เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.13
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-23 12:15ตอนที่ 13
พี่น้องต่างสายเลือด
ผมนั่งนิ่ง มองฟากฟ้ายามค่ำคืนจากมุมสงบของสวนหลังตำหนัก ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ระยิบระยับราวกับจะหยอกล้อสายตา ลมหนาวแผ่วเบาพัดผ่าน ลูบไล้ผิวแก้มอย่างอ่อนโยนจนรู้สึกเย็นเยียบ แต่กลับปลุกให้ความคิดในหัวฟุ้งกระจายยิ่งกว่าเดิม
"ฝ่าบาท อากาศเย็นแล้วนะขอรับ" เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังอย่างอ่อนโยน เฟลด์เดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมของเขามาคลุมไหล่ให้ผมอย่างระมัดระวัง
ผมหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ
"เจ้านั่งเป็นเพื่อนข้าสักเดี๋ยวสิ"
น้ำเสียงของผมไม่ได้จริงจังนัก ออกจะติดขำเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพราะความรู้สึกมันเหมือนแค่หาเรื่องคุยกับคนที่ไม่ได้สนทนาด้วยมาสักพัก
เฟลด์ไม่พูดอะไร เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างผม โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย สายตาของเขาเงียบขรึม แต่ไม่ได้เย็นชา ตรงกันข้าม...กลับดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“ข้าอาจสร้างความวุ่นวายให้พวกเจ้า สวามีของข้ามากเกินไปแล้วก็ได้...” ผมพูดราวกับจะปล่อยเสียงนั้นล่องหายไปกับลม “บางที... ถ้าไม่มีพวกเจ้าอยู่ข้าง ๆ ข้าก็คงถอดใจไปนานแล้ว”
ผมหยุด หันไปสบตาเขา
“ข้าไม่ได้อยากเป็นคนสำคัญ ไม่ได้อยากแบกอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ข้าอยากมี คือข้าวร้อนสามมื้อ ที่นอนอุ่นในคืนหนาว และมือใครสักคนที่ไม่ปล่อยไป... เท่านั้นจริง ๆ”
เฟลด์ยังคงฟังเงียบ ๆ ไม่พูด ไม่ขัด ไม่พยายามปลอบใจด้วยคำพูดสวยหรู ซึ่งนั่นกลับทำให้ผมพูดต่อไปได้ง่ายขึ้น
“ทุกอย่างที่ข้าเป็นอยู่ตอนนี้... มันคงเป็นอย่างที่ใครต่อใครพูดกัน ข้าเป็นแค่รัชทายาทที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากสายเลือดที่ตีตราว่าข้าคือคนของราชวงศ์”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาเสียงนิ่ง
“ข้าไม่เคยอยู่ข้างใคร...นอกจากท่าน”
ผมชะงัก
เฟลด์หันมามองตรง ๆ สายตานิ่งลึกอย่างที่เขาเป็นเสมอ
“สิ่งที่ข้าเลือก ไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่ราชวงศ์ ข้าอยู่ตรงนี้... เพราะเป็นท่าน ไม่ว่าจะมีนามว่าอะไร หรือจะอยู่ในฐานะไหน”
เสียงของเขาไม่ได้ดังนัก แต่หนักแน่นพอจะสั่นบางอย่างในใจผม
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ... แค่ยกมือขึ้นลูบขอบเสื้อคลุมของเขาที่พาดบนไหล่เบา ๆ แล้วแหงนหน้ากลับขึ้นมองดาว
คืนนี้... ฟ้าเหมือนจะสว่างกว่าทุกคืนที่ผ่านมา
เฟลด์เลื่อนมือข้างหนึ่งมาวางบนมือผมที่วางอยู่บนตัก ลูบปลายนิ้วช้า ๆ ไปมาบนหลังมือ เป็นสัมผัสเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความห่วงใย ความอบอุ่นจากมือเขาแทรกซึมเข้ามาจนรู้สึกว่าความเย็นในอกค่อย ๆ คลายลง
"ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจจากความเชื่อที่มีต่อท่าน" เฟลด์เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาคู่คมยังคงจับจ้องไปที่ดวงดาวบนท้องฟ้า แต่สัมผัสจากมือของเขากลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังมองลึกเข้ามาในใจ
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ปล่อยให้คำพูดของเขาซึมซับเข้ามาในความรู้สึก การปลอบโยนที่ไม่มีคำพูดสวยหรู แต่กลับจริงใจจนผมรู้สึกได้
"ข้า... ก็อยากให้เจ้าอยู่ข้างๆ แบบนี้ตลอดไป" ผมพึมพำเสียงเบา แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น พิงศีรษะลงบนไหล่แกร่งของเฟลด์อย่างออดอ้อนเนียน ๆ "หนาวจังเลย..."
