เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.4
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-13 12:55ตอนที่ 4
ความเกลียดชังของราชวงศ์
เช้านี้…อากาศชวนให้ขี้เกียจอย่างประหลาด ผมนอนแผ่อยู่บนเตียงนุ่มที่ราวกับกอดผ้าห่มเมฆไว้ทั้งตัว ร่างกายเริ่มคุ้นชินกับความสะดวกสบายในฐานะราชวงศ์ รู้ตัวอีกทีผมก็ลืมรสชาติไข่เจียวเย็นชืดที่เคยต้องแบ่งกินข้ามวันไปเสียแล้ว
ผมพลิกตัวกลิ้งไปมาบนเตียงที่นุ่มราวกับถูกสาปให้ไม่สามารถลุกได้โดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณ ตื่นมาก็มีอาหารดี ๆ รออยู่ มีคนคอยอาบน้ำให้ ชีวิตแบบนี้...ถ้าไม่นับว่าผมต้องแบกดราม่าระดับจักรวาล มันก็ดีอยู่หรอก
แต่แล้ว ก็กลิ้งไปชนกับอะไรบางอย่างที่ ไม่น่าจะเป็นผ้าห่มแน่ ๆ
ผมสะดุ้ง แล้วค่อย ๆ เหลือบตามอง...อ้าว!
ไคเรน?! สามีอีกคนของผม ที่นาน ๆ ทีจะปรากฏตัวเหมือนถูกสุ่มจากกาชา นั่งอยู่ตรงปลายเตียงในอิริยาบถสงบ สีหน้าเย็นชาเฉกเช่นเคย
“ท่าน...” ผมจ้องหน้าเขาอย่างใช้ความคิดแบบที่ไม่มีความคิด
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผมถามเสียงแหบ เส้นผมกระเซิงไม่ต่างจากอารมณ์
“ฝ่าบาท รีบลุกเถอะ เช้านี้พระองค์ต้องเข้าร่วมการประชุมกับข้า” น้ำเสียงเขาราบเรียบ แต่ฟังดูคล้ายคำสั่งมากกว่าคำชวน
“นี่ท่าน...กล้าสั่งข้า?” ผมเลิกคิ้ว ขมวดคิ้วน้อย ๆ อย่างไม่สบอารมณ์
“หากพระองค์ยังอยู่ในสภาพนี้ ข้าก็ไม่มีทางเลือก” เขาตอบนิ่ง พยักหน้าให้เฟย์เข้ามาช่วยจัดการเรื่องอาบน้ำแต่งตัว
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ถูกแปลงโฉมให้สวยสง่าในชุดทางการสีมุก เครื่องประดับเงินบริสุทธิ์ส่องประกายรับแสงแดดยามเช้าอย่างไม่อ้อมค้อม สะท้อนถึงฐานะที่ผมเองยังไม่แน่ใจว่าคู่ควรหรือไม่
จากนั้นผมก็ถูกลากควงแขนเดินออกไปกับไคเรนอย่างสง่างามแบบบังคับ ท่ามกลางสายตาข้าราชบริพารที่มองมาแบบ
“อ้อ คนนี้แหละ รัชทายาทที่มัวแต่นอนในห้อง”
ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ในใจ:
อยากจะเอาแว่นดำมาใส่แล้วเดินตะโกนว่า "ขอโทษครับ ผมแค่ Isekai มา ผมไม่เคยเข้าเรียนหลักสูตรการเมืองเลยจริง ๆ!"
