NOOFONG โพสต์ 2025-6-11 17:55:28

เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.2

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-11 18:00



ตอนที่ 2 งานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษก

ท้องพระโรงตะวันตกของวังอาร์คีลาน่าส่องประกายด้วยแสงระยิบระยับจากโคมไฟระย้านับร้อย ผนังหินอ่อนถูกประดับด้วยผ้ากำมะหยี่สีคราม ทอง และม่วงราชวงศ์ ผู้คนในงานล้วนแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายงดงาม สมฐานะตระกูลสูงศักดิ์ แขกเหรื่อเต็มห้องรับรองไปหมด แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทุกสายตาหยุดลงพร้อมกัน

เสียงก้าวเท้าแผ่วเบาของราชองครักษ์นำเสด็จมาก่อน ตามด้วยผืนผ้าที่ยาวลากจากด้านหลังของ ชุดอภิเษกสีงาช้างปักดิ้นเงินบริสุทธิ์ ที่ทอดตัวเหนือพื้นพรม

เซย์เรนก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยในชุดที่เรียกได้ว่า งดงามที่สุดในค่ำคืนนี้ คอเสื้อทรงสูงแต่งด้วยคริสตัลเจียระไนละเอียดแนบผิว ซ่อนลำคอเรียวยาวไว้ในผืนผ้าบางที่สะท้อนแสงเล็กน้อยเมื่อขยับตัว ขอบผ้าคลุมสีเทาหมอกปักตราประจำเมืองด้วยด้ายทอง ตัดกับดวงตาคมที่สบตรงมาอย่างไม่หวั่นไหว

และในห้องโถงนั้น สามีทั้งสี่ของเขาก็อยู่กันพร้อมหน้า

เอลเซียนในชุดเต็มยศของขุนนางชั้นสูงสีดำสนิท สะท้อนความนิ่งเฉียบและเจตนารมณ์ที่ยากอ่าน

แรนทีลสวมเสื้อคลุมราชองค์รักษ์สีม่วงเข้ม คาดเข็มขัดพิธีการสีทอง ท่าทีสุขุมแต่แววตาแฝงแววระวัง

ไคเรนในชุดคลุมตัดเย็บเฉียบคมจากเมืองท่า ดวงตานิ่งราวน้ำแข็งและไม่คิดปิดบังความไม่พอใจ

ส่วนเฟลด์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นั้นดูจะยืนอย่างอึดอัดในชุดทหารพิธีการที่ไม่ถนัด ทว่าสายตาเขาจับจ้องเซย์เรนไม่วางตา

และแล้ว...คนที่ไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อคู่สมรส กลับยืนอยู่ข้าง ๆ ผมอย่างไม่เกรงใจใคร

“พระองค์งามมากในค่ำคืนนี้”

ลูซ อาวีเซอร์ ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเป็นอาวุธร้ายกาจ

เขาอยู่ในชุดผ้าไหมย้อมสีแสงจันทร์ ดูดีเกินกว่าผู้ติดตามทั่วไปจะควรใส่ กลิ่นหอมอ่อนจางจากน้ำหอมตระกูลอาวีเซอร์แผ่จางตลบอวล

และที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นคือ เขายืนแนบชิดข้างผมอย่างกับเป็น "สามีคนที่ห้า"

ในขณะที่บรรดาสามีทั้งสี่นิ่งเงียบและไม่พูดอะไร สีหน้าแต่ละคนกลับแสดงออกชัดเจน

ไม่พอใจ

แต่ไม่กล้าเอ่ย

ผมหันไปยิ้มบาง ๆ ให้เขา ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ทว่าชัดเจนพอให้ทั้งห้องได้ยิน

“เจ้ามีตำแหน่งอะไรในงานนี้งั้นหรือ ลูซ?”

“เอ่อ...” เขายิ้มเล็กน้อย “ข้าแค่คิดว่าอยู่ข้างฝ่าบาทจะ—”

“ไปยืนให้ห่างหน่อย ข้าคงไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดว่าเจ้ามีฐานะเท่ากับพวกเขา”

คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศที่หนักอึ้งอยู่แล้วยิ่งเยือกเย็นขึ้นอีกระดับ

ลูซชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะถอนหายใจพลางถอยออกไปอย่างสง่างาม

แต่ไม่วายหันกลับมาทิ้งสายตาเจือแววผิดหวังที่ ‘เล่นบท’ ได้แนบเนียน

ในขณะที่ผมหันไปสบตากับสามีทั้งสี่ ทีละคน

และเอ่ยออกมาเรียบ ๆ ว่า

“คืนนี้... ข้ามีของขวัญให้พวกเจ้า”

