ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 15
| Noctis Grand Medical Center - ศูนย์การแพทย์น็อกทิสแกรนด์
บรรยากาศภายในโรงพยาบาลเอกชนเงียบสงบ แสงไฟสีขาวนวลให้ความรู้สึกสะอาดและเป็นระเบียบ กลิ่นยาฆ่าเชื้อจาง ๆ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศ
เสี่ยวไป๋เดินนำเจบีเข้าไปในห้องตรวจของกาย คุณหมอหนุ่มที่ดูจะคุ้นเคยกับเขาดี กายกอดอกพิงโต๊ะ มองเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางเจบีที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ
“แผลดีขึ้นหรือยังครับ?” กายถาม ขณะกวาดตามองคนไข้ที่เขาเคยดูแลเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ดีขึ้นมากแล้วครับ” เจบีตอบเสียงเรียบ แม้จะยังรู้สึกตึง ๆ อยู่บ้างตรงซี่โครง แต่โดยรวมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากนัก
กายพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มประวัติของเจบีที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเปิดดู “ขออนุญาตตรวจดูแผลอีกครั้งนะครับ”
เจบีถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นรอยช้ำที่เริ่มจางลง กายใช้นิ้วกดเบา ๆ ตามแนวซี่โครงเพื่อดูปฏิกิริยา สังเกตสีหน้าของเจบีที่ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดเท่าไหร่นัก
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แผลดีขึ้นมาก เส้นเอ็นไม่ได้รับความเสียหาย ส่วนกล้ามเนื้อที่ตึงก็เป็นเรื่องปกติ” กายกล่าวพลางปิดแฟ้ม “แต่ถ้าคุณยังรู้สึกปวดอยู่บ้าง สามารถกินยาแก้ปวดได้ครับ”
“ขอบคุณครับ” เจบีตอบ ขณะกำลังติดกระดุมเสื้อกลับ
เสี่ยวไป๋ที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ “งั้นเขาพร้อมเดินทางได้แล้วใช่ไหม?”
“อืม ถ้าถามว่าเดินทางได้ไหม ก็ไม่มีปัญหา แต่อย่าเพิ่งหักโหม” กายตอบ ก่อนจะหันไปมองเจบีอีกครั้ง “แล้วก็… พักผ่อนให้เพียงพอ”
เจบีพยักหน้ารับ รู้ดีว่าคำพูดของกายไม่ได้เป็นแค่คำแนะนำทั่วไป แต่เหมือนจะเป็นการสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับเขาด้วย
เสี่ยวไป๋ยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะ แต่ก็คงไม่ปล่อยให้ตายหรอก”
กายส่ายหน้าน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ขณะที่เจบีได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ กับคำพูดของเสี่ยวไป
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกนายก็ไปได้” กายปิดแฟ้มลงเป็นเชิงบอกว่าเสร็จสิ้นการตรวจ
เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้ารับก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องตรวจ เจบีเดินตามหลังไปเงียบ ๆ
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล เสี่ยวไป๋ไม่ได้พาเขากลับบ้านทันที แต่ขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยไม่บอกจุดหมาย
“เราจะไปไหนกันต่อครับ?” เจบีเอ่ยถาม ขณะมองวิวข้างทางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
“นายยังไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับเดินทาง ไปจัดการเรื่องนั้นก่อน” เสี่ยวไป๋ตอบเสียงเรียบ มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย อีกข้างวางอยู่บนคันเกียร์ ท่าทางสบาย ๆ
เจบีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปิดไม่มิดว่าแอบเหนื่อยใจ
“เสื้อผ้าเมื่อวันก่อนยังเพิ่งใส่ได้แค่สองชุดเองนะครับ…” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ “จำเป็นต้องซื้อเพิ่มด้วยเหรอครับ?”
