ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 16
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-24 10:16ยามเช้าที่จีนอากาศเริ่มเย็นลง หมอกขาวปกคลุมหนาแน่นบดบังทัศนียภาพ บรรยากาศชวนให้รู้สึกถึงความสงบเงียบของฤดูหนาวที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ
เจบีลืมตาตื่นขึ้นมา ปล่อยให้ร่างกายปรับตัวกับความเย็นสักพักก่อนจะลุกจากเตียงแล้วตรงไปยังห้องน้ำในตัว น้ำอุ่นช่วยไล่ความหนาวที่เกาะตามผิวออกไป
เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมลวก ๆ ก่อนจะหยิบไดร์มาเป่าให้แห้ง จัดทรงให้เรียบร้อยอย่างเคยชิน เปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบชุดที่ดูสุภาพ แม้จะไม่ใช่สูท แต่ก็เป็นเสื้อผ้าที่เข้ากันอย่างลงตัว สบายแต่ยังดูดีพอสำหรับการพบปะผู้คนและคุยงาน
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เจบีก็เดินลงมายังชั้นล่าง กลิ่นหอมของกาแฟคละคลุ้งในอากาศ ผสมกับกลิ่นไม้จากเฟอร์นิเจอร์หรู แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านกระจกบานใหญ่ ทอดเงาอ่อนโยนไปทั่วห้องโถงกว้าง
สายตาของเขาหยุดลงที่ร่างของเสี่ยวไป๋ ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ในท่าทางที่คุ้นเคย ขาข้างหนึ่งไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟ ขณะที่สายตายังคงเลื่อนอ่านข้อมูลบางอย่างบนแท็บเล็ต สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ของเขาทำให้ยากจะคาดเดาว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ เสี่ยวไป๋จิบกาแฟเงียบ ๆ ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะกระจกอย่างใจเย็น
เขาก้าวเข้าไปใกล้ เสียงฝีเท้าแทบไร้เสียงบนพรมเนื้อดี ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไร เสี่ยวไป๋ก็พูดขึ้นโดยไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าจอ
"หิวมั้ย? ฉันให้คนเตรียมไว้แล้ว นายไปกินได้เลย"
น้ำเสียงนั้นราบเรียบแต่ฟังดูปกติ เป็นธรรมชาติจนทำให้เจบีรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มันไม่ใช่คำสั่งแต่ก็ไม่ได้อบอุ่นเสียทีเดียว อยู่กึ่งกลางระหว่างการบอกกล่าวและการใส่ใจ
เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
"คุณไม่กินเหรอครับ"
เสี่ยวไป๋เพียงเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตนิดหนึ่ง รอยยิ้มบาง ๆ คล้ายจะแฝงความเอ็นดูอยู่จาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
"ฉันไม่กินข้าวเช้า"
พูดจบก็หันกลับไปสนใจข้อมูลในมือเหมือนเดิม ราวกับว่าประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม
เจบีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะอาหาร ข้าวต้มร้อน ๆ กับเครื่องเคียงอีกสองสามอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย ไอน้ำลอยขึ้นจาง ๆ บ่งบอกถึงความสดใหม่ เขาหย่อนตัวลงนั่งและหยิบช้อนขึ้นมา ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงจากทางโซฟาดังขึ้น
"กินให้อิ่ม แล้วก็ดื่มน้ำส้มซะ ฉันให้เขาคั้นสด ๆ ไว้แล้ว"
เจบีเหลือบตามองแวบหนึ่ง รู้สึกได้ว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่ได้ออกมาเพราะความจำเป็น แต่มันเป็นความเคยชินของใครบางคนที่มักจะดูแลคนอื่นในแบบของตัวเอง ไม่หวาน ไม่พูดให้ดูนุ่มนวล แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าเจ้าของบ้านคนนี้ไม่ได้เย็นชาไปเสียทุกอย่าง
ริมฝีปากของเขาเผลอคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัวก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นช้า ๆ พลางคิดว่าอาหารเช้ามื้อนี้อร่อยกว่าทุกวัน
เจบีใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการกับอาหารตรงหน้า ข้าวต้มร้อน ๆ ทำให้ร่างกายรู้สึกอุ่นขึ้นหลังจากตื่นนอน น้ำส้มที่เสี่ยวไป๋ให้คนเตรียมไว้ช่วยให้สดชื่นขึ้นพอให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หลังจากวางช้อนลง เขาเหลือบตามองไปทางโซฟา เสี่ยวไป๋ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม แต่แท็บเล็ตในมือถูกวางลงแล้ว เขาเอนตัวพิงพนักโซฟา หลับตาลงราวกับกำลังใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เพื่อพักสายตา
เจบีลังเลอยู่ว่าควรพูดอะไรดี แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิดต่อ เสี่ยวไป๋ก็พูดขึ้นมาลอย ๆ
"เตรียมตัวให้พร้อม อีกครึ่งชั่วโมงเราจะออกเดินทาง"
เจบีพยักหน้ารับรู้ ขณะที่แม่บ้านเข้ามาเก็บโต๊ะอาหาร เขาลุกขึ้นคว้ากระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนเก้าอี้ ทุกอย่างเตรียมพร้อมตั้งแต่ก่อนที่เขาจะลงมากินข้าวแล้ว เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ขณะที่แม่บ้านจัดเก็บทุกอย่างเป็นระเบียบ
เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นจากโซฟา สูทที่เคยพาดอยู่ข้าง ๆ ถูกหยิบขึ้นมาสวมเรียบร้อย ทุกอิริยาบถยังคงสงบนิ่ง ไม่มีความเร่งรีบแม้แต่น้อย พอเห็นเจบีเดินมา เขาเพียงปรายตามองก่อนจะพูดเสียงเรียบ
"ไปกันเถอะ"
ทั้งสองเดินออกจากคฤหาสน์ไปยังรถลีมูซีนที่จอดรออยู่ด้านหน้า ประตูถูกเปิดออกโดยบอดี้การ์ดคนสนิทของเสี่ยวไป๋ เจบีก้าวขึ้นไปก่อน ตามด้วยเสี่ยวไป๋ที่นั่งลงข้าง ๆ ภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่เคลื่อนตัวไปตามถนนอย่างราบรื่น บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดนัก ต่างฝ่ายต่างใช้เวลาของตัวเอง เจบีมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่เสี่ยวไป๋หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาดูข้อมูลต่อ
ใช้เวลาไม่นานนัก รถก็เคลื่อนตัวเข้าสู่สนามบินส่วนตัว ประตูรั้วเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติ ก่อนที่รถจะแล่นไปจอดสนิทใกล้กับเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวลำใหญ่ สีดำเรียบหรูที่เป็นเอกลักษณ์