ผมผายมือไปยังข้ารับใช้ที่ยกกล่องของขวัญสี่กล่องขึ้นมาตั้งบนโต๊ะกระจกกลางห้อง

เฟลด์เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาเขาไม่พูดอะไร เพียงเปิดกล่องออกช้า ๆ

ด้านในคือ แหวนเหล็กกล้าสลักตราประจำหน่วยลับ ที่เขาเคยเป็นผู้บัญชาการ

“…นี่มัน?” เขาขมวดคิ้ว

“ของเดิมของเจ้า ข้าสั่งให้ช่างบูรณะใหม่ แล้วเก็บรายละเอียดให้ดีขึ้น”

เฟลด์ยืนนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ขอบคุณ…องค์ชาย”

แรนทีลก้าวเข้ามาเป็นคนต่อไป

กล่องของเขาบรรจุ มีดเล่มบางที่ทำจากเงินแท้ แกะสลักชื่อของแรนทีลและข้อความจากพระราชาองค์ก่อน

“ข้าเคยให้ของสิ่งนี้กับทูตต่างเมืองไปอย่างไม่ไตร่ตรอง…แต่ข้าสั่งตีขึ้นใหม่ แล้วนำกลับมาให้เจ้า”

แรนทีลมองผมอย่างประหลาดใจ “เหตุใด…พระองค์จึง—”

“เพราะมันควรเป็นของเจ้าตั้งแต่แรก” ผมพูดเรียบ ๆ

เอลเซียนเปิดกล่องของตนด้วยมือที่ไม่เร่งรีบ

ภายในคือ ปากกาหัวทองคำพร้อมตราสภา ที่เขาเคยใช้ตอนเป็นสมาชิกใหม่

เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แค่มองผมด้วยแววตายากอ่านและกระซิบว่า

“…ท่านกำลังทำอะไรอยู่กันแน่”

สุดท้ายคือกล่องของไคเรน ภายในเป็น หีบเอกสารผนึกคริสตัล ที่ใช้เก็บข้อมูลลับทางการค้า

เขามองผมตรง ๆ ไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ก่อนจะแค่นเสียง

“หรือทั้งหมดนี้…ก็เพื่อจะเรียกความสนใจจากเขา?”

เขาเอียงคางเล็กน้อย มองไปยังลูซที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก

“ข้าควรดีใจหรือกังวลที่อยู่ในสายตาของท่านอีกครั้งกันแน่ เซย์เรน?”

ผมหันกลับไปสบตาเขา

“ถ้าข้าอยากให้เขาสนใจ ข้าก็แค่ให้ของขวัญเขาอีกกล่องหนึ่ง”

เสียงในห้องเงียบลงอีกครั้ง

ลูซยังคงยืนอยู่ตรงนั้น และไม่มีกล่องของขวัญใดถูกยื่นไปหาเขา

“แต่นี่ไม่ใช่วันของเขา”

ผมกล่าวปิดท้ายเบา ๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ

ดวงตาของเฟลด์กะพริบช้า ๆ เหมือนเขากำลังประมวลว่าผมคือคนเดียวกับที่เคยเย็นชาใส่เขาหรือไม่

แรนทีลทำเพียงยืนเงียบ ราวกับจะสังเกตว่าในน้ำเสียงของผมมีเล่ห์กลอะไรซ่อนอยู่

เอลเซียนมองมือของตัวเองที่จับปากกาไว้แน่น

ส่วนไคเรน…ยังคงไม่ละสายตาจากผม




หลังจบงานเลี้ยง คืนนี้ก็คือคืนส่งตัวเข้าหอ

แม้แต่ละคนจะถูกกำหนดให้เข้าหอในคืนที่ต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดการขัดแย้งในลำดับ แต่สิ่งที่ผมไม่รู้มาก่อนเลยก็คือ ร่างกายนี้สามารถให้กำเนิดบุตรได้

พูดให้ชัดเจน...โลกนี้สามารถใช้เวทโบราณเพื่อทำให้ผู้ชายตั้งครรภ์และคลอดบุตรได้จริง เวทชนิดนี้ถูกใช้เฉพาะในสายขุนนางและราชวงศ์ เพื่อสืบทอดสายเลือดและรักษาสมดุลอำนาจ และที่แย่กว่านั้นคือ ร่างนี้ถูกเตรียมพร้อมมาสำหรับเรื่องนั้นตั้งแต่เด็กแล้ว