เสี่ยวไป๋ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองถนน “ถ้าฉันบอกว่าจำเป็น ก็คือจำเป็น”
เจบีถอนหายใจเบา ๆ ดูเหมือนว่าเสี่ยวไป๋จะเป็นประเภทที่ไม่ให้ใครขัดคำสั่งง่าย ๆ ถ้าเขาตัดสินใจแล้วก็คือจบ
“ครับ…” เขาตอบรับอย่างปลง ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับออกไปมองวิวข้างทาง พลางถอนหายใจยาวในใจ
8:17 PM – ห้างหรูใจกลางลอนดอน
เสียงเครื่องยนต์เงียบลงเมื่อรถจอดสนิทหน้าอาคารหรูหรา แสงไฟจากภายในส่องผ่านกระจกสูงโปร่ง เผยให้เห็นบรรยากาศโอ่อ่าด้านใน ผู้คนที่แต่งกายดีเดินเข้าออกกันไม่ขาดสาย ประตูอัตโนมัติเปิดปิดเป็นจังหวะ ส่งเสียงเบา ๆ เข้ากลมกลืนกับบรรยากาศโดยรอบ
อากาศยามค่ำคืนของลอนดอนเย็นสบาย ลมพัดเอื่อย ๆ สอดแทรกผ่านแนวอาคารสูง เจบีมองออกไปนอกรถ แสงไฟจากร้านค้าระยิบระยับสะท้อนลงบนพื้นกระเบื้องสะอาดสะอ้าน ทุกอย่างดูหรูหราและเป็นระเบียบ
เสี่ยวไป๋ปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยไม่พูดอะไร เจบีมองตาม ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเปิดประตูลงตามไป เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในอาคารที่เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนมหรูหรา
ภายในห้างหรู ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างประณีต ไฟสีอุ่นส่องกระทบสินค้าแบรนด์เนมที่เรียงรายเป็นระเบียบ ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูหรูหราและเป็นทางการ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างแต่งตัวดี ดูแล้วรู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้ามาเดินเล่นได้ง่าย ๆ
“เราจะซื้ออะไรบ้างครับ?” เจบีเอ่ยถาม ขณะมองรอบตัว
“ทุกอย่างที่นายต้องใช้” เสี่ยวไป๋ตอบเรียบ ๆ
เจบีคิดว่า ‘ทุกอย่าง’ ที่ว่า คงหมายถึงแค่เสื้อผ้าสำหรับเดินทาง แต่เขาคิดผิด
เสี่ยวไป๋ไม่เพียงแค่เลือกเสื้อผ้า แต่ยังจัดเต็มตั้งแต่รองเท้า กระเป๋าเดินทาง นาฬิกา ของใช้ส่วนตัว ไปจนถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีที่เจ้าตัวอ้างว่า “จำเป็น” สำหรับการเดินทาง
เมื่อพนักงานร้านถามว่า “รับกี่ชิ้นดีคะ?”
เสี่ยวไป๋เพียงแค่ปรายตามองแล้วตอบสั้น ๆ “เอาหมด”
เจบีมองกองของตรงหน้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณไม่คิดจะถามผมก่อนเหรอครับว่าผมอยากได้อะไรบ้าง?”
“นายเป็นผู้ช่วยของฉันตอนนี้ นายต้องมีของที่เหมาะสมกับตำแหน่ง” เสี่ยวไป๋ตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูอะไรบางอย่าง “อีกอย่าง ฉันไม่มีเวลามาเดินเลือกทีละชิ้นให้เสียเวลา
เจบีถอนหายใจยาว เขาคิดไว้แล้วว่าต่อให้พูดอะไรไป ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนใจเสี่ยวไป๋ได้
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ของทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อย เสี่ยวไป๋ยืนกอดอกมองกองของที่พนักงานกำลังแพ็กอย่างใจเย็น ราวกับกำลังซื้อของทั่วไป ไม่ใช่เหมาทั้งร้าน
“ของทั้งหมดนี้จะส่งไปที่บ้านให้ ขึ้นรถได้แล้ว”
เจบีมองกองของมหาศาลตรงหน้าแล้วได้แต่ส่ายหน้า แม้จะไม่คุ้นชินกับการใช้เงินมือเติบแบบนี้ แต่ก็รู้ว่าปฏิเสธไปก็เปล่าประโยชน์
ขณะที่กำลังเดินกลับไปที่รถ เจบีก็เอ่ยถามขึ้น “แล้วแผนการเดินทางล่ะครับ เราจะไปกี่วัน?”
“ขึ้นอยู่กับงาน ถ้าไม่มีปัญหาก็แค่สองสามวัน” เสี่ยวไป๋ตอบก่อนจะหันมามองเขานิ่งๆ “แต่ถ้ามีปัญหา…ก็นานเท่าที่จำเป็น
—
สองวันก่อนออกเดินทาง บรรยากาศในบ้านพักของเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แม้เจ้าตัวจะดูสงบนิ่งและไม่แสดงอารมณ์มากนัก แต่จากจำนวนลูกน้องที่เข้าออกบ้านไม่ขาดสาย ก็บอกได้ชัดเจนว่ามีเรื่องให้จัดการไม่น้อย
เสี่ยวไป๋นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน มือหนึ่งถือโทรศัพท์คุยเรื่องเอกสารการเดินทาง อีกมือเลื่อนดูตารางงานที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อนออกเดินทาง
ส่วนเจบี…
นั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา หันหน้ามองเพดานไปเรื่อยเปื่อย
เขาไม่ได้มีอะไรต้องทำเป็นพิเศษ หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล งานที่ได้รับมอบหมายก็มีเพียง “เตรียมตัวให้พร้อม” ซึ่งฟังดูง่าย แต่ความจริงแล้วกลับทำให้เขาปวดหัวไม่น้อย
เขาเพิ่งจะ “ถูกบังคับ” ให้ชอปปิ้งเสื้อผ้าไปเมื่อสองวันก่อน แล้ววันนี้เสี่ยวไป๋ก็โยนกระเป๋าเดินทางให้เขา พร้อมคำสั่งเรียบ ๆ
“จัดกระเป๋าให้เรียบร้อย”
ง่ายดี… ใช่ไหม?