เสี่ยวไป๋ก้าวลงจากรถก่อนโดยไม่ต้องมีใครช่วย บอดี้การ์ดขนสัมภาระขึ้นไปก่อนล่วงหน้า เจบีเดินตามขึ้นไป ด้านในเครื่องกว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหรา เบาะหนังสีเข้มเรียงเป็นระเบียบ พื้นปูพรมเนื้อนุ่ม เครื่องดื่มและของว่างถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะกระจกตรงกลาง
เสี่ยวไป๋เดินไปนั่งที่นั่งประจำของเขา ไขว่ห้างก่อนจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาอีกครั้ง เจบีนั่งลงฝั่งตรงข้าม พลางมองออกไปยังรันเวย์ที่ทอดยาวเบื้องหน้า
เสียงกัปตันแจ้งกำหนดการบินดังขึ้นก่อนที่เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานเต็มกำลัง เครื่องบินเคลื่อนตัวไปยังรันเวย์หลัก ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าอย่างมั่นคง แรงกดอากาศทำให้ร่างกายสัมผัสได้ถึงแรงดึงเบา ๆ แต่ไม่นานนัก เครื่องบินก็เข้าสู่ระดับที่มั่นคง
เจบีพิงหลังกับเบาะ มองออกไปยังท้องฟ้ากว้างผ่านหน้าต่างข้างตัว สายตาจับจ้องไปที่แนวเมฆสีขาวที่ทอดยาวสุดสายตา แต่สมองกลับล่องลอยไปไกลกว่านั้น คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
หรือบางที…อาจจะแค่ปล่อยให้ตัวเองได้พักจากเรื่องทั้งหมด
เสี่ยวไป๋ที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอแท็บเล็ตเหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ฟังดูเหมือนถามไปอย่างนั้นเองมากกว่าจะต้องการคำตอบจริง ๆ
“ตื่นเต้นเหรอ หรือกลัว?”
เจบีหันกลับมามอง ดวงตาสบเข้ากับดวงตาคู่คมของเสี่ยวไป๋ที่กำลังมองเขาอย่างพิจารณา
“เปล่าครับ”
เขาตอบตามตรง แม้จะไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยว่าความรู้สึกที่มีตอนนี้เรียกว่าอะไร แต่ก็ไม่ใช่ความกลัวแน่ ๆ
เสี่ยวไป๋กระตุกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะ ยกแท็บเล็ตขึ้นอ่านต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะพูดขึ้นราวกับเป็นประโยคทั่วไปที่กล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด
“ถ้านายกลัว ก็แค่อยู่ข้างหลังฉัน”
เจบีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกยังไงกับคำพูดนั้น
“ผมไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
เสี่ยวไป๋ละสายตาจากแท็บเล็ตมามองเขาอีกครั้ง ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก “ก็พูดเผื่อไว้”
เจบีเบนสายตากลับออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง คำพูดของเสี่ยวไป๋อาจดูเหมือนคำล้อเล่น แต่เขากลับรู้สึกถึงน้ำหนักบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในนั้น มันเป็นคำพูดที่ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ต้องการให้เขายอมรับว่ากลัว แต่เป็นการบอกให้รู้ว่า ถ้าหากเขากลัว…ก็มีใครบางคนให้พึ่งพาได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวไป๋ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะวางแท็บเล็ตลงกับโต๊ะ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาจิบ ก่อนจะเหลือบมองเจบีอีกครั้ง
“อย่าคิดมากนัก”
เจบีชะงัก หันกลับมามองเขาอย่างไม่คาดคิด แม้เสี่ยวไป๋จะยังคงทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คำพูดนั้นกลับตรงเข้ากระทบใจเขาเต็ม ๆ
เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงพนักเบาะ ไขว่ห้างอย่างผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคางเล็กน้อย “แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ ถ้ามันเกินกำลังของนาย ฉันก็ยังอยู่ตรงนี้”
เจบีไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรดี เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากเสี่ยวไป๋ เขาเคยเห็นอีกฝ่ายเป็นคนที่เย็นชา มักพูดจาด้วยคำที่กะทัดรัดและตรงไปตรงมา บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจความรู้สึกใครนัก
แต่ครั้งนี้…
เขารับรู้ถึงความจริงใจที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเรียบง่ายนั้น
–
10:27 AM | สนามบินเอกชน กวางตุ้ง
เสียงกัปตันประกาศผ่านลำโพง แจ้งว่าเครื่องบินกำลังลดระดับลงสู่สนามบินเอกชนของกวางตุ้ง แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ จากการลดระดับทำให้เจบีลืมตาขึ้นจากการพักสายตา เขาปรับตัวให้ตรงขึ้น ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวไป๋ที่ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่ตามเดิม
แสงแดดยามสายของกวางตุ้งส่องลอดผ่านหน้าต่างเครื่องบิน เสี่ยวไป๋ไม่ได้ละสายตาจากแท็บเล็ต แต่จากการที่เขาเอื้อมไปวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะไม้เนื้อดีตรงหน้า เจบีรู้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบตัว
"ถึงแล้ว" เสี่ยวไป๋พูดขึ้นเรียบ ๆ ก่อนจะปิดแท็บเล็ตลง
เจบีพยักหน้า ก่อนจะเหลือบตามองออกไปด้านนอก สนามบินแห่งนี้มีเครื่องบินส่วนตัวจอดอยู่หลายลำ แต่ที่หน้าทางออกของอาคารสนามบิน มีรถยนต์สีดำเงาวับจอดเรียงกันเป็นระเบียบ บอดี้การ์ดในชุดสูทดำยืนรออย่างเป็นทางการ
เมื่อเครื่องบินจอดสนิทและประตูเปิดออก ลมอุ่นของกวางตุ้งพัดเข้ามาแตะผิว เสี่ยวไป๋เป็นคนก้าวออกไปก่อน โดยมีเจบีเดินตามหลัง บอดี้การ์ดคนหนึ่งรีบก้าวเข้ามาเปิดประตูรถให้พวกเขา
"ท่านครับ" ชายที่ยืนรออยู่หน้าแถวก้มหัวให้อย่างเคารพ น้ำเสียงหนักแน่น "ทางเราจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วครับ"
เสี่ยวไป๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเจบีแวบหนึ่ง แล้วจึงก้าวขึ้นไปนั่งในรถ เจบีตามเข้าไปโดยไม่ต้องมีใครบอก รถเคลื่อนตัวออกจากสนามบินไปตามถนนที่ทอดยาว เส้นขอบฟ้าของกวางตุ้งเต็มไปด้วยอาคารสูงและถนนที่จอแจ แม้จะไม่ได้พลุกพล่านเหมือนใจกลางเมือง แต่บรรยากาศของธุรกิจที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วสามารถสัมผัสได้
"พวกเรากำลังไปที่ไหนก่อนครับ" เจบีเอ่ยถามหลังจากรถออกจากเขตสนามบิน
เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงเบาะ ท่าทางผ่อนคลายเหมือนการเดินทางนี้เป็นเพียงแค่การแวะมาตรวจงานทั่วไป "ท่าเรือ หยางหมิงรออยู่ที่นั่น"
"เขาเป็นคนของคุณ?"