“นี่...ท่านต้องทำขนาดนี้เลยหรือ” ผมพึมพำ พลางเบือนหน้าเลี่ยงไม่ให้ใครเห็นว่าผมเม้มปากแน่น
“ฝ่าบาทคงยังไม่เข้าใจ...สถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก” ไคเรนกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาเย็นชาคู่นั้นไม่แม้แต่จะแลสีหน้าตกใจของผม “มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ว่าพระองค์ไม่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งรัชทายาทอีกต่อไป ด้วยเหตุผลว่าทรงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเกินควร ไม่เคยออกเยี่ยมเยียนประชาชน หรือมีบทบาทใด ๆ ในราชสำนัก”
“อะไรกัน...ข้าเพิ่งจะมาถึงเองนะ ยังไม่ทันได้สำรวจหมอนในวังครบทุกใบเลยด้วยซ้ำ...” ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ อย่างไม่อยากเชื่อ แต่ดูเหมือนเสียงนั้นจะไม่เบาพอจะรอดพ้นหูของใครบางคนไปได้
ไคเรนเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขายังคงนิ่งสงบจนน่าหงุดหงิด “นี่ท่านกำลังล้อเล่นอะไรอยู่หรือเปล่า?”
น้ำเสียงจริงจังของเขาทำเอาผมพูดไม่ออกไปชั่วขณะ...และต้องเบือนหน้าหลบสายตาคมกริบของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนนี้มีข่าวลือมากมายที่ไม่เป็นผลดีต่อพระองค์ แม้พวกข้าจะพยายามกันอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่หากพระองค์ยังคงเพิกเฉย อีกไม่นาน...ตำแหน่งรัชทายาทก็คงจะไม่อาจรักษาไว้ได้”
“ถ้าข้าไม่ได้เป็นรัชทายาท...แล้วใครจะได้เป็นล่ะ?” ผมถามออกไป แม้จะพอเดาได้ว่าคำตอบคงไม่ทำให้สบายใจนัก
ไคเรนสบตาผมครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เรียบเฉยเช่นเคย “ในบรรดาพี่น้องของพระองค์ ยังมีน้องชายต่างมารดาอีกหนึ่งคน ปัจจุบันอาศัยอยู่นอกเมือง ขณะนี้กำลังรวบรวมกองกำลังเงียบ ๆ มีแนวโน้มสูงว่าจะเสนอชื่อตนเองเป็นผู้สืบทอดแทนท่าน หากโอกาสมาถึง”
ผมนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ห๊ะ?! แล้วทำไมในความทรงจำของเซย์เรนคนเดิมถึงไม่มีเรื่องพรรค์นี้อยู่เลยล่ะ...
แย่แล้ว…ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเซย์เรนคนเดิมเลย นั่นแปลว่าเจ้าของร่างคงไม่เคยสนใจ หรือไม่ก็ถูกกันออกไปจากเรื่องเหล่านี้โดยสมบูรณ์ ขณะที่มัวแต่วิ่งไล่ตามความรักจากใครบางคน คนอื่นก็ใช้เวลานั้นสร้างเส้นทางของตัวเอง
ให้ตายสิ นี่มันชีวิตของเจ้าชาย...หรือซีรีส์วังหลังกันแน่!
ผมหันไปมองไคเรนอีกครั้ง คราวนี้จ้องจริงจัง
“แล้วท่านล่ะ เชื่อว่าข้าควรเป็นรัชทายาทอยู่หรือเปล่า”
เขาเงียบไปชั่ววินาที ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้...ข้ายังไม่เชื่อ ข้าแค่ยังไม่เห็นท่านพยายามเพื่อมันจริง ๆ”
คำพูดของเขา...เหมือนคมดาบที่ฟันลงกลางอก
แต่ผมกลับไม่โกรธเลยสักนิด เพราะมันคือความจริง
ผมไม่ใช่เซย์เรนคนเดิม ผมมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง และผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเป็นรัชทายาทแบบไหน
แต่ถ้าจะต้องปกป้องชีวิตตัวเอง ปกป้องความสงบของผู้คน และ...ปกป้องคนที่ยืนอยู่เคียงข้างผม
บางที...ผมก็ควรเริ่มต้นให้จริงจังเสียที
ผมกลอกตาเบา ๆ ก่อนถอนหายใจ “เฮ้อ…งั้นก็ว่ามาเถอะ ท่านอยากให้ข้าทำอะไรบ้างล่ะ”
“เริ่มจากออกงานให้บ่อยขึ้น สร้างสัมพันธ์กับขุนนางสายกลาง รื้อฟื้นความสัมพันธ์ในราชวงศ์ และ...เฝ้าระวังน้องชายต่างมารดาของพระองค์” ไคเรนเอ่ยเรียบ ๆ อย่างคนชินกับการแจกแจงแผนการรบมากกว่าคุยเรื่องครอบครัว
“อืม...เอาตามนั้นเลย” ผมตอบแบบไม่คิดมากนัก จนกระทั่งเขานิ่งไปเล็กน้อยตอนเรายืนอยู่หน้าประตูห้องประชุมขนาดใหญ่
เขาหันมามองผม ดวงตาสีม่วงลึกคู่นั้นจ้องไม่กะพริบ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยความลังเลหรือกระเพื่อมของอารมณ์ใด ๆ
“ทำไมท่านถึงเชื่อฟังง่ายดายถึงเพียงนี้...” เขาขมวดคิ้วเหมือนไม่ไว้ใจผม “นี่ท่านเผลอกินอะไรแปลก ๆ เข้าไปหรือเปล่า หรือว่ามีไข้...ไม่สบาย?”
