เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.12
ตอนที่ 12ศึกในบ้าน
หลังเสียงตวาดของผมจางหายลง ความเงียบก็ก่อตัวขึ้นช้า ๆ เหมือนคลื่นที่ค่อย ๆ ซัดกลบความเดือดพล่านก่อนหน้า แม้แววตาจะยังวาบกรุ่นด้วยไฟอาฆาต มองไคเรนเหมือนพร้อมจะพุ่งเข้าหาได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ติดว่าผมยืนคั่นอยู่ตรงกลางเสียก่อน
"ขอประทานอภัย ฝ่าบาท" แรนทีลเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม คงจะรู้ตัวแล้วว่าเกินเลยไปหน่อย
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
'พวกท่านเป็นสวามีของรัชทายาทนะ! จะมาตีกันแบบนี้ได้หรือ!?'
"เอาล่ะ! วันนี้พอแค่นี้!" ผมประกาศเสียงกร้าว "แรนทีล ท่านคุกเข่าซะ! ส่วนท่าน ไคเรน... ก็คุกเข่าอยู่ตรงนั้นแหละ! คุกเข่าคู่กันไปเลยจนกว่าข้าจะอนุญาตให้ลุก! สำนึกผิดกันให้พอ!"
ทั้งสองคนทำหน้าเหวอทันที แรนทีลดูเหมือนจะโวยวาย แต่พอเห็นสายตาเอาจริงของผมก็หุบปากฉับ ส่วนไคเรนก็เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วทรุดตัวลงคุกเข่าลงบนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบข้างๆ แรนทีลโดยไม่มีคำพูดสักคำ
ภาพที่เห็นชวนให้ผมถอนใจอีกครั้งหนึ่ง
คนหนึ่งหน้านิ่งราวหินผา อีกคนหน้ายุ่งเหมือนแมวถูกอาบน้ำ แล้วต้องมานั่งเรียงกันเหมือนเด็กประถมถูกลงโทษหน้าห้องเรียน
ผมเดินจากมาโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เพราะรู้ตัวดีว่าถ้ามองเมื่อไหร่...ผมจะต้องหลุดขำเมื่อนั้นแน่ ๆ
'อยากทะเลาะกันดีนักใช่ไหม? ข้าจะฝึกพวกท่านให้เชื่องเอง!'
ตกดึก ผมแอบย่องออกมาจากห้องนอน เพื่อมาสอดส่องสถานการณ์ในโถงทางเดิน ไม่ใช่อะไรหรอก แค่สงสัยว่าคนเราจะคุกเข่าได้นานขนาดไหนกันเชียว โดยไม่เป็นตะคริว
แสงจันทร์จากหน้าต่างบานใหญ่ทอดเงาเย็น ๆ ลงบนพื้นหิน ผมยืนแอบอยู่หลังเสา หลบมุมเหมือนเด็กซนแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน แล้วก็ได้เห็นภาพที่...โอ้โห น่านับถือจริง ๆ
ไคเรนกับแรนทีล ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างกันแบบไม่มีใครยอมลุก สีหน้าดูสงบเสงี่ยมแต่ก็แอบดื้อเงียบ ๆ ในแบบของแต่ละคน ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครหันไปมองใคร และไม่มีใครกล้าลุกก่อน
โอเค…ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าทำไมถึงได้เป็นขุนนางที่น่าเกรงขาม เพราะแค่จะงัดศักดิ์ศรีกันตอนคุกเข่ายังไม่มีใครยอมแพ้
แต่ถึงจะเงียบอย่างไร ผมก็ได้ยินเสียงบางอย่าง...เบาเหมือนลมหายใจผสมกับศักดิ์ศรี
“เข่าข้างซ้ายท่านชาไหม?” เสียงทุ้มต่ำของไคเรนดังขึ้นเบา ๆ
“เงียบไปเลย ข้ากำลังทำสมาธิ” แรนทีลกระซิบตอบทันควัน
ผมแทบจะหลุดหัวเราะออกมา มือนึงต้องยกขึ้นปิดปากไว้แน่น... โอเค ตอนนี้ไม่ใช่แค่ตลกแล้ว แต่เริ่มเอ็นดู
จะว่าไป...มันก็น่าปลื้มอยู่หน่อย ๆ นะ
