วันนั้น...ที่ตะวันหวนคืน (บท3)
บทที่ ๓: ร่องรอยความเอาใจใส่ช่วงเวลาพักฟื้นจากอาการไข้หวัดใหญ่กลายเป็นช่วงเวลาที่ตะวันได้ใกล้ชิดกับภาคินมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต่างคนต่างใช้ชีวิตในบ้านหลังเดียวกันอย่างห่างเหิน บัดนี้กลับมีปฏิสัมพันธ์ที่อบอุ่นและใส่ใจมากขึ้น ตะวันใช้โอกาสนี้แสดงความรักและความห่วงใยต่อผู้เป็นพ่ออย่างเต็มที่ ราวกับต้องการชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาเคยมองข้ามความรู้สึกของพ่อไป
ทุกเช้า ตะวันจะพยายามตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยภาคินเตรียมอาหาร แม้ร่างกายจะยังไม่แข็งแรงเต็มที่นัก แต่ความตั้งใจของเขาก็ทำให้ภาคินรู้สึกแปลกใจและประทับใจ
“ไม่ต้องลุกมาหรอกไอ้หนู นอนพักผ่อนไปเถอะ เดี๋ยวพ่อทำเอง” ภาคินเอ่ยห้ามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมอยากช่วย” ตะวันตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนแรง แต่แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เขาจะช่วยล้างผัก หุงข้าว หรือแม้กระทั่งทอดไข่เจียวง่ายๆ เท่าที่พอจะทำได้ แม้จะไม่คล่องแคล่วเท่าภาคิน แต่ความตั้งใจของเขาก็ทำให้บรรยากาศในครัวยามเช้าอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
เมื่อถึงมื้อเย็น ตะวันก็จะพยายามช่วยดูแลเรื่องอาหารการกิน หากภาคินกลับมาจากทำงานด้วยท่าทีเหนื่อยล้า ตะวันก็จะอาสาไปซื้อกับข้าว หรือช่วยจัดเตรียมสำรับ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่การกระทำเหล่านี้ก็ทำให้ภาคินรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวลูกชายอย่างชัดเจน
“ช่วงนี้มึงขยันผิดหูผิดตาเลยนะไอ้ตะวัน” ภาคินเคยแซวด้วยรอยยิ้มบางๆ
ตะวันยิ้มตอบ “ผมแค่อยากดูแลพ่อบ้างครับ”
นอกจากเรื่องอาหารการกิน ตะวันยังใส่ใจในความเป็นอยู่ของภาคินมากขึ้น เขาจะคอยสังเกตว่าพ่อเหนื่อยล้าหรือไม่ หากเห็นว่าพ่อกลับมาจากทำงานด้วยท่าทีอ่อนเพลีย เขาก็จะอาสานวดไหล่ นวดหลังให้ แม้จะไม่ชำนาญนัก แต่ความตั้งใจของเขาก็ทำให้ภาคินรู้สึกผ่อนคลาย
“ไม่ต้องทำให้เมื่อยมือเปล่าๆ หรอก กูสบายดี” ภาคินมักจะพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธความหวังดีของลูกชาย
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนพักผ่อนอยู่ด้วยกัน ตะวันจะพยายามชวนภาคินคุยเรื่องต่างๆ ที่พ่อสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเพื่อน หรือเรื่องข่าวสารบ้านเมือง เขาตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อพูด และพยายามแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพและให้เกียรติ
ภาคินเองก็เริ่มชินกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกชาย จากที่เคยแปลกใจและสงสัย ตอนนี้กลับกลายเป็นความรู้สึกคุ้นเคยและสบายใจ เขารู้สึกดีที่มีลูกชายที่ใส่ใจและดูแลเขามากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างถ่องแท้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่ตะวันได้ใกล้ชิดกับภาคินมากขึ้นนั้น เขาก็เริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในแววตาของผู้เป็นพ่อ ความแข็งกระด้างและมาดนักเลงที่เคยปกคลุมใบหน้าของภาคินในอดีต ดูเหมือนจะเริ่มจางหายไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือร่องรอยของความเหนื่อยล้า และในบางครั้ง...ความเหงา
เมื่อภาคินนั่งพักผ่อนอยู่คนเดียวเงียบๆ หรือเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาจะดูว่างเปล่าและเศร้าสร้อย ราวกับกำลังคิดถึงบางสิ่งที่ขาดหายไป ตะวันไม่แน่ใจว่าพ่อกำลังคิดถึงอะไร แต่ความรู้สึกเหงาที่แผ่ออกมาจากแววตานั้น ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบ
“พ่อครับ...พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? ดูเงียบๆ ไป” ตะวันเคยถามด้วยความเป็นห่วง
ภาคินสะดุ้งเล็กน้อย หันมามองลูกชายแล้วฝืนยิ้ม “เปล่า...กูแค่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
แต่ตะวันสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้มาจากใจจริง ความเหงาในแววตาของพ่อยังคงอยู่
ตะวันเริ่มสังเกตมากขึ้น เขาพบว่าภาคินมักจะอยู่คนเดียวเงียบๆ ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงาน หรือไม่ได้พูดคุยกับเขา เพื่อนฝูงของพ่อก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ห่างหายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงลุงมาที่แวะเวียนมาบ้างนานๆ ครั้ง
‘พ่อเหงาหรือเปล่านะ?’ ตะวันถามตัวเองในใจ ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงพ่ออย่างจับใจ
เพราะเมื่อชาติก่อน ตะวันมักจะออกไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนเกเร และไม่อยู่ติดบ้าน นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาคินรู้สึกเหงา...
ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของตะวัน เขาเคยคิดว่าพ่อแข็งแกร่งและสามารถดูแลตัวเองได้เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาคินก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีความต้องการ และอาจจะมีความเหงาซ่อนอยู่ในใจ
ตะวันตัดสินใจว่าเขาจะไม่ปล่อยให้พ่อต้องเหงาอีกต่อไป เขาจะพยายามใช้เวลาร่วมกับพ่อให้มากขึ้น ชวนคุยในเรื่องต่างๆ และเป็นเพื่อนคลายเหงาให้พ่อ
วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองคนนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันเงียบๆ ตะวันก็เอ่ยชวนคุยขึ้นมา
“พ่อครับ...เมื่อก่อนตอนเด็กๆ พ่อชอบพาผมไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ?”
ภาคินหันมามองหน้าลูกชายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมวันนี้ถึงถามเรื่องเก่าๆ?”
“ผมแค่อยากรู้ครับ อยากฟังพ่อเล่า” ตะวันตอบด้วยรอยยิ้ม
ภาคินนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เขาเล่าถึงทุ่งนาเขียวขจีที่เคยพาตะวันไปวิ่งเล่น เล่าถึงตลาดเก่าแก่ที่เคยพาไปซื้อขนมอร่อยๆ และเล่าถึงงานวัดที่มีเครื่องเล่นสนุกสนาน
ขณะที่ฟังพ่อเล่าเรื่องราวเหล่านั้น ตะวันสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของภาคิน รอยยิ้มที่ดูสดใสและมีความสุขอย่างแท้จริง มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
“เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมซนมากเลยใช่ไหมครับ?” ตะวันถามพลางหัวเราะเบาๆ
ภาคินหัวเราะตาม “ซนจนกูแทบจะจับมัดไว้กับเสาบ้าน”
บรรยากาศระหว่างพ่อลูกอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความเข้าใจ ตะวันรู้สึกดีใจที่ได้เห็นพ่อมีความสุข และเขาก็ตั้งใจว่าจะสร้างช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ
ในช่วงเวลาที่ตะวันพักฟื้นและหลังจากนั้น เขายังคงแสดงความเอาใจใส่ต่อภาคินอย่างสม่ำเสมอ เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อดูแลและทำให้พ่อมีความสุข ราวกับต้องการชดเชยช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาเคยมองข้ามความรู้สึกของพ่อไป
การเปลี่ยนแปลงของตะวันค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นเคยสำหรับภาคิน จากที่เคยสงสัยและแปลกใจ ตอนนี้เขากลับรู้สึกสบายใจและมีความสุขที่มีลูกชายที่ใส่ใจและดูแลเขามากขึ้น แม้ว่าความเหงาในแววตาของพ่อจะยังคงปรากฏให้เห็นบ้างในบางครั้ง แต่ตะวันก็ตั้งใจว่าจะเติมเต็มความสุขและคลายความเหงาให้กับผู้ชายที่เขารักและเคารพคนนี้...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
สนุกมากครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุนคับ ขอบคุณมากครับ น่ารัก
หน้า:
[1]