toon11130 โพสต์ 2011-5-23 18:53:26

ใครว่าใหญ่แล้ว ใจดี 1-2

ใครว่าใหญ่แล้วดี (1) : ไอ้ม้า
เขียนโดย หนึ่ง
ผมได้อ่านประสบการณ์ของคนอื่นมามากแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเล่าว่าเคของตัวเอง (หรือของคู่ขาในเรื่อง) ยาว 7 นิ้วบ้าง 8 นิ้วบ้าง บอกจริงๆผมว่าโม้เป็นส่วนใหญ่ เพราะของคนไทยโดยเฉลี่ยแล้วราว 5 นิ้วเท่านั้นเอง อะไรจะมี 7-8 นิ้วได้มากมายขนาดนั้น

และอีกอย่าง คนที่ว่าใหญ่ๆยาวๆนั้นที่จริงแล้วไม่มีความสุขหรอกครับ มันทรมานมากกว่า อย่างเช่นชีวิตของผมนี่ไง เพราะความที่เคใหญ่จึงทำให้ผมต้องกลายมาเป็นเกย์ ซึ่งถ้าผมเลือกได้หรือย้อนเวลาไปได้ ผมอยากขอมีเคเล็กๆ (หมายถึงขนาดปกติ ไม่ต้องเล็กมาก) แล้วเป็นผู้ชายปกติธรรมดาดีกว่า

จำได้ว่าตอนเด็กๆนั้น (ราว 8-9 ขวบ) เจ้าน้องชายประจำตัวของผมก็ไม่ได้ใหญ่กว่าของคนอื่นหรอกครับ เพราะเคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนๆแถวบ้าน (บ้านผมอยู่ติดคลอง) อยู่บ่อยๆ ทั้งตอนที่มันสงบและตอนที่มันตื่นตัว แต่พออายุได้ราว 10 ขวบสิครับ เวลามันตื่นตัวก็ชักจะเริ่มใหญ่โตผิดเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เท่าไรเพราะเวลาเล่นน้ำในคลองนั้นเล่นเป็นกลุ่ม มีเด็กที่โตกว่าผมก็มี ของผมก็ไปใหญ่ราวเด็กอายุ 12-13

แต่พอผมเริ่มเป็นหนุ่ม อายุได้สัก 12 เจ้าน้องชายของผมมันก็ยาวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก คงจะประมาณ 5-6 นิ้วได้มั้งครับ เพราะตอนนั้นยังเป็นเด็ก ไม่เคยสนใจไปวัดดูหรอก แต่ก็ยาวผิดเพื่อนๆเยอะแล้วล่ะ แถมน้องชายยังอ้วนใหญ่อีกต่างหาก เวลาว่ายน้ำแล้วแข็งตัวทีไรมันจะชี้โด่เป็นลำเลย ในขณะที่เพื่อนๆแข็งแล้วก็ยังไม่ใหญ่กันเท่าไร เพื่อนๆก็เลยชอบล้อเลียนผมกัน ว่ายาวใหญ่เหมือนของม้า แล้วผมก็ได้ฉายา “ไอ้ม้า”

เพื่อนๆคงคิดว่าผมจะภูมิใจในความใหญ่ของตัวเอง แต่ที่จริงไม่ใช่หรอกครับ เพราะเวลาถูกเรียกว่า “ไอ้ม้า” นั้นมันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย จำได้ว่าผมได้ฉายานี้ตอน ม. 2 หลังจากที่ได้ฉายานี้มาจากคลองหลังบ้าน มันก็เริ่มแพร่เข้ามาในโรงเรียนเพราะเพื่อนที่ร่วมเล่นน้ำด้วยกันนั้นบางคนก็อยู่โรงเรียนเดียวกับผม แต่หลังจากที่ผมได้ฉายานี้ผมก็เลยไม่แก้ผ้าเล่นน้ำที่คลองหลังบ้านอีก หากจะเล่นก็จะนุ่งผ้าขาวม้าหรือใส่กางเกงใน เพราะโตแล้วก็เริ่มมีความอาย อีกทั้งขนเพชรก็เริ่มขึ้นแล้วด้วย ขืนปล่อยให้เพื่อนเห็นมันก็ต้องเอาไปล้ออีก