คืนนี้เป็นคืนของเอลเซียน

ห้องนอนถูกจัดตกแต่งด้วยดอกไม้สดที่หอมอวล โรยกลีบกุหลาบสีแดงทั่วเตียงขนาดใหญ่ บนโต๊ะกลางห้อง มีจานอาหารเรียงรายและเหยือกเหล้าแกะสลักลวดลายงดงามวางอยู่

ผมนั่งอยู่ตรงขอบเตียงในชุดผ้าบางสีขาวที่เย็นวาบเมื่อกระทบผิว เอลเซียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงียบ

เขาไม่จ้องผมโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หลบตา คล้ายกำลังจับสังเกตอะไรบางอย่างเงียบ ๆ

ผมกลืนน้ำลายฝืดคอ

ความจริงคือ...ผมไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบคนรักมาก่อน

ที่โลกเดิม ผมเป็นแค่พนักงานออฟฟิศธรรมดา ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีใจให้ผู้ชาย

แล้วคืนนี้ ผมต้องมานั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นกุหลาบ กับคนที่มีสถานะว่า "สามี" โดยชอบธรรม

มือของผมยื่นไปจับแก้ว ดันมันไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกไปเบา ๆ เพราะกลัวความเงียบจะกลืนกิน

“เอ่อ...ดื่มหน่อยมั้ย?”

เอลเซียนหันมามอง แววตานิ่งเหมือนทะเลลึกที่ไม่มีคลื่น

เขารับแก้วไป แล้วกล่าวเพียงเบา ๆ

“ขอบคุณ...องค์ชาย”

น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนเกินกว่าที่ผมคาดไว้

และมันก็ทำให้ใจผมเต้นผิดจังหวะเล็กน้อย ทั้งจากความประหม่า...และความไม่รู้จะวางตัวอย่างไรต่อไป

ผมยกแก้วของตัวเองขึ้นจิบแก้เก้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา พลางหลุบตาลงเล็กน้อย

“ไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘องค์ชาย’ ก็ได้…มันดูห่างเหินไปหน่อยว่ามั้ย”

“เราสองคน...เข้าห้องหอด้วยกันแล้ว ก็นับว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน”

“ข้าอนุญาต...เจ้าเรียกชื่อข้าได้”

เอลเซียนนิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าดูเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา

ผมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหาทางเริ่มบทสนทนาด้วยคำถามง่าย ๆ

“แผลของเจ้า...หายดีแล้วหรือยัง?”

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง” เขาตอบเรียบ ๆ แต่ไม่เย็นชา

ผมยิ้มนิดหน่อย พยายามชวนคุยต่อ

“เจ้า...จะไม่ชวนข้าคุยหน่อยหรือ?”

เอลเซียนสบตาผมเพียงครู่ ก่อนพูดช้า ๆ ราวกับชั่งใจทุกคำ

“คืนนี้...หากท่านไม่เต็มใจจะร่วมหอกับข้า ข้าก็จะไม่ว่าอะไร เพราะข้าเข้าใจดีว่า...ท่านแต่งกับข้าเพื่อประโยชน์ทางการทหาร ไม่ใช่เพราะความรัก”

“รู้ก็ดี…” ผมพึมพำ

“…แต่ข้าไม่ได้เกลียดเจ้านะ ถึงแม้ว่า...ก่อนหน้านี้ข้าจะเคยทำไม่ดีกับเจ้า”

เอลเซียนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ฟังดูเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ในใจ

“ท่าน...เปลี่ยนไปมากนะ”

ผมหันไปมองเขา ยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้ปฏิเสธ

“บางที...คนเราก็เปลี่ยนได้ เมื่อเจอเรื่องบางอย่างที่ทำให้คิดอะไรได้มากขึ้น”

“เรื่องอะไรหรือ?”

“ข้าเพิ่งตระหนักว่า...การมีใครบางคนอยู่ข้างกายโดยที่ข้าไม่เคยเหลียวมองเลย มันโง่ขนาดไหน” ผมหยิบถ้วยเหล้าขึ้นจิบเบา ๆ พลางหลบตาเขา “แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ทันทีได้...เพราะข้ายังไม่รู้จักตัวเองดีพอด้วยซ้ำ”

เอลเซียนนิ่งงัน ก่อนเอ่ยอย่างช้า ๆ

“แต่ข้า...ไม่เคยหวังให้ท่านเปลี่ยนเพื่อข้า ข้าแค่หวังว่า...วันหนึ่งท่านจะมองข้าอย่างที่ข้าเป็น ไม่ใช่เพียงฐานะ ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่หมากบนกระดาน”

