ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 8
ฟู้มมม! ปั้ง!
เสียงเครื่องยนต์จากรถหรูหลากหลายรุ่นดังเป็นระยะ ก่อนจะค่อย ๆ เงียบลงเมื่อเจ้าหน้าที่นำรถไปจอดยังพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ บริเวณหน้าทางเข้าของ เดอะ วอกซ์ฮอลล์ แกรนด์ โฮเทล ถูกจัดแต่งอย่างหรูหรา พรมแดงทอดยาวจากบันไดหน้าตึกไปจนถึงโถงทางเข้า โคมไฟระย้าขนาดใหญ่ส่องแสงระยิบระยับต้องกับกระจกใสที่ประดับประดาอยู่รอบตัวอาคาร
งานเลี้ยงคืนนี้เป็น งานปิดระดับสูง ที่เปิดรับเฉพาะแขกที่ได้รับบัตรเชิญเท่านั้น แต่ละคนที่ก้าวลงจากรถล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ดาราฮอลลีวูด เซเลบริตี้ชื่อดัง นักการเมืองระดับแนวหน้า นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพล เจ้าของกิจการมหาเศรษฐี ไปจนถึงบุคคลในแวดวงที่ไม่อาจเอ่ยนามได้อย่างเปิดเผย
ชุดสูทและราตรีที่บรรดาแขกสวมใส่ ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์ระดับโลก บางคนประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าราคาแพงหูฉี่ ขณะที่บางคนมาในชุดที่เรียบหรูแต่แฝงไปด้วยอำนาจ ทุกคนอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน หน้ากากแฟนซีที่ปกปิดตัวตนของพวกเขา
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชุดสูทดำยืนกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณ พวกเขาตรวจสอบบัตรเชิญของแขกทุกคนอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้าให้ผ่านเข้าไปข้างใน ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลระดับไหนก็ตาม
เสียงพูดคุยของแขกดังขึ้นเป็นระลอก บ้างจับกลุ่มกันแลกเปลี่ยนบทสนทนา บ้างหยุดทักทายกันระหว่างรอเดินเข้าไปในงาน บรรยากาศอบอวลไปด้วยเสน่ห์ของสังคมชั้นสูงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจและเกมอำนาจที่ซ่อนอยู่ใต้คำทักทายอันสุภาพ
เสียงแฟลชจากช่างภาพที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาเก็บภาพบรรยากาศของงานดังเป็นระยะ แขกบางคนหยุดโพสท่าชั่วครู่ก่อนจะก้าวเข้าไปในงาน ขณะที่บางคนเลือกจะเดินผ่านไปโดยไม่สนใจกล้อง
ก่อนที่รถซูเปอร์คาร์สุดหรูจะแล่นมาจอดอย่างนุ่มนวลที่บริเวณทางเข้าของโรงแรม ตัวถังสีดำสนิทเงาวับจับแสงไฟหน้าตึก มันเป็นรถที่ไม่ได้มีไว้เพื่อขับเล่น ๆ บนถนนทั่วไป แต่เป็นหนึ่งในคอลเล็กชันที่มีเพียงไม่กี่คันบนโลก และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นเจ้าของมันได้
ทันทีที่ประตูปีกนกของรถเปิดออก เสียงพูดคุยที่จอแจบริเวณทางเข้าชะงักลงชั่วขณะ ทุกสายตาถูกดึงดูดไปยังร่างของชายหนุ่มสามคนที่ก้าวลงจากรถทีละคน ร่างสูงสง่าในชุดสูทตัดเย็บเนี้ยบเผยให้เห็นเสน่ห์ที่ยากจะมองข้าม แม้ใบหน้าจะถูกบดบังด้วยหน้ากากแฟนซี แต่บุคลิกที่โดดเด่นกลับทำให้พวกเขาดูเป็นจุดสนใจอย่างไม่ต้องพยายาม
แขกบางคนเริ่มซุบซิบ บ้างพยายามเดาว่าพวกเขาเป็นใคร ท่ามกลางความหรูหราของงาน พวกเขาเปล่งประกายอย่างโดดเด่น ทว่าไม่ใช่เพราะเครื่องแต่งกาย หรือรูปลักษณ์ที่ดูดีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะออร่าบางอย่างที่แผ่ออกมา กลิ่นอายของอำนาจ ความเยือกเย็น และความน่าค้นหา
แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใด แต่แรงสั่นสะเทือนที่พวกเขานำมาด้วยนั้นสัมผัสได้ชัดเจนราวกับคลื่นใต้น้ำ แขกบางคนหยุดสนทนาเพียงเพื่อมองพวกเขาให้แน่ใจ บ้างก็ทำเพียงเหลือบตามอง ก่อนรีบหลบสายตา ราวกับรู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยง่าย ๆ
แววตาหลายคู่พยายามจับจ้องผ่านช่องว่างของหน้ากาก หวังจะมองให้ทะลุผ่านใบหน้าที่ถูกบดบัง แต่ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปทักทายโดยปราศจากเหตุผล ทุกย่างก้าวของพวกเขาราวกับถูกกำหนดไว้แล้ว เป็นจังหวะที่สง่างาม ทรงอำนาจ แต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจเงียบงันที่ไม่อาจละสายตาได้
พวกเขาไม่ได้มางานนี้เพื่อสังสรรค์ แต่เพราะมีเหตุผลบางอย่างที่ต้องมา ไม่นานมานี้ พื้นที่บางแห่งที่อยู่ภายใต้เครือข่ายของพวกเขาเริ่มมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ เครือข่ายพันธมิตรที่เคยวางตัวเป็นกลางเริ่มถูกดึงไปอยู่ฝั่งตรงข้าม เส้นแบ่งเขตอำนาจที่เคยแน่นหนาเริ่มถูกท้าทาย
พวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ที่แน่นอนคือ คนที่สามารถก่อเรื่องแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจไม่น้อยไปกว่าพวกเขา
การขยายอำนาจของบุคคลบางกลุ่มเริ่มล้ำเส้นเข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายใต้ดินที่เคยอยู่ในอาณัติต่างเริ่มขยับตัวอย่างไม่ปกติ เงินที่ไหลเวียนในตลาดมืดเริ่มสะดุด การล้มกระดานครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
ไม่กี่วันก่อน…
เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอย่างจริงจังในที่ประชุม ถึงสาเหตุและความเป็นไปได้ ราฟาเอโร่มีสีหน้าที่เครียดกว่าปกติ อารมณ์ของเขาแปรปรวนไม่ต่างจากพายุที่กำลังก่อตัว พร้อมจะซัดทุกอย่างให้พังทลายลงได้ทุกเมื่อ กายเองก็พลอยรับแรงกระทบจากสภาวะอารมณ์ที่คุกรุ่นของราฟาเอโร่ไปด้วย
แม้ว่าข่าวการกวาดล้างกลุ่มคนทรยศที่เมืองนิวคาสเซิลจะสร้างแรงสั่นสะเทือนและทำให้เครือข่ายใต้ปีกของพวกเขาหวาดกลัว จนไม่มีใครกล้าขยับตัวอย่างโจ่งแจ้ง แต่กระแสความเคลื่อนไหวยังคงดำเนินไป คล้ายระลอกคลื่นที่ดูสงบนิ่ง ทว่าแท้จริงแล้วซ่อนเร้นกระแสใต้ผืนน้ำ
"อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงรวมตัวของพวก ‘ผู้มีอำนาจ’ ใช่ไหม?" เรนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหมุนบัตรเชิญสีดำในมือ ก่อนจะโยนให้แคสเปอร์รับไป ชายหนุ่มรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะพลิกดูพลางสะบัดเล่นเหมือนกำลังพัดไล่อารมณ์ขุ่นมัวในห้องให้จางลง
"ใช่ งานที่รวมตั้งแต่เจ้าพ่อมาเฟีย นักการเมือง ไปจนถึงนักธุรกิจหน้าใหม่ที่อยากจะแทรกตัวเข้ามาในโลกอำนาจเถื่อน" เสี่ยวไป๋เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายราวกับเคยผ่านงานแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