ยิ่งตอนขึ้นชั้น ม. 3 ในแต่ละปีนักเรียนจะถูกคละห้องเรียนใหม่ เจ้าเพื่อนในห้อง ม.2 เดิมบางคนก็ได้ไปอยู่ร่วมห้องกับผมในชั้น ม.3 ด้วย มันก็เรียกผมว่าไอ้ม้าๆ พวกเพื่อนใหม่ในชั้น ม.3 ก็มักจะถามหาที่มาว่าทำไมถึงชื่อไอ้ม้า ไอ้เพื่อนมันก็จะบอกว่า “ไปถามไอ้ม้ามันดูเองสิ” ส่วนใหญ่ผมก็จะยิ้มๆ ไม่ยอมตอบ แต่ไปๆมาๆเจ้าเพื่อนมันคันปากก็เลยแย้มๆออกไปว่า “บางอย่างมันใหญ่เหมือนม้าว่ะ เลยได้ชื่อนี้” แค่นี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร คราวนี้ผมเลยกลายเป็นตัวตลกประจำห้องเลย โดนล้อเลียนเรื่องนี้เป็นประจำ บางคนก็บอกว่าจะขอยืมไปทำเสาธงบ้าง อะไรบ้าง ทั้งๆที่ไม่มีใครเคยเห็นเคของผมจริงๆเลยนอกจากเพื่อนที่เคยเล่นน้ำคลองด้วยกันเพียงไม่กี่คน

เพราว่าโดนล้อเลียนบ่อยๆ ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าการมีเคใหญ่ผิดเพื่อนๆนั้นมันเป็นปมด้อย ไม่เคยรู้สึกภูมิใจเลยครับ ยิ่งใครต่อใครพยายามขอดู บางทีก็แอบดูเวลาผมฉี่ในห้องน้ำ (ที่จริงตอนไม่แข็งก็ไม่ได้ใหญ่กว่าของคนอื่นเท่าไรนักหรอก) ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามีปมด้อยมากขึ้น

ตอนผมอยู่ ม.5 ผมได้เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ชื่อก้อย (ผู้ชายนะครับ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนชายล้วน) เพิ่งคบกันตอน ม. 5 เอง แต่ก้อยนิสัยดีมาก ไม่เคยล้อผมว่า “ไอ้ม้า” เลย แต่จะเรียกผมว่า “หนึ่ง” ซึ่งเป็นชื่อเล่นจริงๆของผมเสมอ ก้อยบอกว่าไม่ชอบล้อเลียนคนอื่น มันไม่ดี นี่เองที่ทำให้ผมสนิทกับก้อยมากขึ้นเรื่อยๆ

อยู่มาวันหนึ่ง พวกเพื่อนๆในห้องคุยกันเรื่องเที่ยวซ่อง มีเพื่อนในห้องบางคนไปเที่ยวแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง คุยแล้วก็เคแข็งเด่ไปตามๆกัน ตอนนั้นผมอายุย่าง 16 แล้ว เคยาวเกือบๆ 8 นิ้ว ใหญ่ราว 8 นิ้ว ใหญ่กว่าตอนอยู่ ม.3 อีก (แต่ไม่เคยมีใครเห็น) ของผมพอแข็งแล้วก็จะตุงเป็นลำในกางเกง มองเห็นได้ชัดเลย ผมเลยต้องนั่งซุกตัวอยู่ในโต๊ะเรียนขณะคุย แต่ก็สังเกตว่าก้อยเหลือบมองมาที่เป้ากางเกงของผมบ่อยๆ...

วันนั้นพวกเรา (มีอยู่ 5 คน) ตกลงใจว่าจะไปเที่ยวซ่องกัน โดยมีคนที่เคยไปมาแล้วอาสาพาพวกเราไปขึ้นครูที่ซ่องในเมือง ผมตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศเลย ไม่เคยแม้แต่จะช่วยตัวเองเพราะทำไม่เป็น อาศัยฝันเปียกเอาเป็นประจำ ผมก็ถามเพื่อนๆไปว่าเข้าไปแล้วจะเอาผู้หญิงยังไง เพื่อนมันก็บอกว่าเดี๋ยวพอถึงเวลาเขาก็สอนให้เองนั่นแหละ

จำได้ว่าตอนที่ผมเที่ยวซ่องครั้งแรกนั้นตื่นเต้นมาก ผมเลือกได้สาวอายุราว 19 ปีคนหนึ่ง หน้าตาดีทีเดียว แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องของตัว...

