บันทึก(ไม่)ลับ ทหารเกณฑ์ผลัด4 (ตอนที่ 6) ใบแดงแผลงฤทธิ์
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Stroke_man เมื่อ 2025-7-24 08:28*ก่อนอื่นผมต้องขออภัย
ที่ผมต้องพาบักคิงไปหาค่าขนมที่ธัญวลัย...
ทันทีที่มีคนถามถึง ผมเองก็อดที่จะใจฟูไม่ได้
ก็เลยพาบักคิงกลับมา ขอบคุณอีกครั้ง
*ภาษาอาจะไม่สละสลวย*
๖. ใบแดงแผลงฤทธิ์...
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙...
"ต้องจากบ้านนา แล้วนะดวงแด...จากลาพ่อแม่ไปเป็นทหาร..โดนตบ! โดนเตะ! ทั้งหมอบ! ทั้งคลาน...ชีวิตทหาร มันทรมารสิ้นดี...."
เดี๋ยว! หยุด! Stop! อย่าดราม่านะครับ บักคิงไม่ชอบ! จะบอกว่า... นี่เป็นเพียงบทเพลงทดสอบจิตใจจากรุ่นพี่ในหมู่บ้านที่เป็นทหารเก่าและปลดประจำการแล้ว ที่ชอบนำมาร้องเฮฮาในวงเหล้า...ก็เท่านั้นเอง....
เช้านี้ทั้งอาน้อยและบักจ่อยมาส่งผมที่ศาลากลางจังหวัด ด้วยความอนุเคราะห์จากบักเอ็มที่อาสาเอารถกระบะสองตอนของที่บ้านมันมาส่ง
"ขอบใจหลายๆหมอ! จังได๋กะฝากเบิ่งอาน้อยให้เฮาแนเด้อ..." ผมเอ่ยขอบคุณเพื่อนและหันไปหาบักจ่อยญาติผู้น้องที่ยืนทำหน้าละห้อยตาแดงๆอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่ยืนนิ่งๆและยิ้มแบบฝืนๆ ก่อนผมจะดึงตัวมันมากอดแล้วลูบหัวมันเบาๆ
"กูบ่อยู่บ้านมึงต้องเข้มแข็ง! ห้ามอ่อนแอ ดูแม่ดูบ้าน เดี๋ยวกูกลับมา"
"อา ผมไปแป๊บเดียว เดี๋ยวมาเด้อ อาดูแลสุขภาพนำเด้อ"
"ให้บักหล่าอดทนเด้อลูก หนักเอาเบาสู้ อาอยู่บ้าน บักจ่อยกะอยู่ บ่ต้องกังวลหยังเลย ไปทำหน้าที่ของจะของให้เต็มที่เด้อลูกเด้อ ยาสูบน่ะเบาได้กะเบาเด้อ" คำอวยพรและคำเตือนสติของอาน้อยทำเอาผมน้ำตาซึม...
บักจ่อยโผเข้ากอดผมอีกครั้ง ผมกอดและลูบหลังมันเบาๆ อีกมือลูบหัวมันอีกรอบ ตัวมันสั่นๆเล็กน้อย ผมเลยก้มลงกระซิบเบาๆข้างหูมันแล้วผละออก
"เดี๋ยวกูเอาเกงในทหารมาฝากเด้อ..."
"สัส!" มันทำปากด่าผมแบบไม่มีเสียง แม่ง! มันร้องไห้อ่ะ! บักจ่อยร้องไห้! ฮ่าๆๆๆ ผมส่งยิ้มบางๆแล้วโยกหัวมันไปมาเบาๆ....
