เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.8
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-17 20:09ตอนที่ 8กำแพงที่พังทลาย
รถม้าควบผ่านประตูวังในยามเย็น เสียงล้อที่กระทบหินกรวดดังแผ่วอยู่ใต้ฟากฟ้าสีครามหม่น ความเหนื่อยล้าเริ่มเกาะกุมจนเซย์เรนเผลอเอนกายหลับไปในอ้อมแขนของเอลเซียน เสียงลมหายใจแผ่วเบา กับร่างที่ซุกเข้าหาอย่างไว้วางใจ ทำให้เอลเซียนกระชับเสื้อคลุมที่ห่มร่างบางเอาไว้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ชุดใหม่ที่สวมดูบางเกินไปสำหรับอากาศเย็นจัดของค่ำคืน แม้จะมีเสื้อคลุมชั้นนอกห่อหุ้ม ร่างในอ้อมแขนก็ยังคงดูบอบบางเสียจนเอลเซียนรู้สึกใจหาย
เมื่อรถม้าหยุดลงที่หน้าตำหนักส่วนพระองค์ของรัชทายาท เอลเซียนอุ้มเซย์เรนลงมาอย่างเบามือ ฝ่าแสงตะวันสุดท้ายของวันผ่านเหล่าทหารยามโดยไม่สนสายตาใคร ดวงตาสีม่วงยังฉายแววเคร่งเครียดตลอดทาง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าการขยับเพียงเล็กน้อยจะปลุกคนในอ้อมแขนให้ตื่นขึ้นมา
ร่างเล็กถูกวางลงบนเตียงในห้องบรรทมหลักอย่างแผ่วเบา เอลเซียนห่มผ้าให้อีกชั้นก่อนจะหันไปกำชับเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ให้ดูแลรัชทายาทอย่างใกล้ชิดที่สุด
ไม่ทันขาดคำ เงาของไคเรน แรนทีล และเฟลด์ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ทั้งสามรู้เรื่องการลอบทำร้ายอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาเดินตรงเข้ามายังเตียงเพื่อดูให้แน่ใจว่าคนสำคัญของพวกเขาไม่ได้รับอันตรายร้ายแรง
“ท่านน่าจะดูแลรัชทายาทให้ดีกว่านี้”
แรนทีลเป็นคนแรกที่เอ่ยปากตำหนิเอลเซียนด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน เขาไม่รอให้ใครตอบโต้ ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ใช้มือเรียวลูบเรือนผมสีดำสลวยเบา ๆ ราวกับเป็นการปลอบโยน ความอ่อนโยนในท่าทางตัดกับคำพูดแข็งกร้าวเมื่อครู่ลิบลับ
เอลเซียนเงียบ เขายืนนิ่งอยู่ปลายเตียง ดวงตาจับจ้องใบหน้าที่หลับใหลไม่รู้เรื่องตรงหน้า
“ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงต่ำ คล้ายโทษตัวเอง
ไคเรนที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ไม่ไกล ดวงตาคมกริบฉายแววครุ่นคิดบางอย่างจับจ้องเซย์เรนนิ่งๆ มาพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะหันไปทางเฟลด์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
"สืบได้หรือยัง ว่าเป็นฝีมือใคร" น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แฝงด้วยความกดดันที่ทำให้บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นไปอีก
“ยังไม่แน่ชัด แต่หน่วยของข้ากำลังไล่ตามร่องรอยอยู่” เฟลด์ตอบด้วยเสียงราบเรียบ แม้สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่แววตากลับฉายแววกังวลชัดเจน
"ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก" เอลเซียนกล่าวเสียงอ่อน พลังอำนาจและออร่าของแม่ทัพผู้เกรียงไกรจางหายไปชั่วขณะ แทนที่ด้วยความรู้สึกผิด
“ตอนนี้ในวังมีบางอย่างเคลื่อนไหวผิดปกติ” ไคเรนเอ่ยเสริม “ข้าคิดว่ามันยังไม่จบ และถ้าเราประมาท คนของเราอาจตกอยู่ในอันตรายได้อีก”
"เข้าใจแล้ว" เสียงตอบรับพร้อมกันดังขึ้นเบาๆ
