รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 5 bymod-cup
เร่ร่อน5แอ๊ดดดด
เอิ่ม...
สถานการณ์น่ากลัวขั้นสิบ
หลังจากเคลียร์กับไอ้ปอนด์เรียบร้อยและมันก็รับปากแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ครอบครัวผมรู้ ขนาดไอ้ปอนด์ยังไม่เข้าใจจนต้องอธิบายกันยืดยาวขนาดนี้ไม่ต้องคิดเลยว่าครอบครัวผมจะคัดค้านเรื่องนี้แบบหัวชนฝาขนาดไหน เอาเป็นว่าผมแค่ให้เขามาอยู่ด้วยชั่วคราว(บอกคนอื่นแบบนี้)เมื่อเขาสามารถตั้งตัวได้ผมจะให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น
แต่จะให้ปล่อยไปเป็นชายเร่ร่อนให้คนอื่นรังเกียจอีกผมทำไม่ได้
กลับมาที่สถานการณ์น่ากลัวขั้นสิบของผมดีกว่า ผมกลับมาห้องตัวเองโดยที่ในมือมีเสื้อผ้ามาหนึ่งชุดและเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็ได้เรื่องเลย...
ชายเร่ร่อนที่ผมให้ไปอาบน้ำเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วโดยผมกำชับว่าอาบหลายๆรอบเอาให้สะอาดหอมฟุ้งไม่ต้องกลัวเปลืองแชมพูสบู่อะไรทั้งสิ้นพร้อมทั้งหยิบแปรงสีฟันด้ามใหม่ให้เขาแปรงฟันด้วย ซึ่งเขาก็พยักหน้าเข้าใจเอาผ้าขนหนูสีน้ำเงินผืนใหม่(ของผม)พาดบ่าพร้อมอุ้มน้องหมาเข้าไปด้วยกัน
และตอนนี้เขาก็อาบน้ำเสร็จแล้วและน่าจะเสร็จนานแล้วด้วยเพราะดูจากผิวกายแห้งน้ำของเขา แต่มันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าเขาไม่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั่งพิงประตูกระจกที่กั้นระหว่างส่วนห้องกับระเบียง แขนข้างหนึ่งเหยียดตรงวางพาดบนขาข้างเดียวกันที่ชันขึ้น มืออีกข้างลูบบนตัวน้องหมาที่นอนหมอบหลับตาอยู่บนต้นขาที่เหยียดยาวบนพื้น เสี้ยวหน้าด้านข้างสะท้อนกับแสงยามเย็นให้ดวงตาคมเฉี่ยวที่เหม่อมองไปด้านนอกดูเข้มแวววาวขึ้น
ผมทรงรังนกกระจอกเต็มไปด้วยบรรดาฝุ่นคราบสกปรกถูกชะล้างออกไปจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือเพียงเส้นผมสีดำสนิทเงางามถูกเสยไปด้านหลังเปิดเปลือยใบหน้าคมเข้ม
ฮะฮอตเป็นบ้า!!!
มือไม้อ่อนจนเสื้อผ้าในมือแทบร่วง!!
“นาย” ผมบังคับเสียงไม่ให้สั่นขณะเอ่ยเรียก
เขาหันกลับมาตามเสียงเรียกใบหน้าเสี้ยวเดียวที่ผมเห็นในคราแรกตอนนี้ผมเห็นมันชัดถนัดตา
หล่อเลิศอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย!!