"พวกนายควรเข้าร่วมนะ" กายที่นั่งนิ่งอยู่นานเปรยขึ้น น้ำเสียงเรียบแต่เฉียบคม ทุกคนในห้องหันไปมองเขาเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มเพียงแค่ทอดสายตามองพวกเขาด้วยท่าทีสงบ "นายก็เหมือนกัน ราฟาเอโร่"
เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยถึงเอนตัวไปด้านหลัง ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดวงตาคมจับจ้องไปที่บัตรเชิญโดยไม่แตะต้องมัน "ฉันไม่ถนัดงานแบบนี้" เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบ แต่เย็นเยียบ "พวกนายไปจัดการเถอะ"
เรนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยิบบัตรเชิญจากมือแคสเปอร์ขึ้นมาพลิกอ่าน ข้อกำหนดในการเข้าร่วมงานถูกพิมพ์อย่างเรียบหรูบนกระดาษสีดำสนิท "ปาร์ตี้หน้ากากแฟนซี" เขาทวนออกมาเบา ๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก "ฟังดูน่าสนุกดีนะ"
–
10:00 PM
| เดอะ วอกซ์ฮอลล์ แกรนด์ โฮเทล (The Vauxhall Grand Hotel)
เสียงดนตรีออเคสตร้าคลอไปกับเสียงพูดคุยจอแจของแขกในงาน แสงไฟจากแชนเดอเลียร์ระยิบระยับสะท้อนบนแก้วไวน์และเครื่องประดับราคาแพง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความสง่างามของเหล่าผู้ทรงอิทธิพล แต่ถึงอย่างนั้น ไม่มีใครดึงดูดสายตาผู้คนได้เท่ากับบุคคลทั้งสามที่เพิ่งก้าวเข้ามา
ผู้คนแอบกระซิบกระซาบกันเบา ๆ เกี่ยวกับการปรากฏตัวของพวกเขา บ้างเดาว่าเป็นนักธุรกิจ บ้างเดาว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจละสายตาได้
เรนรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมาทั้งหมด แต่เขาไม่ได้สนใจมันมากนัก กลับกัน เขารู้สึกสนุกกับบรรยากาศรอบตัว เขาหยิบแก้วแชมเปญจากพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่าน ก่อนจะกระดกหมดแก้วในคราวเดียว รสซ่าอ่อน ๆ ของแอลกอฮอล์ไหลผ่านลำคอ เขาวางแก้วคืนลงบนถาดด้วยท่าทีที่เหมือนไม่มีอะไรสำคัญนัก แต่กลับทำให้บางคนที่เฝ้ามองอดไม่ได้ที่จะขยับตัวด้วยความประหม่า
แคสเปอร์กวาดสายตาไปทั่วงาน ดวงตาสีน้ำแข็งเฉียบคม กำลังพิจารณาทุกสิ่งรอบตัวโดยไม่ให้คลาดสายตา ในขณะที่เสี่ยวไป๋ยังคงยืนกอดอกอย่างผ่อนคลาย สีหน้าเรียบนิ่งจนดูเหมือนไม่แยแสอะไรเลย ทว่าความเงียบเฉยของเขากลับแผ่แรงกดดันจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เกินควร
“นายดูจะสนุกเกินไปหน่อยนะ” เสี่ยวไป๋เปรยเสียงเรียบ สายตามองเรนที่ดูผ่อนคลายเกินไปสำหรับสถานการณ์นี้
เรนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร นอกจากขยับสูทให้เข้าที่ แคสเปอร์เองก็ละสายตาจากรอบข้างก่อนจะหันกลับมามองเรนเช่นกัน เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในชุดสูทหรูที่ตัดเย็บมาอย่างประณีต ท่าทางของเขาดูสุขุมขึ้นกว่าปกติ แต่ภายใต้หน้ากากแฟนซีนั้น กลับซ่อนร่องรอยขี้เล่นไว้อย่างแยบยล เหมือนหมาป่าที่เปลี่ยนขนแต่ยังคงเป็นนักล่า
"พอแต่งตัวแบบนี้ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะ" แคสเปอร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงแววหยอกล้อเจือจาง
เรนเลิกคิ้ว ดวงตาภายใต้หน้ากากเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่พอใจเล็กน้อย “ฉันดูไม่เป็นผู้ใหญ่ตรงไหน?”
