ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 11
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-5-27 15:45กาลครั้งหนึ่ง… มีผีเสื้อตัวหนึ่ง มันเกิดมาพร้อมกับปีกอันงดงาม แวววาวราวกับถูกโรยด้วยฝุ่นดาว ทว่าชีวิตของมันไม่ได้เริ่มต้นด้วยการโบยบินอย่างอิสระ
ตั้งแต่วันที่มันก้าวออกจากรังไหม ผีเสื้อตัวนั้นถูกมือหนึ่งคว้าจับไว้
มือที่แข็งแกร่ง อบอุ่น แต่เย็นชา
“อย่าบินหนีไปไหนนะ” มือข้างนั้นกล่าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหนักแน่น “อยู่กับฉันเถอะ”
ผีเสื้อกระพือปีกเล็กน้อย มันรับรู้ถึงแรงบีบที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น หากมันดิ้นรนมากกว่านี้ ปีกของมันอาจฉีกขาดและไม่มีวันได้บินอีก
“แต่ฉันเป็นผีเสื้อ…” มันกระซิบ “ฉันเกิดมาเพื่อโบยบิน”
“ฉันรู้” มือข้างนั้นตอบกลับ “แต่ฉันกลัวว่า ถ้าฉันปล่อยเธอไป เธอจะไม่กลับมาอีก”
มือที่โอบรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ยอมให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปได้ ผีเสื้อไม่สามารถต้านทานได้มากกว่านี้ ปีกของมันเริ่มอ่อนแรง สีสันที่เคยสดใสเริ่มหม่นหมอง และแทนที่จะได้โบยบินไปยังโลกกว้าง มันกลับกลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่รอวันหมดลมหายใจในฝ่ามือของใครบางคน
แต่…
นั่นเป็นความรักจริงหรือ?
หรือเป็นเพียงการครอบครอง ความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียจนต้องจับมันไว้แน่น แม้จะต้องทำลายมันไปพร้อมกันก็ตาม?
.
.
.
"ฮันแจ…"
เสียงแหบต่ำเอ่ยชื่อของคนที่ยังคงนั่งนิ่ง ไม่มีคำตอบใดจากริมฝีปากของเขา มีเพียงแววตาที่มืดหม่น และร่างกายที่เหมือนกับผีเสื้อตัวนั้น ไม่มีเรี่ยวแรงจะบิน ไม่มีแม้แต่แรงจะดิ้นรน
“นายหนีจากฉันไม่ได้”
คนที่ถูกขังไว้ในมือเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตาคู่นั้นไม่ได้สั่นไหว ไม่ได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอีกแล้ว
มีเพียง… ความว่างเปล่า
และเมื่อผีเสื้อสูญเสียจิตวิญญาณของมันไป… มันก็ไม่ใช่ผีเสื้ออีกต่อไป
"ผีเสื้อที่ปีกหักแล้ว... มันไม่มีที่ให้บินไปอีกแล้วล่ะ"
ร่างกายที่สั่นเทาด้วยความหนาวเปลือยเปล่าอยู่ภายในห้องมืดทึบ คืนนี้อากาศหนาวกว่าปกติจนรู้สึกเหมือนว่าหิมะกำลังจะตก ฮันแจโอบกอดตัวเองแน่น ราวกับหวังว่าความอบอุ่นเพียงน้อยนิดจากร่างกายของตัวเองจะช่วยให้ความหนาวลดลง แต่ฝ่ามือที่เย็นเฉียบกลับไร้ประโยชน์ ไออุ่นที่เคยมีเลือนหายไป เหลือเพียงความเย็นเยียบที่กัดกินไปถึงกระดูก
ดวงตาของเขาพร่ามัว มองทุกสิ่งอย่างเลือนรางราวกับอยู่ในความฝัน ร่องรอยบาดแผลจากวันก่อนยังคงฉาบอยู่บนผิวซีดช้ำ กระจายไปทั่วทั้งร่าง ความเจ็บปวดสะสมจนกลายเป็นความชาชิน แม้กระทั่งแรงจะขยับตัวขึ้นนั่งยังไม่มี
แต่ถึงกระนั้น... เขาก็ยังยินดีรับมันด้วยความเต็มใจ
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะบดขยี้เขาสักแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะถูกฉีกทึ้งจนไม่เหลือชิ้นดี ตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้ ตราบใดที่ยังมีสายตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เขา แม้เพียงเพื่อครอบครองและเหยียบย่ำก็ตาม