แม้จะทะเลาะกันจะเป็นจะตาย แต่ตอนนี้ก็คุกเข่าเงียบ ๆ ข้างกันมาเกือบครึ่งคืน แถมยังแอบเป็นห่วงกันกลาย ๆ แบบไม่ยอมรับอีก
ใจหนึ่งผมก็เข้าใจนะว่าแรนทีลเป็นห่วงผมมากเพียงใด เขาน่ะดูแลรัชทายาทมาตั้งแต่เด็ก ปกป้องเซย์เรนคนก่อนจากอันตรายมานับไม่ถ้วน การที่คนรักต้องเจอเรื่องร้ายๆ เช่นนั้นในความดูแลของไคเรน มันคงทำให้เขาเจ็บใจและโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่ในอีกใจหนึ่ง ผมก็เข้าใจไคเรนเช่นกัน เขาก็ทำเต็มที่แล้วเพื่อปกป้องผม แถมยังต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นอีก
ความจริงคือ... ผมรู้ว่าทั้งคู่ต่างก็แคร์ผม
แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ เหตุใดพวกเขาถึงไม่เข้าใจกันเองบ้าง? เหตุใดถึงต้องใช้กำลังเข้าหากันเช่นนี้? มันช่างน่าปวดหัวจริงๆ เลย!
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง 'เฮ้อ... แล้วผมจะทำอย่างไรกับสามีสองคนนี้ดีล่ะเนี่ย!?'
นี่ก็ดึกป่านนี้แล้ว คิดว่าพวกเขาคงคุกเข่ากันจนเย็นลงบ้างล่ะมั้ง...
ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนดีอะไรนัก แต่ก็ใช่ว่าจะใจหิน ใจจริงก็แอบเป็นห่วงอยู่นิดหน่อยนะ... คุกเข่าทั้งคืน แถมยังไม่ได้กินอะไรอีกแน่ ๆ ดูสิ เดี๋ยวได้เป็นลมล้มตึงไปก่อนจะสำนึกผิดเสร็จพอดี
คราวนี้ผมจะยอมใจอ่อนให้ก่อนก็แล้วกัน ถือซะว่าเห็นแก่ความหวังดีที่เกือบจะฆ่ากันตายไปเมื่อเย็นนี้แหละ
แม้ในใจจะยังบ่นเบา ๆ ว่าอยากจะปล่อยให้นั่งยาวจนเช้าให้เข่าเคล็ดเล่น ๆ ก็เถอะ
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก กำมือแน่นเตรียมใจ แล้วค่อยๆ ย่องออกจากหลังเสาที่แอบหลบอยู่เนียนๆ มาพักใหญ่ ทำทีเหมือนเพิ่งออกมาสูดอากาศตอนกลางคืน
"พวกท่านใจเย็นลงบ้างหรือยัง?" ผมถามออกไปเสียงเรียบ พลางมองหน้าทั้งสองคนที่ยังคุกเข่าอยู่
แรนทีล สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้เป็นปกติ
"ข้ายอมรับ... ว่าข้าทำเกินไปจริงๆ" แม้คำพูดจะยอมรับ แต่สีหน้าเขาก็ยังฉายแววไม่พอใจ โดยเฉพาะตอนที่หางตาเหลือบมองไคเรน
ผมมองพวกเขาทั้งคู่พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ” แล้วก็หมุนตัวกลับโดยไม่รอฟังคำขอบคุณหรือข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น
...แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ใจอ่อนให้เพราะเห็นว่าเป็นห่วงผมจริง ๆ ก็เท่านั้นแหละ
ทั้งสองเดินตามหลังผมมาเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ บรรยากาศรอบตัวเงียบจนน่าอึดอัดพอถึงสุดโถง ผมเลี้ยวเข้าห้องอาหารของคฤหาสน์ แม้จะไม่หรูหราเท่าวังหลวง แต่ก็อบอุ่นและดูมีชีวิตชีวากว่ากันมาก
อย่างน้อยก็มีกลิ่นข้าวสุกโชยมาบ้าง ไม่ใช่แค่กลิ่นน้ำหอมกับการเมือง
อาหารง่ายๆ สองสามอย่างที่ผมสั่งไว้ก่อนหน้านี้ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะแล้ว พอให้พวกเขาได้อิ่มท้องก่อนเข้านอน