เจบีถอนหายใจยาว เขาไม่ใช่คนที่ชอบพกของเยอะ เท่าที่เดินทางมาทั้งชีวิต กระเป๋าใบเดียวก็พอแล้ว เสื้อผ้าไม่กี่ชุด ของใช้ส่วนตัวพื้นฐาน และเอกสารสำคัญ ไม่เกินนี้
“นั่นมันอะไร?”
เสียงเย็น ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เจบีหันไปมอง ก็พบว่าคนที่กำลังวุ่นวายเมื่อครู่เดินเข้ามาใกล้แล้ว มองกระเป๋าเดินทางของเขาด้วยสายตาเรียบเฉย
“ของที่จำเป็นครับ”
เสี่ยวไป๋กอดอก “นายคิดว่าไปทำงานกับฉัน จะเอาเสื้อแค่สองสามชุดพอหรือไง?”
“ก็ผมไม่อยากแบกของเยอะ…”
“หึ” เสี่ยวไป๋แค่นเสียง ก่อนจะก้มลงเปิดกระเป๋าของเขาเองโดยไม่ขออนุญาต
แล้วก็ โยนของบางอย่างออกมา
“เสื้อยืดนี่ไม่เอา”
“ทำไมล่ะครับ?”
“มันดูไม่เป็นทางการ”
“ผมไม่คิดว่าจะต้องไปเดินแบบ…”
“แต่ฉันไม่อยากให้ผู้ช่วยของฉันแต่งตัวเหมือนคนเร่ร่อนไร้จุดหมาย”
เจบีกลอกตา ก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ แล้วมองตามมือของเสี่ยวไป๋ที่หยิบของออกจากกระเป๋าเขาทีละชิ้น
โอเค… นี่มันเกินไปแล้ว
“แล้วคุณจะให้ผมใส่อะไรครับ?”
เสี่ยวไป๋ไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่เดินไปที่กองเสื้อผ้าจากการชอปปิ้งเมื่อวันก่อน แล้วเริ่มเลือกของใหม่เองทั้งหมด
สูท เสื้อเชิ้ต รองเท้า นาฬิกา และแม้แต่ของใช้ส่วนตัวที่เขาไม่ได้คิดว่าจำเป็น
“คุณจะให้ผมใส่สูทเดินตลาดที่จีนหรือไงครับ?
“นายก็ใส่เวลาที่จำเป็น” เสี่ยวไป๋ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบรองเท้าหนังคู่หนึ่งแล้วยื่นให้ “ส่วนรองเท้า เอาคู่นี้”
เจบีมองรองเท้าหนังสไตล์คลาสสิก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวไป๋ “ผมเดินไปไหนมาไหนเองนะ ไม่ได้ไปนั่งในรถหรูของคุณทั้งวัน”
“ฉันไม่สน”
“…”
“เลือกของที่มันเหมาะกับตำแหน่งนายหน่อย” เสี่ยวไป๋เอ่ยเรียบ ๆ “นายเป็นผู้ช่วยฉันตอนนี้ ไม่ใช่นักท่องเที่ยว”
เจบีอยากจะเถียง…
แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ก็รู้ว่า “เถียงไปก็เท่านั้น”
สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เสี่ยวไป๋จัดการทุกอย่างเองทั้งหมด
เมื่อเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวไป๋ปิดกระเป๋าเดินทาง ก่อนจะปรายตามองเจบี “พรุ่งนี้เจอกันตีห้า”
เจบีสะดุ้ง “ตีห้า?!”
“มีปัญหา?”
“เข้าใจแล้วครับ…”
เสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ทิ้งให้เจบีมองตามแผ่นหลังของเขาพร้อมกับคำถามในใจว่า ‘นี่เขากำลังจะไปทำงาน…หรือเข้าค่ายทหารกันแน่นะ?’