ผมพยักหน้าเบา ๆ “ข้าจะพยายามนะ เอลเซียน”

เขาหันมามองผมตรง ๆ ดวงตาคมเข้มนั้นยังมีเงาเจ็บปวดซ่อนอยู่ แต่ก็มีประกายบางอย่างใหม่ ๆ แทรกขึ้นมา

“แค่ท่านพูดแบบนี้...ก็เกินกว่าที่ข้าเคยหวังไว้มากแล้ว”

ผมหัวเราะเบา ๆ

“งั้นคืนนี้ เราก็แค่...อยู่ด้วยกันในฐานะคนสองคนก็พอ ไม่ต้องมีหน้าที่ ไม่ต้องมีพิธี ไม่ต้องมีความคาดหวังอะไรทั้งนั้น”

เอลเซียนมองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้า

“เช่นนั้น...ข้าจะถือว่าคืนนี้คือจุดเริ่มต้น”

ผมไม่ได้ตอบ แต่ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาชนกับเขาเบา ๆ

พอเริ่มดื่มไปได้สักพัก ความร้อนผ่าวก็ค่อย ๆ แล่นขึ้นมาที่ใบหน้า ผมรู้เลยว่าตัวเองเริ่มเมาแล้วจริง ๆ ผมไม่ใช่คนที่คอแข็งนัก ไม่กี่ถ้วยก็เหมือนสติจะลอยหายไปกับกลิ่นเหล้าจาง ๆ ในอากาศ

มือวางถ้วยลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองเอลเซียนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน แสงจากตะเกียงส่องกระทบเสี้ยวหน้าคมของเขา เงาทาบซ้อนลงบนแววตาที่อ่านยากเสมอ

แล้วประโยคหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากผม...โดยไม่ทันได้กรองความคิดให้ดี

“แล้วทำไม...ถึงยอมแต่งกับเซย์เรนล่ะ?”

ผมหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่ออย่างพร่าเล็กน้อย

“ทั้งที่เขาทำไม่ดีกับนายขนาดนั้น...”

ทันทีที่พูดจบ ผมก็รู้สึกได้ถึงความเงียบอึดอัดที่ตกลงมาระหว่างเรา เหมือนทั้งห้องหอจะเย็นวูบลงกะทันหัน

เอลเซียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบถ้วยเหล้าของตัวเองขึ้น ดื่มช้า ๆ ราวกับต้องการหาคำตอบในรสขมปลายลิ้น

“เพราะข้าเคยสาบาน…” เขาว่าในที่สุด เสียงทุ้มต่ำขัดกับความเงียบที่แผ่ครอบอยู่โดยรอบ

“—ว่าจะภักดีต่อราชวงศ์นี้ ไม่ว่าคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จะเปลี่ยนไปอย่างไร”

ผมนิ่งฟัง ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรแน่ แต่ก็ยังไม่พูดแทรก

“แล้วก็…” เอลเซียนพูดต่อช้ากว่าเดิม เหมือนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เพราะถึงจะเคยเจ็บแค่ไหน...ข้าก็ยังเชื่อ ว่าบางสิ่งบางอย่างในพระองค์ยังไม่เคยเปลี่ยนไปเสียหมด”

เขาไม่ได้สบตาผมขณะพูด แต่กลับมองไปที่ถ้วยในมือตัวเองแทน

หัวใจผมกระตุกวูบ เหมือนถูกกระแทกเบา ๆ ด้วยความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ผมเบือนหน้าหนีเล็กน้อย กลัวว่าเขาจะเห็นอะไรบางอย่างในสายตา

บางอย่างที่ไม่ใช่ของเซย์เรนคนเดิม

“แล้วถ้ามันเปลี่ยนไปหมดแล้วล่ะ…” ผมเผลอพึมพำออกไปเบา ๆ

เอลเซียนเงยหน้าขึ้นในทันที

แต่ผมก็รีบกลบเกลื่อนคำพูดของตัวเอง

“หมายถึง...ถ้าข้าสำนึกผิดขึ้นมาบ้าง อยากเริ่มใหม่...เจ้าจะยอมให้โอกาสหรือไม่?”

แววตาของเอลเซียนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเขาจะตอบเบา ๆ

“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพระองค์ถึงพูดเช่นนี้…แต่ถ้ามันเป็นความจริง”

เขาหันมาสบตาผมตรง ๆ ในที่สุด “ข้าก็อยากจะเชื่อดูอีกสักครั้ง”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น

...คำว่า "อยากจะเชื่ออีกสักครั้ง" นั้น เหมือนมีน้ำหนักมากกว่าคำว่ารักเสียอีก

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าสติของตัวเองหลุดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกที...ก็เป็นตอนที่แสงเช้าสาดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้อง และผมก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงเสียแล้ว

ร่างกายยังรู้สึกปกติดี ไม่มีอาการเจ็บแปลบหรือสิ่งใดที่บอกว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเมื่อคืน นอกจากความมึนเบา ๆ ที่ขมับซ้าย และความว่างเปล่าในความทรงจำ

ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย ขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้อง

เอลเซียน...ไม่อยู่แล้ว

สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนนี้ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน คือช่อดอกไม้สดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง พร้อมกับซองจดหมายสีครีมซึ่งพับอย่างเรียบร้อย

ผมเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมา พลางถอนหายใจอย่างไม่แน่ใจว่า...ควรจะรู้สึกโล่งใจ หรือเสียดายอะไรบางอย่างที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นกันแน่

ผมค่อย ๆ แกะซองจดหมายออกอย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วสัมผัสกระดาษเนื้อดีที่ถูกพับอย่างประณีต กลิ่นอ่อนจางของดอกไม้สดยังติดอยู่บนกระดาษ

ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือสวยงามบรรจงทำให้ผมต้องชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะเริ่มอ่าน

“ถึงเซย์เรน

ขอบคุณสำหรับเมื่อคืน…แม้เราจะไม่ได้พูดอะไรกันมาก แต่สำหรับข้า มันเป็นคืนที่เงียบสงบกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา

ข้าไม่ได้คาดหวังว่าท่านจะเปลี่ยนไปเพียงเพราะคืนเดียว และข้าก็ไม่หวังให้ท่านรักข้าเหมือนในนิทาน

ข้าเพียงหวังว่าเราจะค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าด้วยกันได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว

—เอลเซียน”

ผมวางจดหมายลงเบา ๆ คลี่กลีบดอกไม้ที่แนบมาด้วยออกดู มันคือดอกเวนธิล่า ดอกไม้ป่าที่เติบโตเฉพาะในเขตตะวันตก แฝงความหมายถึง “การรอคอยที่มั่นคง”

ผมนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง ความรู้สึกอุ่นวาบบางอย่างซึมผ่านจากปลายนิ้วไปถึงอก ก่อนที่ผมจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง

เสียงประตูถูกเปิดอย่างแผ่วเบา ดึงสติของผมให้กลับคืนมา เฟย์ สาวใช้ผู้ติดตามใกล้ชิด เดินเข้ามาพร้อมถาดเครื่องหอมและผ้าเช็ดหน้าในมือ เธอกวาดสายตามองไปรอบห้องเล็กน้อย ก่อนจะวางของลงแล้วโน้มตัวทำความเคารพ

“ฝ่าบาท” เธอเอ่ยเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้างเพคะ...ได้ร่วมหอกับท่านเอลเซียนหรือไม่”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำถาม ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ พลางเอียงตัวพิงพนักเตียง

“ข้าจำอะไรไม่ค่อยได้เลย...รู้แค่ว่าดื่มหนักไปหน่อย”

ดวงตาของเฟย์กะพริบช้า ๆ ราวกับพิจารณาคำตอบ ก่อนที่เธอจะตอบเบา ๆ ว่า

“หม่อมฉันจะเตรียมสมุนไพรที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นไว้ให้เพคะ...แต่ถ้าฝ่าบาทไม่รู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวอะไร ก็ถือว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดี”

เธอพูดคล้ายจะหยอก แต่ปลายเสียงนั้นติดเงาแฝงความระวังอยู่จาง ๆ เหมือนกำลังชั่งใจว่าควรถามอะไรต่อหรือไม่

ผมเพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเบนสายตากลับไปยังดอกไม้ที่วางอยู่ข้างเตียงอีกครั้ง

ความรู้สึกบางอย่างวูบวาบในอก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร

“ฝ่าบาทจะให้จัดโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเลยหรือไม่เพคะ?” เฟย์เอ่ยถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงกลับมานุ่มนวลตามเดิม “วันนี้เป็นวันแรกหลังพิธีอภิเษก…ต้องเสวยร่วมกับพระสวามีทั้งสี่นะเพคะ”

ผมหันกลับมามองเธอช้า ๆ

“ข้าต้องนั่งร่วมโต๊ะกับทุกคนเลยหรือ?”