ณ ใต้อาคารศาลากลางจังหวัด พวกผมถูกขานชื่อและให้นั่งเรียงแถวเป็นแนวยาวสี่แถว รวมกับเพื่อนๆพลทหารอีกอำเภอ ทั้งหมดก็ ๔๐ คนไม่ขาดไม่เกิน ต้องเรียกนายใช่มะ! ฮ่าๆๆ
จากนั้นก็มีแจกเสื้อและให้ใส่ทันที จะเป็นเสื้อสีขาวคอมีแถบสีกรมดำ ขนาด ๐.๕ ซม. เนื้อผ้าคล้ายๆ ผ้าป่านหรือที่รู้จักกันในนาม 'เสื้อน็อต' ให้คนละตัว พร้อมทั้งเขียนอักษรย่อจังหวัดให้ด้วย (ใครที่ญาติไปส่งที่จังหวัดด้วยฝากเสื้อกลับได้เลย ผมเลยยื่นกระเป๋าคาดเอวส่งให้บักจ่อยไป) แจกข้าวแจกเบี้ยเลี้ยงเสร็จสรรพก็ให้ทยอยขึ้นรถบัสที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่จัดเตรียมมารับพวกผมโดยเฉพาะ...
ทันทีที่ล้อหมุน บรรดาญาติที่มาส่งทหารใหม่ต่างก็โบกมือลา บ้างก็น้ำตานองหน้า บ้างก็ส่งยิ้มอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับอาน้อยที่ยืนฉีกยิ้มกว้างโบกมือให้ส่วนบักจ่อยที่ยืนซ้อนหลังอยู่ก็ยิ้มกว้างเช่นกัน แต่มันทำหน้าเหมือนหมาหงอยเลย.... เฮ้อ....
*
"ยินดีต้อนรับน้องทหารใหม่อย่างเป็นทางการ วันนี้เป็นแรกที่เราได้เจอกัน.........."
เสียงนายทหารที่ควบคุมรถประกาศผ่านโทรโข่งเมื่อรถเลี้ยวหายจากสายตาบรรดาญาติที่มาส่ง มีการกล่าวทักทาย กล่าวต้อนรับ แนะนำโน่นนี่นั่นไปตามเรื่อง เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันอึมครึมจนเกินไป...
การที่จะต้องจากบ้านจากพ่อจากแม่จากคนรัก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจให้ชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพื่อนๆร่วมชะตากรรมเดียวกันอีก ๓๙ ชีวิตในรถบัสคันนี้ บางคนถึงกับหลั่งน้ำตา ขนาดผมที่ว่าทำใจได้แล้วยังมีหวิวๆเลย ...
บางคนก็บอกว่า เป็นทหารก็ต้องอดทนสิ! ต้องเข้มแข็งสิ! ใช่! ถูก! แต่... คิดน้อยไปหน่อยนะครับ พวกผมเพิ่งจะเปลี่ยนคำนำหน้าจาก 'นาย' เป็น 'พลทหาร' เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง มึงจะเอาอะไรมาอดทนก่อน! อิห่าราก! คิดได้!
ยังดีที่นายทหารที่ควบคุมรถช่วยสร้างยรรยากาศให้สนุกสนานครื้นเครง มีเสียงหัวเราะ เสียงโห่ฮาเป็นระยะๆ นี่น่าจะเป็นการละลายพฤติกรรมขั้นแรกล่ะมั้งผมว่า....
"เฮ่ยๆ โตยุบ้าน xx แม่นบ่ ? เฮาจำได้.. เฮาชื่อป๋อง บ้าน xx" เพื่อนที่นั่งข้างๆหันมาสะกิดและแนะนำตัว เป็นคนหมู่บ้านใกล้ๆในตำบลเดียวกัน ผมเลยหันไปยิ้มให้
"เฮาชื่อแขก.. หรือเอิ้นคิงก็ได้ คิงคองน่ะ!"ไอ้เพื่อนใหม่เลยหันมามองยิ้มๆ แล้วพนักหน้ารับรู้
"งั้น... เฮาเอิ้นคิงเด้อ..."
หลังจากนั้นการสนทนาแบบน้ำไหลไฟดับก็เริ่มขึ้น เมื่อฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน ฮ่าๆๆ ใช่ครับ! ต่างคนต่างสาธยายวีรกรรมของตนให้อีกฝ่ายฟัง
ที่จริงตำบลเดียวกันกับผมมาด้วยกันสี่คน (อ้ายมาสี่คน) อีกสองคนนั่งอยู่ข้างหลัง จะให้หันกลับไปคุยกันมันก็ใช่เรื่อง จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ
"น้องๆทหารใหม่ครับ! เราจะพักรถ ๓๐ นาที ระหว่างนี้ ใครจะเขาห้องน้ำ หรือยืดเส้นยืดสายก็ตามสบายนะครับ" สิ้นเสียงเสียงประกาศแจ้งของนายทหารควบคุมรถ พวกผมก็เตรียมจะลงจากรถไปยืดเส้นยืดสายกันสักหน่อย...