เอลเซียน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาที่เคยมุ่งมั่นในศึกสงคราม บัดนี้กลับอ่อนลงเมื่อมองไปยังร่างที่หลับใหลบนเตียง
“…ข้าไม่เข้าใจ ทำไมองค์ชายถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้” เขาพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงนั้นก็ดังพอให้ทุกคนได้ยิน
แรนทีลเงยหน้าขึ้น ละสายตาจากเซย์เรน รอยยิ้มบางคลี่บนริมฝีปาก
“ท่านก็สังเกตเห็นเหมือนกันหรือ”
"องค์ชายเซย์เรนคนเดิมนั้น...ไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเราด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับยอมให้เราเข้าใกล้มากกว่าทุกที"
แววตาของแรนทีลมีประกายความหวังและความกังวลปะปนกัน เขาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เซย์เรนเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ แต่ก็รู้สึกถึงโอกาสใหม่ที่มาถึง
“มันเหลือเชื่อจริง ๆ” ไคเรนเอ่ย “เมื่อก่อนแค่เดินผ่านก็ได้ยินถ้อยคำแหลมคม หรือท่าทีรังเกียจ แต่ตอนนี้…”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาติดจะเคร่งขรึมดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
"พระองค์ยอมให้พวกเราได้อยู่ข้างกาย… และแม้กระทั่งวันนี้ ยังปล่อยให้ท่านแม่ทัพแตะต้องตัวได้ โดยไม่แสดงท่าทีต่อต้านหรือไม่พอใจ"
เฟลด์ ซึ่งปกติจะเก็บงำความรู้สึกได้ดีที่สุด พยักหน้าเล็กน้อย "ท่าทีขององค์ชายเปลี่ยนไปมากจนน่าประหลาดใจ แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกดี…อย่างบอกไม่ถูก"
แววตาที่เคยแข็งกร้าวอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด
"ใช่" เอลเซียนกล่าวเสียงเบา "แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเซย์เรนคนก่อน หรือสิ่งใดที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้... แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้... เหมาะสมแล้วกับความจงรักภักดี และความรักที่พวกเราจะมอบให้"
แรนทีลหัวเราะแห้ง ๆ “แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร...เขาก็คือเซย์เรนของเรา”
"ข้าก็คิดเช่นนั้น" แรนทีลพยักหน้าช้าๆ สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น "ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับรัชทายาทอีกเด็ดขาด" เขายังคงจดจำความเจ็บปวดจากอดีตที่เขาต้องการจะแก้ไขได้ แต่รายละเอียดของอนาคตนั้นเลือนรางเกินกว่าจะอ้างอิงได้อย่างชัดเจน
“เราทุกคนมีหน้าที่ปกป้องเขา” ไคเรนกล่าวเสียงต่ำ "ไม่ว่าฝ่ายไหนจะอยู่เบื้องหลัง หรือใครก็ตามที่คิดจะทำร้ายองค์รัชทายาท" ไคเรนเสริม "พวกเราจะไม่มีวันยอมให้เป็นแบบนั้นอีก"
เอลเซียนพยักหน้ารับ “ข้าจะเพิ่มเวรยามรอบตำหนัก และเปลี่ยนเส้นทางเข้าออกทั้งหมด”
“ข้าจะจัดหน่วยเงาของข้าให้อยู่ใกล้พระองค์ทุกฝีก้าว” เฟลด์ว่าตามทันที
“ข้าจะหารือกับราชินีอีกครั้ง” ไคเรนเอ่ย “บางอย่างผิดปกติ…เกินกว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ”
แรนทีลค่อย ๆ ห่มผ้าให้เซย์เรนอีกชั้น ก่อนเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ
“พวกท่านว่า... ฝ่าบาทจะทรงรู้บ้างไหม ว่าพวกเรา...รักพระองค์มากเพียงใด?”
