[เรื่องสั้น][กึ่งแปล]Double Trouble ตอนที่ 1
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย peewang เมื่อ 2021-7-13 05:09ต้นฉบับโดย Randu
****ALL RIGHTS RESERVED****Permission is hereby given to distributethis story via electronic means only,for non-profit use.This header mustremain intact.All rights to this storyremain the property of the author.
กึ่งแปล = โยนเข้ากูเกิ้ลทรานสเลตแล้วเอามาเกลาสำนวนนิดหน่อย เนื้อหาอาจถูกบ้าง ผิดเยอะ คลาดเคลื่อนอีกนิด
ตอนที่ 1 คลิกที่นี่
ตอนที่ 2 คลิกที่นี่
ตอนที่ 3 คลิกที่นี่
ตอนที่ 4 คลิกที่นี่
ตอนที่ 5 คลิกที่นี่
ตอนที่ 6 คลิกที่นี่
ตอนที่ 7 คลิกที่นี่
ตอนที่ 8 คลิกที่นี่
ตอนที่ 9 คลิกที่นี่
Double Trouble
Chapter 1
เสียงดังผ่านเข้ามาในบ้าน ขณะที่ผมกำลังตรวจทานบทสุดท้ายของหนังสือเล่มล่าสุดที่เขียน
รถขนย้ายเคลื่อนมาหยุดที่หน้าบ้านข้างๆ เพื่อนบ้านเก่า(คู่รักวัยพึ่งเกษียน ที่นิสัยดีมากๆเลย)พึ่งย้ายออกไปอยู่ฟลอลิด้าไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว ผมอาศัยอยู่ในทาวน์เฮาส์สไตล์คอนโดแบบ 4 ยูนิต เอาจริง นั่นเป็นเพียงหนึ่งเดียวของเพื่อนบ้านที่ผมมี และผมเองก็เศร้ามากเลยที่พวกเขาจากไป พวกเขาเป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านแสนน้อยที่ผมรู้จัก บ่อยครั้งที่ได้ร่วมทานข้าว และแบ่งปันประสบการณ์ว่าหลานๆของพวกเขารักงานเขียนของผมมากแค่ไหน ผมได้พบเขาครั้งนึง เด็กชายตัวน้อยแสนน่ารัก ผู้ที่หอบหนังสือที่ผมเขียนมากให้ผมเซ็นต์ให้ ผมลุกจากโต๊ะ เดินไปที่หน้าต่าง มองดูพนักงานเปิดประตูหลังรถ เริ่มขนกล่องและเฟอร์นิเจอร์ไปยังยูนิตถัดไป ผมไม่เห็นเจ้าของเลยแฮะ ก็เลยกลับไปยังที่นั่งแล้วตัดสินใจว่าจะไปทักทายพวกเขาเมื่อการขนย้ายเสร็จสิ้นลง
ผมทำงานแค่แป๊บเดียวเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูบางเบาดังขึ้น เมื่อผมเปิดประตู มันเป็นช่วงเวลาที่หยุดนิ่งไปพักนึงเลยแหละ พวกเขาที่อยู่หน้าประตูผมน่ะ เป็นคู่แฝดฝาเดียวกัน ยิ้มอายๆมองมาที่ผม พวกเขาน่าจะสัก 9-10 ขวบ ทั้งคู่มีผมสีน้ำตาล สวมกางเกงขาสั้นและเสื้อแขนกุด เผยให้เห็นผิวเนียนสีแทน และโครงร่างได้รูป
"หวัดดี" คนซ้ายทักก่อน "เราเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของคุณ" คนขวาพูดตามมา ผมได้แต่ขอบคุณนางฟ้าตัวน้อยประจำกาย ที่ส่งเด็กๆสุดหล่อเหล่านี้เข้ามาในชีวิต มาเป็นเพื่อนบ้าน ขอบคุณอย่างสุดซึ้งเลย
