ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 13
เสียงเครื่องยนต์ของซูเปอร์คาร์คันหรูคำรามแผ่วเบา ขณะที่รถแล่นไปบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟจากเสาไฟถนนทอดเงาสะท้อนเป็นริ้ว ๆ บนผิวรถสีดำสนิท ภายในห้องโดยสารเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนที่นั่งอยู่ภายใน
เจบีเอนตัวพิงเบาะเล็กน้อย มองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้มีจุดหมาย เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ดี กลิ่นอ่อน ๆ ของยาและน้ำยาฆ่าเชื้อจากโรงพยาบาลยังติดอยู่จาง ๆ บนผิวหนังของเขา
ข้าง ๆ กัน แคสเปอร์กำลังขับรถ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนพวงมาลัย ส่วนอีกข้างเท้ากับขอบประตูรถ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมกว่าปกติ แม้จะไม่ได้แสดงท่าทีเป็นกังวลออกมาตรง ๆ แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็ทำให้เจบีรับรู้ได้
คล้ายกับว่ามีบางอย่างที่แคสเปอร์ยังไม่ได้พูด
เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังอย่างสม่ำเสมอ ก่อนที่แคสเปอร์จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ และทำลายความเงียบ
“ฉันมีเรื่องต้องบอกนาย”
น้ำเสียงของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เจบีละสายตาจากหน้าต่าง หันกลับมามองชายที่อยู่หลังพวงมาลัย สายตาฉายแววสงสัยว่ามันคือเรื่องอะไร
แคสเปอร์ยังคงมองไปข้างหน้า สีหน้าไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ฉันต้องไปธุระต่อ” เขาพูดออกมาหลังจากเว้นช่วงไปเล็กน้อย “นายโอเคมั้ย? ฉันไม่อยากทิ้งนายไปเลยจริง ๆ นะ”
เจบีกะพริบตานิดหน่อย ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ไม่เป็นไร แค่นี้ผมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”
แคสเปอร์เหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะทำเสียงในลำคอเหมือนไม่พอใจ
“ได้ไงกัน” เขาพ่นลมหายใจออกมา “ถ้านายกินข้าวกินยาไม่ตรงเวลา ฉันจะทำยังไง”
“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ นะ แค่นี้สบายมาก”
แคสเปอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อใจคำพูดนั้นเท่าไหร่ เขายกมือขึ้นเท้ากับประตูรถ ก่อนจะใช้นิ้วบีบหว่างคิ้วตัวเอง เขาดูเครียดกว่าปกติ
ในหัวของเขามีตัวเลือกมากมายที่กำลังถูกประเมิน
เขาไม่สามารถอยู่ดูแลเจบีได้ เพราะเรื่องที่เขาต้องไปจัดการนั้นใหญ่เกินกว่าจะเลื่อนออกไป
การให้นอนพักที่โรงพยาบาลก็เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด… แต่ราฟาเอโร่อยู่ที่นั่น
แคสเปอร์ไม่คิดจะเสี่ยง ราฟาเอโร่เป็นคนอันตรายเกินไป และเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะสนใจเจบีมากแค่ไหน
หลังจากที่ครุ่นคิดไปพักใหญ่ แคสเปอร์ก็เปลี่ยนเส้นทางทันทีโดยไม่บอกเจบีล่วงหน้า
เจบีรู้สึกถึงการเปลี่ยนทิศทางของรถ เขาหันไปมองแคสเปอร์ “นี่เราจะไปไหน?”
แคสเปอร์ยังคงมองตรงไปข้างหน้า ดวงตาแน่วแน่
“ไปที่ที่ปลอดภัยกว่าการปล่อยนายไว้คนเดียว”
รถแล่นเข้าสู่เขตที่เงียบสงบ แสงไฟจากตัวเมืองค่อย ๆ เลือนหายไป แทนที่ด้วยถนนสายกว้างที่ทอดผ่านบ้านเรือนหรูหรา อาคารรอบข้างเปลี่ยนจากตึกสูงเป็นคฤหาสน์เดี่ยวที่มีรั้วรอบขอบชิด ทุกหลังดูเงียบสงบ และบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของได้เป็นอย่างดี
ไม่นานนัก รถก็ชะลอความเร็วลงก่อนจะจอดสนิทที่หน้าบ้านหลังใหญ่
เจบีเงยหน้ามองตัวบ้าน มันสูงถึง 4 ชั้น รวมดาดฟ้า การออกแบบหรูหราในสไตล์ โมเดิร์นคลาสสิก ผสมผสานกันอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกทั้ง แข็งแกร่งและสง่างาม พื้นที่รอบบ้านกว้างขวาง ไม่ได้มีเพียงแค่สนามหญ้า แต่ยังมีสวนที่จัดไว้อย่างพิถีพิถัน รวมถึงสระว่ายน้ำที่สะท้อนแสงไฟจากตัวบ้าน
มันเป็นสถานที่ที่บอกได้ว่าเจ้าของไม่ใช่คนธรรมดา
เจบีมองมันเงียบ ๆ ขณะที่ประตูรั้วขนาดใหญ่เลื่อนเปิดออกโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลาให้ใครต้องมาลงไปกดรีโมตหรือปลดล็อก
แคสเปอร์ดับเครื่องยนต์ ก่อนจะหันมาทางเขา "ลงมาเถอะ"
เจบียังคงงุนงงกับสถานการณ์ แต่ก็ตัดสินใจเปิดประตูลงมาอย่างว่าง่าย สายตากวาดมองรอบตัว พลางคิดในใจว่า ที่นี่คือที่ไหนกันแน่
"ที่นี่คือ...?"