ไม่มีคำตอบใดเอื้อนเอ่ย มีเพียงความเงียบที่แผ่คลุมทั้งห้อง และสายตาทุกคู่ที่สอดประสานกันอย่างเงียบงัน
คำตอบอาจไม่จำเป็น...เพราะความรู้สึกนั้นชัดเจนพอแล้วในแววตา
ทั้งสี่คนมองไปยังร่างที่หลับใหลด้วยสายตาเดียวกัน สายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ความภักดี และความรู้สึกบางอย่างซึ่งกำลังก่อตัวขึ้น…โดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
...ความรู้สึกที่พวกเขาพร้อมจะทุ่มเททุกสิ่ง เพื่อปกป้อง 'องค์ชายเซย์เรน' คนใหม่นี้
...
ผมลืมตาขึ้นบนเตียงนอนในตำหนัก ไม่แน่ใจนักว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ความทรงจำเลือนรางที่พอจะนึกออกได้ ก็คล้ายภาพฝันเสียมากกว่าความจริง
ในความพร่าเลือนนั้น ผมจำได้ลาง ๆ ว่าไม่ใช่แค่เอลเซียนที่อยู่ในห้อง…ผมเหมือนจะได้ยินเสียงของแรนทีล ไคเรน และเฟลด์ด้วย แต่พวกเขาจะมาทำไมกัน? หรือทุกอย่างที่ผมคิด…มันเป็นเพียงความฝัน
ผมขยับตัวอย่างช้า ๆ เพื่อจะยันตัวลุกขึ้น ทว่าแขนอีกข้างกลับถูกกุมไว้แน่นโดยมือหนึ่ง มือที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยแรงกดเบา ๆ อย่างกลัวว่าจะทำให้ผมเจ็บ ผมก้มลงมอง ก่อนจะพบเส้นผมสีเงินยาวที่ฟุบอยู่ข้างหมอน ใบหน้าของแรนทีลกำลังหลับสนิท เงาของความเหนื่อยล้าปรากฏชัดที่ใต้ตาและรอยคล้ำเล็กน้อยบนเปลือกตา
เขากุมมือผมไว้แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
"แรนทีล..." ผมเรียกเสียงเบา พอให้เขารู้ตัว
แรนทีลขยับนิดหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา สบตากับผมด้วยแววตาที่ฉายความตกใจปนโล่งใจอย่างชัดเจน
"ฝ่าบาทตื่นแล้ว..." เขาว่าเบา ๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ใบหน้างัวเงียไปเล็กน้อย แต่แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนผมสัมผัสได้
"ท่านมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?" ผมถาม
แรนทีลยังไม่ปล่อยมือผม เขาเพียงเปลี่ยนมาลูบหลังมือผมเบา ๆ คล้ายจะปลอบหรือยืนยันว่าผมยังปลอดภัย
"ตั้งแต่เมื่อคืน ฝ่าบาทสลบไปตอนที่กลับถึงตำหนัก ข้ากลัวว่าจะมีอะไรผิดปกติเลยเฝ้าอยู่ที่นี่...ตลอดคืน"
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วลง
“ข้าได้ร่ายเวทฟื้นฟูให้ตั้งแต่เมื่อคืน...อาการน่าจะดีขึ้นแล้ว” เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ “เจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่?”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
ไม่เจ็บตรงไหนเลย…แต่แปลกดีที่หัวใจกลับรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
“จิบน้ำหน่อย จะได้สดชื่นขึ้น”
ผมรับแก้วจากมือเขา จิบช้า ๆ ความเย็นของน้ำไหลผ่านลำคอช้า ๆ เหมือนละลายความพร่าเลือนในหัวให้ใสขึ้นนิดหน่อย แรนทีลยังนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าสงบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความใส่ใจ
…อาจเพราะกังวลเรื่องที่เกิดขึ้น