“ทุกตรง” คราวนี้เสี่ยวไป๋เป็นฝ่ายตอบแทน น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ ราวกับเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด
เรนชะงักไปเล็กน้อย นัยน์ตาทอประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออก ก่อนจะหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะของเขาฟังดูเหมือนเป็นเชิงหยอกล้อมากกว่าจริงจัง แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบใจกับคำตอบ แต่ก็ไม่ได้คิดจะถือสาหรือเสียเวลาให้กับมัน เขาเพียงแค่กระตุกยิ้มบาง ๆ ประหนึ่งคนที่ยอมปล่อยผ่าน แต่ถ้าเป็นคนอื่น คำพูดนั้นอาจเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะถูกส่งลงนรก
ไม่นานนัก เสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป็นทางการ ดึงดูดความสนใจของแขกทุกคนให้มารวมตัวกันที่ฟลอร์เต้นรำ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ผู้คนเริ่มจับคู่กันอย่างเป็นธรรมเนียม คู่เต้นรำจับมือกันก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่จังหวะของบทเพลงวอลซ์ที่บรรเลงอย่างนุ่มนวล
แคสเปอร์และเสี่ยวไป๋ไม่ต้องเสียเวลาหาคู่เต้นรำให้วุ่นวาย เพียงแค่สบตา คนที่เข้ามาเสนอตัวก็มากเกินพอ ในขณะที่เรน ซึ่งปกติไม่ค่อยสนใจใครเป็นพิเศษ กลับสะดุดสายตาเข้ากับใครบางคน ร่างที่ดูเล็กกว่าเขายืนอยู่ลำพังท่ามกลางผู้คน ท่าทีของอีกฝ่ายดูสงบนิ่ง แต่กลับแฝงเสน่ห์ที่ยากจะละสายตา มีบางอย่างในท่วงท่าของอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย แต่ก็น่าค้นหาในเวลาเดียวกัน
ดวงตาภายใต้หน้ากากของเรนไล่พิจารณาอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะกระตุกเป็นรอยยิ้มบาง ราวกับตัดสินใจได้แล้ว
“พวกนาย เดี๋ยวฉันมา”
เขาหันไปบอกแคสเปอร์และเสี่ยวไป๋โดยไม่รอให้พวกนั้นตอบรับ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในฝูงชน ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้านิด ๆ ราวกับรู้ดีว่าเด็กเอาแต่ใจคนนี้กำลังจะทำอะไรต่อไป
–
เสียงเชลโล่ทุ้มต่ำประสานกับไวโอลิน ดังก้องไปทั่วห้องบอลรูมจังหวะเนิบช้า ทว่ากลับเต็มไปด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง แสงไฟจากแชนเดอเลียร์สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับบนพื้นหินอ่อน ละลายเข้ากับเงาของผู้คนที่หมุนวนไปตามท่วงทำนอง
ท่ามกลางเสียงดนตรีและบรรยากาศที่ดำเนินไปอย่างสง่างาม เรนก้าวเข้าไปในฝูงชนโดยมีเพียงเป้าหมายเดียว สายตาภายใต้หน้ากากจับจ้องไปยังร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ลำพัง
แม้หน้ากากจะบดบังใบหน้า แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที เขาก็สังเกตเห็นท่าทางลังเล ราวกับยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะก้าวออกไปหรือไม่
ก่อนที่ร่างนั้นจะถอยหลังจากฟลอร์ มือของเรนคว้าเข้าที่แขนแล้วออกแรงดึงเบา ๆ แรงกระตุกไม่ได้รุนแรง แต่หนักแน่นพอให้เจ้าของเรือนร่างที่เล็กกว่าเซไปข้างหน้า ทันทีที่ร่างนั้นเสียหลัก เรนก็ใช้มืออีกข้างประคองให้อยู่ในจังหวะที่พอดี
เรนโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ดวงตาภายใต้หน้ากากจับจ้องไม่วาง ก่อนที่ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่ยคำขอออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
“ให้เกียรติเต้นรำกับฉันสักเพลงได้ไหม?”