แคสเปอร์ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ "บ้านของเสี่ยวไป๋"
เจบีไม่ได้แปลกใจที่ได้ยินชื่อนี้ เขากับเสี่ยวไป๋เคยเจอกันมาแล้ว
ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกัน เสี่ยวไป๋เป็นคนที่เดาอารมณ์ยากมาก เขาแทบไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ดวงตาคู่นั้นมักนิ่งเรียบ ไม่เปิดเผยว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้เจบีไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เสี่ยวไป๋ก็ไม่ใช่คนที่ยากจะเข้าหา เพียงแค่…เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรมากเกินจำเป็น
และตอนนี้...เขากำลังจะต้องมาอยู่บ้านของผู้ชายคนนั้นเป็นการชั่วคราว
เจบีไม่ได้ถามอะไรต่อ แค่พยักหน้าเบา ๆ และเดินตามแคสเปอร์เข้าไปในตัวบ้าน
บรรยากาศภายในไม่ได้ดูหรูหราจนน่าอึดอัดเหมือนที่คิดไว้ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นสีเอิร์ธโทน ผสมผสานกับของตกแต่งที่บ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าของบ้าน ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีสิ่งไหนที่ดูเกินจำเป็น หรือถูกวางไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
แคสเปอร์ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาแค่ดันไหล่เจบีเบา ๆ ให้ไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขก ก่อนจะตบไหล่เขาหนึ่งที "นั่งรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันมา"
เขากวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป อยู่ดี ๆ แคสเปอร์ก็พาเขามาที่บ้านหลังใหญ่ โดยไม่มีคำอธิบายชัดเจน เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และไม่เข้าใจว่าทำไมแคสเปอร์ถึงเลือกพาเขามาที่นี่ แทนที่จะพาไปที่โรงแรมหรือที่อื่นที่ดูสมเหตุสมผลกว่านี้
แต่เมื่อเห็นสีหน้าของแคสเปอร์ เจบีก็เลือกที่จะเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรถามอะไร หรือจริง ๆ แล้วควรถามดีไหม สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งลงบนโซฟาหรูในห้องรับแขก ปล่อยให้ทั้งสองคนนั้นเดินออกไปคุยกันเพียงลำพัง
“นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะ เรื่องของนาย นายก็เอาไปจัดการเองสิ”
เสี่ยวไป๋เปรยขึ้นทันทีที่แคสเปอร์ลากเขาออกมาจากห้องรับแขก มุมปากของเขาคาบบุหรี่ไว้ลวก ๆ แววตาที่มองแคสเปอร์เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“เถอะน่า..ฉันไว้ใจนายนะ” แคสเปอร์เอ่ยเสียงอ้อน ๆ ปกติเขาไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครช่วยเหลือง่าย ๆ แต่คราวนี้มันต่างออกไป “อีกอย่าง เด็กคนนั้นดูน่าสงสารออก แผลบนตัวเขาฉันเองก็ไม่รู้ที่มา แต่การปล่อยไว้คนเดียวแบบนั้นมันไม่ใจดำเกินไปหน่อยหรอ”
เสี่ยวไป๋พ่นควันบุหรี่ออกมาเบา ๆ ก่อนจะปรายตามองไปที่ห้องรับแขก สายตาคมกริบกวาดมองร่างของเจบีที่นั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังประเมินว่าเด็กคนนี้สมควรจะได้รับความช่วยเหลือจริงหรือไม่
เจบีรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา แต่เขาเลือกที่จะเมินมันเสีย เขาไม่ได้อยากให้ใครมาสงสาร และก็ไม่ได้รู้สึกดีกับสถานการณ์นี้เลยสักนิด
เสี่ยวไป๋กอดอก ดูดบุหรี่เข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างรำคาญ
“ฉันให้เวลาแค่สามวัน” เขาพูดเสียงเรียบ ก่อนจะหันกลับมามองแคสเปอร์ “แล้วรีบมารับกลับไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะพาไปปล่อยไว้ข้างถนน”
“ใจร้ายชะมัด” แคสเปอร์เบ้ปากเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าเถียงไปก็คงไม่ได้อะไรอยู่ดี "สามวันก็สามวัน ระหว่างนี้นายต้องดูแลเขาให้ดี ๆ แล้วก็ต้องให้กินยาหลังอาหารให้ครบ"
เขายื่นถุงยาให้เสี่ยวไป๋ อีกฝ่ายรับมันมาแบบเสียไม่ได้ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์นัก
ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องยุ่งยากเพราะเด็กคนนี้ทุกทีด้วยนะ?
เสี่ยวไป๋ปรายตามองถุงยาในมือ ก่อนจะเหลือบตามองแคสเปอร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “แล้วถ้าเขาไม่ยอมกินล่ะ?”
"ก็บังคับให้กินเข้าไปสิ" แคสเปอร์ตอบหน้าตาย ราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นง่ายเหมือนแค่การสั่งให้ใครสักคนดื่มน้ำ
เสี่ยวไป๋พ่นลมหายใจแรง ๆ เขารู้จักแคสเปอร์มานานพอจะเข้าใจว่าเจ้าหมอนี่ไม่เคยคิดอะไรซับซ้อน เรื่องของตัวเองยังไม่ค่อยดูแลให้เรียบร้อย จะมาให้เขาดูแลเด็กคนนี้อีกเนี่ยนะ?
แต่สุดท้ายเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แค่หมุนตัวเดินไปอีกทาง ในขณะที่แคสเปอร์เดินกลับไปหาเจบี
เจบีที่นั่งอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมองแคสเปอร์ สีหน้าเขาไม่ได้แสดงความสงสัยอะไรออกมามากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่คิดอะไรเลย
"อีกสามวัน ฉันจะมารับ ไม่ต้องกลัว" แคสเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะปลอบมากกว่าปกติ "ถึงหมอนั่นจะดูเย็นชาไปหน่อย แต่ฉันมั่นใจว่าเขาจะดูแลนายได้ดี"
เจบีพยักหน้าเบา ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าใจอะไรมากนักก็ตาม
"กินข้าวให้ครบ กินยาให้ตรงเวลา อย่าดื้อ" แคสเปอร์พูดพลางยกมือขึ้นขยี้ผมเจบีเบา ๆ มันเป็นสัมผัสที่ไม่ได้รุนแรงหรือหยอกล้อเหมือนปกติ แต่กลับรู้สึกถึงความเป็นห่วงอยู่ในนั้น
"ฉันไปล่ะ"
เสี่ยวไป๋ยืนอยู่ห่าง ๆ มองภาพนั้นเงียบ ๆ ดวงตาคู่นั้นแม้จะดูไร้ความรู้สึก แต่ถ้ามองดี ๆ จะเห็นว่าเขากำลังประเมินอะไรบางอย่างอยู่
ทันทีที่แคสเปอร์เดินออกไปและเสียงเครื่องยนต์ของรถแล่นออกจากบริเวณบ้าน เสี่ยวไป๋ก็หันกลับมาเดินตรงไปหาเจบีที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา
เด็กคนนี้ดูท่าทางไม่ค่อยรู้จะวางตัวอย่างไร สายตาคล้ายกับกำลังชั่งน้ำหนักสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีระแวดระวังจนเกินไป
เสี่ยวไป๋หยุดยืนตรงหน้าเขา กอดอก มองต่ำลงมาด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนที่ริมฝีปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ
"ไง เจ้าหมาน้อยของแคสเปอร์"
เจบีขมวดคิ้วทันที หน้ามุ่ยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่ดูเหมือนเสี่ยวไป๋จะไม่ได้สนใจ แถมยังดูพอใจกับปฏิกิริยานั้นเสียด้วยซ้ำ
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ" เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ พลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างไม่รีบร้อน บุหรี่ในมือยังคงส่งกลิ่นจาง ๆ ลอยปะปนอยู่ในอากาศ เขายกมันขึ้นสูดควันเข้าปอดช้า ๆ ก่อนจะพ่นออกมาอย่างไม่รีบร้อน
เจบีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ
"ผมมารบกวนคุณหรือเปล่าครับ?"