“วันนี้พักผ่อนอยู่ที่ตำหนักเถิด” เขาว่า “เรื่องอื่นไม่ต้องกังวล พวกข้ากำลังจัดการอยู่ อีกเดี๋ยวข้าก็คงต้องกลับไปสะสางงานของตัวเองด้วย"
ผมพยักหน้าช้า ๆ “ขอบใจ...ที่อยู่เฝ้าทั้งคืน”
แรนทีลส่ายหน้ายิ้มน้อย ๆ “ข้าเต็มใจอยู่ตรงนี้เอง”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่างในใจ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเบากว่าเดิม ราวกับไม่อยากให้มันกลายเป็นคำสั่ง แต่ก็จำเป็นต้องพูด
“แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากให้ท่านรับปาก…ตอนนี้ แม้แต่ในวังเองก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนัก”
เขามองผมตรง ๆ ดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นแน่วนิ่ง เต็มไปด้วยความจริงจังที่ถูกขับเน้นด้วยความห่วงใย
“ท่านช่วยสัญญาได้ไหม...ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนเพียงลำพังอีก”
ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ได้ตอบในทันที แค่หันหน้าหลบสายตาของเขา แล้วถอนหายใจเบา ๆ ในใจนึกบ่นกับตัวเอง
…พวกเขาต้องจริงจังกันถึงขนาดนี้เลยหรือ?
แต่ถ้าให้คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ลูกธนูดอกนั้นคงจะหมายเอาชีวิตของผมเป็นแน่ มันก็ชัดเจนดีแล้วว่า...ผมคงไม่ควรประมาทอีกต่อไป แม้กระทั่งในวังแห่งนี้ ที่ผนังดูงดงาม ห้องโถงดูสงบ และผู้คนดูภักดี...แต่มันก็อันตรายไม่ต่างจากสนามรบ
...ที่เพียงแค่ก้าวพลาดครั้งเดียว ก็อาจไม่มีโอกาสก้าวอีกเป็นครั้งที่สอง
ผมพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย แรนทีลมองผมนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือเชยคางผมขึ้นเบา ๆ ปลายนิ้วเย็นเฉียบแต่สัมผัสนั้นกลับอ่อนโยนเกินคาด
“โปรดวางใจเถิด พวกข้าจะปกป้องท่านด้วยชีวิต”
เขาว่าแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้น จัดชายผ้าคลุมให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียง ไม่ได้ขยับไปไหน แค่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความคิด...หรือความว่างเปล่ากันแน่นะ?
คำพูดของไคเรนยังวนเวียนอยู่ในหัว ...ว่าการแย่งชิงอำนาจกำลังจะเริ่มขึ้น
น้องชายต่างแม่...เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ ทำไมถึงอยากขึ้นเป็นใหญ่ หรือเขาแค่ถูกผลักดันให้เป็น? แล้วถ้าผมยอมสละตำแหน่งให้เขา...เรื่องทั้งหมดจะจบลงไหม?
ไม่ได้สิ ถ้าทำแบบนั้น ราชินีต้องไม่พอใจแน่… เพราะสำหรับพระนาง ผมไม่ใช่แค่รัชทายาท แต่คือหมากตัวหนึ่ง ที่ต้องยืนหยัดอยู่บนกระดานให้นานที่สุด ไม่ใช่แค่เพื่อชัยชนะ แต่เพื่อรักษาฐานอำนาจให้มั่นคง อย่างที่พระนางต้องการ
เฮ้อ…
ผมซบหน้าลงกับมือ ถอนหายใจยาว โลกทั้งโลกกำลังหมุนเร็วขึ้น ในขณะที่ผมยังไม่ทันได้ก้าวตามมันเลยด้วยซ้ำ
ทำไมปัญหาทั้งหมดมันถึงได้ถาโถมเข้ามาพร้อมกันแบบนี้นะ…
ผมทิ้งตัวลงบนเตียง หลับตาลงแบบไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว พลิกตัวไปมาสองสามที แล้วก็หลับปุ๋ยไปเลย...
พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้ๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพตรงหน้าทำให้ผมต้องกะพริบตาซ้ำ เอลเซียน ในชุดขุนนางที่ไม่คุ้นตา แตกต่างจากชุดนักรบที่เขาใส่อยู่เป็นประจำ ชุดผ้าเนื้อดีตัดเย็บอย่างประณีตขับให้เขายิ่งดูสง่างามและเรียบหรูสมกับชนชั้นสูง ราวกับนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เอลเซียนที่เห็นผมลืมตาตื่น ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมคายฉายแววโล่งอกเล็กน้อย
"ฝ่าบาทตื่นแล้วหรือ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?" น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาฟังดูอ่อนโยนกว่าที่ผมเคยได้ยินมาเสียอีก
ผมพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงสลัวในห้อง มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าแสงสุดท้ายของดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า นี่ผมหลับไปจนถึงเย็นเลยเหรอเนี่ย? คงเพราะร่างกายที่เหนื่อยล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมยังต้องมาเจอเรื่องไม่คาดฝันอีก
"อ่า... ข้าสบายดี" ผมตอบไปตามมารยาท พร้อมกับดันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เอลเซียนก็เข้ามาประคองอย่างเบามือ มือเขาใหญ่และอบอุ่นกว่าที่คิดนะ... แอบเดาว่าเขาก็คงแปลกใจไม่น้อย ที่เจ้าชายเซย์เรนคนเดิมที่เมื่อก่อนไม่เคยมองหน้าหมอนี่ด้วยซ้ำ อยู่ดีๆ ก็มาหลับซบไหล่เขาเอาดื้อๆ
สารภาพเลยว่าตอนอยู่ที่น้ำตก ผมก็แอบเขินอยู่เหมือนกันที่จู่โจมเขาไปแบบนั้น แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง คนอย่างเอลเซียนคงไม่มีวันเข้าใจความหมายที่ผมอยากส่งให้ คนที่ไม่เคยมีพื้นที่สำหรับความรัก ไม่เคยได้เรียนรู้วิธีอ่านใจใคร ก็มีแต่ต้องให้เขารับรู้ผ่านการกระทำ
ผมไม่ได้รังเกียจ ไม่เคยเลยสักนิด
ตรงกันข้าม... ผมอยากจะสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเขา แม้ว่ามันจะดูเร็วจนน่าตกใจ แต่ผมก็รู้ว่านี่คือความปรารถนาลึกๆ ของตัวเอง ที่อยากจะหลุดพ้นจากวังวนเดิมๆ และเริ่มชีวิตใหม่กับคนที่ควรค่า
"แรนทีลเล่าให้ข้าฟังแล้ว เรื่องที่ในวังไม่ปลอดภัย" ผมบอกออกไป เพราะคิดว่าเอลเซียนก็คงโดนตำหนิมาไม่น้อย "ข้าบอกแล้วไง ว่าไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นข้าเองที่ไปไหนคนเดียวโดยไม่บอกใคร"
เอลเซียนเม้มปากแน่น สีหน้าเจือความรู้สึกผิดชัดเจน “แทนที่ข้าจะดูแลท่านให้ดีกว่านี้…”
ผมหัวเราะเบา ๆ ท่าทางแบบนั้นช่างตรงข้ามกับรูปลักษณ์นักรบแข็งกร้าวของเขาอย่างสิ้นเชิง ราวกับหมาน้อยขี้กังวลดี ๆ นี่เอง
ผมเอื้อมมือแตะข้างแก้มเขาอย่างอ่อนโยน แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้จนดวงตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน
"ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าต่อจากนี้ไป... เจ้าต้องดูแลข้าไปทั้งชีวิต"
เอลเซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาสีม่วงเข้มที่สบกับผมดูจะไหววูบบางอย่างก่อนที่เขาจะหลบตาเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างสุภาพ
“ท่านอยากจะออกไปเดินเล่นหน่อยมั้ย” เขาถามด้วยน้ำเสียงต่ำและนุ่ม ผมเอี้ยวตัว บิดขี้เกียจเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนจะจมลงไปกับเตียงทำให้ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
“ก็ดี... ออกไปสักหน่อยคงสดชื่นขึ้น”
ยังพูดไม่ทันจบ เอลเซียนก็ขยับเข้ามาอุ้มผมขึ้นจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางนั้นแนบแน่นและมั่นคงจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะพาผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบ ๆ ด้วยท่าทีทะนุถนอมเกินกว่าหน้าที่ จากนั้นพาเดินทอดน่องไปยังสวนข้างตำหนักที่เงียบสงบในยามเย็น แสงแดดสุดท้ายของวันทอดผ่านเรือนยอดไม้ กิ่งก้านไหวตามลมอ่อน คล้ายจะกล่อมให้ใจสงบอย่างประหลาด
“เอลเซียน” ผมเอ่ยขึ้นพลางมองตรงไปยังเส้นทางที่โรยด้วยกรวดสีซีด “ได้ยินมาว่าท่านเก่งกาจในสนามรบ... แล้วเคยกลัวบ้างมั้ย ว่าจะพ่ายแพ้”
เขาเดินเคียงข้างโดยไม่หยุดฝีเท้า แต่เงียบไปเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ไม่แข็งกระด้าง
“ชัยชนะกับความพ่ายแพ้เป็นของคู่กัน ข้าไม่เคยกลัว... แต่หากเพื่อท่านแล้ว ข้ายิ่งกระหายชัยชนะ”
ผมหันไปมองเขา ดวงตาของเขายังมองไปข้างหน้า ไม่ได้พูดอย่างโอ้อวด หากแต่เต็มไปด้วยความจริงใจแบบที่สัมผัสได้
“เพื่อข้าอย่างนั้นหรือ…” ผมหยุดเดินเล็กน้อย สูดลมหายใจลึก “แล้วที่ผ่านมา เจ้าคิดบ้างมั้ย... หากข้าเป็นคนตาบอดที่มองไม่เห็นทุกอย่างที่เจ้าทุ่มเท เจ้าจะเสียใจมั้ย”
เอลเซียนหยุดเดิน เขาหันกลับมาหาผม ดวงตานิ่งสงบแต่ลึกซึ้งมากกว่าคำใดจะอธิบายได้ เสี้ยววินาทีนั้น บางสิ่งในแววตาของเขาเหมือนจะเจ็บปวด... แต่เขากลับยิ้มออกมา รอยยิ้มบาง ๆ ที่มีเพียงผมเท่านั้นที่เห็น
“หากท่านมองไม่เห็น... ข้าก็จะทำให้ท่าน ‘รู้สึก’ ได้แทน” เขาพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยคำสัญญาที่หนักแน่นเกินกว่าจะเป็นเพียงถ้อยคำลอยลม “เพราะข้าไม่เคยทำเพียงเพื่อให้ท่านเห็น... แต่เพราะข้าเลือกที่จะ ‘อยู่’ ข้างท่าน ต่อให้ท่านไม่รู้จักชื่อข้าด้วยซ้ำ ข้าก็ยังจะทำอยู่ดี”
พอได้ยินน้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากความรู้สึกของเขา ภาพในหัวก็ไหลย้อนกลับมาราวกับกระแสน้ำ คำพูดบาดหูที่เจ้าชายเซย์เรนคนก่อนเคยพ่นใส่แม่ทัพใหญ่แห่งวังหลวงยังคงสะท้อนชัดเจน
ในความทรงจำนั้น ผมเห็นภาพเอลเซียนยืนนิ่งดุจรูปปั้นหิน ใบหน้าคมคายที่ไร้อารมณ์ใดๆ ยามที่เจ้าชายเซย์เรนคนเดิมก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
'เจ้ามันก็แค่นักรบไร้สมอง! รู้จักแค่การใช้กำลัง ไม่มีความสามารถพอจะมาอยู่เคียงข้างข้าหรอก!' เสียงที่แหลมเล็กกว่าเสียงของผมในตอนนี้ ตวาดลั่นไปทั่วห้องโถงกว้าง