"พวกท่านคงจะหิวแล้ว กินสักหน่อยสิ" ผมพูด พลางนั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ แล้วผายมือเชิญให้ทั้งสองนั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน
แรนทีลและไคเรนนั่งลงตามคำสั่ง แต่กลับไม่มีใครยอมเงยหน้ามองหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารตึงเครียดยิ่งกว่าตอนอยู่โถงทางเดินเสียอีก
ความอดทนของผมก็หมดลงตรงนั้นแหละ! ผมฟาดมือลงบนโต๊ะเสียงดัง ปัง! จนจานชามสั่นสะเทือนไปหมด และตอนนั้นผมก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว
"ข้าสั่งให้พวกท่านเงยหน้าขึ้นมองกัน!" ผมตวาดเสียงกร้าว ดวงตาจ้องเขม็งไปที่พวกเขาอย่างดุดัน
ทั้งไคเรนและแรนทีลสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขึ้นมามองผมทันที ก่อนจะหันไปสบตากันเองอย่างเสียไม่ได้ แม้ในแววตานั้นจะยังคงมีความไม่พอใจต่อกันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ยอมทำตามคำสั่งของผม
"ข้ารู้ว่าพวกท่านต่างก็เป็นห่วงข้า" ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย "แต่การที่พวกท่านทะเลาะกันเพราะข้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าปรารถนาจะเห็นเลยแม้แต่น้อย"
ผมกวาดตามองพวกเขาสลับกันไปมา "ถ้าจะหาว่าใครผิด มันก็คงเป็นตัวข้าเอง ที่ไม่ฟังคำเตือนของพวกท่าน" ผมรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง เพื่อให้พวกเขารู้ว่าผมเข้าใจสถานการณ์ดี
"ดังนั้นแล้ว" ผมเน้นเสียงให้หนักแน่นขึ้น "พวกท่านต้องสะสางเรื่องค้างคาใจกันเดี๋ยวนี้ ตอนนี้! อย่าให้ข้าเห็นอีกว่าพวกท่านทั้งสองมีเรื่องไม่พอใจกัน และใช้กำลังเหมือนเช่นในวันนี้"
สิ้นคำสั่งของผม ความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ใช่ความเงียบที่ตึงเครียดนัก แรนทีลเป็นฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อน เขามองไปที่ไคเรนด้วยสายตาที่อ่อนลงกว่าเดิมมาก
"ไคเรน... ข้าขอโทษ" แรนทีลเอ่ยเสียงเบา "ข้า... ข้าโมโหจนขาดสติไปจริงๆ ท่านรับปากว่าจะดูแลฝ่าบาทให้ดีที่สุด แต่ข้ากลับได้ยินเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น... ข้าทนไม่ได้จริงๆ ที่จะเห็นรัชทายาทต้องเจอกับเรื่องแบบนั้น"
ไคเรนเงยหน้าขึ้นมาสบตาแรนทีล รอยแดงบนแก้มยังคงอยู่ แต่แววตาของเขากลับปราศจากความโกรธแค้น
"ข้าเข้าใจ... ท่านเป็นห่วงฝ่าบาท" เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "ข้า... ข้ายอมรับผิดทุกอย่างเอง ที่ดูแลฝ่าบาทไม่ดีพอ ปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น... ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้"
ผมมองการสนทนาของพวกเขาเงียบ ๆ …ในใจก็อดจะพึมพำไม่ได้ว่า ‘เฮ้ย!…ในที่สุดก็คุยกันได้แล้วสินะ! พ่อบ้านสายเกรงใจเมียทั้งคู่เลยนี่หว่า!’