“เสื้อผ้า” ผมยื่นของในมือไปให้ซึ่งเขาก็ค่อยๆหยิบน้องหมาไปไว้บนพื้นข้างๆก่อนยันตัวลุกขึ้นและเดินเข้ามาหา ส่งมือมารับเสื้อกางเกงแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง
“นี่!ไม่ต้องใส่เสื้อนะเดี๋ยวจะทายาให้!” นึกได้ผมก็ตะโกนบอกไล่หลังเสี้ยวนาทีเขาก็ออกมา...สภาพไม่ต่างจากเมื่อกี้เท่าไหร่
แค่เปลี่ยนที่ปกปิดส่วนล่างจากผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเป็นกางเกงขาสั้นยางยืดสีขาวแทน
มันตัดกันจนทำให้ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งของเขาโดดเด่นกระแทกตาให้ฝ้าฟางเข้าไปกันใหญ่
ผมหลุบตาลงต่ำ กลั้นใจมองนานไม่ได้จริงๆ สีผิวตรงมือและเท้าทั้งสองข้างรวมถึงบริเวณลำคอขึ้นไปบนใบหน้ามีสีดำคล้ำกร้านแดดตรงข้ามกับส่วนในร่มผ้าที่ไม่ได้ขาวเหมือนหยวกแต่กลับเป็นผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียนรับกับกล้ามเนื้อสมส่วนได้รูป ซิกแพ๊คบริเวณหน้าท้องหกลูกเรียงตัวสวยรับกับเอวทรงวีเชฟที่ขอบกางเกงเกาะไว้หมิ่นเหม่ ประดับด้วยไรขนอ่อนใต้สะดือเรียงยาวหายเข้าไปใต้ร่มผ้า
อย่างถ้าเอามือไปลูบคงไม่เจอไขมันหยุ่นมือคงรู้สึกได้ถึง...
อ๊ากกกกกกกกกกผมไม่ใช่ปุญมนัสผู้มีจิตใจใสสะอาดอีกแล้ว ผมมันหื่นลามกจิตใจสกปรกที่สุด T^T
“เสื้อมันเล็กไปผมใส่ไม่ได้” เสียงทุ้มเหมือนระฆังเรียกสติที่แตกกระเจิงกลับมาอีกครั้ง ผมรับเสื้อคืนมาพร้อมทั้งบอกให้เขาไปนั่งบนโซฟาเพื่อที่จะได้ทายาให้
ใช่!! ผมควรมุ่งประเด็นไปที่รอยฟกช้ำตามตัวเขาสิไม่ใช่รูปร่างหน้าตาเอ็กซ์แตกของเขา
ฮืออออ เอ็กซ์แตกบ้าบออะไรของแกเล่าคนเล็ก!!
“หะหันหลังสิ” เขาทำตามแล้วผมก็เริ่มทายาบนแผ่นหลังของเขาเป็นส่วนแรก มันดีต่อผมด้วยที่จะไม่ลวนลามร่างกายเขาทางความคิดมากไปกว่านี้ แต่แผ่นหลังเขากว้างน่าซบจัง T^T
หยุด! หื่น! เดี๋ยว! นี้!
ผมหมุนเปิดฝาหลอดยาก่อนบีบลงบนนิ้วแล้วลงแรงทาอย่างแผ่วเบา รอยฟกช้ำเริ่มเขียวคาดว่ามันต้องเริ่มปวดหนึบหนับแล้วแน่นอน นั่นทำให้หัวใจผมเหี่ยวเฉาขึ้นมาทันที ความฟุ้งซ่านก่อนหน้านี้มลายหายหมดสิ้น
“เจ็บมากมั้ย” เขาส่ายหัว นั่นทำให้ผมรู้สึกเคืองขึ้นมานิดเป็นคนเหล็กหรือไงเจ็บก็พูดมาสิ!
ฮือออ แท้จริงแล้วผมเป็นคนบ้าใช่มั้ยถึงอารมณ์แปรปรวนเยี่ยงสตรีมีประจำเดือนแบบนี้T^T
“เสร็จแล้วหันหน้ามา” ผมทายาบริเวณเอวข้างขวาเป็นที่สุดท้ายก่อนจับเขาหันหน้ามา
“เดี๋ยวผมทาต่อเอง” เขาส่งมือมาดึงหลอดยา
“เดี๋ยวทาให้” ผมชักมือหลบก่อนลงมือทายาไล่จากใบหน้าเขาลงมา เมื่อถึงบริเวณหน้าอกนิ้วผมชะงักนิ่งเมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยแผลเป็นยาวประมาณสิบเซนฯตวัดเฉียงขึ้นสี่สิบห้าองศาบริเวณหน้าอกด้านซ้ายเหนือหัวนมสีน้ำตาลเข้ม
ตรงตำแหน่งหัวใจพอดี
เมื่อครู่ผมมองไม่ชัดเห็นเพียงแวบๆนึกว่ารอยแผลที่ได้จากการรุมสกัมเหมือนส่วนอื่นๆ
“รอยแผลเป็นนี่...”