เขาเอื้อมมือขึ้นมาเหมือนจะวัดไข้ ผมรีบเบี่ยงตัวหลบ
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า...รีบเข้าไปกันเถอะ!” แล้วผมก็รีบเปลี่ยนเรื่องหนีอย่างรวดเร็ว
| ท้องพระโรงราชวังหลวง
บรรยากาศในห้องประชุมหลวงช่างเคร่งขรึม ผนังหินอ่อนสูงตระหง่าน เสาหลักประดับตราสัญลักษณ์ราชวงศ์ถูกแต่งด้วยม่านกำมะหยี่สีเลือดหมู มวลขุนนางจากทั้งสภาสูงและสภากลางต่างทยอยเข้าประจำที่ เสียงกระซิบกระซาบดังทั่วห้อง ก่อนทุกคนจะสงบนิ่งในครู่เดียวเมื่อราชินีเสด็จมานั่งบนบัลลังก์ประธาน
ผมก้าวเท้าเข้ามาพร้อมไคเรน แค่เหยียบพื้นหินเย็นเฉียบภายใต้สายตาทั้งห้องก็รู้สึกเหมือนเหงื่อจะไหลทันที
“รัชทายาทเสด็จ” เสียงประกาศก้องขึ้นอย่างเป็นพิธีการ แต่เสียงแว่วซุบซิบก็ตามมาติด ๆ
“ในที่สุดก็ยอมโผล่หน้ามาเสียที…”
“ว่าแต่ รัชทายาทเคยเข้าร่วมประชุมสำคัญเมื่อไหร่กัน?”
ผมพยายามทำหน้าเรียบเข้าไว้ ถึงจะอยากพ่นคำว่า โถ่! ก็มันเพิ่งมาอยู่ในร่างนี้ได้ไม่กี่วันเองนะเฟ้ย ออกไปใจจะขาด
ราชินีหรือพูดให้ชัดเจนก็คือพระมารดาของเจ้าของร่างนี้ มองผมด้วยแววตาอ่านยาก ราวกับกำลังประเมินว่าเซย์เรนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือคนเดิม หรือแปลกไป
“เริ่มการประชุมได้” พระสุรเสียงของพระนางเรียบแต่ทรงพลัง ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้น ยกม้วนเอกสารขึ้นพลางกล่าว
“ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กระหม่อมขอรายงานสถานการณ์ล่าสุด ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวของประชาชนในเขตชายเมือง กล่าวหาว่ารัชทายาทละเลยหน้าที่ ไม่เคยออกตรวจเยี่ยม หรือประกาศวิสัยทัศน์ใด ๆ ต่อแผ่นดินเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
เสียงฮือเบา ๆ ดังขึ้น ขุนนางอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นทันที
“ความเคลื่อนไหวนี้กำลังลุกลาม หากปล่อยไว้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อราชวงศ์ และกระหม่อมจำต้องพูดตามตรง อาจทำให้รัชทายาทสิ้นความชอบธรรมในสายตาประชาชน”
ผมเริ่มตัวแข็ง แต่ก่อนที่จะทันได้ตอบอะไร เสียงของไคเรนก็ดังขึ้นด้วยโทนเย็นเรียบ แต่ก้องกังวานจนทั้งห้องเงียบกริบ
“นั่นไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่ควรกล่าวอย่างเลินเล่อ ท่านทั้งหลายทราบดีว่าในห้วงปีที่ผ่านมา รัชทายาทต้องเผชิญกับภัยคุกคามภายในราชวงศ์และจากศัตรูต่างแดนมิใช่น้อย ทุกย่างก้าวถูกจับตามอง ทว่าพวกท่านกลับตัดสินพระองค์จากเพียง ‘การปรากฏตัว’ หรือ?”