"เปล่า เป็นหุ้นส่วน แต่ไว้ใจได้" เสี่ยวไป๋ตอบเรียบ ๆ ก่อนจะละสายตาจากหน้าต่างมามองเจบี "เขาจะอธิบายให้เราฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมนายถึงต้องมากับฉัน"
เจบีเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ บรรยากาศในรถเงียบลงไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างราบรื่น
ผ่านไปไม่นาน รถก็มาถึงบริเวณท่าเรือ คลังสินค้าขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายตลอดแนวอ่าว กลิ่นน้ำทะเลอ่อน ๆ ปะปนกับกลิ่นควันจากเรือขนส่งสินค้าที่จอดเรียงราย เสียงเครื่องจักรทำงานดังระงม กลุ่มคนงานกำลังขนถ่ายสินค้าไปยังรถบรรทุกขนาดใหญ่
ที่มุมหนึ่งของท่าเรือ ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีเข้มยืนกอดอกอยู่ข้างรถยนต์อีกคัน ดวงตาเฉียบคมของเขามองไปยังกลุ่มคนงานที่กำลังเคลื่อนย้ายลังสินค้า ก่อนจะหันกลับมาทางพวกเขา
เจบีเดาได้ทันทีว่า นี่คงเป็นหยางหมิง
เสี่ยวไป๋เปิดประตูลงจากรถก่อน เจบีเดินตามลงไป ทันทีที่หยางหมิงเห็นเขา รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“ไม่ได้เจอกันนานนะ เสี่ยวไป๋”
เสี่ยวไป๋พยักหน้าเล็กน้อย “อืม” ก่อนจะปรายตามองไปทางกลุ่มคนงานที่กำลังขนย้ายสินค้า “เล่าให้ฟังหน่อยสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หยางหมิงสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองท่าเรือ “กว่าที่นายจะมาถึง สถานการณ์มันก็ซับซ้อนขึ้นไปอีกแล้ว”
เจบีฟังแล้วขมวดคิ้ว ส่วนเสี่ยวไป๋ยังคงยืนกอดอก สีหน้าเรียบนิ่ง
“งั้นก็อธิบายมา” เสียงทุ้มต่ำของเสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
หยางหมิงเหลือบตามองเขา ก่อนจะพยักหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สินค้าของนาย…ถูกขนย้ายไปที่อื่นก่อนกำหนด โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนสั่ง”
คำพูดของหยางหมิงทำให้บรรยากาศหนักขึ้นไปอีกนิด เจบีขมวดคิ้วทันที มันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ ๆ การขนย้ายสินค้าก่อนกำหนดโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าหมายความว่า มีใครบางคนแทรกแซงระบบที่ควรจะปลอดภัยที่สุด
เสี่ยวไป๋ยังคงยืนกอดอก สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ได้ดูตื่นตระหนกหรือแปลกใจนัก คล้ายกับว่าเขาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น
"เมื่อไหร่?" เขาถามเสียงเรียบ
"เมื่อคืนนี้ ตอนตีสอง" หยางหมิงตอบ พลางถอนหายใจ "ฉันมีคนของตัวเองเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีใครได้รับคำสั่งโดยตรง ทั้งหมดที่รู้คือลังสินค้าถูกขนขึ้นรถบรรทุกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกไปจากพื้นที่ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที"
เสี่ยวไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อย "กล้องวงจรปิดล่ะ?"
หยางหมิงแค่นหัวเราะสั้น ๆ "ถูกตัดก่อนเกิดเหตุสิบนาที"
"สมกับเป็นพวกมืออาชีพ" เสี่ยวไป๋พึมพำเบา ๆ ก่อนจะปรายตามองเจบีที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ
เจบีเม้มปากแน่น นี่มันไม่ใช่แค่ความผิดพลาดหรือเรื่องเข้าใจผิดทั่วไปแล้ว นี่คือการจงใจขโมยของต่อหน้าต่อตา แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ ทำไมพวกนั้นต้องเล่นตุกติกแบบนี้?