ผมเห็นภาพเอลเซียนที่ไม่ได้ตอบโต้แม้แต่น้อย เพียงแต่ก้มศีรษะลงรับคำตำหนิเหล่านั้นอย่างนอบน้อม ดวงตาที่เคยเปี่ยมด้วยประกายแห่งการรบ บัดนี้กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ราวกับจะปิดกั้นทุกสิ่งเอาไว้
ในอีกฉากหนึ่ง เจ้าชายเซย์เรนคนเดิมโบกมือไล่เอลเซียนอย่างไม่ใยดี เพียงเพราะไม่พอใจที่เอลเซียนพยายามทัดทานเรื่องบางอย่าง ผมจำได้ว่าคำพูดสุดท้ายที่เอ่ยออกไปนั้นช่างเจ็บปวดเสียจนคนฟังคงแทบอยากจะหายไปจากโลกนี้
'ไสหัวไปซะ! อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีกถ้าไม่จำเป็น!'
ภาพเหล่านั้นมันชัดเจนเสียจนผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเอง ผมไม่รู้ว่าเอลเซียนต้องทนกับคำพูดและความเย็นชาแบบนั้นมานานแค่ไหน มันมากพอที่จะสร้างบาดแผลลึกเกินกว่าจะเยียวยาหรือไม่
ผมดึงสติกลับคืนมา มองใบหน้าที่ตอนนี้ฉายแววงุนงงและมีความหวังเล็กๆ ของเอลเซียน เขายังคงจงรักภักดีกับร่างนี้อย่างไม่มีข้อกังขา ทั้งที่ผมเคยเป็นคนเลวร้ายในความทรงจำเหล่านั้น
"ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาเจ้าเจออะไรมาบ้าง..." ผมเริ่มพูด เสียงของตัวเองฟังดูนุ่มนวลกว่าที่คิด "แต่ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว ข้าสัญญา"
หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เดินตรงไปยังศาลานั่งพักที่อยู่ไม่ไกล ปกติแล้วเจ้าของร่างเดิมมักใช้ที่แห่งนี้เป็นจุดนัดพบกับลูซ ตัวร้ายในบทที่ผมต้องเจอ... ผมถอนหายใจเล็กน้อย ในตอนนี้ ถ้าจะกำจัดออกไปคงเป็นเรื่องยาก ความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมกับลูซดูเหมือนจะยุ่งเหยิงเกินกว่าที่จะแก้ได้ง่ายๆ
จะทำยังไงดีนะ... ยังไงก็ต้องหาทางเอาผิดเจ้าหมอนี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นอนาคตที่ควรสดใสของผมมีหวังพังยับแน่ ผมเงียบไปราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แต่ไม่นาน เสียงฝีเท้าเร่งรีบของทหารองค์รักษ์ก็ดังเข้ามาใกล้ พร้อมเงาร่างที่รู้จักดีเกินไป
“เซย์เรน! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง! ข้าได้ยินว่าท่านบาดเจ็บหนัก!” เสียงร้อนรนดังขึ้นจากชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัว เขารีบตรงเข้ามาเหมือนจะคว้าตัวผมไว้ในทันที ผมสะดุ้งถอยหนีโดยไม่รู้ตัว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้น เอลเซียนก็ขยับมาบังไว้ก่อน
"ข้าไม่เป็นไร..." ผมตอบออกไปพลางหลบอยู่ด้านหลังแม่ทัพผู้ที่เพิ่งให้คำมั่นว่าจะปกป้องผม
ลูซชะงัก แล้วหรี่ตามองเอลเซียน “แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขวางข้า— ข้าเป็น...” เขาเหมือนจะหลุดพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมรีบตัดบททันที
“กลับไปเถอะ ข้าอยากอยู่เงียบ ๆ”
คำพูดนั้นเหมือนตบหน้าอีกฝ่ายอย่างจัง ลูซเม้มปาก สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ทันจะเถียง เอลเซียนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
"ไม่ได้ยินหรือ?!"