ขุนนางบางคนหน้าถอดสี ไคเรนก้าวมายืนข้างหน้าผมเล็กน้อย คล้ายกำบังไว้ เงาของเขาทอดทับผมอยู่ครึ่งตัว
“ข้าอยู่กับรัชทายาทเกือบตลอดเวลา และข้ากล้ารับรอง พระองค์ทรงมีเจตนาอันแน่วแน่ที่จะฟื้นฟูภาพลักษณ์และหน้าที่แห่งตำแหน่ง เพียงต้องการเวลาและความร่วมมือจากทุกฝ่าย มิใช่ความหวาดระแวงและกล่าวโทษโดยไร้เหตุผล”
ราชินีพยักหน้าเล็กน้อย
“เจ้าพูดได้ดี ไคเรน”
ก่อนจะหันมาทางผมอย่างชัดเจน
“และเจ้าล่ะ เซย์เรน เจ้าจะกล่าวอะไรต่อที่ประชุมนี้หรือไม่? เพราะคำพูดของเจ้าจากนี้ไป...จะตัดสินว่าพวกเขาควรเชื่อถือเจ้าหรือไม่”
ผมสูดลมหายใจ...เอาล่ะ ไอ้เรน ไหน ๆ ก็มาแล้ว อย่าหน้าหงายกลางห้องแบบนี้เลย
ผมยืดหลังขึ้นเล็กน้อย ส่งเสียงมั่นใจเท่าที่จะทำได้โดยไม่ลน
“ข้ายอมรับว่าในอดีต หรือแม้แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ายังไม่เข้าใจน้ำหนักของตำแหน่งที่ข้าแบกรับอยู่ แต่บัดนี้ ข้ารู้แล้วว่าเกียรติแห่งราชวงศ์ไม่ได้มีไว้แค่สวมบนศีรษะ แต่ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ...”
“และข้าจะเริ่มทำตั้งแต่วันนี้”
| ห้องทรงงานของราชินี
กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ คลุ้งอยู่ในห้องทรงงานขนาดย่อม ผ้าม่านโปร่งแสงปลิวเบา ๆ ตามแรงลมจากช่องหน้าต่าง พระมารดานั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะไม้สลักรูปเถาวัลย์เลื้อย ริมฝีปากแน่นเฉียบจนแทบไม่เห็นอารมณ์ใด ๆ เหลืออยู่
ผมกับไคเรนยืนอยู่ตรงหน้าเงียบ ๆ เหมือนเด็กนักเรียนรอฟังคำตำหนิ
“เซย์เรน” พระนางเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็ง แต่ก็ไม่อ่อน
“วันนี้เจ้าใช้คำพูดได้ดี ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง แต่การเมืองไม่จบแค่คำพูดหนึ่งครั้ง การเป็นรัชทายาทในราชวงศ์นี้...เจ้าต้องยืนให้มั่นกว่านั้น”
ผมพยักหน้าเบา ๆ พอให้ดูสำนึก แต่ยังไม่ทันจะได้ถอนหายใจโล่ง ๆ อย่างหวัง
“และอีกเรื่องที่เจ้าต้องทำให้ได้...” พระนางเว้นจังหวะสายตาแน่นิ่งมองมาทางไคเรนที่ยืนข้าง ๆ ก่อนหันกลับมาที่ผม “คือยอมรับสามีทุกคนที่ข้าเลือกให้เจ้า”
พระนางเหลือบมองไคเรนแวบหนึ่งก่อนหันกลับมามองผมตรง ๆ ดวงตาคมกริบไม่ยอมละ
“สามีทั้งสี่ของเจ้า ไม่ใช่เพียงคู่ครองเพื่อภาพลักษณ์ แต่คือ ‘เสาหลักแห่งอำนาจ’ ที่จะค้ำตำแหน่งของเจ้าท่ามกลางแรงกระเพื่อมของราชวงศ์”
พระนางยันกายลุกขึ้น เดินอ้อมโต๊ะมาช้า ๆ จนหยุดอยู่ตรงหน้าเรา ใบหน้าสงบแต่เด็ดขาด
“ไคเรนมาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ ผู้กุมอำนาจในราชสภาและเศรษฐกิจเมืองหลวง เอลเซียนคือหลานแท้ ๆ ของแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพมังกรดำ ผู้บังคับบัญชากำลังพลนับแสนภายใต้ธงจักรวรรดิ แรนทีลเป็นทายาทโดยตรงของสภาเวท และยังครอบครอง ‘ศาสตร์เงา’ ที่แม้แต่ราชสำนักยังเกรงกลัว ส่วนเฟลด์...เขาคือเลือดเนื้อของตระกูลทหารชายแดนตะวันออก ผู้บัญชาการหน่วยลับที่แม้แต่แผ่นกระดาษยังไม่กล้าเอ่ยชื่อ หากเจ้าคิดจะรักษาตำแหน่งนี้ไว้...เจ้าต้องไม่ผลักไสพวกเขาออกจากชีวิต”
ผมกลืนน้ำลายฝืด ๆ ในคอ ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะมันดูจริงจังจนน่าอึดอัดกว่าในห้องประชุมเสียอีก
“เข้าใจหรือไม่ เซย์เรน เจ้าคือเลือดเนื้อของข้า ตำแหน่งนี้ต้องไม่หลุดไปให้ลูกของนางสนมคนอื่น ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งที่ข้าสร้างมา...ถูกทำลายเพราะความลังเลหรือความไม่เข้าใจของเจ้า”
ไคเรนยังคงยืนเงียบข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ผมรู้ดีว่าเขารับฟังทุกคำ
ผมหายใจลึก ๆ แล้วพยักหน้า แม้ในใจจะอยากโวยว่า ก็ให้เวลาข้าตั้งหลักหน่อยสิ! อยู่ดี ๆ มีสามีสี่คน กับระบบการเมืองระดับสงครามน้ำลาย ใครมันจะไหว!
แต่ในโลกนี้ คนที่ไหว...คือคนที่อยู่รอด
“ข้าเข้าใจแล้ว พระมารดา”
พระนางพยักหน้าช้า ๆ ก่อนหันหลังกลับไปยังโต๊ะทรงงาน เสียงกำไลข้อมือกระทบกันแผ่วเบาในห้องเงียบ
“จงอยู่กับพวกเขาให้มั่น แล้วเจ้าจะยืนอยู่เหนือคำครหาได้อย่างสง่างาม”
เมื่อออกจากห้องมา ผมหันไปมองไคเรนแวบหนึ่ง เขาก็หันกลับมามอง เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง...แต่สุดท้ายก็ไม่พูด
ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วกระซิบกับตัวเองเบา ๆ
“ชีวิตรักของข้านี่มันคือสงครามกลางเมืองดี ๆ นี่เอง…”
หลังจากเข้าเฝ้าราชินี ผมกับไคเรนก็ออกมาเดินเล่นเงียบ ๆ ด้วยกันรอบอุทยานด้านในของวัง บรรยากาศยามบ่ายแผ่วเบา ลมอ่อนพัดเอากลิ่นไม้หอมลอยมาตามทางเดินหินเรียบ ร่มเงาของต้นเมเปิลสีเงินทอดทาบลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
เขาเดินนำอยู่ไม่กี่ก้าว แต่กลับรู้สึกเหมือนห่างกันหลายช่วงตึก...จังหวะก้าวที่เคยพอดีตอนเดินเคียงกันในตอนเช้า ตอนนี้กลับผิดแผกไปหมด เขาเงียบ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว พอพ้นสายตาเหล่าราชบริพาร น้ำเสียงอบอุ่นที่เคยได้ยินก็หายวับไปราวไม่มีอยู่จริง
ผมมองแผ่นหลังของเขา พลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกลั้นใจถามออกไป
“นี่ข้า...ทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า”
เขาหยุดเดิน แต่ไม่หันกลับมา ผมจึงหยุดตาม สายลมผ่านระหว่างเราสองคนในจังหวะนั้นเงียบเชียบจนได้ยินแม้แต่เสียงใบไม้กระทบกันเบา ๆ
แน่นอน...ผมก็พอจะรู้ตัวอยู่หรอก ว่าระหว่างเรายังมีเรื่องค้างคาอยู่มากแค่ไหน
ก็เซย์เรนคนเดิมนั่นแหละ...เขาถอนหมั้นกับไคเรนต่อหน้าขุนนางทั้งสภา สร้างรอยร้าวที่แทบไม่มีใครกล้าพูดถึง แล้วผม...ที่มาอยู่ในร่างนี้ทีหลัง กลับต้องรับผิดชอบความสัมพันธ์ที่พังทลายไปแล้ว