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังก้องในความเงียบ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นตามจังหวะที่มันเข้าใกล้ เหมือนกับว่าสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นห้องในทุกก้าวเดิน
ภาพตรงหน้าเลือนรางไปหมด เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะพิษไข้ ความเหนื่อยล้า หรือเป็นเพราะเขาหมดแรงจะรับรู้สิ่งใดแล้ว แต่ก่อนที่สติจะเลือนหาย เสียงฝีเท้าก็หยุดลงตรงหน้าเขา มืออุ่นร้อนแตะลงบนเส้นผมเปียกชื้น ลูบมันเบา ๆ สัมผัสนี้ไม่รุนแรงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
ร่างของเขาค่อย ๆ ถูกยกสูงจากพื้น แขนแข็งแกร่งอุ้มเขาไว้แน่น อ้อมกอดนี้อบอุ่นกว่าความหนาวเย็นของห้องนั้นแต่ก็ไม่อาจไล่ความหนาวเหน็บที่เกาะกุมหัวใจเขาไปได้ ฮันแจไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้ร่างกายของตัวเองถูกพาไปโดยไร้ซึ่งการต่อต้าน
จนกระทั่งสัมผัสถึงความนุ่มของฟูกที่รองรับร่างผอมบาง อากาศโดยรอบอุ่นขึ้น ความเย็นเยียบที่กัดกินผิวกายเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นที่ชวนให้ผ่อนคลาย
อ้อมกอดที่โอบกระชับแน่นขึ้นทำให้ร่างกายของเขาขยับเข้าหาความอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว แม้จะรู้ดีว่าไออุ่นนี้ไม่ได้เป็นของเขาอย่างแท้จริง เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง
เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความฝันที่เขาไม่มีวันไขว่คว้าได้จริง
คิมบอมมองร่างกายที่บอบช้ำในอ้อมแขน แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำเขียวช้ำ ลำคอที่มีรอยแดงจาง ๆ จากแรงกดทับ รอยแผลที่แตกลึกบางจุดยังไม่ทันจางหายดีด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่เคยตระหนักเลยว่าร่างกายนี้ถูกทำลายไปแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยน้ำมือของเขาเอง
เขาเคยคิดว่า ตราบใดที่ฮันแจยังอยู่ตรงนี้ ต่อให้จะเจ็บ จะร้องไห้ จะไม่มีแม้แต่รอยยิ้มในชีวิต มันก็ไม่เป็นไร
ตราบใดที่เขาไม่ปล่อยมือ ฮันแจก็จะยังอยู่กับเขา
คิมบอมมองคนในอ้อมแขนอีกครั้ง มือของเขาสัมผัสลงบนแก้มซีดเซียว ก่อนจะเอ่ยออกมาแผ่วเบา
"นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอด... ใช่ไหม?"
.
.
.
แต่ในโลกใบเดียวกัน…
ผีเสื้ออีกตัวหนึ่ง...ปีกของมันควรจะพามันโบยบินไปตามเส้นทางที่ใจปรารถนา ค้นพบอิสรภาพในโลกกว้าง ได้หยุดพักท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่มันรัก ได้ดื่มด่ำกับความหอมหวานของชีวิตที่มันควรได้รับ
แต่ทว่าตั้งแต่วันที่มันโบยบินครั้งแรก มันกลับถูกกำหนดให้ต้องบินต่อไป ไม่มีการหยุด ไม่มีการพักผ่อน มีเพียงหน้าที่ที่มันต้องทำ หน้าที่ที่ไม่เคยมีที่สิ้นสุด
"อย่าหยุดบิน ถ้าเธอหยุด เธอจะไม่มีค่าอะไรอีกต่อไป”
มันถูกบังคับให้บินไปเรื่อย ๆ ต้องเสาะหาดอกไม้ ต้องเก็บเกี่ยวเกสรน้ำหวานจากดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่าปีกของมันจะล้า แม้ว่ามันจะหมดแรง แต่ก็ไม่มีใครอนุญาตให้มันหยุดบิน
เมื่อมันเริ่มช้าลง มันก็ถูกกระตุ้นให้เร่งความเร็วขึ้น ถูกผลักดันให้บินต่อไป ไม่มีโอกาสได้หยุดมองท้องฟ้า ไม่มีเวลาจะเพลิดเพลินกับสายลม
แรกเริ่มมันยังมีความหวัง...