ผมจัดการตัวเองเสร็จก็ล้างหน้าล้างตาเดินออกมาจากห้องน้ำ แหม๋.. เข้าใจเลือกปั๊มเนอะ! ปั๊มขนาดกลางๆที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ล้อมรอบด้วยทุ่งนาอันเวิ้งว้างกว้างไกล ผมหย่อนตูดลงนั่งใต่ร่มไม้ควักบุหรี่ขึ้นมาจุด สักพัก ไอ้ป๋องก็เดินอาดๆเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่ดูตื่นตระหนก...
"คิง! เมื่อกี้กูได้ยินไผบ่รู้คุยกันในห้องน้ำว่าจะพากันหนี แฮ่กๆ!" พอเริ่มสนิท คำสุภาพก็ไม่จำเป็นต้องใช้กันแล้ว นี่แหละ! แบบฉบับของผู้บ่าวไทบ้าน...
"บักได๋วะ! ?" ผมถามมันในขณะที่กำลังพ่นควันออกจากปากอย่างไม่ยินดียินร้าย
"กูบ่รู้ว่ะ! บ่เห็นหน้ามัน!" มันตอบผมพลางยื่นมือมาขอแบ่งบุหรี่บ้าง....
"อือ... แล้วมึงสิตื่นเต้นเฮ็ดหยัง" ผมเบ้ปากถามพลางยื่นซองบุหรี่ให้ มันรับเอาไปแล้วควักออกมาจุดบ้างแล้วส่งที่เหลือคืนผมมา...
"บ่รู้ว่ะ! แฮ่ๆๆๆ" มันตอบแล้วหัวเราะแห้งๆ จนเพื่อนที่มาจากตำบลเดียวกันอีกสองคนเห็นพวกผม จึงเดินเข้ามารวมกลุ่ม พูดคุยทักทายกันและเริ่มสนิทกันอย่างรวดเร็ว
ชื่อไอ้พลกับไอ้เต่าที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน โห.. ดีว่ะ! ผมเนี่ย ตัวแทนหมู่บ้านเลยนะ! ฮ่าๆๆๆ เอ่อ.. ไอ้ป๋องก็เช่นกัน
*
เสียงประกาศจากโทรโข่งเรียกพวกผมให้รวมตัวกันแล้ว พวกผมสี่คนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่จะได้เคลื่อนย้ายออกไปจากตรงนี้เสียที
จากนั้นก็ถูกต้อนขึ้นรถ ไปนั่งที่เดิมตามหมายเลขลำดับที่แปะไว้ที่เบาะ ความโกลาหลขนาดย่อมๆก็เกิดขึ้น และกลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว อ่าฮ๊ะ! ระเบียบเริ่มมาฮ่าๆๆๆๆ
พอขึ้นรถได้ไม่นานภาพก็ตัดไป มารู้สึกตัวอีกที เมื่อรถจอดแวะพักที่จุดพักรถ ให้ลงไปกินข้าวเข้าห้องน้ำหรือสูบบุหรี่สำหรับสิงห์อมควัญทั้งหลายอย่างพวกผม และต้องทำเวลาหน่อยนึงนะ รถจะจอดแค่แป๊บเดียวเพราะนี่ก็จะบ่ายสามแล้ว
"มึงไปอดหลับอดนอนมาแต่ไสวะ!" ไอ้ป๋องเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่กินข้าว ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้วออกมานั่งสูบบุหรี่รอขึ้นรถ ไม่นาน ไอ้เต่ากับไอ้พลก็ตามมาสมทบ
"แม่งเอ๊ย! เกือบหลงแล้วกู!" ไอ้เต่าบ่นพึมพำพลางจุดบุหรี่ไปด้วย
"กูบอกแล้วอย่าแยกกัน ถ้าแยกให้แนมหาบักคิง" ไอ้พลพูดเสียงดุใส่ไอ้เต่า ผมก็ได้แต่นั่งยิ้มๆ สูบบุหรี่ของผมไป
