...”
“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ” เสี่ยวไป๋ตัดบทอย่างไม่ให้คำตอบชัดเจน
เจบีถอนหายใจเบา ๆ ในที่สุดก็ยอมพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้วครับ”
พอเสียงประตูปิดลง เจบีก็ทิ้งตัวลงบนเตียงโดยไม่คิดจะผ่อนแรงเลยแม้แต่น้อย ฟูกยวบลงตามแรงกด ร่างกายเหมือนถูกดูดกลืนเข้าสู่ความว่างเปล่าที่ไม่อาจต้านทาน เขาคว้าหมอนข้างมากดทับใบหน้าไว้แน่น เหมือนต้องการกลบทุกเสียง ทุกความคิด ทุกคำถามในหัวที่ไม่มีวันจบสิ้น
ความเงียบในห้องไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น กลับกัน มันทำให้ทุกความรู้สึกภายในใจดังขึ้นจนแทบจะทนไม่ไหว
เขาเหมือนคนที่กำลังเดินวนอยู่ในเขาวงกต ไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน หรือแม้แต่จะยังมี "ทางออก" จริง ๆ อยู่ไหม
ทุกวันดูเหมือนผ่านไปโดยไร้เป้าหมาย ยิ่งคิดถึงคำสั่งของคิมบอม ความรู้สึกด้านในก็ยิ่งแปรปรวน หนักอึ้ง และอึดอัดราวกับมีเงามืดบดบังความคิดทุกอย่าง
‘เหนื่อยจัง…’
เขาอยากหายตัวไปจากทุกอย่างตรงนี้สักพัก หรืออย่างน้อย...ขอแค่หลุดพ้นจากเกมธุรกิจบ้า ๆ นี้เสียที ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องเป็นตัวหมากในกระดานของใครอีกต่อไป
แค่ได้หายใจในแบบของตัวเอง เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
7:20 PM | Silver Nest
บนตึกสูงเฉียดฟ้า มุมที่สูงที่สุดของตึกกับวิวหลักล้านที่มองครอบคลุมได้ทั้งมองลอนดอน เสี่ยวไป๋ที่เดินนำเข้ามาแสดงบัตรให้กับพนักงานตรงทางเข้า พร้อมกับยกแขนโอบไหล่ให้ตัวของเจบีเข้ามาชิดเขามากขึ้น
“เขาเป็นคนของฉัน”
พนักงานก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนผายมือเชิญทั้งสองเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งเป็นเลานจ์หรูที่ใช้เป็นสถานที่ดำเนินงานและเก็บข้อมูลสำคัญของกลุ่ม 'ขนนกสีเงิน' ผู้ที่จะเข้ามาได้ต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น และต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด
ภายในเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจ ทุกสายตาหันมามองเจบีเพียงแวบเดียว ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อเห็นคนที่ยืนข้างเขา
เสี่ยวไป๋ปรบมือสองสามครั้งเรียกความสนใจ ก่อนเอ่ยขึ้น “นี่คือผู้ช่วยของฉัน เจบี หวังว่าทุกคนจะต้อนรับเขาอย่างดี และไม่ทำให้เขาอึดอัดนะ”
เจบีพยายามรักษาท่าทีขณะทักทายสมาชิกแต่ละคน ไม่แสดงออกถึงความประหม่า แม้หัวใจจะเต้นแรงเมื่อรู้ว่าเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางเครือข่ายที่สามารถพลิกอำนาจใต้ดินทั้งทวีปได้ด้วยคำสั่งเดียว
ไม่นาน ชายหนุ่มสองคนที่เจบีคุ้นเคยก็เดินตรงเข้ามา
“ไง เจบี คิดถึงจังเลย~” เรนทักขึ้นเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาทำท่าจะเข้ามากอด แต่ยังไม่ทันแตะตัว เสี่ยวไป๋ก็ยกมือดันหัวเรนไว้ก่อน
“อยากตายหรือไง”
“ทำไมหวงจังล่ะ” เรนว่า พร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่
แคสเปอร์ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบตามสไตล์ ก่อนจะพยักหน้าให้เจบีอย่างเป็นกันเอง
“หายดีแล้วสินะ”
“ครับ แล้วคุณสบายดีไหมครับ”
“ก็พอไหว เพิ่งว่างก็วันนี้แหละ” เขาถอนหายใจเบา ๆ “แล้วเสี่ยวไป๋ใช้งานนายหนักไปไหม ถ้าเขาทำอะไรนายมากไป ก็มาฟ้องฉันได้เลย ฉันจะปกป้องนายเอง”