มันคิดว่าถ้ามันอดทน ถ้ามันบินต่อไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งมันอาจได้รับอนุญาตให้พัก ได้หยุดอยู่กับดอกไม้ที่มันโปรดปราน ได้เอนกายบนกลีบดอกไม้โดยไม่ต้องรีบร้อนบินไปไหน
แต่วันเวลาผ่านไป… ความหวังนั้นกลับค่อย ๆ เลือนราง
ปีกของมันเริ่มหนักขึ้น ร่างกายที่เคยแข็งแรงเริ่มอ่อนล้า มันเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองค่อย ๆ เสื่อมสลายไปทีละน้อย ราวกับว่าการบินตลอดเวลาได้กัดกินชีวิตของมันไปเรื่อย ๆ
ทว่ามันก็ยังต้องบินต่อไป มันยังคงฝืนกางปีก ทั้งที่รู้ดีว่า… มันแทบจะไม่เหลือแรงอีกแล้ว
กระนั้น ตราบใดที่มันยังสามารถกระพือปีกได้ มันจะไม่ยอมปล่อยให้โชคชะตากำหนดว่ามันควรจะร่วงหล่นไปเมื่อไหร่
มันรู้ดีว่ามันไม่มีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตัวเอง ไม่สามารถหยุดเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
แต่ถึงอย่างไร มันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองพังทลายลงง่าย ๆ
มันจะบินต่อไป จะฝ่าฟันสายลม จะสู้กับโชคชะตาที่กำหนดให้มันไม่มีวันได้พัก มันจะไม่ยอมแพ้ให้กับเสียงที่คอยกระซิบสั่งมันว่าต้องบินต่อไป มันจะไม่ยอมให้ความกลัวมาฉุดรั้งมันไว้กับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนี
และสักวันหนึ่ง… สายลมนั้นจะพามันไปสู่อิสรภาพ ให้มันล่องลอยอยู่เหนือกระแสลมที่โอบอุ้ม ปลดปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปอย่างอิสระ
มันจะโบยบินไปในทุกหย่อมหญ้าที่มีดอกไม้ ตามที่ใจมันฝัน จะหยุดอยู่กับดอกไม้ที่มันรักโดยไม่มีใครมาควบคุม จะได้สูดกลิ่นหอมหวานของโลกกว้าง ไม่ใช่เพราะมันถูกบังคับให้บินไปหาเกสร แต่เพราะมันเลือกเอง
.
.
.
พวกมันแตกต่างกัน… แต่ก็เหมือนกัน
ตัวหนึ่งถูกควบคุมให้อยู่ที่เดิม เพราะมีคนอยากเก็บมันไว้ ไม่อยากให้มันจากไป
อีกตัวหนึ่งถูกผลักดันให้บินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะมันถูกตีค่าจากสิ่งที่มันทำ มากกว่าสิ่งที่มันเป็น
แต่พวกมันเหมือนกันตรงที่…
พวกมันไม่ได้เลือกเส้นทางของตัวเองเลย
ตัวหนึ่งได้แต่มองท้องฟ้าที่ไม่มีวันเอื้อมถึง
อีกตัวหนึ่งได้แต่บินไปสู่ปลายทางที่มันไม่อาจหยุดได้
สุดท้ายแล้ว… ไม่ว่ามันจะถูกจับไว้ หรือถูกบังคับให้บินต่อไปเรื่อย ๆ
พวกมันก็ต่างถูกพันธนาการเหมือนกัน
–
"เจบี… นายได้ยินฉันไหม?"