สายตาเขาปรายมองตามนิ้วมือที่ลูบไล้สัมผัสมันอยู่
“ไม่รู้สิ” เขาตอบเสียงเรียบ
“หืม” ผมเลิกคิ้วสงสัยอะไรคือรอยแผลเป็นเหมือนโดนฟันมาแบบนี้บอกว่าไม่รู้
อย่ามาอำว่ามีมาแต่กำเนิดเหมือนปานอะไรเถือกนี้นะผมไล่กลับท่อระบายน้ำจริงๆอ่ะ
“ผมไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง” นั่นไงล่ะ!!
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแต่มันก็ว่างเปล่าดุจเดิมไม่ได้มีอาการหลุกหลิกเหมือนกับว่าที่เขาบอกว่าไม่รู้คือไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ต้องการปิดบังแต่อย่างใด
ผมเริ่มลงนิ้วบนรอยช้ำต่อ
“เอาล่ะ ในเมื่อเรามาอยู่ด้วยกันแล้วฉันถามเรื่องส่วนตัวนายได้ใช่มั้ย” ผมเกริ่นนำ อย่างที่ไอ้ปอนด์บอกผมควรรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาบ้าง...ไม่มากก็น้อย
เขาพยักหน้า
“นายชื่ออะไร” นี่แหละ สิ่งแรกที่ผมควรรู้เอาแต่เรียกนายๆกับชายเร่ร่อนอยู่ตลอด คราวนี้จะได้เรียกชื่อถูกแต่คำตอบของเขาทำเอาผมแทบหงายท้องตึงตกโซฟา
“ผมไม่รู้”
“นายไม่รู้จักชื่อตัวเอง!!”
ได้โปรด...อย่าส่ายหน้า...
บอกว่าอย่าส่ายหน้าไง!!
เดี๋ยวร้องไห้ใส่เลยนี่!
มันไม่ธรรมดาแล้วนะ!
โอเค เอาล่ะตั้งสตินะคนเล็ก
“โอเค...โอเค งั้นฉันเปลี่ยนคำถามใหม่ นายรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง” ผมยกมือกุมขมับพลางจ้องหน้าเขาอย่างจริงจังยาเยอหยุดทาไปทันที ซึ่งเขาก็จ้องตอบผมอย่างมั่นคงก่อนจะ...ส่ายหน้าช้าๆ
โอ้มายก็อด!! บอกผมทีว่าเขาล้อเล่น!
“นายจะบอกว่านายไม่รู้ว่านายเป็นใครอย่างนั้นหรอ”
เขาพยักหน้า
ง่ะ พยักหน้าไปก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดแย่ลงกว่าเดิมอีก
“นายความจำเสื่อม!!”
ผมลุกพรวดขึ้นยืนพลางชี้หน้าเขา รู้สึกได้เลยว่านิ้วตัวเองสั่นจนชี้ผิดชี้ถูกไปหมด มันจะละครหลังข่าวเกินไปแล้ว! หวังว่าคงไม่ใช่ทายาทพันล้านโดนลอบทำร้ายเพราะแย่งมรดกกันจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในป่าแล้วจนมุมกระโดดหน้าผาลงมาศีรษะกระแทกหินจนความจำเสื่อมหรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะเอาเรื่องไปส่งทางผู้จัดให้ทำเป็นละคร
แต่มันก็ตลาดเกินไปคงไม่มีใครอยากได้หรอก เอ๊ะ!ผมกำลังนอกเรื่องไปไกลแล้วหรือเปล่า T^T
“ถ้าการที่ผมจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลยเรียกว่าความจำเสื่อมก็คงจะเป็นแบบนั้น”
ขอบใจที่ช่วยเรียกสติกลับมาแต่ประโยคที่นายยืนยันมันทำให้สติฉันกระเจิงอีกรอบอย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ
“โอ๊ยยย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” ผมสบถขึ้นพลางทิ้งร่างลงบนโซฟาอีกรอบ ศีรษะเอนพิงพนักพร้อมกับเอาสองมือปิดหน้าตัวเองอย่างเครียดจัด