เจ้าหนูที่อยู่ด้านขวามองมาที่ผมด้วยท่าทางสงสัย เอียงคอเล็กน้อย เหมือนอย่างกับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมตระหนักทันทีว่ากำลังจ้องพวกเขาอยู่ เลยยกนิ้วขึ้นมานิ้วนึง จ้อง แล้วค่อยดึงเข้ามาใกล้ตาเป็นสัญญาณว่ากำลังพยายามโฟกัส จนกระทั่งสองตาผมเหล่เข้ามาหากัน "ชั้นว่าชั้นนั่งเล่นคอมฯนานเกินไปละ" ผมแกล้ง "ชั้นเห็นนายมีสองคน"
พวกเขาหัวเราะให้กับมุกของผม แล้วคนซ้ายยิ้มกระหยิ่มขณะพูด "คุณไม่ได้ตาลายหรอกฮะ เราเป็นคู่แฝดกัน! ผมชื่อโครี่ และนี่น้องชายผม คริส"
คริสมองแฝดของเขาด้วยสายตาคาดโทษแล้วพูด "นายจะไม่เลิกเรียกเราอย่างนั้นใช่มั้ย? แก่กว่าเราแค่ 5 นาทีเอง"
ด้วยหวังหยุดสงครามของทั้งคู่ ผมโพล่งขัดจังหวะ "ยินดีที่ได้รู้จักนะ" ด้วยความจริงใจเลย "ชั้นชื่อทอม"
คริส เด็กชายคนด้านขวา มองผมด้วยสายตาแปลกๆอีกหน "ผมรู้แล้ว" เขาพูด ขณะที่ผมแสดงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน ทันทีทันใด คนพี่มองเขาด้วยสายตาคมกริบพลางถองศอกไปที่สีข้าง สีหน้าของคริสเปลี่ยนเป็นความกังวลทันที เหมือนกับเด็กถูกจับได้ว่าพึ่งทำอะไรที่ไม่ควรลงไป
"ทำไมนายรู้ชื่อชั้นแล้วล่ะ?" ผมถามขณะสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สายตาโครี่หลุกหลิกไปมาจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูของผมที่ยังเปิดค้าง "นั่นไง" เขาพูด ท่าทางดูโล่งใจ "ชื่อคุณอยู่บนประตู 'ทอม เจนนิ่งส์' "
แน่นอน ผมพึงนึกได้ว่ามันอยู่ตรงนั้น โชว์ให้ทุกคนเห็นมาตลอด "พวกนายนี่หัวไวดีนะ น่าจะเป็นนักสืบที่ดีได้" ผมพูด ยิ้มให้พวกเขา "ของขนย้ายเสร็จหมดแล้วเหรอ?" ผมเห็นว่าพนักงานขนย้ายเริ่มเก็บกวาด
"เกือบเสร็จ" โครี่บอก "คุณแม่อยู่ด้านใน แต่เธอบอกให้เราออกห่างเธอสักพัก"
"เราแค่อยากช่วย" คริสพูดหงอยๆ เหมือนจะเศร้าที่ความช่วยเหลือของพวกเขาไม่มีประโยชน์
"แล้วคุณพ่อพวกนายยังอยู่ที่ทำงานรึไง?" ผมถามด้วยความสงสัยว่าทำไมพวกเขาไม่พูดถึง
"ปล่าว..." โครี่บอก ลังเล..
"เขาไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว"
"เขาไม่แม้แต่จะอยากเจอกับพวกเราอีกต่อไป"คริสพูดด้วยความหดหู่
ผมบอกได้ว่านี่เห็นหัวข้อที่เจ็บปวด และรู้ว่าพวกเขาอาจกำลังด่าตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้พ่อแม่แยกทาง เด็กๆก็เป็นอย่างนี้ ผมเปลี่ยนหัวข้อ "สนใจอยากเข้ามาข้างใน หาอะไรดื่ม หรือพูดคุยกันข้างในกันดีไหม?"
ผมมองทีละคน ในที่สุดคริสก็พยักหน้าบอกพี่ชายว่าไม่เป็นไร เข้าไปข้างในได้ ผมนำทางทั้งคู่เข้าไปในครัว พึ่งสังเกตว่าพวกเขามองโปสเตอร์วง U2 ที่แปะข้างผนังห้องนั่งเล่น เป็นรูปเด็กผู้ชายเปลือยท่อนบน สองแขนไขว้กันไว้หลังหัว ขณะที่หยิบแก้วน้ำ เติมน้ำแข็ง นั่งลงให้พวกเขาเริ่มคำถาม
"คุณแต่งงานหรือยัง?"คนนึงถาม
"ยัง"
"อยู่นี่คนเดียวเหรอ"อีกคนถามบ้าง
"ใช่"
"แฟนล่ะ?"