จนใกล้จะถึงเวลาที่รถจะออก พวกผมจึงพากันเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆที่รถ แต่กว่าจะหารถเจอก็มึนอยู่เหมือนกัน เพราะรถแบบเดียวกันจอดเรียงกันเป็นสิบ ต้องเดินอ้อมมาอ่านป้ายหน้ารถเอา ฮ่าๆๆ
พอขึ้นรถได้ผมก็หลับต่อสิครับ มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ไอ้ป๋องมันปลุกอีกแล้ว... เพราะจะถึงที่หมายปลายทางแล้วนั่นเอง
"คิง! ตื่น!ๆ ถึงแล้วๆ" ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงเล็กน้อย มองออกไปนอกรถก็พบแต่ความมืดมิด
"จักโมงจักยามแล้ว" ผมหันไปถามไอ้ป๋องที่นั่งข้างๆจึงได้รู้ว่าเกือบจะทุ่มนึงแล้ว
รถชะลอความเร็วลง ผ่านป้ายขนาดใหญ่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ไหน แสงสีส้มจากไฟเลี้ยวกระพริบเป็นสัญญาณว่ารถกำลังจะเลี้ยว ใจผมเต้นโครมคราม ตื่นเต้นมาก ผมจึงหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำใจยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะพบเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
พอรถเลี้ยวเข้ามาได้แป๊บเดียวก็เหมือนจะจอดข้างๆซุ้มที่เพิ่งลอดผ่านมา เสียงนายทหารก็ประกาศผ่านโทรโข่งแจ้งให้พวกผมอยู่ในอาการสงบ ห้ามลุก จนกว่าจะสั่ง
ได้ยินเสียงประตูที่ถูกเปิดออกและมีเสียงคนเดินไปมาด้านหน้ารถ ผมได้แต่คิดในใจว่าถึงแล้วหรอ ติดถนนใหญ่เลยหรอวะ! ไหนมีคนบอกว่าอยู่เชิงเขาห่างถนนใหญ่ตั้งหลายกิโล...
"ผลั่ก!"
"อ๊ะ! ขอโทษครับ" ก่อนที่ความคิดผมจะเตลิดไปไกลกว่านี้ กลุ่มคนที่เพิ่งขึ้นมาใหม่ก็ถูกดันให้เดินมาตามช่องกลางของรถจนมาชนกับแขนผมที่วางอยู่พนักวางแขนพร้อมกับยกมือไหว้ ผมยิ้มและพยักหน้ารับเบาๆ
อ๋อ... จอดรับคนหน้าค่ายเข้าไปด้วยนี่เอง สงสัยพวกลูกจ่า ลูกนายล่ะมั้ง คงจะเข้าบ้านแหละ ผมคิดในใจเพราะไอ้น้องที่มาชนแขนผมเนี่ย น่าจะยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ ตัวขาวๆหน้าตี๋ๆ ตัวกะเปี๊ยกเดียวสะพายเป้ด้านหลังแต่ท่าทางเอาเรื่องเลยล่ะ เพราะแม่ง! จ้องหน้าผมเหมือนจะหาเรื่องเลย แววตามันดูมีความมุ่งมั่นแต่ในขณะเดียวกันก็แอบซ่อนความกลัวเอาไว้...
ครู่เดียวรถก็ตีไฟเลี้ยวอีกครั้ง คราวนี้ล่ะ ทั้งเสียงนกหวีด เสียงประกาศ ทั้งแสงไฟสว่างจ้าทั่วบริเวณ ในขณะที่ผมกำลังตื่นเต้นอีกทั้งยังมึนงงเพราะพึ่งตื่น (แฮ่ๆๆ ก็มันง่วงนี่หว่า) ไม่รู้ว่ารถจอดสนิทตั้งแต่ตอนไหน
"ปรี๊ดดดดดดดดดด!"