"เรื่องของข้าก็มีส่วนผิด" แรนทีลพูดต่อ "ข้าไม่ควรใช้กำลัง สิ่งที่ท่านทำไปก็คงมีเหตุผลของท่าน ข้าควรจะสอบถามก่อน"
"ไม่หรอก..." ไคเรนส่ายหน้าช้าๆ "ข้าตัดสินใจผิดพลาดไปจริงๆ ที่ปล่อยให้ฝ่าบาทเผชิญหน้ากับอันตราย"
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงทีละน้อย ความเข้าใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา แม้จะยังไม่กลับมาเหมือนเดิมทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าตอนที่พวกเขาเกือบจะวางมวยกันกลางโถงทางเดินเป็นไหน ๆ ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
"เอาล่ะ ในเมื่อเข้าใจกันแล้ว ก็กินข้าวกันเถอะ แล้วคืนนี้ก็นอนกับข้า"
ทันทีที่สิ้นคำพูดของผม ทั้งไคเรนและแรนทีลก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมพร้อมกัน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ พวกเขาหันไปมองหน้ากันเองโดยไม่ต้องให้ผมออกคำสั่งเลยด้วยซ้ำ 'สงสัยคิดว่าตัวเองหูฝาดไปแล้วมั้ง!?'
ผมกลั้นยิ้มพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ 'แหม... หน้าตาแบบนี้หาดูยากนะเนี่ย!'
“เตียงก็ตั้งกว้าง จะให้นอนคนเดียวมันก็กระไรอยู่ ไหน ๆ พวกท่านก็เป็นสวามีของข้าแล้ว นอนด้วยกันซะเลย จะเป็นไรไป?” ผมยิ้มกวนๆ ให้พวกเขาเล็กน้อย
และก็...นั่นแหละ พอรู้ตัวอีกที เตียงกว้าง ๆ ของผมก็มีคนจองเต็มสองฝั่งแล้ว
ผมอยู่ตรงกลางบนเตียงขนาดใหญ่กว่าปกติ ที่กว้างขวางพอจะรองรับเราสามคนได้อย่างสบายๆ โดยมีไคเรนนอนอยู่ทางขวา แขนของเขาวางพาดอยู่บนหมอนข้างตัวผมอย่างระมัดระวัง ไม่ได้แตะต้อง แต่ก็ไม่ห่างไปไหน ส่วนทางซ้ายมือคือแรนทีล ที่นอนหันหน้าเข้าหาผม แขนของเขาก็พาดอยู่บนหมอนข้างเช่นกัน
บรรยากาศในห้องนอนเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเราสามคนเท่านั้น แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ทำให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ภายในห้อง ผมหันมองซ้ายทีขวาที สลับไปมาระหว่างใบหน้าหล่อเหลาของ 'สามี' ทั้งสองที่ตอนนี้หลับตาพริ้ม
'ให้ตายเถอะ... ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มานอนคั่นกลางระหว่างผู้ชายสองคนที่หล่อยังกับเทพบุตรขนาดนี้!'
ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา ทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด…แบบที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลยจริง ๆ
'นี่มัน... เหมือนจะดีขึ้นแล้วใช่ไหมนะ?'