เขายื่นมือออกไปเล็กน้อย มือที่ยื่นอยู่นั้นยังคงค้าง รอคอยคำตอบอย่างมั่นใจ ไม่ได้เร่งเร้า แต่ก็ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
คนถูกถามเงยหน้ามองเขาผ่านหน้ากากที่ซ่อนใบหน้าไว้เช่นกัน ริมฝีปากขยับเหมือนจะปฏิเสธ แต่กลับไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมา แขกหลายคนเริ่มจับจ้องมาทางพวกเขา และเมื่อคิดดูแล้ว การปฏิเสธอาจดึงดูดความสนใจมากกว่าการตอบรับ
“คุณแน่ใจเหรอ ว่าจะเต้นกับผม?”
ปลายเสียงเรียบนิ่ง แต่ก็มีแววขบขันเจืออยู่ในน้ำเสียง
เรนหัวเราะเบา ๆ คล้ายถูกคำถามนั้นกระตุ้นความสนใจมากขึ้น "หืม… ทำไมล่ะ?"
“เพราะผมไม่ใช่คนที่เต้นเก่งนัก” อีกฝ่ายตอบกลับเรียบ ๆ แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นใต้หน้ากากสีเงินคมกริบ เขาเอียงคอเล็กน้อย คล้ายครุ่นคิดอยู่ชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันพอจะนำได้”
พรึ่บ…
ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันตั้งตัว นิ้วเรียวก็เกี่ยวเข้ากับมือ ดึงให้ก้าวตามจังหวะอย่างแนบเนียน แรงหมุนเบา ๆ พาอีกฝ่ายเข้าสู่วงแขนของเขาโดยสมบูรณ์แบบ
จังหวะก้าวเดินไม่ได้แข็งกระด้าง แต่ก็ไม่ได้ว่าง่ายเสียทีเดียว เขาสัมผัสได้ถึงแรงต้านที่ซ่อนอยู่ในจังหวะการเคลื่อนไหว ราวกับพยายามรักษาระยะห่าง แต่ไม่ว่าจะขยับออกไปแค่ไหน เขาก็ดึงกลับเข้ามาเหมือนเดิม
“อย่าดึงผมเข้าใกล้ขนาดนี้” คนในอ้อมแขนโวยเสียงเบา
เรนกระตุกยิ้ม ก่อนจะกระซิบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความขี้เล่น "งั้นก็อย่าถอยสิ"
เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ แต่ก็ยอมก้าวตามไปอย่างลื่นไหล จนกระทั่งเท้าพลาด ก้าวสะดุดไปข้างหน้าโดยไม่ทันระวัง ก่อนที่ร่างนั้นจะเสียหลักจนล้มลง แขนแข็งแรงกลับกระชับเข้าที่เอวอย่างพอดิบพอดี รั้งร่างให้อยู่ในจังหวะ ไม่ปล่อยให้ร่วงลงไปง่าย ๆ
"ค่อย ๆ ก้าวตาม" เรนกระซิบแผ่วเบาใกล้ใบหู
เขารับรู้ถึงลมหายใจที่สะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับเท้าตามอย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวถูกนำทางโดยเขา ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเรนโดยสมบูรณ์
และในจังหวะหนึ่ง รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
เพลงบรรเลงถึงท่อนสุดท้าย คู่เต้นรำหมุนตัวไปตามจังหวะที่ไร้ที่ติ ก่อนจะหยุดลงในท่าปิดที่สมบูรณ์แบบ ทว่าเมื่อเสียงดนตรีค่อย ๆ จางลง เรนกลับยังไม่อยากปล่อยมือจากคู่เต้นรำของเขาง่าย ๆ ดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินจับจ้องอีกฝ่าย คล้ายอยากตรึงเอาไว้ให้อยู่นานกว่านี้
ทว่าแรงสะบัดเบา ๆ ทำให้มือของเขาว่างเปล่าในที่สุด
“ขอบคุณที่ให้เกียรติเต้นรำกับฉัน” เรนเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งศีรษะเล็กน้อยตามมารยาท รู้สึกแปลกใจกับตัวเองที่ยังไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลง
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหม?”