เสียงทุ้มที่ฟังดูคุ้นเคยดังแว่วอยู่เหนือศีรษะ ผมพยายามจะขยับตัว แต่ร่างกายกลับไม่ให้ความร่วมมือ เหมือนโทรศัพท์ที่แบตหมดไปแล้ว เปลือกตารู้สึกหนักอึ้ง ร่างกายเหมือนถูกโถมทับด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวัน
เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง แผ่วเบาแต่มั่นคง
เสียงของแคสเปอร์…?
ผมพยายามตอบ แต่ทุกอย่างพร่าเลือนเกินไป ก่อนที่สติจะค่อย ๆ ดับวูบลงอีกครั้ง
| ก่อนหน้านั้น
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องกระทบกระจกหน้าต่างร้านอาหาร อากาศช่วงบ่ายไม่ร้อนเกินไป แต่ก็น่าอึดอัดเมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาของใครหลายคน
หลังจากอาหารมื้อกลางวันจบลง เราต่างแยกย้ายกัน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเตรียมเรียกรถกลับ แต่ยังไม่ทันได้กด แคสเปอร์ก็เอ่ยขึ้นก่อน
“นายจะกลับยังไง?”
"ผมจะเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้ครับ"
แคสเปอร์ปรายตามองผมนิ่ง ๆ ก่อนจะเอียงศีรษะเป็นเชิงบอกไปทางรถของเขา "ขึ้นรถไปเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่ง"
ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวออกจากตัวเมือง ผมรู้สึกถึงความอ่อนเพลียที่ค่อย ๆ กัดกินร่างกายอย่างช้า ๆ หลายวันมานี้ผมแทบไม่ได้พักผ่อนอย่างที่ควร ความเครียด ความกดดัน และอะไรหลายอย่างที่ต้องแบกรับ ทำให้ร่างกายของผมเริ่มประท้วง
ดวงตาของผมหนักขึ้นทุกวินาที ผมพยายามฝืนให้ตัวเองตื่น แต่สุดท้าย…
สติของผมก็ดับวูบไปโดยไม่รู้ตัว
| ปัจจุบัน
ผมลืมตาขึ้นมาช้า ๆ แสงไฟจากโคมในห้องทำให้สายตาปรับโฟกัสยากอยู่ชั่วครู่ อาการของผมเหมือนคนเมาเรือ ทุกอย่างรอบตัวดูโคลงเคลงไปหมด ศีรษะหนักราวกับถูกกดด้วยแรงมหาศาล
กลิ่นหอมของข้าวต้มอุ่น ๆ ลอยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ ผมพยายามขยับเปลือกตาให้เปิดขึ้นเต็มที่ และสิ่งที่เห็นคือ ร่างสูงในชุดเสื้อผ้าสบาย ๆ ผมสีบลอนด์อ่อนที่ดูยุ่งเล็กน้อย ราวกับอยู่ในที่ส่วนตัวของเขาเอง
แคสเปอร์…?
เขากำลังยกชามข้าวต้มมาทางผม ดวงตาสีอ่อนของเขาจับจ้องมาทางนี้ ไม่มีแววเย้าหยอกเหมือนปกติ มันดูนิ่ง… อ่านไม่ออก
"เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย?"
เสียงของเขานุ่มและฟังดูเหมือนเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจริง ๆ ผมกระพริบตาช้า ๆ พยายามเรียกสติ ก่อนจะขยับตัวขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นมาขยี้ตาน้อย ๆ
"แคสเปอร์… นี่ห้องคุณเหรอครับ?"