ทันทีที่ประตูรถถูกเปิดออก...เสียงนกหวีดที่แผดเสียงจนแก้วหูแทบทะลุ ตามมาด้วยเสียงออกคำสั่งที่ดุดันจนพวกผมสะดุ้งโหยงกันเป็นแถว หันหน้าไปตามเสียงนั้นทันที...
บุรุษในชุดลายพรางหน้าตาดุดันเหมือนเสียง ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าของรถ มีปลอกสีแดงที่แขนขวา น่าจะเป็นทหารเวรล่ะมั้ง
"แถวนี้! ลุก!" ทันทีที่กลุ่มคนที่จอดรับขึ้นมาทีหลังลงไปจากรถ นายทหารชุดพรางก็ออกคำสั่ง และชี้มือมาที่แถวที่ผมนั่งอยู่เพราะเป็นแถวติดช่องกลางของรถ
"ปิ๊ด! ให้ไว! ให้ไว!" พวกผมต่างกุลีกุจอหยิบสำภาระที่ติดตัวมาและลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆเดินตามกันลงมาจากรถ ดีนะผมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเพราะสัสดีบอกว่าไม่จำเป็นเนื่องจากที่ศูนย์ฝึกเขามีให้หมดเอาแค่บัตรประชนมาก็พอ ผมเลยมีแค่กระเป๋าตังค์ บุหรี่ ไฟแช็ค และเงินติดกระเป๋าร้อยกว่าบาท... แต่หารู้ไม่ว่า หายนะกำลังจะมาเยือนผมแล้ว....
"โห... ของจริงว่ะ!" ผมหันไปพูดกับไอ้เต่าที่เดินตามหลังมาเพราะนั่งอยู่เเถวเดียวกัน มันได้แต่ยิ้มแหยๆ หน้าเจื่อนลง ส่วนผมนั้นบอกเลย...โคตรตื่นเต้น ฮ่าๆๆ
"ขอให้โชคดีนะพลทหาร" เสียงนายทหารควบคุมรถพูดอวยพรให้กับพวกผมก่อนลงมาจากรถ
พอลงมากันหมดผมเห็นไอ้น้องคนนั้นยืนเข้าแถวอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย มีประมาณเกือบสิบคน แล้วมีคนมารับและพาเดินแยกออกไปอีกทาง ผมเลยเลิกสนใจมัน หันมาสนใจกับสิ่งที่รอผมอยู่ข้างหน้าดีกว่า...
"พลทหารปรเมศ ใจหาญ ใช่มั้ย ?"
"ขะ! ครับ!" ผมไม่คุ้นกับคำนำหน้าชื่อ เลยออกอาการประหม่า พูดติดๆขัดๆเมื่อพี่ทหารมาเช็คชื่อ แล้วยื่นกระดาษใบเล็กๆให้ ระบุชื่อ-นามสกุล ตรวจสอบความถูกต้องเสร็จก็เขียนตัวเลขลงไปบนกระดาษ ๒ ชุดตัวเลขคือ */*,***
"รักษากระดาษใบนี้เท่าชีวิต" พี่เขากำชับอีกครั้งก่อนจะดันหลังผมให้เข้าไปยังตัวอาคาร น่าจะป็นอาคารอบรมนะ เพื่อไปตรวจสิ่งผิดกฏหมายและของต้องห้าม
ผมพยายามมองหาพวกไอ้ป๋อง ไอ้พล ไอ้เต่า ต่างกระจัดกระจายกันหมดเลยเห็นแต่ไอ้เต่าอยู่ไกลๆ ผมสูดลมหายใจอีกครั้ง แล้วเดินเข้าแถวตามเพื่อนๆคนอื่นๆไปเรื่อยๆพร้อมกับหงายกระดาษแผ่นเล็กโชว์ให้ดูไปตลอดทาง
หมั่บ!