เฟลด์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่แขนอีกข้างของเขาจะโอบรอบตัวผมเบาๆ กระชับให้เสื้อคลุมอุ่นขึ้นอีกนิด และดึงผมให้ใกล้เข้ามาอีกหน่อย ผมรู้สึกถึงไออุ่นจากร่างกายเขาที่แผ่มาปกคลุม ความรู้สึกปลอดภัยเข้าแทนที่ความว้าวุ่นใจทั้งหมด
"แน่นอนขอรับ ฝ่าบาท" เสียงของเขาอ่อนโยนจนน่าใจหาย "ข้าจะอยู่ตรงนี้... ตลอดไป"
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจของเราสองคนเท่านั้น ผมเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของเฟลด์ มองเข้าไปในดวงตาของเขา
"ข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ"
เฟลด์พยักหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงอนุญาต
“ข้าคนก่อน... ข้าในเมื่อก่อนน่ะ” ผมหันหน้าไปมองเขาเพียงเสี้ยววินาที “มีอะไรให้น่าชอบนักหรือ ถึงได้ทำดีกับข้า ขนาดนี้?”
เฟลด์พ่นลมหายใจเล็กน้อย แต่ทิ้งร่องรอยของบางความรู้สึกที่ยังไม่เคยจางหาย
“ตอนที่ข้ายังเด็ก... ข้ากลัวการต่อสู้” เขาเริ่มเล่า เสียงของเขาราบเรียบแต่ชัดเจน “ข้าคือเด็กชายขี้ขลาดคนหนึ่ง ที่เกิดมาในตระกูลนักรบ ชีวิตในวัยเด็กของข้าไม่ราบรื่นนัก"
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ปนเศร้า
"กระทั่งวันหนึ่ง ข้าจำได้ว่าวันนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำได้เพียงนั่งหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ตัวเปียกจนหนาว สั่นเพราะเสียงฟ้าร้อง"
มือของเขาขยับเล็กน้อยเหมือนกำลังนึกถึงอะไรสักอย่าง
"ในช่วงเวลาที่ข้าหวาดกลัวที่สุด กลับมีมือเล็ก ๆ ยื่นมา รอยยิ้มของของเด็กคนนั้น ทำให้ข้ารู้ว่าเสียงฟ้าร้องมัน...ไม่ได้ดังเท่าเดิมแล้ว"
เขาหันมามองผมตรง ๆ สีหน้าจริงจังแต่แฝงความอ่อนโยน
"เมื่อข้าได้เข้าวังหลวงอย่างเต็มตัว ข้าจึงได้รู้ว่า... เด็กคนนั้นคือองค์ชายเซย์เรน รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ แม้เวลาจะผ่านไป แต่แววตาและรอยยิ้มของท่าน กลับยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย"
เสียงของเฟลด์ต่ำและมั่นคง
“นับแต่นั้นมา ข้าก็รู้แล้วว่าข้าต้องการทำสิ่งใดในชีวิต ข้าฝึกฝนตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศ ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อจะสามารถยืนอยู่ข้างท่าน... ปกป้องท่าน และรอยยิ้มที่ทำให้ข้ากล้าที่จะลุกขึ้นจากความกลัวในวันนั้น”
ใบหน้าของเฟลด์แนบลงกับไหล่ผมอย่างช้า ๆ ลมหายใจของเขาอุ่นรินข้างแก้ม ราวกับต้องการยืนยันว่า สิ่งที่เขาพูด ไม่ได้เป็นเพียงความทรงจำ แต่มันยังเป็นความรู้สึกที่ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้
ผมอยากละลายอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้จัง เฟลด์เองก็มีมุมโรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย ใครจะคิดว่าใต้ท่าทีเงียบขรึมแบบนั้น จะมีด้านที่เหมือนหมาตัวโต ๆ ขี้อ้อนซ่อนอยู่ด้วย
ขอบคุณรอยยิ้มของเซย์เรนในวันนั้นจริง ๆ เพราะรอยยิ้มนั้นเอง ที่ทำให้วันนี้ผมได้ผู้ชายที่แสนดีคนนี้มาอยู่ข้าง ๆ
...