เขาไม่ใช่คนอ่านใจคนเก่งนัก แต่ท่าทางของเสี่ยวไป๋ก็ดูชัดเจนพอสมควรว่าไม่ได้ต้อนรับเขานัก น้ำเสียงที่ใช้กับแคสเปอร์ก่อนหน้านี้ก็บอกทุกอย่างอยู่แล้ว
แต่แทนที่จะมีท่าทีหงุดหงิดกับคำถามนั้น เสี่ยวไป๋กลับหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากยกยิ้มบาง ๆ อย่างคนที่เจออะไรน่าสนใจ
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก" เขาว่า เสียงของเขายังฟังดูราบเรียบ แต่ในดวงตามีแววขบขันแฝงอยู่
"แค่ไม่คิดว่าจะต้องมาเลี้ยงเด็กแบบไม่ได้ตั้งตัวก็เท่านั้นเอง"
เจบีเม้มปากเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดนั้นหมายความตามตรงหรือแค่แซวกันเล่น ๆ
"แต่เอาเถอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว" เสี่ยวไป๋เอนหลังพิงพนักโซฟา ใช้ปลายนิ้วเคาะเถ้าบุหรี่ลงที่ที่เขี่ยบุหรี่ข้างตัว ก่อนจะเหลือบตามองเจบีอีกครั้ง
"อีกสามวัน ฉันหวังว่านายจะไม่สร้างปัญหาให้ฉันมากเกินไปนะ เจ้าหมาน้อยของแคสเปอร์"
เจบีขมวดคิ้วทันที สีหน้าบ่งบอกชัดว่าไม่ชอบใจเอาเสียเลย แต่เสี่ยวไป๋กลับดูจะถูกใจไม่น้อย
"ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว" เสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ แล้วปรายตามองเจบีอย่างพินิจ
"หิวไหม?"
คำถามนั้นทำให้เจบีชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าเสี่ยวไป๋จะถามอะไรแบบนี้
"…"
"นั่นแปลว่าหิว" เสี่ยวไป๋สรุปเองเสร็จ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป ทิ้งให้เจบีได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ
เสี่ยวไป๋หายเข้าไปในครัว ทิ้งให้เจบีนั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่แน่ใจ ดึกขนาดนี้แล้ว คงไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอาหารให้… หรืออย่างน้อยเขาก็คิดแบบนั้น
แสงไฟจากห้องครัวส่องลอดออกมา เสียงข้าวของกระทบกันดังแผ่ว ๆ ไม่นานนัก กลิ่นน้ำซุปร้อน ๆ ก็ลอยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ชวนให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่อบอุ่นและเรียบง่าย…
เจบีชะเง้อไปมอง เห็นเสี่ยวไป๋ยืนอยู่หน้าเตา มือข้างหนึ่งถือคู่ตะเกียบ อีกมือจับหม้อที่น้ำเดือดพล่าน เสี่ยวไป๋ไม่ได้เร่งรีบ แต่ดูคุ้นเคยกับการทำแบบนี้เป็นอย่างดี ท่าทีของเขาดูสบาย ๆ เหมือนคนที่ทำอะไรแบบนี้มาหลายครั้ง
กลิ่นน้ำซุปร้อน ๆ ลอยอบอวล เจบีจ้องอยู่แบบนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่ดูเหมือนเสี่ยวไป๋จะรู้ว่าเขาแอบมอง
"จะยืนซุ่มอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?" เสี่ยวไป๋พูดขึ้นโดยไม่หันกลับมา ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่หม้อบนเตา "ถ้าจะกินก็มานั่งที่โต๊ะ อย่ายืนเป็นแมวหิวอยู่ตรงนั้น"
เจบีชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินไปที่โต๊ะอาหารตามคำสั่ง มองถ้วยบะหมี่ร้อน ๆ ที่ถูกวางลงตรงหน้า มันไม่ได้ดูเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่ว ๆ ไป เพราะเสี่ยวไป๋ใส่เครื่องปรุงและวัตถุดิบเพิ่มลงไป น้ำซุปจึงดูเข้มข้นกว่าที่คิด
"นี่คุณทำเองเลยเหรอ?" เจบีถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
"หรือจะให้ปลุกแม่บ้านมาต้มบะหมี่ให้ตอนตีหนึ่งตีสอง?" เสี่ยวไป๋เลิกคิ้ว หยิบตะเกียบอีกคู่ยื่นให้ "ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันก็ทำอาหารเป็น?"