"ไม่มี"
"อายุเท่าไรแล้ว"
"32"
"ไม่ทำงานหรอ"พวกเขาแสดงออกว่าสงสัยอย่างชัดเจน ทำไมผมถึงอยู่บ้านทั้งที่เป็นกลางวัน วันทำงาน
"ทำสิ"ผมเหมือนกำลังเล่นเกมตอบคำถาม ถูกเผาด้วยคำถาทต่อเนื่องจากบรรดาผู้ร่วมรายการ
"เยี่ยม แล้วคุณทำงานอะไรล่ะ?"
"ชั้นเขียนหนังสือ" ผมรินโซดาแล้วตอบ
“ขอบคุณ" พวกเขาพูดพร้อมกัน แล้วมองกันและกัน จากนั้นหัวเราะคิกคักเคียงคู่ ผมมองใกล้ๆพลางนึกว่าถ้ารู้จักกันมากกว่านี้ผมอาจจะแยกพวกเขาออก ทั้งคู่มีเพียงเล็กน้อยที่แตกต่างกันในด้านการแสดงออก รูปลักษณ์ รอยยิ้ม และการวางตัว ผมได้แต่หวังว่าจะได้ทำความรู้จักกับพวกเขามากกว่านี้! ทั้งคู่น่ารักมากๆ และแน่นอนว่าขณะเดียวกันก็ดูเซ็กซี่ด้วย! สองคนมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าอันน่าประทับใจ ดูแข็งแรง เรือนร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งวัยเยาว์ สุดท้ายผมก็พบว่าตัวเองกำลังจ้องไปยังคอเกลี้ยงเกลาและลาดไหล่ที่ดูน่าสัมผัส สำรวจไปยังผิวเนียนที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อแขนกุด
"อายุเท่าไรกันฮึพวกนาย?" ตาผมถามบ้างแล้ว
"เก้าขวบ" คำตอบมาจากคนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นคริส
"จะสิบขวบแล้ว" คู่แฝดเขาเพิ่มเติมให้
"พวกนายมาจากแถวชิคาโก หรือที่ไหน?"
"เราเคยอยู่ในเมือง" โครี่อธิบาย จิบโซดา "แต่เราย้ายมาที่เกล็นวูดเพราะคุณแม่ย้ายที่ทำงาน"
"แม่พวกนายทำงานอะไร?"
"เป็นพยาบาลน่ะ" คริสพูดด้วยน้ำเสยียงภูมิใจ ตอนคุยกับเด็กๆคู่นี้ผมต้องหันไปมายังกะดูเทนนิส คริสมองผมพลางยิ้มเหมือนจะบอกว่ารู้แล้วแหละน่า พวกเราก็เป็นยังงี้แหละ
"นี่!!" โครี่โพล่งขึ้นมากลางวง มองมาที่ผมเหมือนพึ่งนึกอะไรออก "คุณคือทอม เจนนิ่งส์ คนเดียวกับที่เขียนหนังสือพวกนั้นที่เรามีใช่ไหม?"