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ้าม่านเข้ามาในห้องนอนปลุกผมให้ตื่น ผมกระพริบตาถี่ ๆ ปรับสายตาให้ชินกับความสว่าง แต่แล้ว... ความรู้สึกเวียนหัวก็ตีขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันไม่ใช่แค่เวียนหัวธรรมดา แต่เป็นอาการพะอืดพะอม คลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน ผมรีบลุกขึ้นนั่ง กุมขมับแน่น ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกมีไข้หรือเจ็บป่วยตรงไหน
ผมวางมือทาบหน้าผากของตัวเอง 'นี่มันอาการอะไรกันแน่?'
ไม่นานนัก ไคเรนก็เดินเข้ามาในห้อง เขามาพร้อมกับถาดอาหารเช้าสำหรับผม แต่พอเห็นสีหน้าซีดเผือดของผมเท่านั้นแหละ คิ้วเข้มของเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที
"เป็นอะไรหรือเปล่า ฝ่าบาท? ดูหน้าซีดเชียว" ไคเรนถามเสียงห่วงใย รีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วก้าวเข้ามาประคองผมเบา ๆ
"ไม่... ไม่เป็นไรหรอก" ผมตอบเสียงอู้อี้ รู้สึกพะอืดพะอมจนไม่อยากพูดอะไรมาก "แค่เวียนหัวนิดหน่อย"
"เวียนหัว?" ไคเรนทวนคำ สีหน้าเขากังวลขึ้นมาทันตา "เดี๋ยวข้าจะให้คนไปตามหมอหลวงมาตรวจอาการ"
"ไม่ต้อง!" ผมรีบห้ามพลางส่ายหน้า "ไม่เป็นไรจริง ๆ ไม่ต้องไปตามหรอก... พักสักหน่อยน่าจะดีขึ้น"
ไคเรนยังคงมองผมด้วยแววตาไม่วางใจ เขาแตะหน้าผากผมเบา ๆ เพื่อดูว่ามีไข้หรือไม่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ไม่มีไข้…” เขาพึมพำ
ผมหลุบตาลงต่ำ หลบสายตาเอาแต่ใจของเขา ไม่ใช่เพราะไม่พอใจ แต่เพราะผมไม่รู้เหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไงกับอาการของตัวเองในตอนนี้
“ท่านคงนอนไม่พอ” เขาว่าเบา ๆ พลางขยับตัวมานั่งพิงหัวเตียงข้างผม จากนั้นก็ยื่นมือมาดึงผมเข้าไปใกล้ แล้วพิงหัวของผมลงกับไหล่กว้างของเขาอย่างอ่อนโยน “พักอีกหน่อยเถอะ”
ผมไม่เอ่ยคำตอบ เพียงเอนตัวพิงไหล่เขาเงียบ ๆ ความอบอุ่นจากร่างกายของไคเรนช่วยให้คลื่นอึดอัดในอกสงบลงทีละน้อย
“อย่าฝืนตัวเองนักเลย” เสียงของเขาแผ่วลง ยามที่มือข้างหนึ่งเลื่อนมาวางบนหลังผม ลูบเบา ๆ อย่างปลอบโยน
กลิ่นคุ้นเคยจากชุดคลุมของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับเข้าสู่ที่พักพิงในวันที่เหนื่อยล้า
ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ร่างกายซึมซับความเงียบ ความอุ่น และความมั่นคงที่เขามอบให้โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด
เสียงหัวใจของไคเรนเต้นช้าและสม่ำเสมออยู่ข้างหู คล้ายจังหวะกล่อม ผมไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าในตอนที่สติเริ่มเลือนราง ความอบอุ่นจากวงแขนเขาโอบล้อมอยู่รอบกายผมอย่างเงียบเชียบ
แล้วภาพในความฝันก็เริ่มปรากฏ...