ความเงียบเข้าปกคลุมนับสิบนาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะทำลายความเงียบ
“ผมคงทำให้คุณลำบากใจอยากให้ผมไปก็ได้นะ ผมเข้าใจ” ผมพรวดนั่งตัวตรงมือจิกหมอนอิงแน่นแล้วโพล่งพรวดออกไปทันที
“ไม่ได้เครียดเรื่องที่นายกังวลหรอกน่า แล้วยิ่งรู้แบบนี้ยิ่งปล่อยไปไม่ได้ใหญ่” ผมถอนหายใจอีกเฮือก “ช่วยเล่าเรื่องที่นายพอจะรู้ให้ฟังได้ไหม”
เขาพยักหน้าขมวดคิ้วเหมือนพยายามนึกสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วขยับปากเล่าออกมาช้าๆ
“ผมจำได้แค่ว่า...รู้สึกตัวขึ้นมาบนก้อนหญ้าอะไรสักอย่าง ลอยตามกระแสน้ำมาติดกับบ้านสังกะสีกลางน้ำของชาวบ้านแล้ว...” เขาหรี่ตาโคลงหัวเหมือนกำลังเค้นความคิด เปล่งเสียงเป็นคำกระท่อนกระแท่นออกมา “ผมก็ขึ้นมาบนบ้าน...โดนไล่ตี...โดนน้ำคาวปลาสาดไล่...วิ่งหนีมาหยุดอยู่ที่ตรอกนั่น...รู้สึกหิว...เจ็บ...หนาว...”
เล่ามาถึงตรงนี้น้ำตาผมก็คลอหน่วยเต็มดวงตา ปลายนิ้วโป้งยื่นมาไล้หางตาปาดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน ผมต้องเป็นคนปลอบเขาไม่ใช่หรอทำไมเป็นเขาต้องมาปลอบผมแทนล่ะ
“นั่นคือสิ่งที่ผมรับรู้แค่นี้...ก่อนหน้านั้นผมจำไม่ได้เลย”
นี่สินะที่มาของแววตาว่างเปล่า...เพราะไม่รู้...ไม่รู้เลย
จากที่ฟังผมประมวลเรื่องราวได้ว่าบางอย่างทำให้เขามาหมดสติอยู่บนผักตบชวา(ก้อนหญ้าของเขานั่นแหละ)ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วมาติดกับบ้านของชาวบ้านหาปลาเข้า
ส่วนเรื่องราวก่อนหน้านั้นผมคิดว่ามันคงเลือนหายไปเพราะเหตุการณ์เลวร้ายบางอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“นายจำใครไม่ได้เลยหรอ”
“ใบหน้าเดียวที่ผมจำได้ขึ้นใจคือคุณ...คนเดียว” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เน้นย้ำชัดเจนทุกคำ เอิ่มก็เข้าใจนะว่าเขาตอบคำถามผม แต่มันรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบยังไงไม่รู้
“เอ่อ...ไม่มีอะไรที่จะยืนยันตัวตนนายได้บ้างหรออย่างเช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ หรือบัตรอะไรสักอย่างก็ได้” ผมถามอย่างหวังว่าเขาจะมีของสำคัญติดตัวมาบ้างนอกจากเสื้อผ้าเก่าโทรมชุดเดียวที่ผมเห็น
“ผมไม่มีอย่างที่คุณว่ามาสักอย่าง” ใจแป้วเลยมั้ยล่ะ “เอ๊ะ...” อุทานแค่นั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
แต่แล้วเขาก็ออกมาพร้อมกับเสื้อสูทสีดำตัวเก่าตัวเดียวที่เขามี(ไม่นับแจ๊คเก็ตสีแดงที่ผมซื้อให้เขานะ) เอามันมาทำไมอย่าบอกนะว่ามันมีลายแทงอยู่ตามเนื้อผ้า
รู้สึกมั้ยว่าวันนี้ผมเพ้อเจ้อไปมากมาย
ฟุบ
เขานั่งลงข้างผมดังเดิมก่อนล้วงเข้าไปด้านในของเสื้อสูทหยิบบางอย่างออกมา แค่เห็นสันปกก็ทำเอาผมตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดที่ เขายื่นมันมาตรงหน้าผมก่อนบอก