เจบีรับมันมา ก่อนจะมองหน้าคู่สนทนา คนอย่างเสี่ยวไป๋ดูไม่น่าใช่คนที่จะต้องลงมือเข้าครัวเอง แต่ในเมื่อเขาเป็นคนต้มเองจริง ๆ ก็คงไม่ต้องสงสัยอะไรอีก
เสี่ยวไป๋ไม่ได้รอให้เขาถามอะไรต่อ หย่อนตัวลงนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ พร้อมกับดึงชามของตัวเองมาขยับตะเกียบ “กินซะ ก่อนที่มันจะอืด”
เจบีตักน้ำซุปขึ้นมาชิมเล็กน้อย รสชาติไม่ได้หรูหราอะไรนัก แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ มันอาจจะเป็นเพราะอากาศเย็น หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้นั่งกินอะไรแบบนี้กับใครมานานแล้วก็ได้
ทั้งสองคนนั่งกินกันเงียบ ๆ ไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม แต่มันก็ไม่ได้เงียบจนน่าอึดอัด
เจบีเหลือบมองเสี่ยวไป๋เล็กน้อย อีกฝ่ายมีบุคลิกที่อ่านยากกว่าที่คิด แม้ท่าทีของเขาจะดูไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่กลับลงมือทำอาหารให้คนที่มาถึงบ้านโดยไม่ได้นัดหมาย
"ขอบคุณครับ" เจบีพูดขึ้นในที่สุด แม้เสียงจะเบา แต่เสี่ยวไป๋ก็ได้ยินเต็มสองหู
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะตักเส้นเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ
7:25 AM
ยามเช้าในบ้านของเสี่ยวไป๋เงียบสงบ แสงแดดจาง ๆ จากภายนอกส่องลอดผ่านม่านเข้ามา กระทบกับเตียงนอนกว้างที่มีร่างของใครบางคนหลับสนิทอยู่บนฟูกนุ่ม
เสี่ยวไป๋ยืนอยู่หน้าประตู เคาะเบา ๆ สองสามครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาลองฟังอยู่ครู่หนึ่ง แต่ภายในห้องยังคงเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงขยับตัว
เขาขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปทันที
ร่างของเจบียังคงนอนนิ่ง ใบหน้าดูผ่อนคลายกว่าตอนที่เห็นเมื่อวาน ราวกับว่าเจ้าตัวเพิ่งได้พักผ่อนเต็มที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
เสี่ยวไป๋เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะนั่งลงที่ขอบเตียง มองคนที่ยังหลับสนิทอยู่สักพัก มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะหน้าผากเบา ๆ เพื่อตรวจดูว่ามีไข้หรือไม่
อุณหภูมิร่างกายของเจบีปกติดี ไม่มีอาการไข้ขึ้น เสี่ยวไป๋ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะละมือออก
แต่แทนที่จะลุกขึ้น เขากลับค่อย ๆ เลิกผ้าห่มออกช้า ๆ แล้วขยับเสื้อของเจบีขึ้น เผยให้เห็นผิวเนื้อที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ
ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า แววตาของเสี่ยวไป๋พลันเย็นลง
รอยฟกช้ำกระจายตัวเป็นปื้นกว้างตามที่แคสเปอร์บอกไว้ มันไม่ได้เป็นแค่รอยจากการกระแทกธรรมดา แต่ดูเหมือนจะเกิดจากแรงกระทำซ้ำ ๆ หนำซ้ำบางจุดยังบวมแดงเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
"ให้ตายสิ..." เสี่ยวไป๋พึมพำกับตัวเอง สายตายังคงจับจ้องรอยบาดแผลตรงหน้าด้วยความเงียบงัน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแคสเปอร์ถึงดูเป็นห่วงเจ้าเด็กนี่นัก
เขาใช้ปลายนิ้วแตะลงเบา ๆ ใกล้รอยช้ำโดยไม่รู้ตัว ราวกับจะประเมินว่าอาการมันแย่แค่ไหน
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้น เจบีก็ขยับตัวเล็กน้อย เปลือกตากระตุกไหว ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย
เสี่ยวไป๋ละมือออกทันทีที่เห็นว่าเจบีเริ่มขยับตัว เปลือกตาของเด็กหนุ่มกระพริบช้า ๆ ก่อนจะเผยให้เห็นดวงตาที่ยังเจือไปด้วยความง่วงงุน
“เช้าแล้วหรอครับ” เสียงของเจบีแหบพร่าเล็กน้อยจากการเพิ่งตื่น
เสี่ยวไป๋ที่ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง พยักหน้ารับนิ่ง ๆ “อืม”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เจบีได้ตั้งสติเต็มที่ก่อน
เจบีกะพริบตาถี่ขึ้น พยายามปรับสายตาให้คุ้นกับแสงยามเช้า ร่างกายของเขายังคงรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา หรืออาการอ่อนเพลียสะสม แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวมากกว่านั้น เสี่ยวไป๋ก็เปิดประเด็นทันที
"นายไปมีเรื่องกับใครมาหรือเปล่า?"
คำถามตรงไปตรงมา ทำให้เจบีชะงักไปครู่หนึ่ง
“...”
เขาไม่ได้ตอบในทันที ดวงตาวูบไหวเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเลี่ยงไปมองทางอื่น มือข้างหนึ่งขยับขึ้นมาดึงผ้าห่มให้คลุมตัวเองมากขึ้น ราวกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกัน
“...ไม่มีอะไรหรอกครับ”
เสี่ยวไป๋หรี่ตาลงเล็กน้อย มองท่าทางของเจบีที่ชัดเจนว่ากำลังพยายามบ่ายเบี่ยง
"ไม่มี?" เขาทวนคำเสียงเรียบ ก่อนจะเอนตัวไปพิงพนักเตียง แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้ มองเจบีด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก "งั้นแผลพวกนี้เกิดขึ้นเอง? หรือว่าเดินสะดุดขาตัวเองล้มใส่กำแพงซ้ำ ๆ"
เจบีเม้มปากแน่น เขาไม่รู้ว่าควรตอบยังไงดี ถึงแม้ว่าจะพอเดาได้ว่าคนอย่างเสี่ยวไป๋คงไม่ใช่คนที่เซ้าซี้เอาคำตอบจากใครง่าย ๆ แต่บรรยากาศในตอนนี้กลับทำให้เขารู้สึกว่าถึงจะเงียบ...แต่ก็ถูกกดดันอยู่ดี
“...”