ผมอยู่ใต้น้ำที่ใสกระจ่างราวกับท้องฟ้าในฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดลอดผ่านผิวน้ำลงมาเป็นลำระยิบระยับ อบอุ่นแต่ไม่แสบตา ผมลอยตัวอยู่กลางกระแสน้ำเงียบ ๆ ไม่มีความรู้สึกหนัก ไม่มีแรงกดดัน เหมือนร่างกายกลายเป็นเพียงลมหายใจหนึ่งเดียวในโลก
แล้วเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็ว่ายน้ำเข้ามาหาผมช้า ๆ
มันตัวกลม ป้อม ขนาดพอดีอ้อมแขน ผิวเนียนนุ่มคล้ายก้อนข้าวเหนียว มีตากลมโตแป๋วแหวว ริมฝีปากจิ๋วยิ้มอยู่ตลอดเวลา สีฟ้าอ่อนละมุนของมันทำให้รู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองเมฆก้อนนิ่มกลางเวหา
ลูกปลาวาฬ...
มันขยับครีบแป้น ๆ ว่ายวนรอบตัวผมเหมือนกำลังเล่นด้วยอย่างสนุกสนาน บางครั้งก็ถูแก้มกลม ๆ เข้ากับมือผม บางครั้งก็ดำผุดดำว่ายในฟองอากาศเล็ก ๆ ที่ลอยขึ้นจากก้นทะเล
ผมหัวเราะเบา ๆ ในฝัน เอื้อมมือไปแตะครีบเล็ก ๆ ของมัน แล้วมันก็ทำเสียง “ปุ๋ง” อย่างน่ารัก ก่อนจะหมุนตัวตีลังกาในน้ำ
มันดูมีความสุขมากเหลือเกิน
และไม่รู้เพราะอะไร... อยู่ ๆ หัวใจของผมก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับความสุขของเจ้าปลาวาฬน้อยนั้น ถูกส่งผ่านเข้ามาในอกโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเลย
ผมลูบหัวมันเบา ๆ แล้วกระซิบ
“เจ้ามาจากที่ไหนกันนะ...”
ลูกปลาวาฬตัวน้อยไม่ได้ตอบ มันเพียงแค่ว่ายวนรอบตัวผมอีกครั้งอย่างออดอ้อน ก่อนจะเข้าไปซุกในอ้อมแขนเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการอ้อมกอด
แล้วผมก็สะดุ้งตื่น...
สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้... คือแรงกอดอ่อนโยนที่โอบอยู่รอบเอว อ้อมแขนที่ยังไม่ยอมปล่อย และลมหายใจอุ่นที่เป่ารินอยู่ข้างแก้ม
ไคเรนยังคงอยู่ตรงนี้
ผมขยับตัวเล็กน้อย แล้วเหลือบตามองเขา เขายังหลับอยู่ ดวงหน้าคลายจากความเคร่งขรึมตามปกติ กลายเป็นใบหน้าที่ดูผ่อนคลายอย่างน่าเอ็นดู ขนตายาวเฉียดผิวแก้ม ริมฝีปากแน่นนิ่ง แต่ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนทุกที
…เหมือนเด็กหนุ่มที่เผลอหลับกลางวันมากกว่าจะเป็นขุนนางผู้น่าเกรงขาม
ความฝันเมื่อครู่ยังติดอยู่ในใจ
ลูกปลาวาฬตัวน้อย… กลมป้อม แก้มยุ้ย ตาวาวใส มันกำลังหัวเราะในอ้อมแขนผม ว่ายไปมาในท้องทะเลสีฟ้า ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ ทั้งจากภาพในฝัน และภาพของคนขี้ห่วงที่ตอนนี้นอนกอดผมอยู่แน่นหนาราวกับกลัวผมหายไปอีก
ผมเอื้อมมือไปแตะแก้มของไคเรนเบา ๆ ลูบข้างกรามคมด้วยปลายนิ้ว แล้วกระซิบขำ ๆ กับตัวเอง
“คงเป็นเพราะท่านกอดแน่นแบบนี้ เจ้าปลาวาฬตัวกลมถึงได้ว่ายเข้ามาในฝันของข้า”
ไคเรนขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับได้ยิน เขาไม่ตื่น แต่กลับขยับแขนรัดเอวผมแน่นขึ้นอีกนิด พร้อมซุกหน้าลงตรงช่วงไหล่ของผมอย่างเคยชิน
ผมหลับตาลงอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงลมหายใจของเขากล่อมจิตใจให้สงบ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่ยังคงไม่จางหาย
...