“ข้า...ไม่เคยไม่พอใจพระองค์” ไคเรนเอ่ยขึ้นในที่สุด น้ำเสียงของเขาฟังไม่ออกว่าเชื่อได้แค่ไหน “ข้าแค่...ไม่เข้าใจเหตุผลของท่านในวันนั้น และจนถึงตอนนี้...ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
เขาหันมาหาผม ดวงตาสีม่วงเข้มที่เคยนิ่งเฉยตอนอยู่ในที่ประชุม บัดนี้กลับเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผมแปลไม่ออกนัก...ความคาดหวัง? ความผิดหวัง? หรือแค่...ความเหนื่อยล้า
“ท่านเคยบอกว่าไม่ต้องการใคร ไม่อยากให้ข้าเป็นภาระในชีวิตท่าน แล้วตอนนี้...ท่านต้องการให้ข้าเชื่อในสิ่งใดกันแน่ เซย์เรน”
ผมเม้มริมฝีปากแน่นไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะโกรธ แต่เพราะไม่รู้จะตอบยังไง
“ข้ารู้ว่ามันฟังดูตลก แต่ตอนนี้...ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจตัวข้านักเหมือนกัน” ผมหัวเราะฝืด ๆ กลบเกลื่อน ก่อนจะพูดต่อ “แต่นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าแน่ใจ ข้าไม่อยากผลักไสใครออกจากชีวิตอีกแล้ว โดยเฉพาะคนที่ยังยืนข้างข้า...ทั้งที่เคยถูกผลักไส”
เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเบา ๆ
“ก็หวังว่า...พระองค์จะไม่เสียใจในคำพูดพวกนี้ภายหลัง”
“งั้นก็ช่วยอยู่ให้ข้าไม่ต้องเสียใจได้ไหมล่ะ”
ครั้งนี้เขาไม่ตอบอะไร แต่แววตาที่มองกลับมา...อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แม้เพียงเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอจะทำให้หัวใจผมคลายเกร็ง
คืนนั้น ผมนอนไม่หลับเลยสักนิด
พอทุกอย่างเงียบลง ความว้าวุ่นใจก็ยิ่งก้องอยู่ในหัว เรื่องเมื่อกลางวันทำให้ใจผมหนักกว่าเดิมราวกับมีหินถ่วงไว้ตรงกลางอก ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่าง...ที่ทำให้ผมย้อนกลับมาอยู่ในร่างของรัชทายาทคนนี้ เซย์เรน ผู้เป็นเหมือนบทละครที่ใครต่อใครต่างขับร้องเย้ยหยัน ทั้งไร้ความสามารถ ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งผลักไสทุกคนที่รัก
บางที...นี่อาจเป็นบทลงโทษ หรืออาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย
และดูเหมือนว่า หน้าที่ของผม...คือการคลี่คลายปัญหาแต่ละอย่างที่เขาทิ้งไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่ยุ่งยากที่สุด ความสัมพันธ์กับสามีทั้งสี่
พวกเขา...แม้จะบอกว่าไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ชัง แต่ในแววตาแต่ละคนล้วนมีร่องรอยของบาดแผล บางแผลเก่าจนเริ่มจาง บางแผลยังสดใหม่และลึกพอจะสะท้อนกลับมายังผมทุกครั้งที่สบตา
เสียงเปิดประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนที่แสงตะเกียงจะทอดเงาเรียวยาวบนพื้นไม้ขัดมัน