“หึ อย่างนายจะทำอะไรฉันได้” เสี่ยวไป๋แทรกขึ้นเสียงเรียบ
“ขึ้นอยู่กับว่าฉันกล้าจ่ายแค่ไหนล่ะมั้ง” แคสเปอร์ยักคิ้ว
ทั้งสองเถียงกันได้สักพัก ก็มีชายหนุ่มผมบลอนด์สีอ่อนเดินเข้ามาในกลุ่ม หน้าตายิ้มแย้ม มือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างถือแก้วไวน์
“ไง เด็กน้อย หายดีแล้วเหรอ” กายเอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูอบอุ่น
เจบียิ้มทักทาย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ครับ ดีขึ้นมากแล้วครับ”
พวกเขาคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกตัวออกมา เสี่ยวไป๋ให้เจบีนั่งรอ เพราะพวกเขาต้องเข้าไปคุยงาน และคนนอกอย่างเจบีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เจบีจึงหาอะไรรองท้องไปพลาง ก่อนยืนชมวิวของลอนดอน
ห้องประชุมลับ – Silver Nest
โต๊ะประชุมรูปวงรีวางกลางห้อง ด้านหนึ่งคือชายผมสีเข้มสวมสูทตัดพอดีตัว นั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่รีบร้อน ใบหน้าเรียบเฉย แต่สายตาคมราวใบมีด
‘ราฟาเอโร่’ ผู้นำของขนนกสีเงิน
“เด็กคนนั้น…” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ ขณะปลายนิ้วแตะริมแก้ววิสกี้เบา ๆ เสียงกระทบของคริสตัลดังแว่วในความเงียบ “พามาที่นี่…คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
“คนของฉัน ทำไมจะพามาไม่ได้” เสี่ยวไป๋ตอบกลับเรียบ ๆ
"ไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ" ราฟาเอโร่เลิกคิ้ว
"เจบีไว้ใจได้ ฉันรับรอง" แคสเปอร์พูดขึ้น
"ใช่ ฉันด้วย" เรนยืนยันอีกเสียง ส่วนกายนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ออกความเห็น
ราฟาเอโร่หัวเราะเบา ๆ “พวกนายนี่พร้อมใจกันจังนะ… เด็กนั่นมีอะไรน่าสนใจนักเหรอ?”
“...” ทั้งหมดเงียบไป
“ต่อให้น่าสงสารแค่ไหน ก็ไม่ควรไว้ใจ เราอยู่ในโลกธุรกิจที่จะพังลงเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้ามีช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว”
คำพูดของราฟาเอโร่ ช่วยเตือนสติพวกเขา แม้ว่าจะไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม เสี่ยวไป๋ถอนหายใจออกมา แต่เขาไม่ได้อยากคิดมากหรือระแวงเกินไปกับคนที่เพิ่งเสี่ยงอันตรายช่วยชีวิตเขา
“ฉันไม่ได้ขัดอะไร... ถ้านายมั่นใจ ก็รับผิดชอบให้ได้” เขาเอ่ยต่อเรียบ ๆ แต่ทุกคำพูดกลับคล้ายคำขู่
ราฟาเอโร่ลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะช้า ๆ ก่อนจะหยุดอยู่หลังเรน แล้วเอ่ยโดยไม่มองหน้าใคร
“ที่นี่วัดกันด้วยผลลัพธ์ ไม่ใช่ความรู้สึก ถ้าเด็กคนนั้นคือช่องโหว่ ฉันไม่ลังเลจะปิดปากเอง”
เขาพูดเสียงเบา... แต่ทุกคำเหมือนฝังกรงเล็บลงในกระดูก
“แต่ถ้าเขามีประโยชน์มากพอ...” เขาหันกลับมา “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะให้ผลลัพธ์นายในรูปแบบไหน”
แคสเปอร์กับเรนแม้จะไม่พูดอะไร แต่ต่างก็ขยับตัวอย่างระแวดระวัง ส่วนเสี่ยวไป๋เพียงตอบกลับด้วยสายตานิ่งเฉยที่ไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่ชอบเสียของ”
ราฟาเอโร่ยิ้มบาง ดวงตาคมราวกับมองทะลุแผนทั้งหมดในหัวของทุกคน
"หวังว่าเด็กนั่น... จะไม่กลายเป็นเศษของที่ฉันต้องกำจัดทีหลังก็แล้วกัน"
สนุกมากครับ ขอบคุณขอรับ
หน้า:
[1]