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงเช้าวันใหม่ ผมขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะปรือตาขึ้นมองไปรอบๆ เมื่อวานเกิดเหตุการณ์ขึ้นหลายอย่าง มีทั้งเรื่องดีที่ได้ไปเดินตลาดสนุกๆ และเรื่องไม่ดีอย่างตอนที่แรนทีลกับไคเรนเกือบจะวางมวยกันเอง
แต่การที่ผมได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของสวามีทั้งสองในตอนเช้า ก็ทำให้รู้ว่าเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้วจริง ๆ
ผมกวาดตามองใบหน้าของทั้งคู่ที่หลับใหลอย่างสงบ ใบหน้าเวลาที่พวกเขาหลับดูไร้เดียงสาเสียจริง... เหมือนเด็กน้อยตัวโต ๆ ที่พอตื่นขึ้นมาก็มักจะอ้อนให้เอาใจ
พอถึงเวลามื้ออาหารเช้า แรนทีลเป็นคนเดินเข้ามาก่อน ตามมาด้วยไคเรน ตอนนี้อารมณ์ของพวกเขาคงกลับเข้าสู่สภาวะปกติกันแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงดูผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะยังมีความเกร็งเล็กน้อยก็ตาม
"ข้าคิดว่า คงถึงเวลาที่ท่านต้องกลับเข้าวังแล้ว" ไคเรนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ 'ถึงเวลาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงแล้วสินะ'
"แล้วจะเอายังไงกับเจ้าลูซคนนั้น" คราวนี้แรนทีลเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง เขามองไคเรน เหมือนจะคุยกันผ่านสายตาที่ส่งผ่านถึงกันอย่างเงียบเชียบ
"ข้ายังอยากได้ข้อมูลบางอย่างจากเขา" ผมพูดขึ้นอย่างไม่ปิดบังความคิดของตัวเอง
"ฝ่าบาทควรอยู่ห่าง ๆ เขาจะดีกว่านะ" แรนทีลเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ข้ารู้" ผมตอบ "ข้าคิดว่าลูซมีความเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจบางอย่างในตอนนี้ การที่เขาอยากได้ตัวข้า ก็อาจจะเพราะมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง หากข้าตกอยู่ในมือของลูซ... อะไร ๆ ก็จะง่ายขึ้นสำหรับพวกเขา"
"แต่ตอนนี้ ทุกคนคงรู้แล้วว่าฝ่าบาท ไม่โปรดปรานลูซ" ไคเรนให้ข้อสังเกต
"ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะแสดงละครต่อไปอีกหน่อยนะ" ผมพูดไปยิ้มๆ พลางเหลือบมองไคเรน "แต่ดันมีใครบางคนแถวนี้เชื่อซะสนิทใจเลยเนี่ยสิ"
ไคเรนรีบก้มหน้าหลบตาผมทันที เหมือนจะรู้ตัวว่าผมกำลังหมายถึงใครอยู่ 'แหม... ไหวตัวทันเชียวนะพ่อคุณ!'
"เอาเป็นว่า" ผมพูดต่ออย่างจริงจังขึ้น "ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ควรจริงจังกับเรื่องของเขาให้มากกว่านี้ พวกท่านจะร่วมมือกับข้าไหม?" ผมมองสลับไปมาระหว่างพวกเขา รอคำตอบ
"แน่นอน ฝ่าบาท" แรนทีลตอบรับทันที น้ำเสียงหนักแน่น
"ด้วยความยินดี" ไคเรนเสริม พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
ผมกลับเข้าวังมาพร้อมกับไคเรนและแรนทีล ที่ตามหลังผมเป็นเงา ไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว พอมาถึงห้องโถงรับรองก็พบว่าเฟลด์กับเอลเซียนมารอพบตั้งแต่เช้าแล้ว ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ฝ่าบาท! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" เอลเซียนรีบปรี่เข้ามากอดผมแน่นทันทีที่ผมมาถึง น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เฟลด์เองแม้จะยืนอยู่ห่างๆ แต่ก็มองผมไม่วางตา เหมือนอยากจะแสดงความห่วงใยใจจะขาดแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี
"ข้า...สบายดี ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ" ผมตอบพยายามให้เสียงตัวเองมั่นคงที่สุด
"พวกท่านมาพร้อมหน้ากันก็ดี" ไคเรนเปิดประเด็นขึ้นมา พลางกวาดตามองทุกคน "พวกเราไปหาที่คุยกันเถอะ"
เราทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังห้องประชุมของสภาเวท ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งถูกปกป้องด้วยอาคมและมนตราโบราณที่แม้แต่เสียงลมหายใจก็ไม่มีวันเล็ดลอดออกไปสู่ภายนอก ที่นี่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเรื่องที่กำลังจะพูดกัน
ทันทีที่ประตูปิดลง ไคเรนก็หันไปหาเฟลด์
“เรื่องที่ให้จัดการ ไปถึงไหนแล้ว?” เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฟลด์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้ใคร
"เป็นไปตามที่ท่านคาดการณ์ไว้เลยขอรับ" เขารายงานตรง ๆ "ดูเหมือนอีกไม่นาน... องค์ชายซาร์เอล พระอนุชาต่างมารดาของฝ่าบาท จะถูกเรียกตัวกลับเข้าวัง"
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ซาร์เอล งั้นเหรอ...