“ฝ่าบาท ท่านยังไม่เข้าบรรทมอีกหรือเพคะ” เฟย์เอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาเงียบ ๆ เพื่อเช็กความเรียบร้อยก่อนดับไฟในห้อง เธอแต่งกายเรียบง่ายในชุดคลุมบางสีอ่อน มือถือเทียนเล่มเล็กที่ไหวไหวไปตามลมหายใจของเธอ
“ข้าคิดเรื่องสามีอยู่นิดหน่อยน่ะ” ผมตอบอย่างไม่อ้อมค้อม ขณะเหม่อมองออกไปยังลานสวนที่มืดมิด “พวกเขา...ดูไม่ชอบข้าเท่าไร แต่ก็ยังทำเหมือนรักข้าต่อหน้าทุกคน มันดูปลอมไปหมด”
เฟย์เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้ววางตะเกียงไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“พระองค์คิดมากเกินไปแล้ว หม่อมฉันเห็นว่าสวามีของท่านทุกคนต่างมีใจให้ท่าน หากไม่อย่างนั้น...พวกเขาคงไม่ยังอยู่เคียงข้างพระองค์มาจนถึงตอนนี้หรอกเพคะ”
ผมหันไปสบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลง
“ข้าไม่รู้หรอก ว่าสิ่งที่เขารู้สึกคือความรัก หรือแค่ความรับผิดชอบกันแน่ บางที...พวกเขาอาจแค่ทนอยู่เพราะหน้าที่ หรือเพราะราชินีสั่ง ข้า...ไม่ใช่เซย์เรนคนนั้น ไม่ได้มีอะไรให้รักเลยสักนิด แล้วข้าจะไปคาดหวังอะไรจากใครได้”
คำพูดนั้นเหมือนหลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ มันคือความจริงที่ผมคิดมาตลอด แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟังชัด ๆ แบบนี้มาก่อน
เฟย์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา “บางครั้ง...คนเราก็รักใครสักคนจากสิ่งที่เขาเป็นในตอนนี้ ไม่ใช่จากอดีตที่ผ่านมา พระองค์เปลี่ยนไป...และบางทีพวกเขาอาจเห็นมันแล้วก็ได้นะเพคะ”
เธอยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะโค้งลาเบา ๆ “หม่อมฉันขอตัวไปพักผ่อนนะเพคะ ฝันดี ฝ่าบาท”
กลางคืนในเขตวังเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองชัดเจน
ผมเดินลัดเลาะไปตามทางเดินหินที่ทอดยาวผ่านสวนด้านหลังตำหนัก ไม่ได้ตั้งใจจะไปที่ไหน ไม่ได้อยากให้ใครเห็นหรือเดินตามมา แค่ปล่อยให้เท้านำพาไปเรื่อย ๆ ในยามที่หัวใจไม่รู้จะพักตรงไหน
ผมหยุดลงที่ริมสระน้ำใส สะท้อนเงาจันทร์และท้องฟ้าที่กว้างเกินไปสำหรับคนที่รู้สึกเล็กจ้อยเหลือเกินอย่างผม ผมทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกถึงความเย็นของพื้นหินที่แทรกผ่านเนื้อผ้าบางเบา มือข้างหนึ่งลูบไปบนผิวน้ำช้า ๆ ขณะที่ปลาหลากสีแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำโดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนนั่งจมอยู่ในความเงียบอยู่ตรงนี้
“ทำไมต้องเป็นผมด้วยนะ…” ผมพึมพำ เสียงแผ่วเหมือนกลัวว่าลมจะได้ยิน “ในโลกที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงโยนเรื่องทั้งหมดมาไว้ที่ผมคนเดียว…”