"เอ่อ ชั้นไม่รู้ว่าหนังสือที่นายมีมันอันไหนบ้าง แต่ เท่าที่ชั้นรู้จักก็มีแค่นักเขียนคนเดียวนะที่ชื่อทอม เจนนิ่งส์" ผมส่งยิ้มอายๆกลับไป ผมรักมันเลยล่ะ สถานการณ์ที่นักอ่านตัวน้อยจำผมได้เนี่ย หนังสือของผมเขียนให้กลุ่มผู้อ่านหลักคือ(และมักมีเนื้อหาเกี่ยวกับ)เหล่าเด็กชายตัวน้อย เต็มไปด้วยการผจญภัยและความกล้าหาญ เหมือนกันกับเหล่าผู้อ่าน พร้อมกันกับมีเนื้อหาพวกเพื่อนใหม่ โรงเรียน การลาจาก แม้กระทั่งชีวิตและความตาย ผมตอบจดหมายทุกฉบับที่มาจากเหล่านักอ่าน รวมแม้กระทั่งเหล่าผู้ปกครองที่ซาบซึ้งในการเปลี่ยนเด็กๆของพวกเขาให้รักการอ่าน
คริสมองมาที่ผมอีกครั้ง "เป็นคุณจริงๆ" เขาพูด เหมือนแค่ทวนความมั่นใจจากตัวเอง "เรามีหนังสือทุกเล่มที่คุณเขียน ผมคิดว่ามันเยี่ยมมากๆเลยด้วย" เขาพูดกับผมตรงๆ
"ขอบคุณนะ" ผมพูด ความมั่นใจยินดีให้กับทุกครั้งที่เด็กๆแสดงความชื่นชม เขาบอกว่ามีหนังสือของผมครบทุกเล่ม ขณะที่ผมเองพยายามนึกและนับว่ามันมีเท่าไร
"สิบเอ็ด" คริสบอก
"อะไรนะ?"
"เป็นจำนวนหนังสือที่คุณเขียนน่ะ" ผมได้ยินเสียงเหมือนโครี่เตะขาน้องชายใต้โต๊ะ แล้วเขาก็รีบบอกพลางเม้มปาก "เอ่อ ผมหมายถึง คุณดูเหมือนจำไม่ได้ว่าตัวเองเขียนหนังสือไปแล้วกี่เล่ม"
"นายพูดถูก ชั้นจำไม่ได้จริงๆ" ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมเผลอคิดไปว่าเขาอ่านใจผมได้ เช่นเดียวกันกับอ่านหนังสือที่ผมเขียน มันแปลก
"เราควรกลับกันได้แล้ว" โครี่พูด มองน้องชายด้วยสายตาที่ผมเองไม่เข้าใจ "คุณแม่น่าจะสงสัยแล้วว่าเราหายไปไหน"
"บอกเธอด้วยนะว่ามาจิบกาแฟด้วยกันได้ เธอจะได้บอกเผื่อมีอะไรให้ชั้นช่วย แล้วก็ถ้าอยากมาหา พวกนายก็มาได้ตลอดเลยนะ" ผมเพิ่มประโยคสุดท้ายอย่างจริงใจ
"โอเค ทอม" โครี่พูด หยิบแก้วของตัวเองกับน้องชายไปวางในอ่างล้างจานอย่างเรียบร้อย “ไว้เจอกันนะ!" ผมดีใจนะ ที่เขาไม่ได้เรียกผมด้วยคำว่า 'คุณเจนนิ่งส์' ที่เหล่าเพื่อนบ้านมักจะใช้เรียกผมเมื่อรู้จักกันครั้งแรก ดูเป็นทางการ
ขณะพบที่พวกเขาจากไป ผมพบว่าตัวเองมองตามก้นน้อยๆ กับขาที่ดูนุ่มนิ่ม คริสหันกลับมามองแล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะวิ่งตามพี่ชายไป มันเหมือนกับผมถึงจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของชีวิต และแน่นอน มันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแปลกๆที่ผมยังไม่เข้าใจ