คำถามนี้หลุดออกมาจากปากโดยไม่ทันได้คิด ไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ เป็นเพียงความสงสัยจริงจังที่ผุดขึ้นจากสัญชาตญาณ
อีกฝ่ายดูเหมือนจะชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่รอยยิ้มจาง ๆ จะปรากฏขึ้นใต้หน้ากาก
“คำถามคลาสสิกของงานเต้นรำเลยนะ”
เสียงนั้นฟังดูเหมือนเย้าหยอกมากกว่าจะเป็นการตอบคำถามจริงจัง แต่กลับทำให้เรนยิ่งสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
“แต่ฉันหมายความตามนั้น”
เรนไม่ปล่อยให้ช่องว่างระหว่างกันกลืนกินบทสนทนา เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ราวกับพยายามจะอ่านทุกอารมณ์ที่สะท้อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงม่านหมอกของความลึกลับ ไม่มีคำตอบ มีเพียงความเงียบที่ทอดยาวออกมาแทน
ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ อีกฝ่ายกลับทิ้งให้เขากับจมอยู่กับความเงียบเพียงลำพัง
เรนมองตามแผ่นหลังที่ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในอก ราวกับเขากำลังพลาดอะไรไปสักอย่าง บางอย่างที่สำคัญมากกว่าที่เขาจะรู้ตัวในตอนนี้
เป็นครั้งแรกที่เรนรู้สึกเสียดายกับการปล่อยมือจากใครสักคนง่าย ๆ แบบนี้
เขาควรจะรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่กลับทำได้เพียงยืนมองแผ่นหลังนั้นเดินหายเข้าไปในกลุ่มคน
น่าหงุดหงิดชะมัด…
คิ้วของเรนขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ดวงตาภายใต้หน้ากากยังคงจับจ้องฝูงชนที่หนาแน่นตรงหน้า ไม่ยอมละสายตาไปง่าย ๆ ราวกับหวังว่าหากจ้องนานพอ อีกฝ่ายอาจหันกลับมามอง
ฝีเท้าสองคู่เคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่วงแขนของแคสเปอร์จะพาดลงบนไหล่ของเขาอย่างเคยชิน ร่างสูงเอนตัวเข้ามาใกล้จนหน้าของพวกเขาแทบจะแนบชิดกัน กระซิบถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสนุก
"ใครกันล่ะ? เห็นมองตาไม่กระพริบเชียวนะ"
เรนยังคงนิ่ง จ้องมองไปยังทิศทางเดิม แม้คนที่เขากำลังมองหาได้หายลับไปแล้วก็ตาม
เสี่ยวไป๋ที่ยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ เหลือบตามองอย่างพิจารณา ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เหมือนจะขบขันกับอาการของเพื่อนร่วมกลุ่ม
เรนถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มจาง ๆ ที่ดูเหมือนตัวเองก็ไม่เข้าใจดีนัก
"ฉันก็อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร…"
คำพูดนั้นไม่ได้มีแค่ความอยากรู้ธรรมดา แต่ยังมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เขาปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้
แคสเปอร์เลิกคิ้วมอง ก่อนจะหันไปสบตากับเสี่ยวไป๋ที่ยืนพิงเสาอยู่ใกล้ ๆ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่สื่อถึงกันนั้นเต็มไปด้วยความสนใจ
“แล้วคนในใจของนายล่ะ?” แคสเปอร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ “เก็บเขาไว้ที่ไหน หรือว่าเจอใหม่แล้วลืมเก่า หืม?”
เรนเหลือบตามองเขานิดหนึ่ง ดวงตาที่ฉายแววครุ่นคิด ทำให้ประโยคที่เขาเอ่ยออกมาฟังดูไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ
“ฉันรู้สึกเหมือนเคยเจอเขามาก่อน”
แคสเปอร์กระตุกยิ้ม มองเขาอย่างพิจารณา ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะเล่นด้วยหรือมองว่านี่เป็นเรื่องจริงจังดี "นายแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง?"