06:15 AM | สนามบินฮีทโธรว์ ลอนดอน
สนามบินยามเช้าคึกคักไปด้วยผู้โดยสารจากหลากหลายเที่ยวบิน เสียงประกาศดังเป็นระยะ พร้อมกับกลิ่นกาแฟจากร้านค้าที่เปิดให้บริการแต่เช้า เสี่ยวไป๋เดินนำเจบีเข้าไปที่โซนเช็คอินของชั้นเฟิร์สคลาส ท่ามกลางพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจและทีมงานที่เดินทางไปพร้อมกัน
แม้ปกติถ้าเป็นงานเร่งด่วนเสี่ยวไป๋จะใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัว แต่ครั้งนี้ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น และเขาก็อยากใช้เวลาเดินทางให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนหรือเคลียร์งานบางส่วนที่ยังค้างอยู่ นอกจากนั้น การเดินทางร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจก็ทำให้เขาสามารถใช้เวลานี้พูดคุยรายละเอียดเพิ่มเติมได้สะดวกขึ้น
หลังจากผ่านขั้นตอนเช็คอินและตรวจสัมภาระเรียบร้อย เสี่ยวไป๋เดินเข้าไปยังห้องรับรองผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบิน นั่งลงที่โซฟาหนังสีเข้มพลางหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูข้อมูล ส่วนเจบีได้แต่นั่งมองไปรอบ ๆ พยายามซึมซับบรรยากาศ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูเป็นเรื่องปกติสำหรับเสี่ยวไป๋และทีมงานของเขา
การเดินทางในฐานะ “ผู้ช่วย” ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มดึงเขาเข้าสู่วงในทีละนิด และมันก็คือสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปไม่นานก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เที่ยวบินชั้นเฟิร์สคลาสดูเงียบสงบกว่าที่เจบีคิดไว้ เสี่ยวไป๋เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ส่วนเจบีได้นั่งติดกับเขา ด้านหน้าเป็นจอส่วนตัวขนาดใหญ่ พื้นที่โดยรอบกว้างขวางและเป็นส่วนตัวมากพอสมควร ขณะที่พนักงานต้อนรับเดินมาให้บริการเป็นระยะ
หลังจากเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าไปได้ไม่นาน นักธุรกิจชาวต่างชาติที่นั่งไม่ไกลเริ่มแสดงอาการเมาอย่างเห็นได้ชัด ชายคนนั้นพยายามเรียกพนักงานต้อนรับครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงของเขาเริ่มดังขึ้นจนผิดปกติ คนรอบข้างเริ่มหันมามองอย่างรำคาญ รวมถึงเสี่ยวไป๋ด้วย
“ขอโทษนะครับ รบกวนช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม” เจบีที่นั่งอยู่ใกล้กับเขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ พยายามรักษากิริยาไม่ให้เกิดปัญหา
แต่แทนที่จะสงบลง ชายคนนั้นกลับเลิกคิ้วขึ้นแล้วแค่นหัวเราะ “อะไรนะ? นายเป็นใครถึงกล้ามาสั่งฉัน?”
พนักงานต้อนรับพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยแต่ก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มไม่พอใจที่มีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวมากขึ้น และในจังหวะที่เจบีเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากโต๊ะด้านข้าง ชายคนนั้นก็ยื่นมือออกมาเหมือนจะคว้าแขนของเขา
แต่ไม่ทันได้แตะตัว…มือของเสี่ยวไป๋ก็ยื่นออกมาจับข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น
สัมผัสนั้นไม่ใช่แค่การรั้งเอาไว้เฉย ๆ แต่มันเต็มไปด้วยแรงกดดันที่หนักพอจะทำให้ชายคนนั้นสะดุ้ง ดวงตาของเสี่ยวไป๋ฉายแววเย็นชา ราวกับเตือนกลาย ๆ ว่าถ้ายังไม่หยุด เขาอาจจะได้รับบทเรียนที่หนักกว่านี้
“ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะรีบกลับไปนั่งดี ๆ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” น้ำเสียงของเสี่ยวไป๋เรียบนิ่งแต่ทรงพลัง และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายคนนั้นหน้าเสีย
“ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เขาพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบหดมือกลับไปนั่งสงบเสงี่ยม ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปทางนี้อีก
พนักงานต้อนรับรีบเข้ามาขอโทษและพาตัวชายคนนั้นออกไป ทิ้งให้บรรยากาศกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