เฟย์พยักหน้า

“ใช่เพคะ เป็นธรรมเนียมของวังหลวง…เพื่อแสดงถึงความกลมเกลียวกันในหมู่ราชสวามี และยังเป็นช่วงเวลาที่ขุนนางทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในจะจับตามองด้วยเพคะ ว่าฝ่าบาทจะโปรดใครเป็นพิเศษหรือไม่”

ผมแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“แสดงละครตั้งแต่เช้าเลยสินะ”

เฟย์หลุบตาลง ไม่ตอบอะไร เธอเพียงเดินไปเตรียมชุดสำหรับเปลี่ยนและสั่งให้บ่าวคนอื่นเข้ามาจัดห้องเงียบ ๆ

ผมลูบผ้าห่มที่คลุมร่างช้า ๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง

“มื้อเช้า...กับสามีสี่คน...น่าสนุกดีนี่”



ห้องรับประทานอาหารใหญ่ | พระราชวัง
ผมก้าวเข้ามาในห้องรับประทานอาหารที่ถูกจัดอย่างโอ่โถง โต๊ะยาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ประดับประดาด้วยอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิด หัวโต๊ะนั่งด้วยสามีทั้งสี่ของผม ซึ่งแต่ละคนก็แสดงสีหน้าเครียดขรึม คล้ายมีเรื่องค้างคาใจที่ยังไม่ได้พูดออกมา

ผมเดินตรงไปนั่งในตำแหน่งที่สูงกว่าทุกคนบนโต๊ะ เอลเซียนนั่งอยู่ใกล้ที่สุดทันทีที่ผมนั่งลง เขาส่งยิ้มเล็กๆ มาให้ แต่ผมตั้งใจไม่ให้ใครในที่นี้โดดเด่นเกินไป เพราะมันจะกลายเป็นจุดสนใจที่ง่ายเกินไป ผมไม่ได้ต้องการโปรดใครเป็นพิเศษ

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” ผมกล่าวทักทาย สามีแต่ละคนเพียงแค่พยักหน้าตามมารยาท โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองบรรยากาศจึงชวนให้อึดอัดเล็กๆ

“ทำตัวตามสบายเถอะ เราไม่ได้ชวนทุกคนมาร่วมโต๊ะเพราะต้องการเรียกมาต่อว่าหรอกนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ เพื่อคลายความตึงเครียดที่แผ่ซ่านอยู่ในอากาศ

ใครบางคนในกลุ่มแลกสายตากันอย่างระแวดระวัง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันที่บอกได้ชัดเจนว่ามีคำถามค้างคาใจ แต่ยังไม่มีใครกล้าเริ่มพูดก่อน...

ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากิน เพียงสองสามคำ ก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพ แล้วเดินออกไปจากห้องไปทีละคน ทั้งห้องมีเพียงผมที่เพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้า หลังจากที่ข้ามมาสู่วงศ์วานราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง และยังได้เป็นรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ ผมไม่ได้คาดหวังว่าความสัมพันธ์กับสามีทั้งสี่จะดีขึ้นในเร็ววัน แต่สิ่งสำคัญคือการไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะนั่นหมายถึงการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผมไม่อยากตายเป็นครั้งที่สองแล้ว...

หลังมื้ออาหารที่แสนสงบ แน่ล่ะ มันก็ต้องสงบอยู่แล้ว เพราะผมถูกทิ้งให้นั่งกินข้าวคนเดียวในห้องที่กว้างพอจะรองรับคนได้เป็นร้อย ผมถอนหายใจเบา ๆ พลางมองออกไปยังสวนด้านนอก คิดว่าคงจะออกไปเดินเล่นรับลมเสียหน่อย เดินย่อยให้อาหารที่เพิ่งกลืนลงไปคลายจากความตึงแน่นในท้องก็น่าจะดี

บรรยากาศด้านนอกนั้นสดชื่นกว่าที่คิด ลมอ่อน ๆ พัดผ่านมาด้วยอุณหภูมิที่พอดิบพอดี ไม่ร้อนและไม่หนาวเกินไป ถ้าเทียบกับโลกเก่าที่ผมจากมา อากาศแบบนี้คงเรียกได้ว่า “สวรรค์” ไปเลยทีเดียว เพราะที่นั่นร้อนจนน่าจะทอดไข่บนกระเบื้องหน้าบ้านได้ ผมคงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในร่มไม่ออกไปไหนแน่นอน

ผมยืนมองผีเสื้อที่บินไล้ดอกไม้ในแปลงสวนด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะเดินทอดน่องต่อไปยังศาลาริมน้ำ ทว่ากลับพลาดสะดุดก้อนหินเล็ก ๆ ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นสวนจนร่างเสียหลัก