“นี่เป็นสิ่งเดียวที่ติดตัวผมมา” หนังสือหน้าปกสีแดงมีอักษรสีทองหนึ่งตัวเด่นใหญ่อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษที่ถ้าให้ผมทายน่าจะเป็นภาษาจีน ผมรีบหยิบมันขึ้นมาเปิดดูด้านในสิ่งแรกที่เห็นคือตัวหนังสือภาษาจีน(น่าจะใช่)สีดำมากมายเต็มหน้ากระดาษสีเหลืองค่อนไปทางน้ำตาลที่บ่งบอกว่ามันเป็นหนังสือที่เก่ามากแล้ว
ดูๆไปเหมือนพวกคัมภีร์วิทยายุทธ์ในหนังจีนกำลังภายในที่ผมเคยดู
บางหน้ามีอักษรสีทองนูนเด่นขึ้นต่างจากอักษรสีดำเมื่อเอามือไปลูบจะรู้สึกถึงความไม่สม่ำเสมอของเนื้อกระดาษ
“มีทั้งหมดสองร้อยหน้า...” ผมพลิกดูตัวเลขมุมล่างขวาหน้าสุดท้าย ก่อนปิดหนังสือลงและเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาที่จ้องมองมาหนังสือเล่มนี้อยู่เช่นกัน “นายอ่านออกมั้ย”
“อืม” เขาพยักหน้าก่อนชี้ไปที่ตัวอักษรสีทองตัวใหญ่บนปก“อ่านว่า ‘ เจิ้ง’ ”
‘เจิ้ง’ งั้นหรอ...แล้วมันคืออะไรล่ะ!
อักษรตัวเดียวบนหน้าปกควรเป็นชื่อเรื่องหรือบ่งบอกความสำคัญของหนังสือเล่มนั้นๆไม่ใช่หรือ แล้วไอ้คำว่า ‘เจิ้ง’ คำเดียวมันช่วยสื่ออะไรตรงไหนได้
เหมือนเขาจะรู้ว่าผมคิดอะไรเลยพูดสวนดักคอขึ้นมาว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันเฮ้อ เซ็งเลย
“แล้วด้านในล่ะ” ผมจึงเบนความสนใจไปที่ตัวหนังสือมากมายด้านในแทนลายตาจนตาลายแบบนี้คงต้องบอกอะไรบ้างล่ะ
เขาเพ่งมองไปที่หัวเรื่องของหน้าแรกพลางค่อยๆออกเสียง
“จี ฟ่าน”
“แปลภาษาไทยได้มั้ย เอาภาษาไทยสิ” ผมพูดเสียงตื่นเต้น เขาเงยหน้าขึ้นมองผมแวบหนึ่งก่อนกลับไปเพ่งอ่านประโยคนั้นต่อแล้วอ่านออกมาเป็นภาษาที่ผมเข้าใจ
“ข้าวมันไก่”
ห๊า!!!!!!!!!!!!
ข้าวมันไก่!!
อะไรคือพิมพ์เป็นภาษาจีนแต่แปลออกมาได้ว่าข้าวมันไก่!!!
“นายแปลถูกแน่นะ ลองอ่านใหม่สิ” ผมคะยั้นคะยอ เขาเลยก้มลงไปดูอีกครั้ง “คิดว่าถูกนะ ถึงผมจะจำอะไรไม่ได้แต่ผมก็อ่านและแปลได้ไม่ผิดแน่”
โอยยยย ลมจะจับ
นอกจากนี้หน้าอื่นๆยังมี ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดง หมูกรอบสารพัดอาหารจานเดียว ไหนจะบรรดาเมนูก๋วยเตี๋ยวสารพัดเส้นอีก สรุปคือมันเป็นหนังสือเมนูอาหารไทยแปลเป็นจีน!
“ผมมีอีกอย่างจะให้คุณดู”
“อะไรหรอ”
เขาไม่ตอบแต่ลุกเข้าไปในครัวพร้อมกับหนังสือคัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ ผมรีบลุกเดินตามเข้าไปทันเห็นเขาเปิดก๊อกน้ำใส่ซิงค์ล้างจานจนเต็มก่อนเอาหนังสือในมือจุ่มลงไป
ผมยืนมองมันตาค้าง
“เฮ้ย!! เดี๋ยวก็เปียกหมดหรอก” ผมรีบหยิบขึ้นมาสะบัดๆ สีกระดาษมันก็ดูเปื่อยอยู่แล้วโดยน้ำเข้าไปอีกงืออ ตัวหนังสือจะหายไปมั้ยอ่ะ ไอ้บ้าทำอะไรเนี่ย!