"เฮ่ย!" ผมแหกปากด้วยความตกใจเมื่อเดินอยู่ดีๆก็ถูกกระชากแขนให้หลุดออกมาจากแถว
"จะแหกปากทำซากอะไรวะ! ตามมานี่" เสียงปรามจากคนที่ดึงผมออกมา ผมเห็นเขาอยู่ในชุดที่ใส่เสื้อแบบเดียวกับที่ผมใส่แต่มีชื่อเขียนที่หน้าอกตัวเบ้อเร่อและตัวเลขไทย ๓ ตัว ใต้ล่างของชื่อ ใส่กางเกงขายาวสีกากี รองเท้าหนังสีดำ ผมจำต้องเดินตามมาแต่โดยดี...
"ขอบัตรประชาชนด้วยน้อง" คราวนี้เป็นเสียงของคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่งกายแบบเดียวกันกับคนเมื่อกี้ ผมเลยยื่นบัตรประชาชนให้ไป เห็นก้มเขียนอะไรยุกยิกๆสักพัก แล้วเงยหน้ามาบอกกับผมอีกครั้ง
"ไปรับชุดและวัดไซส์รองเท้าทางนั้น เสร็จแล้วไปรอที่คนถือป้าย ร้อย X พัน X นะ" คนเดิมบอกกับผม ผมก็พยักหน้ารับแล้วหันไปมองหาป้ายที่ว่านี้ เห็นคนยืนชูป้ายอยู่ข้างตัวอาคารด้านนอก หัวเกรียนๆแต่งกายด้วยเสื้อแบบเดียวกับที่ผมใส่ มีชื่อเเละตัวเลขเขียนไว้ที่หน้าอก แต่ใส่กางเกงขาสั้นสีกากี รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล...
"หึ! หึ! เหมือนจะได้กลับเด็กนักเรียนอีกรอบเลยว่ะ!" ผมหัวเราะเบาๆในลำคอ เมื่อคิดสภาพตัวเองจะต้องใส่แบบคนที่ยืนชูป้ายคนนั้น ขืนปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาสิ! พื้นที่ทุกตารางนิ้วบนตัวผมจะได้กลายเป็นสถานีจอดตีนเป็นแน่..
ระหว่างรอคิวผมหันมองสำรวจรอบๆ ในกลุ่มของคนที่เพิ่งมาพร้อมๆกันกับผม เห็นบางคนยังใส่เสื้อพลเรือนบางคนใส่เสื้อเหมือนผม บางคนก็หัวเกรียนแล้ว บ้างหลากสีสันหลากหลายทรง อีกไม่นานก็คงจะเป็นทรงเดียวกันหมด 'ทรงแก๊งหัวเกรียน'
*
เข็มสั้นของนาฬิกาเรือนใหญ่บนผนังของอาคารชี้เลยเลข ๘ ไปเกินครึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีรถบัสทหารเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในมือของผมตอนนี้ถือถุงทะเลสีกรมท่าที่มีชุดที่เพิ่งจะได้รับมาใหม่กี่ชุดไม่รู้ รองเท้าผ้าใบสีขาวกับสีน้ำตาลสีละคู่ ถุงเท้า บรรจุอยู่ถายใน เดินเข้าไปรวมกับคนอื่นๆอยู่หลังคนชูป้ายที่ยืนหาวหวอดๆอยู่
ไม่นานก็รวมกลุ่มกันได้ประมาณ ๘ คน ไอ้คนที่ยืนชูป้ายอยู่ก็ส่งป้ายให้อีกคนที่แต่งตัวเหมือนกัน แล้วเดินไปบอกคนที่นั่งจดชื่อที่โต๊ะ และกลับมาหาพวกผม
"ป่ะ! เดี๋ยวพาขึ้นกองร้อย!"
ห๊ะ! เพิ่งมาวันแรกได้ขึ้นกองร้อยเลยหรือวะ!.มันต้องฝึกก่อนไม่ใช่หรือไง! ถึงจะได้ขึ้นกองร้อย! อะไรหว่าาา มาถึงปุ๊บ! ได้ขึ้นกองร้อยปั๊บ!
ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เพราะถ้ามัวแต่ยืนสงสัยอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะตามพวกไม่ทัน แป๊บเดียวหันมาอีกที แม่ง! เดินหายไปในความมืดแล้ว เห็นหลังไวๆ ผมเลยรีบเดินจ้ำเพื่อที่จะตามให้ทัน แต่...... หายจ้อย!
"แม่ง! พากันเดินเร็วชิบหาย รอไปรอบหน้าก็ได้วะ!" ผมเดินบ่นพึมพำกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง คราวนี้ท่าจะนาน เพราะมีแค่ผมกับคนชูป้ายกันแค่นั้น
"เพ่! ถ้าจะพาขึ้นกองร้อยเรียกผมด้วยนะ! ไม่ไหวว่ะ!" ผมหันไปบอกคนชูป้ายแล้วนั่งกอดถุงทะเลไว้แน่นเอนพิงเสากอดเข่าแล้วผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย
"นาย! นาย! ตื่นๆ ไปกันได้แล้ว" ผมสะดุ้งตื่นเมื่อไอ้คนที่ชูป้ายมาสะกิดปลุกซะแรง ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนเล็กน้อย มองคนที่ยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้า ตกลงมันใช้อะไรสะกิดผมก็ไม่รู้ คงเป็นมือแหละ!! คิดมาก...
พอตั้งสติได้ผมก็หันมองไปรอบๆตัว เห็นมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก ๕-๖ คนยืนตั้งแถวรอแล้ว ผมเลยลุกไปต่อแถวเดี๋ยวไม่ทันอีก คราวนี้คงต้องได้นอนตรงนี้แน่ๆ กองรงกองร้อยไม่ต้องไปกันละ
"รอด้วยๆ! พี่ยักษ์! รอผมดวยครับ!" เสียงห้าวๆดังมาด้านหลังผมจึงหันไปมอง
"เฮ่ย!" ผมถึงกับตกใจเพราะไอ้คนที่เพิ่งจะวิ่งมาทีหลังฉีกยิ้มกว้างและแสดงอาการดีใจอย่างปิดไม่มิด แม่ง! ถึงว่าเรียกผม พี่ยักษ์ ไอ้เด็กเปรต! ไม่สิ! มาเป็นทหารด้วยกัน ต้องอายุเท่ากันดิ!
"พี่ๆ! พี่ยักษ์ผมจำพี่ได้! พี่ที่ผมเดินไปชนบนรถเมื่อหัวค่ำใช่มั้ยครับ! พี่จำผมได้ใช่มั้ย" ไอ้ตัวเปี๊ยกนั่นพ่นไฟใส่ผมรัวๆพลางขยับถุงทะเลให้ถือได้ถนัด แต่ผมเห็นท่าทางแล้วก็รู้สึกเอ็นดู คิดถึงบักจ่อยขึ้นมาทันที...
"อ้าว! ไอ้ตัวกะเปี๊ยกนี่หว่า! หึ!หึ!" ผมเลยแกล้งแหย่มันไปในขณะที่เดินตามเพื่อนไปด้วย คราวนี้ผมไม่ให้คลาดสายตาแน่นอน
"โห่! ทำไมชอบเรียกผมไอ้เปี๊ยกวะ! ผมชื่อนะโมโว้ย"
"ทีมึงยังเรียกกูว่ายักษ์ได้เลยทำไมกูจะเรียกมึงตัวกะเปี๊ยกไม่ได้"
"ถึงผมจะตัวกะเปี๊ยก ผมก็สู้คนนะ!" มันพูดพร้อมกับตั้งการ์ดขึ้นเหมือนจะสู้ จนถุงทะเลที่หอบมาเหวี่ยงไปอีกด้าน ทำเอาเจ้าตัวถึงกับเซ
"ฮ่าๆๆๆๆๆ" เพื่อนๆในแถวหันมาเห็นพอดีต่างก็หัวเราะเยาะในความมืดแต่สงสัยจะเสียงดังเกิน ไอ้คนชูป้ายที่พาเดินมาเลยหันมาปรามเอา...