เจบีเหลือบตามองเสี่ยวไป๋แวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ “ขอบคุณครับ”
เสี่ยวไป๋ไม่ได้ตอบอะไร แค่หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาดูข้อมูลบางอย่าง ราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงแค่เหตุการณ์เล็ก ๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ
ไม่นานนัก พนักงานต้อนรับก็เข็นรถเสิร์ฟอาหารเข้ามา บริการผู้โดยสารเฟิร์สคลาสเป็นลำดับแรก กลิ่นหอมของอาหารลอยอบอวลในอากาศ ทำให้เสี่ยวไป๋ที่นั่งหลับตาอยู่ก่อนหน้านี้ ลืมตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเจบี
“นายอยากกินอะไร?” เขาถามเรียบ ๆ พลางขยับตัวให้สบายขึ้น
เจบีก้มลงมองเมนูที่พนักงานยื่นให้ รายการอาหารเต็มไปด้วยตัวเลือกสุดหรู ไม่ว่าจะเป็น ‘สเต๊กวากิวระดับ A5’ หรือ ‘ล็อบสเตอร์อบชีส’ เขาไม่ใช่คนเลือกมาก แต่การต้องมานั่งเลือกระหว่างเมนูอาหารที่ราคาแพงกว่าอาหารทั้งสัปดาห์ของเขาก็ทำให้รู้สึกแปลก ๆ อยู่ไม่น้อย
“คุณจะกินอะไรล่ะครับ?” เขาหันไปถามแทน
เสี่ยวไป๋เหลือบตามองเมนูผ่าน ๆ ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ “อะไรก็ได้”
ว่าแล้วเขาก็สั่งอาหารแบบไม่ต้องคิดมาก เจบีจึงเลือกตามไปอย่างว่าง่าย ไม่อยากเสียเวลานั่งพิจารณามากกว่านี้
ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ เสี่ยวไป๋หยิบแท็บเล็ตขึ้นมา กวาดสายตามองเอกสารบางอย่างบนหน้าจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงปลายนิ้วที่เลื่อนหน้าจอไปเรื่อย ๆ อย่างตั้งใจ
เจบีมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “งานที่จีนของคุณ… เกี่ยวกับอะไรครับ?”
เสี่ยวไป๋เหลือบตามองเขา ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ แล้วโยนคำถามกลับมา “ทำไม นายสนใจ?”
“ก็ในเมื่อผมต้องเดินทางไปกับคุณ คงต้องรู้บ้างล่ะครับ” เจบีตอบตามตรง
เสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะปิดหน้าจอแท็บเล็ต แล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ท่าทางดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ต้องคิดมาก แค่ไปดูงาน เจรจา แล้วก็ตรวจสอบเส้นทางขนส่งบางอย่าง”
คำตอบฟังดูธรรมดา แต่เจบีรู้ดีว่า ถ้าเป็นงานทั่วไป เสี่ยวไป๋คงไม่ต้องลงมาดูเองแบบนี้
“แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ?” เขาถามต่อ
“ก็คอยฟังเงียบ ๆ จำให้ได้ว่าฉันพูดอะไร และสังเกตว่าพวกนั้นมีปฏิกิริยายังไง”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำให้เต็มที่”
7:15 PM | สนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง
เสียงประกาศเที่ยวบินดังขึ้นทั่วอาคารสนามบินขนาดใหญ่ ผู้โดยสารมากมายเดินขวักไขว่ เสียงล้อกระเป๋าลากครูดไปตามพื้น เสี่ยวไป๋และเจบีเดินออกมาจากโซนผู้โดยสารขาเข้าอย่างไม่รีบร้อน ด้านหลังของพวกเขาคือทีมงานบางส่วนที่เดินทางมาพร้อมกันในเที่ยวบินเดียวกัน
ทันทีที่ออกมาถึงโถงรับรองด้านนอก กลุ่มชายในชุดสูทสีดำหลายคนก็ยืนรออยู่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาโค้งศีรษะให้เสี่ยวไป๋เล็กน้อยอย่างให้ความเคารพ
“ยินดีต้อนรับครับท่าน”
ชายคนหนึ่งก้าวออกมา ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญนำทางไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านหน้า
เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้เจบีเดินตามไป ขณะที่ทีมงานบางส่วนแยกย้ายขึ้นรถคันอื่น
เจบีเดินตามเสี่ยวไป๋ไปขึ้นรถเงียบ ๆ พลางกวาดตามองรอบตัวโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต แม้เขาจะไม่ได้มาเซี่ยงไฮ้บ่อยนัก แต่ก็รู้ดีว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจมืดระดับนานาชาติ เครือข่ายใต้ดินที่ซับซ้อนทำให้ที่นี่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