"มติของสภาเริ่มโอนเอียงไปทางนั้นแล้วใช่ไหม?" ไคเรนถามต่อ เสียงของเขานิ่งและเยือกเย็นราวน้ำแข็ง
เฟลด์พยักหน้าอย่างช้า ๆ "ใช่ขอรับ เสียงส่วนใหญ่เริ่มเห็นชอบกับการให้องค์ชายซาร์เอลกลับมา เพราะสถานการณ์ของฝ่าบาทในตอนนี้...ทำให้พวกเขาเริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพของราชบัลลังก์"
คำพูดของเฟลด์ทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที 'ซาร์เอล' คืออีกหนึ่งผู้มีสายเลือดราชวงศ์ การที่เขากำลังจะกลับมา กำลังจะถูกผลักดันกลับเข้าวัง เขาเป็นผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ไม่ต่างจากผม และที่สำคัญ...เขาเป็นคนที่สภาเริ่มให้ความหวัง
ผมกวาดตามองพวกเขาแต่ละคนช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่ชัดเจน
“ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นห่วง ข้าเองก็ไม่อยากจะยอมแพ้... แต่ข้าขอพูดไว้ให้ชัด ลูซไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าอีกต่อไปแล้ว และข้าก็ไม่ได้มีใจให้เขา เผื่อจะมีใครในนี้เข้าใจผิดอีก"
น้ำเสียงผมอาจดูนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง ไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความเด็ดขาด
ไคเรนเงยหน้าขึ้นสบตาผม สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาที่มองมานั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย...เหมือนกำแพงบางอย่างในใจเขาเพิ่งถูกดึงออกทีละแผ่น
แรนทีลเองก็ถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ฟังดูเหมือนเพิ่งยอมรับอะไรบางอย่าง
“ถ้าเช่นนั้น... ข้าจะไม่เอ่ยถึงลูซอีก แต่หากเขากล้าเข้ามาใกล้ท่านอีกครั้ง ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน”
ผมพยักหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงรับรู้
“ข้าไม่หวังให้พวกท่านนิ่งเฉยหรอกนะ แต่ข้าหวังว่าพวกท่านจะฟังข้าด้วย...”
“พวกข้าจะเชื่อฟังท่าน” ไคเรนเอ่ยขึ้นบ้าง น้ำเสียงมั่นคงโดยไม่ต้องเน้นย้ำซ้ำสอง
บรรยากาศในห้องค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แม้ยังมีความเคร่งเครียดจากเรื่องของซาร์เอลแขวนอยู่เหนือศีรษะ แต่ความไว้ใจระหว่างเรากลับค่อย ๆ กระชับแน่นขึ้น
เฟลด์กระแอมเบา ๆ ก่อนจะหยิบแผ่นเอกสารบาง ๆ ขึ้นมายื่นให้ไคเรน “อีกเรื่องหนึ่งขอรับ เราพบการเคลื่อนไหวของสายลับบางคนที่เชื่อมโยงกับองค์ชายซาร์เอล...แทรกซึมอยู่ในเขตเมืองหลวงหลายจุด”
ไคเรนรับไปพลางพินิจสีหน้าของเฟลด์ “ท่านคิดว่าพวกเขาเริ่มวางรากไว้แล้ว?”
เฟลด์พยักหน้า "ไม่ใช่แค่คิด แต่มั่นใจขอรับ"
Talk with me
การเมืองกำลังเข้มข้นเลย
ฝากติดตามต่อด้วยน้าาา
สนุกมากครับ อะอะ 4 รุม 1 ปรึกษาหารือกัน 🤭
สนุกครับรอตามต่อ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]