เมื่อถึงช่วงบ่ายที่แสงแดดทอประกายอบอุ่น อาการเวียนหัวก็จางหายไปจนแทบไม่เหลือ ความรู้สึกอยากคลื่นไส้ที่เคยตีขึ้นมาถี่ๆ ก็เงียบสงบลงแล้ว หัวไม่หมุน โลกไม่หมุนอีกต่อไป
ไคเรนเองก็คงสังเกตได้ เพราะพอเห็นผมลุกขึ้นนั่งแล้วไม่ล้มลงไปกองกับพื้นเหมือนเจ้าหุ่นไล่กาที่หมดแรง
เมื่อเขาแน่ใจว่าผมไม่มีไข้ ไม่มีอาการอะไรน่ากังวลแล้ว ก็ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะบอกเสียงนิ่ง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปสะสางงานก่อน แต่ข้าขอเรื่องเดียว... อยู่แต่ในตำหนัก ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่”
ผมเลิกคิ้ว มองเขาด้วยสีหน้าครึ่งขำครึ่งงง “พูดเหมือนข้าเป็นนักโทษ”
"หากนักโทษคนนั้นเป็นท่าน...ข้าก็ยินดีเป็นผู้คุมให้" เขาตอบกลับทันควัน แล้วเอียงคอมองผมนิ่ง
“อยู่เฉย ๆ ไปก่อน จนกว่าจะมั่นใจว่าท่านไม่เป็นอะไรแน่ ๆ”
คำพูดนั้นทำให้ผมเถียงไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ทั้งที่ในใจรู้สึกเหมือนโดนกักบริเวณอยู่กลาย ๆ แต่ก็เข้าใจดีว่าไคเรนไม่ได้พูดเพราะหวงอำนาจ เขาห่วง
และผม... ก็ไม่อยากดื้อรั้นจนเป็นภาระใครอีกแล้ว
ที่ผ่านมา...พวกเขาก็เหนื่อยพอแล้ว ไม่เคยได้พัก ไม่เคยวางใจได้เต็มที่สักวัน แต่ละคนต่างมีภาระที่ต้องแบกรับ ทั้งในฐานะสวามีของผม และเสาหลักผู้ค้ำจุนความมั่นคงของบัลลังก์
แค่ผมไม่สร้างเรื่องเพิ่ม ก็คงช่วยให้พวกเขาได้หายใจสะดวกขึ้นบ้าง
ผมนั่งมองประตูที่ไคเรนเพิ่งเดินออกไป แสงแดดอ่อนยามบ่ายทาบลงบนพื้นพอดีตรงตำแหน่งนั้น ราวกับทิ้งเงาเอาไว้แทนตัวเขา
‘เฮ้อ... แค่เวียนหัวนิดเดียว ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย’
ผมกลอกตาเบา ๆ กับความคิดตัวเอง แล้วนั่งถอนหายใจอีกรอบ ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ ๆ ก็อยากถอนหายใจทุกสิบวินาที หรือไม่ก็บ่นแบบคุณลุงวัยเกษียณที่นั่งดูวิวแล้วบอกว่า “แต่ก่อนตรงนี้มันมีต้นไม้เยอะกว่านี้นะ”
“ฝ่าบาทเพคะ เมื่อครู่...มีคนรับใช้จากตำหนักฝ่ายในมาแจ้งว่า มีแขกคนสำคัญมารอที่ห้องรับรอง”
เฟย์ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แล้วเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ผมเลิกคิ้วนิดหนึ่ง... แขก?