จากนั้น ในวันเดียวกัน ขณะที่ผมยังไม่ได้ดำดิ่งลงไปในหนังสือที่ผมเขียน ความคิดผมกลับไปหาโบโครี่และคริส อีกทั้งรู้สึกว่ามันยากที่จะแยกพวกเขาออกจากเด็กในนิยายที่กำลังเขียน ผมลุกขึ้น เริ่มชงกาแฟและขณะที่กำลังจะไปดูทีวี มีใครบางคนมาเคาะประตู เป็นเด็กๆที่มาพร้อมกับคุณแม่ ผู้หญิงที่ดูดี ลอนผมสีน้ำตาลเหมือนกันกับเด็กๆของเธอ อายุน่าจะรุ่นเดียวหรือแก่กว่าผมนิดหน่อย "สวัสดี" เธอทักก่อน ยิ้ม และยื่นมือออกมา "ฉัน ซูซาน กิบสัน เพื่อนบ้านใหม่ของคุณ เจ้าแฝดบอกว่าเรามีคนดังอยู่ข้างบ้าน เพราะอย่างนั้น เราถึงได้มาที่นี่เพื่อขอลายเซ็นต์" เธอมองไปยังกล่องที่เด็กๆกำลังช่วยกันอุ้มขณะที่ผมจับมือกับเธอ
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ ซูซาน ผม ทอม เจนนิ่งส์ แต่ผมเดาว่าเด็กๆน่าจะบอกคุณก่อนแล้ว เข้ามาก่อนสิ ผมพึ่งจิบกาแฟได้หน่อยเดียวเมื่อกี้เอง" ผมพาทั้งหมดเข้ามาในห้องนั่งเล่น เด็กๆวางกล่องของพวกเขาลงที่พื้น เข้ามาล้อมผมจากคนละด้านขณะที่ซูซานนั่งบนเก้าอี้ "พวกนายเอาของขวัญต้อนรับเพื่อนบ้านมาให้ชั้นเหรอ?" ผมหยอกเด็กๆ
พวกเขายิ้มก่อนที่คนนึงจะตอบ "เปล่า พวกนี้เป็นหนังสือของคุณ"
"เอาล่ะ แค่ว่าเห็นชื่อชั้นบนหนึงสือไม่ได้จำเป็นที่จะเอามันกลับมาให้ชั้นนี่นา" ผมพูด เล่นบทคนซื่อ
"ไม่ใช่ซะหน่อย ไม่เข้าใจรึไงกัน?" อีกคนพูด(โครี่?) "เราอยากให้คุณเซ็นต์พวกมันเราให้ต่างหาก"
"ลูกควรจะ 'ขอ' เขานะ โครี่" เธอปราม
"เขากำลังจะขอ" ผมบอก พร้อมปกป้องเจ้าตัวน้อยไปด้วย "ถ้าผมไม่รู้สึกสนุกจนแกล้งเขาอย่างนี้น่ะนะ" ผมวางมือลงบนขาอ่อน เหนือเข่าของเขา แล้วบีบเบาๆ ทำเขาหัวเราะพร้อมดิ้นดุ๊กดิ๊ก นั่นเป็นจุดนึงที่ผมชอบใช้จั๊กจี้เด็กๆ "ทำไมพวกนายไม่ตามชั้นเข้าครัว จะได้หาอะไรมากินกันตอนที่คุณแม่ของพวกนายนั่งพักล่ะ? คุณอยากเติมอะไรลงในกาแฟของคุณไหม ซูซาน?"
"แค่กาแฟดำก็พอ แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ชั้นช่วย?"
"คิดในแง่ดีก็พอ เรื่องง่ายๆน่า"
ผมตอบ ลุกขึ้น เด็กๆลุกตาม มองตามที่ผมบอกว่าอะไรอยู่ไหน และบอกให้พวกเขาทำตัวตามสบาย เติมน้ำแข็งและหาอะไรทานเล่น ขณะที่ผมชงกาแฟ เมื่อเรากลับไปที่ห้องนั่งเล่น ซูซานยืนอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ของผม มองไปที่ฟิกเกอร์ทองแดงรูปเด็กเปลือยนอนตะแคงอยู่บนโต๊ะคอม
"แรงบรรดาลใจ?" เธอเอ่ย ผมมั่นใจว่าเธอสังเกตุเห็นโปสเตอร์บนกำแพงด้วยแน่นอน
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้" ผมตอบ ยื่นกาแฟให้ หยิบปากกาแล้วนั่งลงกับเด็กๆ เปิดกล่องที่เด็กๆอุ้มมาก่อนจะคร่ำครวญ "พวกนายต้องการให้ชั้นเซ็นต์ทั้งหมดนี่เรอะ?"