เมื่อก้าวออกจากอาคารผู้โดยสาร รถยนต์สีดำเงาวับหลายคันจอดรออยู่ที่หน้าสนามบินแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นรถที่ถูกเตรียมไว้สำหรับเสี่ยวไป๋โดยเฉพาะ คนขับรถเปิดประตูทันทีที่เห็นพวกเขา
เสี่ยวไป๋ก้าวขึ้นนั่งเบาะหลังอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะที่เจบีเดินตามขึ้นไปนั่งข้างเขาโดยไม่พูดอะไร ประตูปิดลงอย่างนุ่มนวล และขบวนรถเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน มุ่งหน้าสู่ใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้
8:00 PM | คฤหาสน์เสี่ยวไป๋ – เขตผู่ตง, เซี่ยงไฮ้
รถคันหรูแล่นเข้ามาหยุดที่หน้าคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นขนาดใหญ่ ประตูรั้วอัตโนมัติเปิดออกโดยไม่ต้องรอให้คนขับรถลงไปกด สวนที่ได้รับการดูแลอย่างดีทอดยาวไปจนถึงตัวอาคาร บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ชัดเจน
เจบีมองตัวบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบ ๆ ขนาดและสถาปัตยกรรมดูไม่ต่างจากบ้านของเสี่ยวไป๋ที่ลอนดอนมากนัก แต่รายละเอียดบางอย่างก็ดูเข้ากับบรรยากาศของเซี่ยงไฮ้มากกว่า
“ลงมา” เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นขณะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปก่อน
เจบีเดินตามออกมา ขณะที่ผู้ดูแลภายในบ้านรีบเข้ามาต้อนรับ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเดินไปเปิดประตู นำทางพวกเขาเข้าไปด้านใน
ภายในคฤหาสน์หรูหราตามมาตรฐานของเสี่ยวไป๋ แต่ออกแบบให้มีโทนสีอบอุ่นกว่าในลอนดอน ห้องโถงกว้างขวางเพดานสูง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นสะท้อนถึงรสนิยมของเจ้าของบ้าน
“เหนื่อยก็นอนไปซะ พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า” เสี่ยวไป๋เอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
เจบีถอนหายใจเบา ๆ เขารู้ว่าเสี่ยวไป๋ไม่ใช่คนที่เสียเวลาพูดจาเยิ่นเย้อ ถ้าเหนื่อยก็นอน ถ้าถึงเวลาก็ทำงาน ไม่มีคำว่าปรับตัว
แม่บ้านและคนดูแลบ้านบางส่วนเข้ามาต้อนรับเงียบ ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามหน้าที่ ราวกับรู้ดีว่าเสี่ยวไป๋ไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครมายืนล้อมหน้าล้อมหลังโดยไม่จำเป็น
“ห้องนายอยู่ชั้นสอง เดี๋ยวฉันให้คนพาไป”
เจบีพยักหน้ารับ แม้จะยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เสี่ยวไป๋เองก็ดูจะไม่ใช่คนที่อธิบายอะไรเยอะอยู่แล้ว
แม่บ้านที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ ขยับเข้ามาพร้อมผายมือเชิญ ก่อนจะเดินนำเขาขึ้นไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
ภายในห้องกว้างขวางกว่าที่เขาคิด เตียงขนาดใหญ่ถูกจัดไว้เรียบร้อย ผ้าม่านสีครีมปล่อยยาวลงมาแตะพื้น ผนังด้านหนึ่งมีหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสวนหลังบ้าน ทุกอย่างสะอาดและเป็นระเบียบจนเจบีอดคิดไม่ได้ว่าคงมีคนดูแลอยู่ตลอดเวลา
เขาวางกระเป๋าลงข้างเตียง ก่อนจะเดินไปหย่อนตัวลงนั่ง เจบีรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดวัน แต่ยังไม่ทันจะได้นั่งพักดี โทรศัพท์ของเขาก็สั่นเบา ๆ
ข้อความจากแคสเปอร์เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
👻 แคสเปอร์:
"ถึงแล้วสินะ? ฉันควรจะพูดว่า ยินดีต้อนรับสู่รังของเสี่ยวไป๋ดีมั้ย?"
เจบีอ่านข้อความแล้วพิมพ์ตอบกลับไปสั้น ๆ
🦊 เจบี:
"อย่าพูดให้ดูน่ากลัวขนาดนั้นสิครับ"
ไม่ถึงสองวินาที ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมา
👻 แคสเปอร์:
"ฉันไม่ได้พูดเกินจริงหรอก นายก็รู้"
เจบีหลุดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน
–
เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า เจบีเหลือบมองเวลาในโทรศัพท์ก่อนจะวางมันลงที่เดิม เขาพลิกตัวไปมาบนเตียง แม้จะรู้ว่าควรนอนพัก แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด
เสียง เคาะประตู ดังขึ้น ทำให้เขาขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อย
"ยังไม่นอน?"
เสียงของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นทันทีที่เจบีเปิดประตูออกไป ชายหนุ่มยังคงสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมไว้หลวม ๆ ท่าทางดูไม่เร่งรีบ แต่ก็ไม่ใช่การมาเพื่อชวนคุยเล่นแน่ ๆ
"ตามฉันมา"
เจบีไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เพียงแค่เดินตามเสี่ยวไป๋ลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์ ระหว่างที่เดินผ่านโถงบ้าน บรรยากาศเงียบสนิท นอกจากเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่สะท้อนกับพื้นหินอ่อน
เสี่ยวไป๋พาเขาเดินลึกเข้าไปด้านหลังคฤหาสน์ ก่อนจะหยุดที่ประตูเหล็กบานหนึ่ง ซึ่งดูแตกต่างจากส่วนอื่นของบ้าน
แกร๊ก
เสียงกลไกปลดล็อกดังขึ้น เสี่ยวไป๋เปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไป ด้านในเป็นห้องลับที่เต็มไปด้วยอาวุธเรียงรายอยู่บนผนัง ตั้งแต่ปืนสั้น ปืนยาว มีด ไปจนถึงอาวุธพิเศษบางอย่าง
เจบีขมวดคิ้วเล็กน้อย แสร้งทำเป็นประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น
"ใช้ปืนเป็นมั้ย?" เสี่ยวไป๋ถามขึ้น ขณะเดินไปหยิบปืนกระบอกหนึ่งขึ้นมา หมุนมันไปมาในมืออย่างคล่องแคล่ว
เจบีส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเรียบ "ไม่เคยใช้ครับ"
จริง ๆ แล้วเขาใช้เป็นทุกอย่าง เพราะถูกฝึกมาโดยเฉพาะ แต่ในตอนนี้ เขาแค่ต้องทำตัวให้ดูใสซื่อและไร้เดียงสาที่สุด
เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำตอบ ก่อนจะละมือจากอาวุธในมือ วางกลับเข้าที่ แล้วเอ่ยขึ้นโดยไม่เสียเวลามากกว่านั้น
"เลือกมา"
"ครับ?"
"ปืน นายต้องมีติดตัวไว้ ฉันไม่สามารถอยู่ช่วยนายได้ตลอดเวลา" เสี่ยวไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ทว่ามีน้ำหนักจริงจัง
เจบีทำเป็นลังเล มองอาวุธตรงหน้าอย่างชั่งใจ ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบปืนพกกระบอกหนึ่งขึ้นมา เสี่ยวไป๋เหลือบตามองเล็กน้อย พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเดินนำเขาไปอีกทางโดยไม่พูดอะไรอีก
ผ่านห้องลับไป มีทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่ด้านหลังของคฤหาสน์ ประตูเหล็กเปิดออก เผยให้เห็น สนามยิงปืนส่วนตัว ที่มีเป้าซ้อมตั้งเรียงรายอยู่
เสี่ยวไป๋ยืนข้างหลังเจบี วางมือบนไหล่เขาเล็กน้อยก่อนจะสอนท่าทางการจับปืนและการเล็ง
"นิ้วอย่าไปแตะไกปืนถ้ายังไม่พร้อมยิง"
"ตั้งศูนย์เล็งให้อยู่ตรงกลาง"
เจบีทำตามคำแนะนำแบบ ‘ไม่คล่อง’ มากนัก เขาแกล้งเล็งผิดไปสองสามครั้ง ทำเหมือนว่ายังไม่ถนัด
เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้ว ก่อนจะจับมือเจบีให้ขยับองศาให้ถูกต้องมากขึ้น "ถ้านายจะพกอาวุธ อย่างน้อยก็ต้องใช้มันให้เป็น"
เจบีพยักหน้า พยายามแสดงสีหน้าตั้งใจที่สุด ก่อนจะเหนี่ยวไก
ปัง!