เจบีไม่อยากบอก เขาไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขามากเกินไป และอีกอย่าง... เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าควรไว้ใจเสี่ยวไป๋หรือเปล่า
“ผมแค่ซุ่มซ่ามไปหน่อย”
เสี่ยวไป๋เลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับกำลังขบขันกับคำตอบนั้น "ซุ่มซ่าม? น่าสนใจดีนี่ นายโดนซ้อมมาแท้ ๆ ยังจะมาโกหกหน้าตาเฉย"
เจบีชะงัก ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้หาทางตอบอะไร เสี่ยวไป๋ก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ตบไหล่เขาเบา ๆ หนึ่งที ก่อนจะเดินไปทางประตู
“ช่างเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก” เขาว่าเสียงเรียบ ก่อนจะหันกลับมามองอีกครั้ง "แต่ถ้านายเดินสะดุดขาตัวเองจนร่างกายช้ำไปหมดแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ก็ช่วยเรียกฉันไปดูด้วยแล้วกัน ฉันอยากเห็นกับตาว่ามันเป็นยังไง"
คำพูดนั้นชัดเจนว่าเป็นการประชด
เจบีเม้มปากแน่นขึ้น แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้อะไร
เสี่ยวไป๋เหลือบมองท่าทีของเจบีอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เจบีนั่งอยู่บนเตียง พร้อมกับความคิดที่เริ่มสับสนไปหมด
--
หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เจบีก็เดินลงมายังชั้นล่าง บรรยากาศในบ้านเงียบสงบ อาจเพราะยังเป็นช่วงเช้า และคนในบ้านยังไม่ค่อยมีใครตื่นขึ้นมาวุ่นวายกันนัก
เมื่อก้าวลงจากบันได สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเสี่ยวไป๋ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น ขาข้างหนึ่งพาดทับอีกข้างในท่าทางสบาย ๆ มือหนึ่งถือแก้วกาแฟ อีกมือเลื่อนหน้าจอแท็บเล็ตไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนจะอ่านข่าวหรือไม่ก็ดูข้อมูลอะไรสักอย่าง เสี่ยวไป๋ดูนิ่งและสงบ ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจว่ามีอีกคนเดินลงมาจากชั้นบน
เจบียืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือทำอะไรดี แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวไป๋ไม่ได้คิดจะทักทายเขา เขาก็เลือกที่จะเดินผ่านไปเงียบ ๆ
อากาศยามเช้าข้างนอกเย็นสบาย แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านแนวต้นไม้สูงในสวนด้านหลัง ลมเอื่อย ๆ พัดพากลิ่นหญ้าสดและความชื้นจากน้ำค้างยามเช้ามากระทบผิว
เจบีเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ ที่ทอดยาวผ่านสวนโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียงฝีเท้าของเขาทำให้บางอย่างขยับตัวขึ้นมาจากอีกมุมของสวน
เจบีชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นสุนัขตัวหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ มันตัวโตและมีขนสีดำสนิท ดวงตาสีเข้มของมันจ้องมองมาที่เขา แต่ไม่มีท่าทีดุร้ายหรือเป็นอันตราย ตรงกันข้าม หางของมันกลับกระดิกไปมาเล็กน้อย ราวกับกำลังทักทาย
เจบีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองย่อตัวลงช้า ๆ แล้วยื่นมือออกไป
"หวัดดี" เขาพึมพำเบา ๆ
สุนัขตัวนั้นยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ และยอมให้เขาลูบหัว มันขยับตัวเบียดเขาเล็กน้อย ราวกับต้องการความสนใจ
เจบีเผลอยิ้มออกมาเล็ก ๆ ขณะใช้มือลูบขนของมัน ขนของมันนุ่มกว่าที่คิด และท่าทางมันก็เชื่องกว่าที่คิดไว้มาก
ไม่นานนัก เขาก็เริ่มเล่นกับมันโดยไม่รู้ตัว
แต่ทั้งหมดนั้น… อยู่ในสายตาของเสี่ยวไป๋
เขาเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ต พลางยกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก สุนัขของเขาไม่ได้คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าง่าย ๆ แต่นี่มันกลับยอมให้เจบีแตะต้องได้โดยไม่แสดงท่าทีกระวนกระวายเลยสักนิด
"หึ…" เสี่ยวไป๋แค่นเสียงเบา ๆ ก่อนจะวางแท็บเล็ตลง แล้วเอนตัวพิงโซฟา สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คนกับสุนัขในสวน
"ดูเหมือนเจ้าหมาน้อยของแคสเปอร์จะเข้ากับหมาของฉันได้ดีนี่"
เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงโซฟา มองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเลยเวลาที่ควรกินข้าวกินยาไปแล้ว
เขาถอนหายใจ พลางยกกาแฟขึ้นจิบอีกอึก ก่อนจะวางมันลงแล้วลุกขึ้นเต็มความสูง ก้าวเดินออกไปยังสวนหลังบ้านอย่างไม่รีบร้อน
เสียงฝีเท้าของเขาไม่ได้ดังมากนัก แต่เจบีที่กำลังก้มลูบหัวสุนัขตัวโตอยู่ก็รับรู้ได้ถึงการมาของอีกฝ่าย เขาเงยหน้าขึ้น เห็นเสี่ยวไป๋ก้าวมายืนเท้าแขนกับประตูระเบียง ท่าทางไม่ได้ดูเร่งรีบหรือหงุดหงิด เพียงแค่ใช้สายตามองเขานิ่ง ๆ อย่างที่เจ้าตัวชอบทำ
"เล่นเสร็จแล้วก็มากินข้าว" เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ไม่ได้ขึ้นเสียงสั่ง แค่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว
เจบีกะพริบตา ก่อนจะเหลือบมองเจ้าสุนัขตัวโตที่นั่งข้างเขา ราวกับกำลังบอกลาอยู่เงียบ ๆ
ท้องของเขาเริ่มรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาแล้วจริง ๆ
"ครับ" เจบีตอบรับในที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นยืน ปัดเศษหญ้าที่ติดเสื้อออกเบา ๆ แล้วเดินตามเสี่ยวไป๋เข้าไปด้านใน
ในห้องอาหาร มีชุดอาหารเช้าง่าย ๆ วางรออยู่บนโต๊ะ กลิ่นหอมของขนมปังปิ้ง ไข่ดาว และเบคอนลอยอวลในอากาศ ไม่ใช่เมนูหรูหราซับซ้อนอะไร แต่ก็น่ากินกว่าที่เขาคิด
"รีบกิน แล้วก็กินยา" เสี่ยวไป๋ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูอะไรบางอย่างไปเรื่อย ๆ ราวกับจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า เขาเองก็ไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้าตลอด
เจบีมองภาพตรงหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะยกช้อนส้อมขึ้นมาเริ่มกินเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่การกระทำของเสี่ยวไป๋ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า… ต่อให้ทำปากแข็งยังไง ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า หมอนี่ก็ดูแลเขาอยู่ดี
--
หลังจากมื้อเช้า เจบีก็ยังคงอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของเสี่ยวไป๋อย่างไม่มีทางเลือก เขาไม่ได้มีอะไรทำเป็นพิเศษ และเสี่ยวไป๋เองก็ไม่ได้พยายามหาอะไรให้เขาทำ ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะยุ่งอยู่กับงานของตัวเองเป็นหลัก
ระหว่างที่เสี่ยวไป๋กำลังจดจ่อกับตัวเลขในรายงาน ข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นเบา ๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัว แสดงชื่อของแคสเปอร์
เขาปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาเปิดอ่านโดยไม่ได้เร่งรีบ
"เจบีเป็นยังไงบ้าง แผลดีขึ้นหรือยัง ได้ทายาให้เขามั้ย?"