ผมถอนหายใจเงียบ ๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เบาและขื่นขมจนแทบไม่เหลือความตลก
“คนที่นี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่ใช่เขา...ไม่ใช่เซย์เรนคนเดิม ไม่ได้โตมาในวัง ไม่เคยมีใครต้องคอยเรียก ‘ฝ่าบาท’ ใส่หน้าทุกวัน…”
ผมหยุดพักหายใจ มือกำชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว
“เขาทุกคนมองผมด้วยสายตาแบบนั้น…เหมือนกำลังรอว่าเมื่อไหร่ผมจะทำเรื่องโง่อีก ผมทำอะไรให้พวกเค้าก่อนหรือไง ถึงต้องตั้งกำแพงใส่กันตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาในร่างนี้...”
เสียงในลำคอแหบพร่า ผมกัดฟันแน่น พูดช้าลงแต่หนักแน่น
“ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากมาอยู่ตรงนี้หรอก…ไม่อยากต้องมาสวมบทใครสักคนที่แม้แต่คนใกล้ตัวยังไม่เชื่อใจ”
ดวงจันทร์ยังคงลอยนิ่งอยู่เหนือศาลา เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ยังคงเหมือนเดิม แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเงียบลงจนเหมือนทุกสิ่งหยุดฟังคำพูดของผม
“จะให้ผมแก้ไขอดีต...รักษาตำแหน่ง...ทำความเข้าใจกับสามีทุกคน แล้วก็รับมือกับศัตรูที่มองไม่เห็นหน้า” ผมหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีความขื่นขม แต่เป็นความเหนื่อยล้าที่ระบายออกมาอย่างตรงไปตรงมา “พระเจ้าคงคิดว่าผมเป็นอะไร? ซูเปอร์ฮีโร่งั้นหรอ”
ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียงใดตอบกลับ มีเพียงเสียงน้ำเบา ๆ เมื่อปลาตัวหนึ่งกระโดดขึ้นจากผิวน้ำแล้วหายวับไปในความมืด
ในเงาสลัวของแนวไม้ไผ่ เฟลด์ยืนนิ่ง
เขาไม่ได้ตั้งใจจะฟัง ไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบดูด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาตามมาด้วยสัญชาตญาณระวังภัย และได้ยินคำพูดทั้งหมดโดยไม่ทันตั้งตัว เขาก็ขยับตัวไม่ได้อีก
คำพูดเหล่านั้น...ไม่มีใครเคยได้ยินจากเซย์เรน
เขาเคยคิดว่ารัชทายาทคือคนที่เย่อหยิ่งที่สุดในชีวิต เป็นคนที่ตัดสินใจโดยไม่ฟังใคร เอาแต่ใจ และไร้หัวใจ
แต่ตอนนี้ เขาไม่แน่ใจอีกแล้ว
คนตรงหน้าเขา...เหมือนคนที่หลงทาง และพยายามจะยืนให้ได้ในโลกที่ไม่มีที่ให้เขายืน
เฟลด์หลุบตาลงช้า ๆ
ความเงียบของเขาในคืนนี้...คือการรับฟังที่ไม่มีคำพูดตอบกลับ แต่ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในใจของเขา
-----------------
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ
รักคนอ่าน♥️
สนุกมากครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณขอรับ คอยๆๆ ตามๆๆ รอๆๆ
รอคอยติดตามตอนต่อๆไปนะครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุงมาคร้าบ ขอบคุณมากครับ{:5_137:} ขอบคุนครับ สนุกมากครับ หื้อออ
หน้า:
[1]