"ไม่ได้เหรอ?" เสียงจากทางซ้ายมาก่อน(คริส?) ส่งสายตาลูกหมามาอ้อนวอน ดูเหมือนเด็กๆจะมีพรสวรรค์ด้านนี้นะนี่ และเป็นความพ่ายแพ้ที่ผมไม่สามารถแม้แต่จะป้องกันตัวได้เลย
"เราชอบพวกมันจริงๆ" อีกคนปลอบโยนผมจากด้านขวา "พวกมันเป็นเป็นชุดหนังสือในดวงใจพวกเราเลย"
"เฮ่อออ การประจบนี่ยังไงก็ชนะทุกทีสิน๊าา" ผมพูดก่อนจะค่อยๆงัดหนังสือขึ้นมาเซ็นต์ พวกเขาน่าจะอ่านมันบ่อย หลายเล่มเริ่มจาง บางเล่มก็เริ่มยับเป็นคลื่น มาถึงเล่มแรกที่ผมเขียน (แยกจากพ่อแม่) และสังเกตว่ามันเป็นเล่มฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พิมพ์เมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว "พวกนายน่าจะยังไม่ 5 ขวบตอนที่ชั้นเขียนเล่มนี้" ผมมอง
"นั่นเป็นเล่มแรกที่พวกเขาอ่านด้วยตัวเอง" ซูซานบอก น้ำเสียงภาคภูมิใจ "พวกเขาเคยอ่านของมาร์ค ทเวน, โมบี้ ดิ๊ก, ฮาร์ดี้ บอย ทั้งหมดนี้ก่อนจะอายุ 7 ขวบซะอีก"
"แล้วคุณชอบของผมที่สุด?" หนังสือของผมขายดี แต่ผมไม่เคยเปรียบเทียบมันกับมาร์ค ทเวนมาก่อน
"อื้อ เราชอบจริงๆ" คริสตอบผมอย่างกระตือรือล้น "คุณเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กๆ แต่ไม่เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กๆ ใช้คำพูดง่ายๆ แล้วก็... คุณก็รู้ว่าผมหมายความยังไง" เขาไม่แน่ใจว่าเขาตอบได้ตรงจุดหรือเปล่า
“อื้อ ตามนั้นแหละ นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมชั้นถึงต้องมีอภิธานศัพท์ไว้หลังเล่มทุกที แบบนั้นถ้าเด็ก ๆเจอศัพท์ที่ไม่เข้าใจ พวกเขาจะได้อ่านตรงนั้นได้”
“นั่นเป็นความผิดของคุณเลยนะ ชั้นถึงต้องออกไปหาดิคชันนารี่สำหรับเด็กมหาลัยมาให้พวกเขาอ่าน” คุณแม่ของพวกเขาพูดพลางยิ้ม “ชั้นเองก็เคยอ่านหนังสือของคุณด้วยนะ” เธอเพิ่มเติม “แล้วชั้นเองก็นึกภาพตามเสมอเลยว่าคนที่เขียนหนังสือที่เข้าใจเด็กๆอย่างลึกซึ้งแบบนี้ได้น่ะ คงจะมีเด็กๆรายล้อมและวิ่งทั่วบ้าน” ผมเห็นเธอมองไปที่โปสเตอร์ “คริสและโครี่บอกว่าคุณยังไม่แต่งงาน ชั้นหวังว่าพวกเขาคงไม่ได้เสียมายาทกับคุณมากไปใช่ไหม กับคำถามพวกนี้?” เธอมองเด็กๆด้วยสายตาดุๆ พวกเขา ก็แน่ล่ะ กำลังมองกลับมาที่เธอด้วยนัยน์ตาใสซื่อ
“ไม่หรอก พวกเขาไม่ได้เสียมารยาทเลย ที่จริง ผมเองก็ถามพวกเขากลับเหมือนกัน ต่างคนต่างได้น่ะ” ผมจับเด็กๆแล้วจั๊กจี้ที่สีข้าง พวกเขาหัวเราคิกคักเหมือนเพลงบรรเลงข้างหู แม้ที่จริงผมอยากดึงพวกเขาเข้ามากอดแนบชิด แต่มันก็จะดูเสี่ยงไปหน่อยถ้าทำต่อหน้าซูซาน จากนั้นจึงกลับไปเซ็นหนังสือต่อ “ผมเดาว่าการที่หัวใจผมยังเด็กอยู่ช่วยได้เยอะเลย ผมลองมองออกไปด้วยมุมมองของเด็ก สงสัยว่าอะไรมันเกิดขึ้นได้ยังไง เล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ แล้วก็... มันก็ช่วยได้เหมือนกันนะ ที่ผมยังไม่มีงานการทำจริงจังน่ะ” ผมเพิ่มเติม พยายามที่สุดที่จะมอบรอยยิ้มแบบเด็กๆให้เธอ