“แล้วเส้นทางที่รถออกไปล่ะครับ?" เจบีถามขึ้น น้ำเสียงจริงจังขึ้นกว่าเดิม
หยางหมิงพยักหน้าให้ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง อีกฝ่ายรีบเดินมาส่งเอกสารให้เสี่ยวไป๋ เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะพลิกหน้ากระดาษช้า ๆ
"รถออกจากท่าเรือเมื่อเวลาตีสองสิบห้า วิ่งไปทางถนนเลี่ยงเมือง แต่หลังจากนั้น...ก็หายไป"
“หายไป?” เจบีขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
หยางหมิงถอนหายใจ “หมายความว่า รถบรรทุกคันนั้นเหมือนระเหยไปกลางอากาศ มันไม่ได้เข้าสู่เส้นทางหลัก ไม่มีด่านไหนตรวจพบการผ่านของมัน ไม่มีภาพจากกล้องจราจร และที่สำคัญ...” เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักขึ้น
"ป้ายทะเบียนที่เรามี…เป็นของปลอม"
ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วอึดใจ เสี่ยวไป๋ปิดแฟ้มข้อมูลลง แล้วเหลือบตามองหยางหมิง
"งั้นแปลว่าตอนนี้นายไม่มีเบาะแสอะไรเลย?"
หยางหมิงขยับริมฝีปากเล็กน้อยราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดอะไรออกมา ก่อนจะถอนหายใจยาว "ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็คงไม่อยู่รอนายที่นี่หรอก"
เขาหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องอีกคนที่ยืนรออยู่ด้านหลัง ชายคนนั้นรีบก้าวขึ้นมาแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้เสี่ยวไป๋
"มีใครบางคนส่งข้อความมาหาฉันเมื่อเช้านี้" หยางหมิงพูด พลางขยับตัวเข้าใกล้เสี่ยวไป๋เล็กน้อย "ดูเหมือนพวกมันอยากเล่นกับนายโดยเฉพาะ"
เสี่ยวไป๋รับโทรศัพท์มา ก่อนจะเลื่อนสายตามองข้อความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“0010 | 1001 | 0111 - 0001 | 0110 | 1000 - 1010 | 1100 | 0111”
“2° 15' 48'' N | 113° 33' 29'' E”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ขณะที่นิ้วเรียวเลื่อนไล่ไปตามข้อความที่ดูเหมือนรหัสมากกว่าคำเชิญธรรมดา
หยางหมิงสังเกตสีหน้าของเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้น "ฉันลองให้คนของฉันถอดรหัสแล้ว แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน"
เจบีขมวดคิ้วขณะมองตัวเลขและรหัสที่กระจัดกระจาย ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “พิกัดที่สองคือค่าพิกัดทางภูมิศาสตร์… หมายความว่าพวกมันบอกตำแหน่งมาให้เลยเหรอ?”
เสี่ยวไป๋หัวเราะในลำคอ “มันไม่มีอะไรตรงไปตรงมาแบบนั้นหรอก”
เจบีมองตัวเลขที่เรียงกันในแถวแรก ก่อนที่สมองของเขาจะเริ่มเชื่อมโยงบางอย่าง "0010 | 1001 | 0111 - 0001 | 0110 | 1000 - 1010 | 1100 | 0111"
“…เลขฐานสอง?”
เขาพึมพำ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา กดแปลงค่ารหัสตัวเลขอย่างรวดเร็ว
297-168-107
“297, 168, 107…” เจบีมองตัวเลขในมือ ก่อนจะหรี่ตา “นี่มัน…”
เสี่ยวไป๋มองเขาอย่างสนใจ “ว่ามา”
เจบีเงยหน้าขึ้น “297 เป็นรหัสเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ 168 เป็นรหัสท่าเรือ และ 107…” เขาชะงัก ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋คลี่ยิ้มมุมปาก ดวงตาทอประกายเจ้าเล่ห์
"107 คือหมายเลขท่าเทียบเรือสินค้าพิเศษ ดูเหมือนคืนนี้เราจะต้องไปขึ้นเรือกันแล้วล่ะ"
"คนของนายฉลาดใช้ได้เลยนะ" หยางหมิงชม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความพอใจระคนประหลาดใจเล็กน้อย ขณะที่มองเจบีซึ่งเพิ่งถอดรหัสตัวเลขพวกนั้นได้อย่างรวดเร็ว
เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงรถ พลางยกยิ้มบาง ๆ “ก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง”
เจบีเหลือบมองเขา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ "ขอบคุณก็ได้นะครับ"
เสี่ยวไป๋หัวเราะในลำคอ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพิกัดที่ถูกส่งมา 2° 15' 48'' N | 113° 33' 29'' E
“ตรงพิกัดนี้มันอยู่ที่ไหน?” เขาถาม
หยางหมิงหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องคนหนึ่ง อีกฝ่ายรีบกดแผนที่ในโทรศัพท์ ก่อนจะรายงาน “ตำแหน่งที่ระบุอยู่กลางอ่าว… แสดงว่าเป็นเรือจริง ๆ”
เจบีพยักหน้าช้า ๆ ขณะที่ดวงตายังคงจดจ้องตัวเลขพิกัดบนหน้าจอ "พวกมันต้องการให้เราไปที่เรือลำนั้น…"
หยางหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น "แล้วจะเอายังไง? จะให้ฉันเตรียมคนไปด้วยไหม?"
"ไม่ต้อง" เสี่ยวไป๋ตอบทันที น้ำเสียงหนักแน่นและมั่นใจ "ฉันจะไปกันแค่สองคน นายอยู่ที่นี่ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหว และรอสัญญาณจากฉัน"
หยางหมิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะถามต่อ "แล้วต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม?"
เสี่ยวไป๋นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า "จัดเรือเล็กให้ฉันหนึ่งลำ ฉันไม่อยากให้พวกมันจับสัญญาณได้ว่าเรากำลังไป"
หยางหมิงพยักหน้ารับ "ไม่มีปัญหา ฉันจะให้คนเตรียมเรือเร็วไว้ให้"
เสี่ยวไป๋ยิ้มบาง ๆ อย่างพึงพอใจกับคำตอบ ก่อนจะหันไปสบตากับเจบี "แล้วนายล่ะ? มีอะไรที่อยากเตรียมเป็นพิเศษไหม?"