'ใครกันนะ? จะเป็นพวกขุนนางที่มาหาเรื่องอีกล่ะมั้ง?'
ผมนั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้ตอบอะไรทันที รู้สึกเหมือนอาการเวียนหัวจะหายไปแค่ชั่วคราว เพราะตอนนี้หัวเริ่มตึง ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว
แต่แล้ว ความคิดทั้งหมดก็ปลิวหายไปจากหัวทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องรับรอง...
ร่างสูงสง่าของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนหันหลังให้ผมอยู่กลางห้อง ผมหยุดชะงัก สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างนั้น เขามีเรือนผมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่ยาวสลวย แผ่ปกคลุมลงมาถึงช่วงเอว รูปร่างของเขาดูสูงโปร่งสมส่วน เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดคลุมสีดำสนิทปักลวดลายสีเงินแพรวพราว ทำให้เขายิ่งดูโดดเด่นและมีเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหา
แผ่นหลังกว้างขยับเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หันกลับมา...
และในวินาทีนั้นเอง โลกทั้งใบของผมก็เหมือนจะหยุดหมุน ดวงตาคู่คมสีม่วงเข้มราวกับอัญมณีล้ำค่า จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูปเผยรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเย็นชาแต่กลับดึงดูดอย่างประหลาด ใบหน้าของเขาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรที่หลุดออกมาจากภาพวาด ผมถึงกับตะลึงจนยืนนิ่งเป็นหิน
'โห... นี่มันคนหรือเทพบุตรกันแน่วะเนี่ย!? หล่อชิบเป๋งเลย!'
ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคือความทึ่งในรูปโฉมที่งดงามเกินมนุษย์ทั่วไป ราวกับว่าเขาถูกปั้นแต่งมาอย่างประณีตบรรจงทุกสัดส่วน
"ในที่สุด... เราก็ได้พบกันเสียทีนะ ฝ่าบาทรัชทายาท" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงนั้นเย็นเยือก แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้ขนลุกซู่
เขาก้าวเข้ามาหาผมช้าๆ ในขณะที่ผมยังคงยืนตะลึงกับความสง่างามที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
"ข้าคือ ซาร์เอล... น้องชายต่างมารดา ของท่าน" เขาแนะนำตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้ผมรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงสันหลัง
ผมใช้เวลาสักพักเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป "อ่า... ยินดีที่ได้พบ"
ผมพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงตัวเองยังคงสั่นเล็กน้อย
ซาร์เอลยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาคมกริบคู่นั้นเหมือนกำลังประเมินค่าบางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด
"ท่าน... ดูสบายดีนะ" ซาร์เอลเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงเรียบเรื่อย แต่กลับแฝงความนัยบางอย่างที่ผมจับต้องไม่ได้
"ก็... อย่างที่เห็น" ผมตอบกลับ พยายามเลี่ยงที่จะสบตาเขาตรงๆ "แล้วเจ้าล่ะ...มีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า?"
ซาร์เอลหัวเราะในลำคอเบาๆ "ก็แค่... อยากมาทำความรู้จักกับพี่ชายต่างมารดาเสียหน่อย"
เขาพูดพลางก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด "ได้ยินมาว่ารัชทายาททรงถูกลอบทำร้าย... คงทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างกระมัง"
"ก็คงงั้น" ผมตอบสั้นๆ 'รู้อะไรมาบ้างนะ หมอนี่?'
"อย่ากังวลไปเลย ฝ่าบาท" ซาร์เอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรขึ้นมาเล็กน้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับดูเย็นชามากขึ้น "ต่อจากนี้ไป... ข้าจะคอยช่วยท่านเอง"
Talk with me.
อุ๊ปสส ปลาวาฬน้อยนั้น...
สนุกมากครับ ขอบใจ ขอบคุณครับ ชอบมากครับ ปลาวาฬน้อย จะลืมตาดูโลกแล้ว ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]