เธอหัวเราะแล้วบอก “ได้ ชั้นเชื่อก็ได้ว่าการที่คุณไม่ต้องออกไปทำงานทุกวันรักษาความเป็นเด็กของคุณไว้ ที่จริงชั้นก็อิจฉาคุณเหมือนกันนะเรื่องนั้น คุณพ่อของชั้นซื้อคอนโดให้เรา แต่มันก็ยากที่จะยอมรับ ชั้นไม่ชอบการได้รับความเอื้ออารีแบบนั้น แต่ที่นี่เองก็ดีกับเด็กๆมากกว่าในเมืองล่ะนะ
โครี่กับคริสนั่งเงียบๆขณะที่เราคุยกัน ดูมีมารยาทมากๆสำหรับเด็กเก้าขวบ ในความคิดผม หลังเซ็นต์เล่มสุดท้ายจาก 11 เล่ม ผมยื่นแขนออกไปโดยปล่อยให้ข้อมือห้อยรุ่งริ่ง “ชั้นเป็นนักเขียน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่มีอาการ ‘นักเขียนซินโดรม’(TL Note:ล้อจากออฟฟิสซินโดรม)”
ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน ขณะที่เด็กๆพูด ‘ขอบคุณ’ จากทั้งสองทิศทาง แล้วหัวเราะต่ออีกหน พวกเขาถามถึงเพื่อนบ้าน ที่ตั้งร้านขายของ ที่ตั้งร้านแมคโดนัล โครี่อยากรู้ว่าสนามบอลใกล้ๆอยู่ไหน ขณะที่คริสเองสนใจเรื่องห้องสมุด พวกเขาเหมือนกันด้านรูปร่างหน้าตา แต่ทั้งของต่างเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามทั้งคู่ต่างสนใจสระว่ายน้ำในสโมสร แล้วก็ต่างตื่นเต้นที่จะขอคุณแม่เพื่อจะไปว่ายน้ำพรุ่งนี้ เธอบอกว่าเธอยุ่งเกินกว่าจะพาไป พรุ่งนี้เธอต้องจัดของในบ้าน ผมเห็นสีหน้าพวกเขาเศร้าสลดลงไป ก่อนจะมอบโอกาสให้โดยเสนอตัวพาพวกเขาไปเอง
“แน่ใจนะว่าไม่ได้รบกวนคุณมากเกินไป?” เธอถาม “พวกเขาคงทำคุณยุ่งตลอดเลยแหละ” โครี่กับคริสทำหน้าโกรธเธอ แต่มันดูน่าตลกซะมากกว่า มองว่าคำพูดเธอดูไร้สาระ
ผมรับปากเธอว่ามันไม่เป็นปัญหาสักนิดเลย เธอจึงตอบรับด้วยความพอใจ จากนั้นจึงบอกให้เด็กๆเก็บหนังสือ ขอบคุณผมสำหรับกาแฟแล้วเตรียมกลับ เด็กๆขอบคุณผมอีกครั้งที่ช่วยเซ็นต์หนังสือให้ บอกผมด้วยคำพูดซื่อๆแบบเด็กๆว่าพวกเขาจะเก็บมันไว้ตลอดไป จะไม่ขายมันเด็ดขาด ผมบอกพวกเขาว่ามาหาได้เลยถ้าจะไปว่ายน้ำ แล้วบอกซูซานว่ามาหาผมได้ทุกเมื่อ ถ้าหากว่าผมไม่ได้เป็นคนที่สเน่ห์หาในเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ ผมก็คงดูเหมือนสนใจในตัวเธอแทน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กรณีนี้
CHAPTER 2 คลิกที่นี่
ขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ มาต่ออีกนะครับ {:5_146:} ขอบคุณ ขอบคุณครับ น่าติดตามเรื่องนี้ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับพี่ ต่อคับ ขอบคุนครับ ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ข อ บ คุ ณ ค รั บ คู่แฝดน่ารักมาก
หน้า:
[1]
2