คราวนี้เอลเซียนพูดเสียงแข็ง ทำให้ลูซต้องเก็บอาการ ไม่กล้าโต้แย้งใด ๆ อีก เขาได้แต่ก้มหัวทำความเคารพอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปอย่างหัวเสีย
"เขากวนใจข้าชะมัดเลย" ผมบ่นออกมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินลับสายตาไปแล้วจริงๆ
"ก่อนหน้านี้ที่งานอภิเษก ท่านก็ดูจะไม่โปรดปรานเขาเหมือนแต่ก่อน เกิดอะไรขึ้นหรือ" เอลเซียนถามผมแบบตรงไปตรงมา ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความสงสัย
“ก็แค่...เขาดูเจ้าเล่ห์ออกจะตาย จะให้ชอบได้ยังไง” ผมตอบอย่างไม่แยแสในความสัมพันธ์เก่าของเจ้าชายเซย์เรนคนเดิม "พูดตรง ๆ ข้าอยากจะไล่เขาให้พ้น ๆ เสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่เขายังมีประโยชน์อยู่บ้าง ดังนั้น... เก็บไว้ใกล้ตัวน่ะดีแล้ว"
เอลเซียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ท่าทีของผมในตอนนี้คงแตกต่างจากเจ้าชายเซย์เรนคนก่อนที่เคยหลงลูซจนโงหัวไม่ขึ้นมากนัก เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแต่พยักหน้ารับคำอย่างเข้าใจ
"อีกอย่าง" ผมพูดเสริมพลางเอนตัวพิงเสาศาลา มองไปยังดวงจันทร์ที่เริ่มลอยเด่นขึ้นเหนือยอดไม้ "ข้ามีสวามีอยู่แล้วตั้งสี่คน แถมแต่ละคนต่างก็ดีกับข้า แบบนี้แล้วข้าจะไปใส่ใจคนอย่างลูซอีกทำไมกัน?"
เอลเซียนจ้องมองผมด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก แต่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในดวงตาสีม่วงคู่นั้น ความประหลาดใจค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและ...ความหวัง
บรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายลงทันทีเมื่อผมพูดจบ เหมือนกับว่ากำแพงที่เคยมีอยู่ระหว่างเรากำลังเลือนหายไป ผมเห็นรอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนริมฝีปากของเอลเซียน ซึ่งดูอ่อนโยนจนผมแทบไม่เชื่อสายตา ว่านี่คือแม่ทัพคนเดียวกับที่เพิ่งไล่ลูซไปเมื่อครู่หรือเปล่า?
...หากคำพูดของผมเมื่อครู่จะทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นได้แม้เพียงนิด ผมก็อยากให้มันไปถึงหัวใจของเขาอย่างแท้จริง และไปถึงหัวใจของอีกสามคนด้วยเช่นกัน
อย่างน้อยที่สุด ผมก็อยากให้พวกเขารู้ ว่าเจ้าชายเซย์เรนคนนี้ ให้ค่ากับพวกเขามากแค่ไหน ไม่ใช่แค่เพราะสถานะหรืออำนาจ แต่เพราะพวกเขาคือคนที่พร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างผมในโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้
Talk with me.
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยน้าา
สามีแต่ละคนหลงไม่ไหว...
ขอบคุณขอรับ ดี สนุกมากครับ ว้าว เซย์เรน หวานมากเลย
สวามีทั้งสี่จะหลงแค่ไหนเนี่ย
ขอบคุณนะครับ ขอบคุนครับ สนุกมากครับ
หน้า:
[1]