เอ๊ะ!
แต่ผมสะบัดอยู่พักหนึ่งเพิ่งมาสังเกตว่าไม่มีน้ำสักหยดตกลงพื้น ขมวดคิ้วอย่างสงสัย มองหนังสือทีหนึ่งก่อนแหงนหน้าไปมองเขาที่พยักหน้ากลับมา แล้วกลับมามองหนังสืออีกครั้งจับหน้าปกดูไม่เปียก ด้านในก็ไม่เปียก ตัวอักษรยังปกติหมึกไม่ซึมไม่หายอย่างที่ผมตกใจ
ไม่น่าเชื่อ!! สภาพหนังสือเหมือนผ่านมาร้อยมืออยู่มาร้อยปีไม่กล้าจับแรงด้วยซ้ำ แต่มันไม่เป็นอะไรเลยทนทานได้ประหนึ่งกระเบื้องตราห้าห่วงทั้งที่แช่อยู่ในน้ำเกือบสองนาที เฮ้ย เป็นไปได้
“อย่างที่เห็น” เขายักไหล่พลางดึงผมเดินกลับมานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
ถ้าหนังสือเล่มนี้เป็นสิ่งที่บอกตัวตนผู้ชายคนนี้คงไม่พ้นเชฟกระทะทองเป็นแน่แท้ฮือ แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงเล่า!
หรือว่าเป็นไปได้
“หรือว่านายจะเป็นเชฟ”
“ที่เอากระทะตีหัวตัวเองจนความจำเสื่อมอย่างนั้นใช่มั้ย”
อย่ามาเล่นมุกหน้าตายตอนนี้ได้มั้ย! ผมจริงจังนะ!
“ขอโทษ...ผมแค่ไม่อยากให้คุณเครียด” เขาบอกอย่างสำนึกผิดเมื่อเห็นหน้ายุ่งคิ้วขมวดของผมหงอยเลยผมไม่ได้โกรธอะไรเขาสักหน่อย
“อืม ฉันคงคิดมากไปจริงๆ คาดเดาไปก็ใช่ว่ามันจะถูกต้องปวดหัวเปล่าๆ” ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลายขึ้นเริ่มปลงตกกับตัวเอง อย่างว่าคิดไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรกระจ่างขึ้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำ ณ ตอนนี้คือ...
“มาตั้งชื่อให้นายดีกว่า!”
“หืม...ตั้งชื่อ?”
“แน่นอนสิ ก็นายไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไรเพราะฉะนั้นมาตั้งชื่อกันดีกว่า” ผมรู้สึกกระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันที ส่วนเจ้าตัวถึงท่าทียังคงนิ่งเฉยแต่แววตาประกายขึ้นชั่วแวบหนึ่งทำให้รู้ว่าเขาก็สนใจเหมือนกัน
“แล้วจะให้ผมชื่ออะไร”
“อืมมมม” ผมเท้าคางตั้งศอกบนหมอนอิงเอานิ้วชี้เคาะแก้มอย่างครุ่นคิดชื่ออะไรดีน้า ชื่ออะไรดี...
“เรียกผมนายเหมือนเดิมก็ได้นะ”
“บ้าหรอไม่เอา!” เรื่องอะไรล่ะ ผมอยากให้เขามีชื่อมากกว่า
“บ๊อก”
ปุบ
เจ้าน้องหมาที่คงตื่นเพราะเสียงเราสองคนกระโดดเอาสองขงหน้าขึ้นมาบนโซฟาพลางกระดิกหางและส่งเสียงเหมือนอยากขึ้นมานั่งด้วย
ผมยิ้มกว้างพลางอุ้มมันขึ้นมานั่งตักแล้วลูบหัวมันเล่นเบาๆ
“น้องหมาก็ต้องมีชื่อนี่เนอะ”
น้องหมา ชายเร่ร่อนตอนนี้มาอาศัยอยู่กับผมซึ่งชื่อคนเล็ก เจ้าน้องหมาตัวน้อยกับลูกพี่ตัวโตหน้าแบบนี้ ตาแบบนี้ รูปร่างแบบนี้
ผมมองคนสลับหมา หมาสลับคน
นึกออกแล้ว!!!