กระสุนพุ่งเข้าเป้า แม้จะไม่ได้ตรงกลางเป๊ะ แต่ก็ใกล้เคียงกว่าที่คน ‘ไม่เคยจับปืน’ ควรจะทำได้
เสี่ยวไป๋มองเขานิ่ง ๆ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ "…ไม่เลว"
"บังเอิญมั้งครับ" เจบีรีบแก้ตัว ทำเป็นหัวเราะแห้ง ๆ
เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เพียงแค่ปรายตามองเขา ก่อนจะโยนแม็กกาซีนกระสุนมาให้ "ซ้อมต่อ นายต้องยิงให้แม่นกว่านี้"
เจบีแสร้งถอนหายใจเบา ๆ ทำเหมือนคนที่ถูกบังคับให้เรียนรู้อะไรที่ตัวเองไม่อยากทำ แต่สุดท้ายก็รับกระสุนมาเปลี่ยนโดยไม่ปฏิเสธ ขยับนิ้วเติมแม็กกาซีนอย่างเคยชินแต่จงใจทำให้ดูติดขัดเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
เสี่ยวไป๋ยืนกอดอก มองเขาด้วยแววตาครุ่นคิด "นายดูคล่องกว่าที่คิดนะ"
เจบีชะงักไปเสี้ยววินาที แต่รีบกลบเกลื่อนด้วยการยักไหล่ก่อนจะหันไปตั้งสมาธิกับเป้าอีกครั้ง เขาตั้งใจยิงพลาดเล็กน้อย กระสุนเฉียดออกนอกจุดสำคัญไป
"เห็นไหมล่ะครับ ผมไม่ได้ถนัดสักหน่อย" เขาหันไปหัวเราะเจื่อน ๆ ขณะส่งปืนคืนให้เสี่ยวไป๋
อีกฝ่ายยังคงจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับพยายามอ่านอะไรบางอย่างจากท่าทางของเขา ก่อนจะรับปืนไปถือไว้เอง
"งั้นก็ซ้อมให้มากขึ้น" เสี่ยวไป๋พูดเรียบ ๆ แล้วดึงปืนขึ้นเล็ง ยิงเป้าแบบไม่ต้องเสียเวลาประเมิน ตรงกลางเป้าทุกนัด
เจบีทำเป็นชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋ยิงได้แม่นยำขนาดนั้น กระสุนทุกนัดพุ่งตรงเข้ากลางเป้าแทบไม่พลาดเป้าเลยสักครั้งเดียว
เขาแสร้งเบิกตาขึ้นเล็กน้อย พลางกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทึ่ง ๆ "โห... นี่คุณแม่นขนาดนี้เลยเหรอครับ?"
เสี่ยวไป๋เหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ขณะที่ลดปืนลง เปลี่ยนแม็กกาซีนด้วยท่าทีเรียบนิ่งราวกับเป็นเรื่องปกติที่ทำทุกวัน "แค่พื้นฐาน" เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะยื่นปืนคืนให้เจบี
"ทีนี้ นายลองอีกที"
เจบียิ้มแห้ง ๆ รีบยกมือขึ้นโบกไปมา "ผมว่าแค่นี้พอแล้วมั้งครับ? ผมยิงมั่วขนาดนี้ ถ้าไปใช้จริง คงพลาดหมดแน่"
เสี่ยวไป๋เลิกคิ้ว "เพราะแบบนั้นไง นายถึงต้องฝึกให้ชิน"
เจบีอยากจะถอนหายใจ แต่ก็ต้องพยายามเก็บอาการไม่ให้ดูขัดขืนเกินไป ที่จริงแล้วเขาไม่อยากแสดงความสามารถเกี่ยวกับอาวุธต่อหน้าเสี่ยวไป๋มากนัก ยิ่งเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเริ่มจับสังเกตอะไรบางอย่าง เขายิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น
"งั้น... ขออีกสองนัดพอครับ" เจบีเสนอขึ้น พร้อมทำสีหน้าเหมือนคนที่อยากเลี่ยงการฝึกเต็มแก่
เสี่ยวไป๋มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ "ก็ได้"
เจบีรับปืนมา พลางสูดหายใจลึก ยกขึ้นเล็งก่อนจะยิงออกไป คราวนี้เขาจงใจให้กระสุนพุ่งเฉียดออกข้างเป้าเล็กน้อย ไม่ให้ดูเหมือนพลาดมากเกินไป แต่ก็ไม่ตรงเป้าจนน่าสงสัย
เสี่ยวไป๋มองดูผลลัพธ์แล้วพยักหน้า "พอใช้ได้ แต่ถ้าอยากรอดชีวิต นายต้องทำให้ดีกว่านี้"
เจบีแสร้งหัวเราะแห้ง ๆ "หวังว่าผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้จริงหรอกครับ"
เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเก็บปืนเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ เจบีมองตาม ก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ทุกอย่างจะดูเหมือนผ่านไปได้ด้วยดี แต่เขารู้ดีว่าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้
เสี่ยวไป๋เป็นคนที่อ่านคนขาดเกินไป และไม่มีทางเชื่ออะไรง่าย ๆ เจบีไม่แน่ใจเลยว่าอีกฝ่าย ‘เชื่อ’ จริง ๆ หรือแค่เลือกที่จะ ‘ปล่อยผ่าน’ ไปก่อนเท่านั้น
TBC.
ฝากติดตามเป็นกำลังใจหน่อยน้าา
โป๊ะเกิน! เสี่ยวไป๋จะจับไต๋ลูกเราได้มั้ย
รักคนอ่าน♥️
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ
สนุก น่าติดตามทุกตอนเลย ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันข้อมูลดีๆครับ
หน้า:
[1]