เสียงของผมแหบเล็กน้อยจากการไม่ได้พูดมาสักพัก แคสเปอร์ไม่ตอบในทันที เขาเพียงแค่วางชามข้าวต้มลงตรงหน้า ก่อนจะเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ มองผมด้วยสายตาที่คล้ายกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
"นายได้นอนบ้างหรือเปล่า?" เขาเอ่ยขึ้น แทนที่จะตอบคำถามของผม กลับเป็นฝ่ายโยนคำถามกลับมาแทน
ผมชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้ตอบในทันที เพียงแค่มองหน้าชามข้าวต้มที่ยังคงส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ
แคสเปอร์ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว "อืม… ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร" เขาพูดเสียงเรียบ "แต่นายควรกินข้าวสักหน่อย จะได้กินยาแล้วพักผ่อน"
"ผมดีขึ้นมากแล้วครับ จะกลับเลยก็ได้" ผมตอบกลับไป เสียงไม่ได้แข็งนัก แต่ก็แฝงความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่อยู่ที่นี่นานเกินไป
"ไม่ได้" แคสเปอร์พูดทันทีโดยไม่ต้องคิด "ฉันจะปล่อยนายออกไปเดินตากลมเย็น ๆ ได้ยังไง?"
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาสีอ่อนของแคสเปอร์นิ่งสนิท แต่มันแฝงบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
"นอนค้างที่นี่สักคืน"
"แต่.."
"ไม่มีแต่" เขาตัดบททันที เสียงของเขาไม่ได้แข็งกร้าว แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นจนปฏิเสธไม่ได้
แคสเปอร์โน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย ยกแขนขึ้นเท้าคาง ริมฝีปากกระตุกยิ้มบาง ๆ แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มล้อเล่น
"นายไม่มีแรงพอจะเถียงฉันด้วยซ้ำ"
น้ำเสียงนั้นมั่นใจเกินไป เหมือนเขาตัดสินใจแทนผมเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุด ผมก็ต้องยอมพ่ายแพ้ ถอนหายใจเบา ๆ ยอมรับความจริงว่าการเถียงต่อคงไม่มีประโยชน์ ผมปรายตามองไปที่นาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ ตอนนี้ก็สักประมาณสองทุ่ม บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงแสงไฟสีอบอุ่นที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
ห้องของแคสเปอร์แทบไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาวดี ๆ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ดูแพง และสะท้อนถึงรสนิยมของเจ้าของห้องได้ดี
เสียงช้อนกระทบกับขอบชามเบา ๆ ดึงความสนใจของผมกลับมา ข้าวต้มร้อน ๆ ถูกเป่าให้คลายความร้อนช้า ๆ ก่อนที่ช้อนนั้นจะถูกยื่นมาจ่อที่ริมฝีปากผม
“อ้าปาก แล้วกลืนข้าวลงไป”
ผมชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว "ผมกินเองได้"
แคสเปอร์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยังคงยื่นช้อนอยู่ในระดับเดิม เขาไม่ได้มีท่าทีจะลดมือกลับไปเลย
“ฉันจะป้อน" เขาพูดขึ้นเรียบ ๆ ดวงตาสีอ่อนสบกับผมตรง ๆ "ถ้านายกินเองแล้วกินไปแค่สองคำจะทำยังไง?"
ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าผมหงุดหงิดที่เขาเดาใจถูก หรือหงุดหงิดที่รู้ว่าเขาจะไม่ยอมให้ผมหลีกเลี่ยงไปได้ง่าย ๆ
"อย่ามองแบบนั้น" แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ ดวงตายังมีแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย "ฉันไม่ได้ทำเพื่อความสนุกหรอกนะ"
ผมถอนหายใจอีกครั้ง และสุดท้ายก็ต้องจำใจอ้าปาก
แคสเปอร์ดูเหมือนจะพอใจกับท่าทีของผมมาก ริมฝีปากของเขายังคงแต้มรอยยิ้มบาง ๆ ตลอดเวลา ผมจำไม่ได้ว่าถูกป้อนไปกี่คำแล้ว
รู้ตัวอีกที... ข้าวต้มในชามก็หมดเกลี้ยง
ฝ่ามืออุ่นของแคสเปอร์ยกขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ อย่างที่ผมไม่ได้ตั้งตัว
"เก่งมาก"
ผมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองเขา สายตาผมมีแต่ความเหนื่อยล้าและไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
"ผมไม่ใช่เด็กนะครับ" ผมพึมพำเสียงเบา
แคสเปอร์หัวเราะอีกครั้ง แต่ไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองผมอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังใช้ความคิด
"นายอยากอาบน้ำมั้ย?"
ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยกับการเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ร่างกายของผมรู้สึกเหนียวตัวและไม่สบายเอาเสียเลย
"ฉันจะให้คนมาเตรียมน้ำอุ่นให้"
"ครับ"
ผมตอบรับทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก แค่ได้แช่น้ำอุ่นสักหน่อยก็คงทำให้รู้สึกดีขึ้น
แคสเปอร์พยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แค่เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ ทิ้งให้ผมนั่งอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง
แต่ไม่นานนัก เขาก็กลับมา พร้อมกับถุงกระดาษใบหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้ผม
"นี่อะไรครับ?" ผมถามพลางรับถุงมาอย่างงุนงง
"ชุดนอน"
ผมก้มลงมองสิ่งที่อยู่ข้างใน ถุงกระดาษไม่หนักมากนัก และเนื้อผ้าด้านในก็ดูนุ่มลื่น ผมค่อย ๆ แง้มมันออกดู
ชุดนอนสีฟ้าอ่อน…
แต่ที่ทำให้ผมชะงักไปไม่ใช่สีของมัน แต่เป็นลายกระต่ายตัวเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วผืนผ้า
“…อ่า”
ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองอีกฝ่าย นี่มันเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือว่าเขาตั้งใจแกล้งกันแน่?
"พอดีหาได้แต่แบบนี้ พอใส่ได้ใช่มั้ย?"
น้ำเสียงของแคสเปอร์เรียบเฉยราวกับว่าสิ่งที่ยื่นให้ผมไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ผมพยายามประเมินสีหน้าของเขา แต่เขาก็แค่ยืนกอดอก มองตอบกลับมาด้วยสายตานิ่ง ๆ ไม่ได้มีท่าทีสนุก หรือแม้แต่จะขำกับสิ่งที่เกิดขึ้น
มันดูน่ารักเกินไปหน่อยมั้ย?
ปกติแล้ว ผมแค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงสบาย ๆ ก่อนนอน ไม่เคยแม้แต่จะคิดจะใส่อะไรแบบนี้เลยสักครั้ง แต่พอเห็นสายตาของแคสเปอร์ที่ดูเหมือนไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเลือกให้...
ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับแบบเสียไม่ได้
"ห้องน้ำอยู่ทางโน้น นายใช้ได้ตามสบาย ฉันเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว"
"ขอบคุณครับ..."
ผมหอบถุงกระดาษติดมือ ลุกขึ้นจากเตียง เดินตรงไปทางห้องน้ำโดยไม่พูดอะไรต่อ แต่ระหว่างเดินก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองชุดนอนในมืออีกครั้ง
นี่ต้องใส่จริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย...?
ผมเดินเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่ว มันกว้างขวางและหรูหราจนดูใหญ่กว่าห้องนอนของผมเองด้วยซ้ำ ทุกอย่างสะอาดหมดจด ไร้ที่ติจนแทบจะสะท้อนภาพตัวเองออกมาได้จากพื้นหินอ่อน ไอร้อนจากน้ำอุ่นในอ่างลอยฟุ้ง ไหลเวียนอยู่ในอากาศอย่างแผ่วเบา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
ผมค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด เนื้อผ้าที่เคยแนบชิดผิวหลุดออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นร่างกายที่อ่อนล้า เต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวด ก่อนจะเผลอชะงักเมื่อสายตาเหลือบเห็น รอยฟกช้ำบริเวณสีข้างที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
มันดูหนักกว่าเมื่อวาน ขยายวงกว้างขึ้นราวกับประกาศว่ามันจะอยู่กับผมไปอีกนาน
ผมขยับมือแตะลงบนรอยช้ำเบา ๆ แต่ทันทีที่นิ้วกดลงไป...