เรนหันกลับมามองเขาตรง ๆ แววตาคมกริบ น้ำเสียงหนักแน่นจนอีกฝ่ายต้องชั่งใจใหม่ "แน่นอน พวกนายก็รู้ว่าฉันไม่เคยสนใจใครง่าย ๆ"
เขาหยุดไปเพียงเสี้ยววินาที ราวกับกำลังประมวลผลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ติดค้างอยู่ในความคิด
"ฉันคิดว่าเขาทั้งคู่อาจเป็นคนเดียวกัน"
เสี่ยวไป๋ที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาภายใต้หน้ากากฉายแววสงสัย ขณะที่แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ "อะไรที่ทำให้นายคิดแบบนั้น?"
"ฉันได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากตัวเขา"
แคสเปอร์หลุดหัวเราะออกมาเต็มเสียง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ "นายเป็นหมาหรือไง?"
เรนขมวดคิ้วทันที "พวกนายช่วยจริงจังหน่อยได้มั้ย?"
"โอเค ๆ" แคสเปอร์ยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ ก่อนจะเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น "แล้วจะทำยังไงต่อ นายยังอยากรู้จักเขาอยู่มั้ย?"
เรนไม่ได้ตอบทันที ดวงตาที่ทอดมองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายหายไป สะท้อนความคิดที่ยังคงวนเวียนไม่สิ้นสุด ก่อนที่เสียงของเสี่ยวไป๋จะดังขึ้นมาแทรก
"แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากรู้จักนายนะ"
คำพูดนั้นกระแทกเข้ามาในความคิดของเรนโดยไม่ทันตั้งตัว เขาอยากจะดื้อดึงต่อไป อยากทำตามใจตัวเองเหมือนที่เคยทำมาตลอด แต่ประโยคของเสี่ยวไป๋ยังคงก้องอยู่ในหัว มันเป็นความจริงที่เขาไม่อยากยอมรับ
เรนเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่แคสเปอร์กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้เสี่ยวไป๋ ราวกับจะกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เรน
"ฉันคิดว่าเจ้าหนูนี่เหมือนลูกหมาที่กำลังตามหาเจ้าของเลยนะ"
เสี่ยวไป๋เหลือบตามอง ก่อนจะตอบกลับแบบนิ่งๆ "ฉันก็ว่างั้น"
เรนตวัดสายตามองพวกเขา แววตาเอาแต่ใจฉายชัด ก่อนจะพึมพำออกมาเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย
"ฉันสั่งให้ปิดทางเข้าออกดีมั้ยนะ?"
เขาไม่ได้ถามความคิดเห็นพวกเขา แต่เป็นคำประกาศที่ชัดเจนว่าเขากำลังคิดจะทำจริง ๆ
แคสเปอร์กับเสี่ยวไป๋หันมามองเรนแทบจะพร้อมกัน ก่อนที่แคสเปอร์จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ "นายทำแบบนั้นไม่ได้"
เรนหันขวับมามอง "ทำไมล่ะ?" น้ำเสียงลากยาวอย่างออดอ้อน แต่แฝงความไม่พอใจชัดเจน
"อย่าเอาแต่ใจหน่อยเลย" เสี่ยวไป๋พูดขึ้น น้ำเสียงปนความเหนื่อยใจ
เรนเบ้ปากเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ ก่อนจะพึมพำออกมา "ฉันเคยพูดไว้แล้วว่าครั้งหน้าถ้าเจออีก จะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ"
คำพูดนั้นตามมาด้วยเสียงลากยาว "อ่าา~" ที่แทบจะทำให้ทั้งสองคนอยากยกมือกุมขมับ
เรนแทบจะลงไปดิ้นกับพื้นจริง ๆ ท่าทางของเขาทำให้ทั้งแคสเปอร์และเสี่ยวไป๋ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนจะสบตากันอย่างปลงตก
นี่พวกเขาคิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ ที่พาเจ้าเด็กเอาแต่ใจนี่มาด้วย…
แต่แล้วจู่ๆ บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนจะชะงักไปชั่วขณะ ทุกเสียงพูดคุยและเสียงดนตรีอันแผ่วเบาในงานพลันกลายเป็นเพียงฉากหลังจาง ๆ เมื่อเงาของคนสองคนก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าพวกเขาด้วยท่าทางคุ้นเคย