เจบีมองตรงไปที่เขา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ "ผมต้องการปืน"
เสี่ยวไป๋ยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววพึงพอใจ "นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว"
11:47 PM | กลางอ่าวกวางตุ้ง
เสียงเครื่องยนต์ของเรือเร็วทำงานอย่างเงียบเชียบ ขับเคลื่อนตัวผ่านผืนน้ำสีดำสนิทในค่ำคืนไร้ดวงจันทร์ คลื่นกระเพื่อมเบา ๆ สะท้อนแสงไฟจากตัวเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่ทอดสมออยู่กลางอ่าว ปรากฏเป็นเงาร่างขนาดมหึมาลอยเด่นอยู่ในเงาน้ำ
เสี่ยวไป๋ นั่งอยู่ที่ท้ายเรือ เอนตัวพิงพนักเบาะพลางเหลือบตามองเงาของเรือสินค้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เขายังคงสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนการเดินทางคืนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ในขณะที่ เจบี นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งกุมปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอว สายตาระแวดระวังอย่างไม่วางใจ
"พวกมันรู้แน่ว่าเรากำลังจะมา" เจบีเอ่ยเสียงต่ำ
"ก็ให้มันรู้ไปสิ" เสี่ยวไป๋ตอบเรียบ ๆ ก่อนจะปรายตามองเขา "นายดูเครียดไปนะ"
"ก็เรากำลังจะขึ้นไปเจอกับศัตรูที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บนเรือ"
เสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ "นายคิดมากเกินไป เรามาเจรจา ไม่ได้มาหาเรื่อง"
"พวกมันจะคิดแบบนั้นด้วยเหรอ?"
เสี่ยวไป๋หันมามองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น "ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกมันคิดอะไร ถ้าพวกมันฉลาดพอ มันจะไม่ทำให้คืนนี้กลายเป็นคืนที่เลวร้ายสำหรับตัวเอง"
เรือเร็วค่อย ๆ ชะลอลงเมื่อเข้ามาใกล้ตัวเรือสินค้า บันไดเชือกถูกหย่อนลงมา เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นก่อนจะก้าวขึ้นไปโดยไม่ลังเล เจบีตามไปติด ๆ มือยังคงแตะที่ด้ามปืนโดยอัตโนมัติ
เมื่อขึ้นไปบนเรือ แสงไฟสีเหลืองสลัวจากดาดฟ้าส่องกระทบบนพื้นเหล็กเย็นเยียบ เสี่ยวไป๋ก้าวไปข้างหน้าอย่างใจเย็น ในขณะที่เจบีมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากอีกฝั่งของเรือ ก่อนที่เงาของชายกลุ่มหนึ่งจะปรากฏออกมาจากมุมอับไฟ ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีดำก้าวนำออกมา ใบหน้าเรียบนิ่งแฝงความเจ้าเล่ห์
"หึ... ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องมา แต่ที่แปลกใจกว่าคือ..." เขาเหลือบตามองไปทางเจบี ก่อนจะยิ้มมุมปาก "ฉันคิดว่านายจะพาคนมามากกว่านี้"
เสี่ยวไป๋ยกยิ้มบาง ๆ "แล้วนายคิดว่า...ฉันจำเป็นต้องทำแบบนั้น?"
ชายคนนั้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ "จริงสินะ นี่มันสไตล์ของนายอยู่แล้ว" เขาหรี่ตามองเจบีแวบหนึ่ง "แต่ฉันคาดไม่ถึงว่าคนที่นายพามาจะเป็นเด็กคนนี้"
เจบีขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ยังคงนิ่ง ไม่หลงกลไปกับคำยั่วยุ เสี่ยวไป๋กอดอกก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ฉันมาที่นี่เพื่อคุย ไม่ใช่เล่นเกมจิตวิทยา"
ชายคนนั้นยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะผายมือไปทางประตูเหล็กที่นำไปสู่ห้องด้านในของเรือ
"งั้นก็ตามมา"
เสี่ยวไป๋หันไปสบตาเจบีแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เล็กน้อย แล้วก้าวเดินตามชายคนนั้นเข้าไปโดยไม่ลังเล เจบีเดินตามไปอย่างระมัดระวัง
ประตูเหล็กถูกปิดลงพร้อมเสียงโลหะกระทบกันดัง "แกร๊ก" กลิ่นเหล็กสนิมผสมกับกลิ่นน้ำมันดีเซลอบอวลไปทั่วห้อง ภายในมีเพียงไฟดวงเดียวที่ห้อยลงมาจากเพดาน แสงสีเหลืองสลัวทอดเงาของทุกคนให้ดูคมชัดขึ้น
เสี่ยวไป๋เดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งหนึ่งของโต๊ะไม้เก่า เจบีเลือกยืนข้างหลังเขา ดวงตาจับจ้องชายที่พาพวกเขามาที่นี่ ขณะที่ชายคนนั้นเดินไปทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามอย่างไม่เร่งรีบ
รอบตัวมีลูกน้องของอีกฝ่ายยืนกระจายตัวอยู่ พวกเขาไม่ได้ยกอาวุธขึ้นขู่ แต่เพียงแค่อยู่ตรงนั้น บรรยากาศก็ไม่ได้เอื้อให้รู้สึกปลอดภัย
"ของฉันอยู่ไหน?" เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยแรงกดดัน
ชายตรงหน้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มือประสานกันบนโต๊ะ "ใจเย็นหน่อยสิ นายมาถึงนี่แล้ว ฉันก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร"
เจบีมองชายตรงหน้าด้วยสายตานิ่งสงบ แต่ความระแวดระวังก็ยังไม่ลดลง เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังถ่วงเวลา
"ถ้าคุณต้องการให้เราฟัง ก็ควรพูดตรง ๆ" เจบีเอ่ยขึ้น เสียงของเขามั่นคง "ไม่ต้องเสียเวลาปั่นหัวกันไปมา"
ชายคนนั้นเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะในลำคอ "เด็กของนายพูดเก่งเหมือนกันนะ เสี่ยวไป๋"
เสี่ยวไป๋กระตุกยิ้มมุมปาก "ฉันไม่ได้พาเขามาเพื่อให้ดูอย่างเดียว"
บรรยากาศในห้องหนักขึ้นทุกวินาที
"โอเค โอเค" ชายตรงหน้ายกมือขึ้นเล็กน้อยเหมือนยอมแพ้ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น
"ฉันไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับนายหรอกเสี่ยวไป๋ แต่ของที่อยู่ในมือฉันตอนนี้มันมีค่ามากกว่าที่นายคิด"
เจบีขมวดคิ้วเล็กน้อย "หมายความว่าไง?"
ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ "ก็หมายความว่า ฉันรู้ว่าสินค้าล็อตนี้ไม่ได้เป็นแค่ของส่งผ่านธรรมดา แต่มันเป็นกุญแจสำคัญของเครือข่ายนาย"
เสี่ยวไป๋ยังคงสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใด ๆ ปรากฏออกมา
"แล้วนายต้องการอะไร?"
ชายคนนั้นยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบช้า ๆ "ข้อเสนอใหม่"
"ข้อเสนอใหม่?" เจบีทวนคำ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย "คุณต้องการแก้เงื่อนไขที่ตกลงกันไปแล้ว?"
ชายตรงหน้าเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะกระตุกยิ้ม "ฉันต้องการให้เรามีข้อตกลงที่...เป็นประโยชน์กับฉันมากขึ้นหน่อย"
"งั้นก็พูดมา ว่านายต้องการอะไร" เสี่ยวไป๋เอ่ยเสียงเรียบ
ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ ดวงตาของเขาฉายแววพึงพอใจ
"ฉันอยากได้ส่วนแบ่งเพิ่ม...และฉันอยากให้นายร่วมมือกับฉันมากกว่าที่เป็นอยู่"
เจบีมองหน้าชายตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะหันไปสบตากับเสี่ยวไป๋ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตกใจกับคำพูดนี้แม้แต่น้อย
"แล้วถ้าเราไม่ตกลง?" เจบีถามขึ้นตรง ๆ
ชายคนนั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยคำขู่ที่ชัดเจน
"ของจะไม่มีวันกลับไปถึงมือนาย...และบางที เส้นทางขนส่งของนายอาจจะมีปัญหามากกว่าที่เป็นอยู่"
ความเงียบเข้าปกคลุมห้อง เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ
"ถ้านายคิดว่ามันคุ้มที่จะเล่นเกมนี้กับฉัน ก็ลองดู"
น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังขึ้นแม้แต่นิดเดียว แต่ความเย็นเยียบที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นทำให้บรรยากาศของห้องหนักขึ้นในทันที ลูกน้องของชายตรงหน้าเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ราวกับรับรู้ถึงแรงกดดันที่กำลังแผ่กระจายออกมา
"ฉันมาเพื่อคุย ไม่ได้มาหาเรื่อง" เสี่ยวไป๋เอ่ยต่อ "แต่นายกำลังทดสอบความอดทนของฉัน"
เจบีมองชายตรงหน้าที่เริ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเสริมขึ้น "คุณคงไม่อยากให้เรื่องนี้จบลงแบบที่ไม่มีใครได้ประโยชน์ใช่ไหม?"
ชายตรงหน้าหัวเราะเบา ๆ ดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ
"งั้นมาคุยกันจริง ๆ เถอะ... ว่าเราจะหาทางออกแบบไหนได้บ้าง"
บรรยากาศในห้องหนักอึ้ง ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วขณะ เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ สองมือประสานกันอยู่บนโต๊ะ ท่าทางยังคงดูผ่อนคลายอย่างไม่น่าไว้ใจ ขณะที่เจบียืนข้างหลัง ดวงตาคอยจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
ชายตรงหน้าเหลือบมองเสี่ยวไป๋ รอยยิ้มที่เคยแต่งแต้มมุมปากเริ่มเลือนหายไป "ถ้าเราคุยกันดี ๆ ไม่ได้ งั้นบางทีฉันอาจต้องใช้วิธีอื่น"
"วิธีอื่น?" เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังสนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
ชายคนนั้นหรี่ตาลง ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก มือขวาของเขาค่อย ๆ ขยับไปใต้โต๊ะ
"ฉันแค่ต้องแน่ใจ...ว่านายเข้าใจสถานการณ์ดีพอ"
"อย่าคิดจะทำอะไรโง่ ๆ" เจบีพูดเสียงเรียบ แต่ฝ่ามือเริ่มตึงขึ้นมาบนด้ามปืนที่เหน็บไว้ข้างเอว
"โง่?" ชายคนนั้นหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เสียง "คลิก" ของไกปืนจะดังขึ้นจากใต้โต๊ะ
เสี่ยวไป๋ถอนหายใจ ก่อนจะพูดเรียบ ๆ "ฉันพยายามจะคุยกันดี ๆ แล้วนะ"
เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เสี่ยวไป๋คว้าตัวเจบี กระชากให้เขาหลบไปอยู่ข้างหลังตนเอง ก่อนที่ลูกน้องของชายตรงหน้าจะชักปืนขึ้นมาจ่อทันที เสียง "แกร๊ก" ดังขึ้นทั่วห้อง บ่งบอกว่าเหตุการณ์กำลังจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
เจบีเผลอกลั้นหายใจ ขณะที่มองเสี่ยวไป๋ที่ยังคงยืนอย่างมั่นคง แม้จะถูกปืนหลายกระบอกจ่ออยู่ก็ตาม
"ถ้าพวกนายกล้าลั่นไก ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากที่นี่ทั้งยังมีลมหายใจ" เสี่ยวไป๋เอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
ชายตรงหน้าหัวเราะในลำคอ มือของเขายังคงถือปืนใต้โต๊ะ ดวงตาฉายแววสนุกที่เต็มไปด้วยความคุกคาม "ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน...ว่านายจะทำยังไง"
"อยากรู้?" เสี่ยวไป๋แสยะยิ้ม ก่อนที่มือข้างหนึ่งของเขาจะเลื่อนลงไปแตะปืนของตัวเอง "ก็ลองดูสิ"
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตา เสี่ยวไป๋ชักปืนออกมา พร้อมกับเล็งไปที่ชายตรงหน้าทันที เสียงกดดันของไกปืนดัง "แกร๊ก" ทันทีที่นิ้วของเขาแตะไก
"ถ้าไม่อยากให้ที่นี่เปื้อนเลือด...ฉันแนะนำว่าอย่าทำอะไรโง่ ๆ"
เจบีมองเสี่ยวไป๋อย่างตกใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขาคาดไม่ถึงว่าเสี่ยวไป๋จะตอบโต้ แต่เพราะเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้
สายตาของชายตรงหน้าแข็งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ดวงตาของเขายังจ้องมองเสี่ยวไป๋อย่างไม่ยอมแพ้ "นายคิดว่าฉันจะกลัวปืนกระบอกเดียวของนายเหรอ?"