แวบหนึ่งผมนึกว่าตัวเองต้องหัวทิ่มลงไปกองกับพื้นแน่ ๆ แล้ว แต่กลับมีมือแข็งแรงคว้าเอวผมไว้ทัน ก่อนที่ร่างจะล้มลง

กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเนื้อผ้าและลมหายใจอุ่น ๆ รินรดใกล้แก้มจนต้องกลั้นใจ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยไว้ เป็นเฟลด์

ร่างของผมเซเข้ากับอกของเขาเต็มแรง รับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่งภายใต้เสื้อคลุมทหารอย่างชัดเจน หัวใจผมเต้นโครมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งจากแรงกระแทก...และอะไรบางอย่างที่ยังอธิบายไม่ได้ในตอนนี้

เขารีบผละตัวออกจากผมทันทีที่เห็นว่าผมยืนทรงตัวได้แล้ว สีหน้าเรียบเฉย แต่อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความเกร็งเครียด

“ขออภัย...ข้าไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินท่าน”

เสียงของเฟลด์ฟังดูแข็งกระด้างกว่าปกติเล็กน้อย เหมือนเขาพยายามควบคุมมันไว้ เขาไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ สายตาหลบเลี่ยง ราวกับกลัวว่าหากสบตา จะเผยอะไรบางอย่างออกมาให้ผมเห็น

ผมมองเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เฟลด์คือหนึ่งในสามีของผมตามพิธี แต่ก็เหมือนห่างไกลกันเกินกว่าจะใช้คำนั้นได้เต็มปากเต็มคำ ตั้งแต่วันอภิเษก...เขาไม่เคยพูดกับผมเกินสองประโยค ไม่เคยแม้แต่จ้องหน้ากันตรง ๆ

“ไม่เป็นไร ข้าไม่เจ็บตัว และเจ้าก็ช่วยไว้ทัน” ผมพูดขึ้นเรียบ ๆ พร้อมยิ้มบาง ๆ “ไม่มีใครว่าเจ้าล่วงเกินหรอก”

เขายังคงไม่พูดอะไร สีหน้าที่ยังคงเคร่งขรึมไม่ได้คลี่คลายลงแม้แต่น้อย

“เจ้าทำเหมือนข้าเป็นแก้วบางที่จะแตกได้ทุกเมื่อ ทั้งที่เราแต่งงานกันแล้วแท้ ๆ” ผมหันไปมองเขาตรง ๆ “ข้าไม่เคยสั่งห้ามให้ไม่ให้เจ้าแตะตัวข้า แล้วก็ไม่เคยสั่งให้เจ้าหลบหน้าข้าเช่นกัน”

เฟลด์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขายกสายตาขึ้นมองผมในที่สุด แววตานั้นสงบนิ่ง แต่แฝงบางอย่างที่ไม่อาจอ่านออกง่าย ๆ

“ข้าก็แค่ไม่รู้...ว่าควรเข้าใกล้ท่านในฐานะอะไร” น้ำเสียงของเขาต่ำลงเล็กน้อย “ในฐานะสามี หรือในฐานะคนที่ท่านจำเป็นต้องทนอยู่ด้วยเพราะเหตุผลทางการเมือง”

คำพูดของเขาทำให้ผมเงียบไปชั่วขณะ ลมเย็นจากสวนพัดผ่านศีรษะอย่างแผ่วเบา ขณะที่ผมมองเขาอยู่เงียบ ๆ

“ตอนนี้ ข้ายังตอบอะไรเจ้าไม่ได้หรอก” ผมพูดอย่างไม่หลีกเลี่ยง “แต่ถ้าเจ้าจะเริ่มในฐานะคนที่ช่วยข้าไม่ให้หน้าคะมำลงพื้น ก็ไม่เลวเท่าไรหรอก”

ผมเดินนำเขาไปยังศาลาริมน้ำช้า ๆ โดยไม่หันกลับไปมอง แต่รู้สึกได้ว่าเขาก้าวตามมาห่าง ๆ ระยะที่ไม่ใกล้เกินไป แต่ก็ไม่ห่างจนเย็นชา

“วันนี้เจ้าตัวหอมเป็นพิเศษนะ ตั้งใจเพราะข้ารึเปล่า”

ผมหันหน้ากลับไปเล็กน้อย พลางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดล้อเล่น

เฟลด์หยุดฝีเท้าไปครู่ ก่อนตอบกลับมาเรียบ ๆ

“องค์ชายเคยตรัสว่าไม่ชอบข้าที่มีกลิ่นคาวเลือดและเหงื่อ”