“อ๊ะ…”
ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ความเจ็บแปลบแล่นริ้วไปทั่วร่าง เหมือนถูกกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ช็อตเข้ากลางสีข้าง ผมรีบละมือออกโดยอัตโนมัติ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
เจ็บ…
แม้จะรู้ว่ามันต้องเจ็บอยู่แล้ว แต่พอได้สัมผัสมันจริง ๆ ถึงรู้ว่ามันหนักกว่าที่คิด
ผมกัดฟันแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก
ดวงตาของผมดูอ่อนล้าเสียจน แทบไม่อยากจำว่าครั้งสุดท้ายที่ผมดูมีชีวิตชีวาคือเมื่อไหร่
ผมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจละสายตาออกมา ไม่อยากมองภาพตัวเองแบบนี้นานเกินไป
ผมปล่อยเสื้อที่ถืออยู่ลงในตะกร้า แล้วค่อย ๆ ดึงกางเกงลง ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้อ่างอาบน้ำ ละอองน้ำอุ่นที่ลอยคลุ้งในอากาศแทรกซึมเข้ามาห่อหุ้มร่าง ทำให้ความเย็นที่เกาะอยู่บนผิวค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยไอร้อน
ผมค่อย ๆ หย่อนตัวลงในอ่างช้า ๆ
น้ำอุ่นสัมผัสผิวอย่างอ่อนโยน แต่เมื่อร่างกายจมลงไป รอยฟกช้ำที่ยังเจ็บอยู่กลับถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวอีกครั้ง
“อึก...”
ผมเผลอขบฟันเข้าหากันแน่น รู้สึกถึงแรงบีบที่เสียดแทรกเข้าไปตามแนวกล้ามเนื้อ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บเริ่มจางลง มีเพียงไอร้อนจากน้ำที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ปลดปล่อยความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดหลายวัน
ผมเอนศีรษะพิงขอบอ่าง ปล่อยให้ร่างกายแช่อยู่ในน้ำโดยไม่คิดอะไร
ทุกอย่างถูกกลืนไปด้วยความสงบชั่วขณะ…
อย่างน้อยก็นาทีนี้ นาทีที่ผมสามารถลืมทุกอย่างไปได้สักพัก
เพราะพรุ่งนี้... ผมคงไม่มีเวลาแม้แต่จะหายใจให้โล่งได้แบบนี้อีก
.
.
.
เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ตามจังหวะการขยับตัวของผม สร้างคลื่นเล็ก ๆ ที่แตกกระจายออกไป ก่อนจะสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมเองก็ไม่รู้ว่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานแค่ไหน อุณหภูมิของน้ำอุ่นซึมเข้าสู่ผิวช้า ๆ ไล่ความหนาวเย็นที่เกาะติดมาตลอดทั้งวันออกไป ผมปล่อยให้ตัวเองเอนกายลง ให้ความอบอุ่นโอบล้อมร่างกายราวกับต้องการกลืนกินทุกอย่าง ผ่อนคลายจนเผลอปล่อยให้ร่างกายจมลึกลงไปเรื่อย ๆ เสียงรอบตัวค่อย ๆ เลือนหาย เหมือนทุกอย่างกำลังถูกตัดขาด ผมหลับตาลง ลมหายใจค่อย ๆ ขาดช่วงใต้ผืนน้ำที่ปิดกั้นทุกเสียง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เจบี! นายเข้าไปหลับหรือไง? รีบ ๆ อาบแล้วออกมาได้แล้ว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแผ่ว ๆ แต่ผมไม่ได้ตอบ ร่างกายของผมยังคงปล่อยให้จมดิ่งลงไปโดยไม่ขยับ ท่ามกลางสายน้ำอุ่นที่โอบรัดจนรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
แต่ทันใดนั้น
ซ่า!!
แรงกระชากหนักแน่นกระชากผมขึ้นจากน้ำอย่างแรง ร่างของผมเซถลาพรวดเข้าหาอะไรบางอย่างโดยที่ไม่ทันตั้งตัว น้ำกระเซ็นไปทั่ว เสียงสาดซ่านของมันดังก้องหู พร้อมกับเสียงหอบหายใจแรง ๆ ของใครบางคนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“เจบี! นายทำบ้าอะไร!??”