เสี่ยวไป๋เอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ
"ฉันไม่ต้องการให้มันจบลงแบบนี้ แต่ถ้านายต้องการ...ฉันก็ไม่มีปัญหา"
เขาเหลือบตามองเจบีแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำ "ระวังตัวไว้"
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
ปัง!
เสียงปืนกระชากบรรยากาศให้ตึงเครียดในเสี้ยววินาที ลูกน้องของศัตรูชักปืนขึ้นโดยไม่ลังเล กระสุนพุ่งตรงมาทางพวกเขา เสี่ยวไป๋กระชากเจบี ผลักให้เขาหลบไปด้านหลังของลังไม้
เสี่ยวไป๋เหนี่ยวไกสวนกลับทันที กระสุนพุ่งเข้าใส่หนึ่งในศัตรูที่กำลังเล็งปืนมา ร่างของมันทรุดลงไปกองกับพื้นก่อนที่มันจะทันยิง
พื้นที่ในห้องแคบเกินไป ไม่มีที่ให้เคลื่อนตัวมากนัก ถ้ายังติดอยู่ที่นี่ พวกมันจะล้อมพวกเขาไว้แน่ ๆ
"เราต้องออกไปด้านนอก!" เจบีตะโกนบอก เสี่ยวไป๋เหลือบตามองไปทางประตูเหล็กที่ปิดอยู่ก่อนจะกัดฟันแน่น
"ไปพร้อมกัน ฉันจะเปิดทาง"
ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกสองนัด เสี่ยวไป๋เล็งไปที่บานพับของประตูเหล็ก กระสุนเจาะเข้าจุดเชื่อมต่อของกลอนล็อกอย่างแม่นยำ
"เจบี! ไป!"
เจบีพุ่งตัวออกไปทันที ใช้ร่างพุ่งกระแทกประตูเหล็กที่คลายตัวออกไปแล้ว
“โครม!”
"ไปหาที่กำบังซะ!" เสี่ยวไป๋สั่งเสียงเฉียบขาด ก่อนจะคว้าแขนเสื้อของเจบี กระชากเขาไปหลบหลังตู้คอนเทนเนอร์ใกล้ ๆ
เสียงกระสุนเจาะเข้าเหล็กหนาดัง "แกร๊ง! แกร๊ง!" แรงกระแทกทำให้เศษสนิมและกลิ่นดินปืนคลุ้งขึ้นกลางอากาศ
"พวกมันไม่คิดจะปล่อยเราไปง่าย ๆ แน่" เจบีพูดเสียงต่ำ พลางเปลี่ยนแม็กกาซีนปืนในมือ
เสี่ยวไป๋เหลือบมองก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย "ก็ดี ฉันเองก็ไม่คิดจะปล่อยพวกมันไปเหมือนกัน"
ปัง! ปัง!
เสี่ยวไป๋โผล่พ้นจากกำบัง ในเสี้ยววินาทีที่ศัตรูเผลอไผล เขาเหนี่ยวไก กระสุนเจาะเข้ากลางหน้าผากของคนที่พุ่งเข้ามา ร่างนั้นล้มลงทันที ก่อนที่เขาจะเบี่ยงตัวกลับเข้าไปหลังตู้คอนเทนเนอร์อย่างคล่องแคล่ว
เสียงฝีเท้าของศัตรูหลายคนเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ พวกมันกำลังพยายามบีบให้ทั้งคู่ไม่มีทางหนี
ลมทะเลโหมพัดแรง คลื่นซัดกระแทกตัวเรือ เสียงเครื่องยนต์ดังสะท้อนก้องกลางความมืด แต่ไม่มีเสียงใดดังไปกว่าเสียงปืนที่ยังคงลั่นต่อเนื่อง
"พวกมันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!" เจบีตะโกนบอก เสี่ยวไป๋หรี่ตาลงก่อนจะสูดหายใจ
"แยกกัน นายไปทางขวา ฉันจะล่อพวกมันไปอีกทาง"
"เสี่ยงไปครับ"
เสี่ยวไป๋กระตุกยิ้มบาง "ก็ดีกว่าอยู่เฉย ๆ แล้วถูกล้อมตาย"
เจบีไม่โต้แย้ง พวกเขาเคลื่อนที่พร้อมกัน แยกไปคนละฝั่งของเรือ
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังสาดกระสุนไปทั่วพื้นที่บนเรือ ประกายไฟจากปากกระบอกปืนแหวกความมืดเป็นระลอก
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
เสี่ยวไป๋หมุนตัว หลบกระสุนที่พุ่งมาอย่างแม่นยำ ก่อนจะพุ่งตัวไปประชิดศัตรูที่กำลังเล็งปืนเข้ามาใส่เขา ใช้ศอกกระแทกเข้ากรามอย่างรุนแรงจนเสียงกระดูกหักดัง ‘กร๊อบ’
"อั่ก!!"
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ร้อง เสี่ยวไป๋ใช้ปืนกระแทกเข้าเต็มหน้าผากอย่างแรง เลือดทะลักออกจากแผลแตกก่อนที่ศัตรูจะล้มลงไปกองกับพื้น
เจบีเองก็ไม่ยอมอยู่เฉย แม้ว่าเขาจะแสร้งทำเป็นยิงไม่เก่ง แต่ทุกกระสุนของเขาก็เฉียดเข้าเป้าอย่างจงใจ
ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นเป็นจังหวะที่แม่นยำ
เสี่ยวไป๋สังเกตเห็นบางอย่าง แต่ไม่ได้พูดอะไร
"เอายังไงต่อดีครับ?"
เจบีถามขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนต้องการคำแนะนำ แต่แท้จริงแล้ว เขาใช้เวลานี้ประเมินสถานการณ์ไปพร้อมกัน
เสี่ยวไป๋เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง สายตาคมกริบกวาดไปรอบ ๆ ด้านข้างเรือ ประเมินจำนวนศัตรูที่ยังเหลืออยู่ และเส้นทางที่พวกเขาจะใช้หลบออกไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเฉียบขาด ไร้ความลังเล
"เราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด" เขาพูดเสียงเรียบ พลางเปลี่ยนแม็กกาซีนปืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระชับมันในมือ
"ถ้าอยู่ต่อ มีแต่เสียเปรียบ"
เจบีพยักหน้าเข้าใจทันที ดวงตาของเขาตวัดมองไปยังจุดหลบหนี สมองของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็ว พวกมันเริ่มเคลื่อนกำลังเข้ามาเรื่อย ๆ หากชักช้าไปกว่านี้ โอกาสจะยิ่งลดลง
เสี่ยวไป๋จับจังหวะ ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง ๆ "เดี๋ยวฉันเปิดทาง นายตามมาให้ทันก็พอ"
ปัง! ปัง!
การเคลื่อนตัวของพวกเขาเริ่มขึ้น พร้อมกับเสียงปืนที่ดังสนั่นอีกครั้ง
ทว่าในจังหวะที่เขากำลังเคลื่อนตัว เจบีกลับชะงักไปชั่วขณะ สายตาของเขาจับจ้องไปที่บางสิ่งที่สะท้อนแสงเล็กน้อยจากระยะไกล และเมื่อเขาตระหนักได้ว่า มันคือปลายกระบอกปืน
หัวใจของเขากระตุกวูบ เป้าหมายของมันคือเสี่ยวไป๋
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตา เสี่ยวไป๋มัวแต่จัดการกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ทันเห็นเลยว่ามีใครบางคนซุ่มอยู่พร้อมลั่นไก เจบีไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลาตะโกนเตือน เขาขยับตัวโดยสัญชาตญาณ
"ระวัง!"
เสียงของเขาดังขึ้นพร้อมกับร่างที่พุ่งเข้าไปกระชากตัวเสี่ยวไป๋ให้พ้นจากวิถีกระสุน แต่ช้าไปเพียงเสี้ยววินาที
ปัง!
ความเจ็บปวดร้อนวาบแล่นเข้าสู่แขนซ้ายของเขา กระสุนแหวกผ่านผิวเนื้อเข้าไปลึกพอให้รู้สึกเหมือนแขนทั้งข้างกำลังลุกไหม้
"อึก!"
แขนซ้ายของเขาชาดิก ร่างทั้งร่างเซถอยหลัง พื้นใต้เท้าหายไป เขารู้ตัวอีกที โลกทั้งใบก็พลิกกลับตาลปัตร ร่างของเขาร่วงลงจากขอบเรือ
แรงโน้มถ่วงฉุดกระชากดึงร่างของเขาลงไป แว่วเสียงของเสี่ยวไป๋ตะโกนชื่อเขา แต่ก่อนที่เจบีจะทันได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
ทุกอย่างก็ดับวูบลง พร้อมกับเสียงน้ำทะเลที่สาดกระแทกเข้าหาโสตประสาท
น้ำทะเลเย็นเฉียบซัดกระแทกเข้ากับร่างอย่างรุนแรง บาดแผลบนแขนถูกแช่ลงในของเหลวเค็มจัด ความแสบซ่านแล่นผ่านเส้นประสาททุกเส้น แต่ในไม่ช้า ความเจ็บปวดก็เริ่มจางลง แทนที่ด้วยความมึนชา
เสียงปืนที่เคยดังสนั่นบนเรือ ค่อย ๆ เบาลงจนเหลือเพียงเสียงสะท้อนอื้ออึงที่ลอดผ่านม่านน้ำลงมา
ดวงตาของเขาหรี่ลง มองแสงไฟสีส้มจากเรือที่ส่องประกายไหววูบอยู่เหนือผิวน้ำ มันดูห่างไกลออกไปทุกที
เขาควรจะพยายามว่ายขึ้นไป แต่ร่างกายหนักอึ้ง แรงของมหาสมุทรกำลังดึงเขาจมลงไปเรื่อย ๆ
แล้วเขาจะพยายามดิ้นรนไปเพื่ออะไร?
ที่ตรงนี้เงียบสงบ ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีใครจ้องจับผิด ไม่มีอดีตที่ต้องหนี ไม่มีตัวตนที่ต้องแสร้งเป็น ใต้น้ำแห่งนี้ คืออิสรภาพที่แท้จริง
เขาปล่อยให้ตัวเองจมลงไปช้า ๆ แสงไฟด้านบนเริ่มเลือนหาย ความมืดโอบรัดเขาไว้ราวกับกำลังปลอบโยน
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…
TBC.
ฝากติดตามเป็นกำลังใจหน่อยน้าา
เฮ้ย!! ยัยน้อง ใครก็ได้ช่วยที
รักคนอ่าน♥️
สนุกมากครับ {:5_119:}{:5_119:} สนุกมากครับเรื่องเข้มขึ้นขึ้นละ รอเอาใจช่วยเจบีครับ
ขอบคุณนะครับ GuN009 ตอบกลับเมื่อ 2025-6-24 17:22
สนุกมากครับเรื่องเข้มขึ้นขึ้นละ รอเอาใจช่วยเจบีครับ
ขอบคุณนะครับ
ขอบคุณค้าบบบ เรื่องนี้จริงๆจบแล้ว แต่มันเนื้อหาเยอะมากประมาณเกือบ 60 ตอน ไม่รู้ว่าจะมีคนอยากอ่านมั้ย
หน้า:
[1]