เสี่ยวไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความซ้ำ
ทายา?
เขาพลิกข้อมือดูเวลา ก่อนเหลือบตามองเจบีที่ยังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องรับแขก เด็กนั่นกำลังเล่นกับสุนัขของเขา ดูท่าทางสบายใจขึ้นกว่าตอนแรกที่มาอยู่ที่นี่ ไม่ได้ดูทรมานหรือนอนซมด้วยพิษไข้แต่อย่างใด สีหน้าก็ดูปกติดี แผลบนตัวก็ดูจางลงนิดหน่อย แต่โดยรวมดูไม่ได้แย่อะไร
เมื่อวานไอ้แคสเปอร์มันไม่ได้บอกว่า ต้องทายาให้ด้วย ไม่ใช่เหรอ?
เสี่ยวไป๋กวาดตามองไปที่ถุงยาที่แคสเปอร์ทิ้งไว้ให้เมื่อคืน มีทั้งยาแก้อักเสบ ยาลดบวม และ…ใช่ ครีมทาแผล
เขาเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับ
"ต้องทาด้วย?"
"ก็ใช่สิวะ!" แคสเปอร์ตอบกลับแทบจะทันที ราวกับเฝ้ารอให้เขาอ่านอยู่แล้ว "มันช่วยให้รอยช้ำจางไวขึ้นไง นายไม่ได้อ่านฉลากหรือไง?"
เสี่ยวไป๋เบ้ปากขณะจ้องหน้าจอโทรศัพท์
"เมื่อวานไม่ได้บอก"
"ฉันคิดว่านายจะรู้เอง"
"งั้นนายก็คิดผิด"
แคสเปอร์อ่านแต่ไม่ได้ตอบกลับทันที เสี่ยวไป๋พ่นลมหายใจ ก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงข้างตัว แล้วลุกขึ้นยืน
ให้ตายเถอะ… ทำไมเขาต้องมาดูแลเรื่องพวกนี้ด้วยนะ?
เขาหยิบถุงยา ก่อนจะเดินไปหาเจบีที่ยังคงก้มหน้าลูบหัวสุนัขตัวโตอยู่ เจบีเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นเงาของเสี่ยวไป๋บดบังแสงไฟ
"ไปห้องฉันหน่อย"
"หืม?" เจบีกะพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเขาอย่างงุนงง "ทำไมครับ?"
"ต้องทายา" เสี่ยวไป๋ตอบเรียบ ๆ
เจบีทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นตามไปโดยไม่ขัดขืน
เสี่ยวไป๋เดินนำไปโดยไม่พูดอะไร เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว และเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ด้วยซ้ำ
--
ภายในห้องกว้างเงียบสนิท เสี่ยวไป๋เปิดประตูเข้าไปก่อนแล้วเดินไปวางถุงยาลงบนโต๊ะข้างเตียง เจบีเดินตามเข้ามา มองรอบห้องเล็กน้อยอย่างสำรวจโดยอัตโนมัติ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในห้องของเสี่ยวไป๋จริง ๆ
เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่หยิบหลอดยาขึ้นมา อ่านฉลากคร่าว ๆ ก่อนจะบีบเนื้อครีมลงบนปลายนิ้ว แล้วปรายตามองเจบีที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางห้อง
"นั่งลง"
เจบีเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียงตามคำสั่ง เขายกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยช้ำที่ยังคงเห็นได้ชัดอยู่ตรงสีข้าง
เสี่ยวไป๋ก้าวเข้ามาประชิดโดยไม่ได้ออกปากบอกก่อน นิ้วมือที่แตะลงมาบนรอยช้ำนั้นเย็นเล็กน้อย ทำให้เจบีสะดุ้งไปชั่วขณะ
"เจ็บ?"
"นิดหน่อยครับ"
เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ ก่อนจะไล้นิ้วเกลี่ยยาตามแนวรอยช้ำ ค่อย ๆ กดเบาลงเพื่อให้มันซึมเข้าสู่ผิว รอยช้ำกระจายอยู่เป็นปื้นกว้าง มันดูหนักกว่าที่เขาคิดไว้มาก ยิ่งมองก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมแคสเปอร์ถึงเป็นห่วงเจบีขนาดนั้น
"แผลพวกนี้..." เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่รอยช้ำโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง "นายบอกฉันได้นะ ว่าไปเจอเรื่องอะไรมา?"
เจบีเม้มปากแน่น คล้ายกำลังชั่งใจว่าจะตอบหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็แค่ส่ายหน้า "มันไม่สำคัญหรอกครับ"
"สำหรับนายอาจจะไม่สำคัญ แต่สำหรับแคสเปอร์มันสำคัญ" เสี่ยวไป๋ตอบเสียงเรียบ "และถ้านายยังอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่ามันเริ่มเกี่ยวกับฉันแล้วเหมือนกัน"
เจบีนิ่งไป แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เสี่ยวไป๋ไม่เซ้าซี้ให้ได้คำตอบอีก เขาทายาต่อไปอย่างใจเย็น แม้สัมผัสจะไม่ได้เบามือมากนัก แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนน่าอึดอัด เขาทำไปตามหน้าที่ตามที่แคสเปอร์สั่ง เท่านั้น
เมื่อทายาจนทั่วบริเวณรอยช้ำแล้ว เสี่ยวไป๋ก็ละมือออก หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ ก่อนจะเดินไปล้างมือที่อ่างล้างหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
เจบีลดเสื้อกลับลงมา มือยกขึ้นลูบบริเวณที่เพิ่งโดนทายาไปเบา ๆ มันเย็นและช่วยบรรเทาความปวดตึงลงได้บ้าง
เสียงน้ำจากก๊อกเงียบลง เสี่ยวไป๋เดินกลับมา หยุดยืนตรงหน้าเจบี กอดอกมองเขานิ่ง ๆ
"เสร็จแล้ว กลับไปได้"
เจบีพยักหน้า ก่อนจะยันตัวขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ
เสี่ยวไป๋มองตามแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความเก่าของแคสเปอร์
"เฮ้อ... น่าปวดหัวชะมัด"
เขาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ หยิบซองบุหรี่ขึ้นมา ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้สายลมเย็น ๆ พัดเข้ามาในห้องแทนเสียงถอนหายใจที่ไม่มีใครได้ยิน
--
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น แสงแดดสีส้มทองเริ่มทอดเงายาวผ่านหน้าต่างของห้องรับแขก เจบียังคงนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ หลังจากกินยาในช่วงเที่ยงไปแล้วก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวไป๋ไม่ได้ปลุก เขาแค่ปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมให้แบบลวก ๆ
เขาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาอีกฝั่ง หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูงานเงียบ ๆ แต่สายตาก็ยังเผลอเหลือบมองไปทางเจบีเป็นระยะ รู้ตัวอีกที เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจตัวเอง
เขาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะโยนแท็บเล็ตลงบนโต๊ะ
“ยุ่งยากชะมัด...”
พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟา สายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนใกล้ถึงมื้อเย็น
เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะเดินไปยืนใกล้ ๆ โซฟาที่เจบีนอนหลับอยู่ เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยขาโซฟาเบา ๆ ก่อนจะก้มลงพูดเสียงเรียบ
“ตื่นได้แล้ว”
เจบีขยับตัวเล็กน้อย ร่างกายค่อย ๆ คลายจากสภาพงัวเงีย ดวงตาคู่คมลืมขึ้นช้า ๆ กระพริบตาปรับโฟกัส ก่อนจะมองคนที่ยืนอยู่เหนือหัวเขา
“หืม... กี่โมงแล้วครับ” เสียงของเจบียังฟังดูงัวเงีย เขาขยับตัวขึ้นนั่ง ลูบหน้าตัวเองเบา ๆ ไล่ความง่วง
“เย็นแล้ว” เสี่ยวไป๋ตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถที่วางอยู่ “ไปข้างนอกกัน”
เจบีเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง “ไปไหนครับ?”
“กินข้าว” เสี่ยวไป๋พูดเรียบ ๆ ขณะเช็คเวลาในโทรศัพท์ “ฉันมีธุระนิดหน่อย แต่คงใช้เวลาไม่นาน ถือโอกาสไปกินข้าวข้างนอกไปเลย”
เจบีมองเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างว่าง่าย “โอเคครับ”
เสี่ยวไป๋ไม่ได้เร่งรีบ เขาพยักหน้าให้เจบีเป็นเชิงบอกให้ไปเตรียมตัว ก่อนจะเดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูข้อความ ขณะที่อีกฝ่ายเดินขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เจบีหายไปสักพัก มีเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ดังขึ้นบนชั้นสองของบ้าน เสี่ยวไป๋ไล่สายตาไปตามหน้าจอ ก่อนที่ข้อความแจ้งเตือนจากชื่อที่คุ้นเคยจะเด้งขึ้นมา
แคสเปอร์: "เป็นไงบ้าง? หมาน้อยของฉันยังอยู่ดีไหม?"
เสี่ยวไป๋เบ้ปากเล็กน้อย ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิด
เสี่ยวไป๋: "ยังไม่ตาย"
ไม่กี่วินาทีต่อมา ข้อความใหม่ก็ถูกส่งกลับมาแทบจะทันที
แคสเปอร์: "ช่วยดูให้มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหม? นี่มันคน ไม่ใช่หมาของนาย"
เสี่ยวไป๋พ่นลมหายใจผ่านจมูก ก่อนจะเอนตัวพิงโซฟา ปรายตามองไปทางบันไดที่ยังคงไร้เงาของเจบี
เสี่ยวไป๋: "ก็เดินได้ กินข้าวได้ ไม่บ่น ไม่ดื้อ ฉันต้องทำอะไรมากกว่านี้อีก?"
แคสเปอร์: "นายได้ทายาให้เขาต่อหรือเปล่า?"
เสี่ยวไป๋มองข้อความนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพิมพ์กลับไปแบบขอไปที
เสี่ยวไป๋: "อืม"
เขาไม่ได้บอกแคสเปอร์ว่าทายาให้เจ้าหมาน้อยไปเมื่อบ่าย แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรนัก
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากบันได เจบีเดินลงมาพร้อมกับชุดลำลองเรียบง่าย แต่ดูสะอาดสะอ้านกว่าตอนที่ตื่นนอน ผมที่เคยยุ่งเหยิงตอนหลับถูกรวบให้เป็นทรงเรียบร้อย แววตาดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนแรก
เสี่ยวไป๋กดปิดหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง
“ไปกันได้แล้ว” เขาเอ่ยเรียบ ๆ
เจบีพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามออกไปโดยไม่พูดอะไร เสี่ยวไป๋พาเขาขึ้นรถ และไม่นานนักรถก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านพักของเสี่ยวไป๋ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่เจบีเองก็ยังไม่รู้ว่าที่ไหน
ถนนในลอนดอนยามค่ำคืนเต็มไปด้วยแสงไฟและความเคลื่อนไหวของผู้คน ตัดกับบรรยากาศภายในรถที่เงียบสงบ เสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานอย่างนุ่มนวลเป็นเพียงเสียงเดียวที่ดังคลออยู่ในความเงียบ
เจบีเหลือบมองเสี่ยวไป๋ที่ยังคงจดจ่ออยู่กับท้องถนน มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือวางอยู่บนคันเกียร์ ท่าทางของเขาดูผ่อนคลาย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความนิ่งเฉยที่ทำให้ยากจะคาดเดาความคิด
จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าสู่ตึกสำนักงานสูงแห่งหนึ่ง ซึ่งภายนอกดูหรูหราและเป็นทางการ เสี่ยวไป๋จอดรถที่ชั้นจอดใต้ดินก่อนจะลงจากรถโดยไม่พูดอะไร เจบีเดินตามหลังเขาเข้าไปในตัวอาคารทันที
เมื่อเข้าไปด้านใน บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพ การตกแต่งเน้นสีเอิร์ธโทนแต่ดูโมเดิร์น ทุกอย่างสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบพอ ๆ กับความเคร่งขรึมของพนักงานที่เดินไปมา
เสี่ยวไป๋พาเจบีมาถึงหน้าห้องรับรอง ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันมามองเขา "นั่งรอตรงนี้ ฉันไปไม่นาน"
เจบีพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตัวหนึ่ง เขาปล่อยให้เสี่ยวไป๋เดินหายเข้าไปด้านในโดยไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
ห้องรับรองยังคงเงียบสงบ เจบีนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่เห็น
เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้เพราะความบังเอิญ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนมีเป้าหมาย และเป้าหมายนั้นไม่ใช่แค่ตัวแคสเปอร์เพียงคนเดียว แต่รวมถึงเสี่ยวไป๋ และเครือข่ายขนนกสีเงินที่พวกเขาเกี่ยวข้องด้วย
คิมบอมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายธุรกิจ สายสัมพันธ์ หรือเส้นทางลับที่พวกเขาใช้ เจบีต้องเข้าถึงมันให้ได้ และสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาเข้าใกล้มันมากขึ้น ก็คือการพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขา
แคสเปอร์เป็นเป้าหมายแรก เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่เปิดรับเขาได้ง่ายกว่า ถึงจะไม่รู้ว่าแคสเปอร์คิดอะไรอยู่ แต่การเข้าหาคนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจบี
แต่เสี่ยวไป๋... นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เสี่ยวไป๋อ่านยากกว่า เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผยความคิด ไม่ได้ไว้ใจใครง่าย ๆ และมีสัญชาตญาณที่เฉียบคม ถ้าทำอะไรผิดพลาดสักอย่างเดียว เสี่ยวไป๋อาจจะจับไต๋เขาได้เร็วกว่าที่คิด
แต่นั่นก็เป็นความเสี่ยงที่เจบีต้องยอมรับ เพราะข้อมูลที่เขาต้องการอยู่ในมือของพวกเขา และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าไปให้ลึกกว่านี้
ไม่นาน เสี่ยวไป๋เดินออกมาจากด้านใน ขยับเสื้อเล็กน้อยก่อนส่งสายตาให้เจบีเดินตาม เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารใกล้ๆ พอถึงที่หมายก็ส่งกุญแจให้พนักงานก่อนจะเดินนำเข้าไปทันที
ภายในร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู แสงไฟสีอุ่นให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ผู้คนในร้านแต่งตัวดี บรรยากาศโดยรวมดูเงียบสงบ ต่างจากร้านอาหารทั่วไปที่เต็มไปด้วยเสียงจอแจ
เสี่ยวไป๋พาเจบีมาที่โต๊ะติดกระจกริมหน้าต่าง มุมที่เงียบพอสมควร เจบีไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เพียงแต่นั่งลงเงียบ ๆ ปล่อยให้เสี่ยวไป๋เป็นคนจัดการทุกอย่าง
“อยากกินอะไร?” เสี่ยวไป๋ถามพลางเปิดเมนูอาหาร
“คุณเป็นคนพาผมมา คุณเลือกเถอะครับ” เจบีตอบเรียบ ๆ
เสี่ยวไป๋เหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มเล็ก ๆ มุมปาก “ตามใจ”
เขาสั่งอาหารให้ทั้งสองคนโดยไม่ถามเจบีอีก ราวกับรู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีปัญหากับอะไรเป็นพิเศษ
ไม่นาน อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ พร้อมกับไวน์แดงหนึ่งขวด เสี่ยวไป๋รินไวน์ใส่แก้วของตัวเอง ก่อนจะยกขึ้นดื่มอย่างไม่รีบร้อน เจบีเองก็หยิบช้อนส้อมขึ้นมา หยิบอาหารตรงหน้าขึ้นมาลองชิมช้า ๆ
แต่ยังไม่ทันที่มื้ออาหารจะผ่านไปถึงครึ่งทาง ใครบางคนก็เข้ามาทัก
“สวัสดีครับ ขอโทษที่รบกวนนะ”
เสียงทุ้มเรียบนั้นทำให้เจบีละสายตาจากจานอาหาร ก่อนจะพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้โต๊ะของพวกเขา เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาว ดวงตาสีฟ้า คมเข้มในชุดสูทดูดี รอยยิ้มของเขาเป็นมิตร แต่แฝงความสนใจบางอย่างไว้ในแววตา
“เห็นคุณตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ดูน่าสนใจ เลยอยากเข้ามาทำความรู้จัก” ชายคนนั้นพูดพลางยิ้มให้เจบี “ไม่ทราบว่าคุณชื่อว่าอะไร?”
เจบีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบทันที แต่เสี่ยวไป๋กลับเอื้อมมือมาหยิบไวน์ขึ้นจิบช้า ๆ ดวงตาของเขาจับจ้องชายหนุ่มแปลกหน้าตรงหน้าโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
“ไม่เห็นเหรอว่ามีคนนั่งอยู่ด้วย?” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แฝงความไม่พอใจจาง ๆ
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองเสี่ยวไป๋แล้วหัวเราะแผ่ว ๆ “ขอโทษทีครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท”
“ถ้างั้นก็กลับไปเถอะ” เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ท่าทางเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายตั้งแต่แรก
เจบีเหลือบมองคนที่ถูกปฏิเสธแบบไม่อ้อมค้อม ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้ แล้วหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อเขาลับสายตาไปแล้ว บรรยากาศก็กลับมาเงียบอีกครั้ง เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่หยิบไวน์ขึ้นจิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจบีมองเขาอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้”
เสี่ยวไป๋เหลือบตาขึ้นมองเขา ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“หืม? หรือว่านายอยากให้ฉันปล่อยให้คนอื่นเข้ามายุ่ง?”
“…”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับคนที่นั่งอยู่กับฉัน”
TBC.
ฝากติดตามเป็นกำลังใจหน่อยน้าา
ไหนใครทีมเสี่ยวไป๋บ้าง ยกมือขึ้น
แอบเชียร์ใครกัน อิอิ
รักคนอ่าน♥️
สนุกมากครับ รอตามจนครบก่อนตัดสินใจเชียร์ครับสนุกน่าตามทุกตอนครับ ขอบคุณนะครับ
หน้า:
[1]