คนแรกมีเรือนผมสีบลอนด์ แต่เฉดอ่อนกว่าแคสเปอร์เล็กน้อย ใบหน้าคมคายแฝงไปด้วยความใจดี ดวงตาที่มองมากลับไม่แข็งกร้าวเหมือนคนข้างกาย แต่เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง อ่อนโยน และเหมือนจะรับรู้ทุกสิ่งโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา ขณะที่อีกคนยืนเคียงข้างกัน สูงกว่า ไหล่กว้างกว่า ร่างกายเต็มไปด้วยแรงกดดันที่หนักอึ้ง มองแค่เงาก็รู้ว่าเป็นใคร
เรนที่เมื่อครู่ยังดูงอแง กลับเงียบลงอย่างผิดสังเกต ดวงตาภายใต้หน้ากากที่เคยฉายแววเอาแต่ใจกลับเรียบนิ่ง ราวกับพยายามซ่อนความหวาดระแวงไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งสงบ
“เป็นไงบ้าง” เสียงเรียบของชายผมบลอนด์เอ่ยขึ้น แม้จะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นกาย ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เดาได้ไม่ยาก
เงาทะมึนที่ไม่จำเป็นต้องแสดงอารมณ์ใด ๆ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมากลับหนักหน่วงราวกับพายุเงียบ
เรนขยับตัวแทบไม่ทัน รีบถอยไปหลบหลังกายแทบจะทันที ราวกับหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นเกราะกำบังให้เขา กายเหลือบตามองคนที่หลบอยู่ข้างหลังตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่มีอะไร” แคสเปอร์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน ขณะที่เสี่ยวไป๋ก็พยักหน้าเสริมให้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน
“แล้วนี่พวกนายมากันได้ยังไง ไหนว่าไม่ชอบงานเข้าสังคม?”
ราฟาเอโร่ยังคงอยู่ในมาดนิ่ง ไร้ซึ่งคำตอบใด ๆ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น บรรยากาศโดยรอบก็ดูจะหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย
กายปรายตามองไปทางราฟาเอโร่ ก่อนจะยักไหล่เล็กน้อย “กล่อมอยู่นานเลยล่ะ กว่าจะยอมมาได้”
แววตาของเขาฉายแววเหนื่อยใจนิด ๆ ขณะที่ราฟาเอโร่หันมาสบตาเขาสั้น ๆ ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของชายคนนั้น แต่กลับชัดเจนว่า… นี่เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถขัดใจใครบางคนได้
ท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับและเสียงดนตรีคลอเคลีย บรรยากาศภายในงานยังคงดำเนินไปอย่างสง่างาม แขกเหรื่อพูดคุยสรวลเสเฮฮา ภายใต้หน้ากากที่ปกปิดตัวตนที่แท้จริง ทว่าในมุมหนึ่งของงาน มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาทางพวกเขาอย่างไม่ลดละ
มันไม่ใช่แค่สายตาของใครสักคนที่สนใจแขกที่เพิ่งก้าวเข้ามา แต่มันเป็นการมองแบบมีเป้าหมาย ราวกับกำลังพยายามปะติดปะต่อบางสิ่ง บรรยากาศของงานอาจทำให้พวกเขาเผลอไผลไปเพียงชั่วครู่ แต่หากลองพิจารณาให้ดีแล้วการรวมตัวกันของชายทั้งห้าในคืนนี้ อาจไม่ได้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ
ราวกับว่าชิ้นส่วนกระจัดกระจายที่เคยถูกซ่อนเร้น กำลังถูกประกอบขึ้นอย่างช้า ๆ เส้นใยบาง ๆ ที่เคยถูกละเลย กำลังถูกดึงเข้าหากันจนกลายเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อน และหากใครบางคนสามารถมองเห็นมันได้ชัดเจนเพียงพอ ภาพสุดท้ายที่ออกมาอาจเป็นคำตอบที่สมบูรณ์ของจิ๊กซอว์ที่หล่นหายไปชิ้นสุดท้าย
และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาไม่ทันระวังตัว…
TBC.
ฝากติดตามเป็นกำลังใจหน่อยน้าา
เรื่องราวกำลังเข้มข้น หมาเด็กของเรากำลังตามหาเจ้าของ🤣
รักคนอ่าน♥️
สนุกมากครับ ขอขอบคุณมากๆครับ
หน้า:
[1]