"เบาๆหน่อยดิเพื่อน! มันดึกแล้วนะ! คนอื่นเขานอนกันหมดแล้ว เดี๋ยวก็โดนเรียกไปแดกกันหมดนี่หรอก"
"ผะ! ผมขอโทษครับ! จิ๊!" ไอ้เปี๊ยกนั่นกล่าวขอโทษเสียงไม่ดังมาก แต่ยังมิวาย หันมาทำหน้ามุ่ยจิ๊ปากใส่ผมอีก
เอ้า! ไอ้นี่! กูกับมึงเพิ่งจะเจอกันวันแรกเองนะเว่ย! เออเฮอะ! ท่าทางปากแจ๋วเหมือนกันนี่หว่า...
"ห๊ะ! ถึงกับต้องแดกหัวกันเลยหรือวะ!" หนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่เดินแถวมาด้วยกันเอ่ยขึ้น ผมก็ได้แต่ฟังและเดินตามไปเงียบๆ คอยชำเลืองมองไอ้เปี๊ยกข้างหลังเป็นระยะๆ พลางคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงวะ! ยังกะเดินข้ามเขาสามลูก ให้ตายเหอะ...
"เดี๋ยวเลี้ยวขวามือข้างหน้าเดินขึ้นไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว แต่เดินระวังๆกันหน่อยนะพวก! ทางมันขรุขระ มันเป็นทางลัดน่ะ!" ไอ้คนพามามันหันมาบอกพวกผม
"ไหวหรือเปล่าไอ้เปี๊ยก! มากูช่วยถือ!" ผมหยุดเดินเมื่อเห็นว่าปลายทางอยู่ซ้ายมือข้างหน้าอีกไม่กี่สิบเมตร แล้วหันหลังกลับไปถามไอ้ตัวกะเปี๊ยกที่เดินรั้งท้าย แต่เริ่มทิ้งห่างเกือบสิบเมตรแล้ว พลางยื่นมือไปหวังจะช่วย
"ไหวน่าาา! โว๊ะ!" มันเดินมาถึงก็ปัดมือผมทิ้ง ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินตามเพื่อนๆไป
"แม่งปากแจ๋วชิบหาย...!"
"ผลั่ก! ตุ่บ!" พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเหมือนกระสอบหล่นลงพื้นดังตุ่บมาจากด้านหลัง
"เฮ้ออออ! กูว่าละ!" ผมถอนหายใจแรงอีกครั้งพร้อมกับบ่นเบาๆและส่ายหัวให้กับความอวดเก่งของไอ้เปี๊ยกปากแจ๋วเมื่อกี้ เพราะเมื่อผมหันกลับไปก็เห็นลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นซะแล้ว
หมั่บ!
"เฮ่ย!"
"เงียบน่าา แล้วอย่าทำเป็นเก่ง"
ผมก้มลงไปคว้าถุงทะเลของมันมาถือรวมกับของผม แล้วอีกมือก็คว้าแขนหิ้วปีกให้มันลุกขึ้นยืน แต่เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่และเพื่อนๆก็ไปยืนแถวรอหน้ากองร้อยแล้ว ผมเลยกึ่งหิ้วกึ่งลากมันให้ออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด จะได้ไปรวมแถวกับคนอื่นๆ
------------------------------
------------------------------
เฮ้อ... แค่ก้าวแรกที่มาเหยียบศูนย์ฝึกฯ บักคิง! ไม่สิ! ต้องเรียกพลทหารคิงคองของเราก็เหมือนจะเจอเรื่องปวดหัวเข้าให้ซะแล้วสินะ.... เรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นใบเเดงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว...
---------------------------
๑ เม้น = ๑ กำลังใจ
กราบขอบพระคุณที่ไม่ทอดทิ้งบักคิง ฮื่อออ...
พลทหารคิง
------------------------
《《 ...โปรดติดตาม ตอนต่อไป... 》》
Love เลย
ยังไม่เคยสมัครสมาชิกในธัญวลัย แต่เดี๋ยวลองดูครับ สนุกมากครับ ขอบคุณ ขอบคุณครับผม ขอบคุณมากๆ ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ ขอบคุณครับ ข อ บ คุ ณ ค รั บ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]