เสียงตะโกนดังลั่น พร้อมกับแรงเขย่าที่ต้นแขน ผมสะดุ้งเฮือก ปอดบีบรัดตัวเองไล่อากาศที่กลั้นเอาไว้ออกมาพรวด หยดน้ำร่วงลงมาตามเส้นผมเปียกชุ่มไหลตามลำตัว สติของผมสะดุดไปชั่วขณะ มองไปรอบตัวอย่างงุนงง
ภาพแรกที่เห็นคือ ใบหน้าของแคสเปอร์
แววตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววตกใจปนหวาดหวั่น ผมไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน ใบหน้าที่เคยแต้มยิ้มสบายอารมณ์ ตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่แววตาที่จับจ้องมาที่ผม เต็มไปด้วยความโกรธปนความตกใจที่ปิดไม่มิด
“นายได้ยินฉันไหม เจบี!?”
เขาตะโกนใส่หน้าผม หายใจหอบหนักเหมือนคนเพิ่งวิ่งมาไกล ผมกะพริบตาปริบ ๆ หัวสมองยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สัมผัสหนักแน่นที่ต้นแขนยังคงอยู่ มือของแคสเปอร์กำมันแน่นจนรู้สึกถึงแรงกดที่ลึกลงบนผิว
ผมหันมองรอบตัว…
พื้นห้องน้ำเปียกโชกจากน้ำที่สาดกระเซ็น ผมยังคงนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำที่น้ำลดระดับลงเพราะแรงกระเพื่อมเมื่อครู่ ส่วนแคสเปอร์ย่อตัวลงมาแนบชิดในระยะประชิด เสื้อเชิ้ตสีเข้มของเขาเปียกชุ่มไปครึ่งตัวจากน้ำที่กระเด็นใส่ ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่ผมไม่ละไปไหน
…เดี๋ยวนะ เกิดอะไรขึ้น?
ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่า ลมหายใจของเขาหนักหน่วงผิดปกติ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งที่โอบรอบแขนของผมสั่นเล็กน้อย ราวกับว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งเผชิญหน้ากับเรื่องที่ทำให้ใจหล่นวูบ
แล้วจู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวผม
เขาคิดว่าผมจมน้ำตายจริง ๆ ใช่ไหม?
“เดี๋ยว ๆ แคสเปอร์… คุณคิดว่าผม”
ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ แรงดึงกระชากทำให้ผมถลาเข้าหาอกของเขาเต็มแรง แคสเปอร์รั้งตัวผมเข้าหา หายใจหนักลงบนลาดไหล่ ราวกับต้องการให้แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ
“…เวรเอ้ย”
เสียงสบถต่ำดังแผ่ว ๆ ข้างหู แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ผมไม่อาจเข้าใจ
และในวินาทีนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า
ตัวเองเปลือยเปล่า
(///Σ (°△°|||)
ผมเบิกตากว้างทันที ร่างกายทั้งร่างแนบชิดกับเสื้อเชิ้ตเปียกโชกของแคสเปอร์ มือเปลือยเปล่าของผมสัมผัสกับอกกว้างที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจที่ยังไม่ทันกลับมาเป็นปกติ ความร้อนจากตัวเขาแผ่ซ่านเข้ามาแทนที่ความอุ่นของน้ำเมื่อครู่
และสิ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวคือ มือของแคสเปอร์ที่ยังจับตัวผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไป
“…ให้ตายสิ”
แคสเปอร์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนคนที่เพิ่งรอดจากฝันร้าย
แต่ผมน่ะสิ เพิ่งตกลงไปในฝันร้ายของตัวเอง!
TBC.
ฝากติดตามเป็นกำลังใจหน่อยน้าา
กรี๊ด!!! แทนเจบี
แคสเปอร์นายอย่ามองลูกเรานะ
รักคนอ่าน♥️
สนุกมากครับ ขอขอบคุณ ขอขอบคุณมากๆนะครับ ขบอบคุณคับ
หน้า:
[1]