“ฉันรู้แล้วว่าจะให้นายชื่ออะไร”
“...” เขาขยับตัวสองสามทีผมยิ้มกริ่มอย่างถูกใจก่อนประกาศก้อง
“ต่อไปฉันจะเรียกนายว่า‘ตี๋ใหญ่’ ส่วนน้องหมาชื่อ‘ตี๋น้อย’ เป็นไงชอบมั้ย!”
เขานิ่งไปนิดก่อนพยักหน้า
แต่ไม่พูด
“เอ้า!ว่าไงชอบหรือไม่ชอบ”
“ชอบคุณตั้งให้ผมชอบทั้งนั้นแหละ”
พอพูดเข้าก็ยืดยาวไปนะ เล่นเอาเขินเลย!
……………………………………………………………………………………….
“ใหญ่...ฉันไปทำงานก่อนนะ” ผมตะโกนบอกคนในห้องน้ำเขาโผล่หน้าออกมาก่อนพยักหน้าให้
ดูท่าแล้วอยากออกมาส่งผมหน้าประตูแต่ตัวเองก็เปียกม่อล่อกม่อแลกเกินกว่าจะย่ำออกมา
ผมเปิดประตูห้องออกไปก่อนปิดแล้วเดินตรงไปยังลิฟท์ลงไปที่จอดรถชั้นหนึ่งผมยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีไปตลอดทาง
สาเหตุคงเป็นเพรา ‘ตี๋ใหญ่’ ที่เรียกสองพยางค์มันขัดลิ้นเลยตัดทอนเหลือคำว่า ‘ใหญ่’ พยางค์เดียว
สามวันที่ใหญ่มาอยู่กับผมความโก๊ะ(ตี๋ใหญ่)ของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆหาเรื่องให้ผมขำกับความเปิ่นแบบนิ่งๆสไตล์เขาอยู่ได้ทุกวัน
เริ่มแรกจากการพยายามทำงานบ้านที่ท่าจับไม้กวาดไม้ถูดูเงอะๆงะๆอย่างดูก็รู้ว่าทำไม่เป็น แต่เขาก็พยายามทำจนสามารถทำให้ห้องขนาดร้อยสี่สิบตารางเมตรสะอาดขึ้นมาได้
อย่างเช้านี้ใหญ่ก็ลุกมาชงโอวัลตินเคียงคู่กับขนมปังปิ้งให้ผม ก่อนจับเจ้าตี๋น้อยอาบน้ำจนตัวเองก็เปียกไปทั่วตัวด้วยอย่างที่เห็น แล้วคาดว่าจะพยายามขัดห้องน้ำต่อ สายข่าวรายงานมาว่าเขาไปกระซิบถามวิธีขัดห้องน้ำจากพิณมาเมื่อวานเย็น
ซึ่งผมบอกไปแล้วว่าไม่ต้องทำผมจ้างแม่บ้านประจำอยู่แล้ว เขาบอกว่าให้งอมืองอเท้านั่งเกาะผมไปวันๆเขาทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วยผมประหยัดค่าแม่บ้านก็ยังดี
เอาเถอะ เขาสบายใจก็ปล่อยเขาทำไป
ลงให้ติดๆกันเลยครับ3ตอน
รีบต่อนะครับ รอๆๆๆ รอลุ้นตอนต่อไปนะครับ{:5_130:} ขอบคุณมากเลยครับ รอครับ ขอบคุณครับ เรื่องนี้ต้องมี เงี่ยนงำ ตี๋ใหญ่่ แล้ว ของใหญ่ด้วยใช่ไหมหนอ 5555 แอบบอยากรู้อยากเห็น ขอบคุณมากเลยครับ พ่อคนดีศรีวงการ {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ เรื่องราวน่าสนใจดี ขอบคุณครับ รู้สึกดีที่มีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกัน…นานวันคงผูกพันเป็นสายใย ขอให้ชีวิตสุขสมหวังไม่มีอุปสรรคใดๆนะเอย :) ทำไมอ่านแล้วรู้สึกดีจัง รอติดตามตอนต่อไปจ้า รอติดตามครับ สนุกมากเลย สนุกดีครับ ชอบเลย :victory::victory::victory: ขอบคุณครับ