ผมชะงักเล็กน้อย หันมามองเขาเต็มตา

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ผมว่าเบา ๆ พลางถอนหายใจ “ไม่ต้องใส่ใจคำพูดของข้าทุกคำหรอก ข้าก็แค่...พูดไปโดยไม่คิด”

เขาเงียบ ไม่ได้ตอบในทันที เพียงแค่มองผมด้วยสายตานิ่ง ๆ ที่เหมือนจะบอกว่า เขาได้เก็บคำพูดของผมไว้ในใจมากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก

“ต่อไปเจ้าห้ามหลบหน้าข้า และก็ห้ามไม่พูดกับข้าอีก เข้าใจมั้ย” ผมพูดต่อ โดยไม่ลดน้ำเสียงลงนัก “เราแต่งงานกันแล้ว ไม่ควรทำตัวห่างเหินให้ใครในวังเอาไปนินทาได้ แม้ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม”

เฟลด์โน้มศีรษะต่ำเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะทำตามที่รับสั่ง”

ผมพยักหน้าเบา ๆ อย่างพอใจ แม้จะรู้ดีว่าเขายังไม่ได้เปิดใจจริง ๆ ก็ตาม

แต่ก็ไม่เป็นไร อะไรที่ไม่แน่นแฟ้น ก็ค่อย ๆ ประสานกันทีละนิดก็ยังไม่สาย

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนขยับริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงรอยเจ้าเล่ห์เล็กน้อย

“ข้าอยากกลับแล้ว... เจ้าช่วยพาข้ากลับได้มั้ย เมื่อกี้ขาเจ็บขา”

เฟลด์เงยหน้าขึ้นสบตาผมเล็กน้อย ท่าทางแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็รีบตอบกลับทันที

“ได้ขอรับ หากท่านไม่รังเกียจ”

“อืม ไม่รังเกียจหรอก” ผมตอบ พลางยื่นมือออกไปหาเขาอย่างไม่ลังเล

เฟลด์ก้าวเข้ามาใกล้ ก้มลงช้อนตัวผมขึ้นในอ้อมแขนอย่างมั่นคง กลิ่นกายอุ่นและกล้ามแขนที่แน่นด้วยแรงฝึกซ้อมสะท้อนความคุ้นเคยของคนที่เคยอยู่ในสนามรบ ไม่ใช่ในวัง

ระยะห่างระหว่างเราหายไปในพริบตา ผมวางแขนบนไหล่เขาเบา ๆ มองใบหน้าของเฟลด์ที่ยังคงนิ่งเหมือนเคย แต่สัมผัสได้ถึงความประหม่าเล็ก ๆ ใต้ผิวเงียบ

“เจ้าอุ้มข้าไหวแน่นะ” ผมแกล้งถาม

“หากท่านหนักกว่านี้อีกหน่อย ข้าก็ยังไหวขอรับ” เขาตอบโดยไม่เหลือบมอง พลางออกเดินกลับไปทางตำหนักด้วยฝีเท้าที่มั่นคง

...บางทีระยะห่างที่เคยมี อาจค่อย ๆ สั้นลงทีละก้าว




--------------------------
ฝากติดตามต่อด้วยนะ
รักคนอ่าน



cheewanon โพสต์ 2025-6-11 18:43:40

ชอบมาก ขอบคุณครับ

lekthai โพสต์ 2025-6-11 20:15:52

ขอบคุณครับผม

nuangnut1996 โพสต์ 2025-6-11 20:28:06

สนุกมากครับ

sirsar โพสต์ 2025-6-11 22:00:19

สนุกมากเลยครับ{:5_137:}

bigdure โพสต์ 2025-6-11 23:36:52

ขอบคุณครับ

GuN009 โพสต์ 2025-6-12 00:47:03

สนุกครับผมสี่คนนี้จะใช้เวลาเท่าไหร่นะเซย์เรนสู้ๆ
ขอบคุณครับ รอตามต่อ

ball3225 โพสต์ 2025-6-12 19:25:43

ขอบคุณมากครับ

soobin69ck โพสต์ 2025-6-13 14:44:34

ขอบคุงมากคร้าบ

bo69dy โพสต์ 2025-6-17 01:54:12

ขอบคุนครับ

Nukinho โพสต์ 2025-6-19 21:30:34

ชอบมากครับ รอติดตามต่อครับ

Djcnxzeed โพสต์ 2025-7-15 00:55:27

ติดตาม
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.2