ในห้องเปิดไฟสลัวๆ คู่นอนของผมเห็นผมนั่งเซ่ออยู่บนเตียงก็ถามผมว่าจะมานั่งเล่นเหรอ (ถามแบบน่ารักนะครับ) ผมก็บอกว่านี่เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เธอก็บอกว่างั้นจะสอนให้ ว่าแล้วเธอก็ถอดเสื้อของผมออก จากนั้นก็ถอดกางเกง แล้วก็กางเกงใน

พอกางเกงในหลุดจากเอวเท่านั้นแหละครับ เคของผมก็ผงาดลำ 8 นิ้วขึ้นมาทันทีเพราะผมเองตอนนั้นเกิดอารมณ์เต็มที่แล้วตั้งแต่เธอเริ่มถอดเสื้อผ้าให้ แต่พอเธอเห็นเคของผมเท่านั้นแหละครับ เธอร้องอุ๊ยออกมาเบาๆ หน้าเสียเลย จากนั้นเธอก็บอกผมว่าของผมใหญ่มาก เธอรับไม่ไหว กลัวเครื่องพัง จากนั้นก็ขอร้องให้ผมเปลี่ยนเป็นคนอื่นแทน แถมยังบอกอีกว่าอย่าเลือกคนอายุน้อยๆ เพราะคงไม่กล้ารับอีกเหมือนกัน ให้เลือกสาวที่อายุมากหน่อยเพราะผ่านผู้ชายมาเยอะแล้ว คงพอรับไหว

พอผมได้ยินอย่างนั้นเข้าก็หมดอารมณ์ทันที เพราะรู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างมากที่โดนผู้หญิงปฏิเสธ ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์ประหลาดที่ผิดมนุษย์ ผมเลยแต่งตัวแล้วกลับบ้านทันทีโดยไม่ยอมเปลี่ยนคนใหม่ ไม่ขอเงินคืนด้วยเพราะว่าอายแม่เล้า ทั้งอายทั้งเจ็บใจครับ

วันรุ่งขึ้น เจ้าเพื่อนที่ไปเที่ยวซ่องด้วยกันก็เอามาคุยฟุ้งในห้องถึงรสสวาทที่ได้รับมาจากซ่อง มีแต่ผมเท่านั้นที่นั่งหน้าบูดอยู่เพราะอารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อคืน นอกจากความอับอายแล้วผมยังรู้สึกหงุดหงิดอีกด้วยเพราะความต้องการไม่ได้ระบายออก (ก็อย่างที่บอก ตอนนั้นยังช่วยตัวเองไม่เป็นเลยครับ) เพื่อนมันก็แซวว่าสงสัยผู้หญิงที่นอนกับผมต้องไปพักฟื้นแน่เลยเพราะเครื่องพัง ผมฟังแล้วยิ่งโมโหเลยเดินหนีออกจากกลุ่มไป ทิ้งให้ทุกคนงงในพฤติกรรมของผม ใครมาถามผมก็ไม่ตอบ เอาแต่เงียบลูกเดียว เพราะปกติผมก็เป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว...

เย็นวันนั้น หลังเลิกเรียน ทุกคนออกจากห้องกันไปหมดแล้ว เหลือผมเป็นคนสุดท้าย นั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่ก็เห็นก้อยย้อนกลับเข้ามาในห้อง

“เฮ้ย หนึ่ง ทำไมยังไม่กลับวะ” ก้อยทัก

เงียบ ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร

“นายหนึ่ง ทำไมวันนี้หน้าตาไม่ดีเอาเลย เมื่อคืนไปเที่ยวมาน่าจะมีความสุขนะ” ก้อยพูดต่อ ถึงก้อยไม่ได้ไปด้วยแต่ก้อยก็นั่งฟังเจ้าเพื่อนกลุ่มนั้นคุยมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว

“เฮ้ย หนึ่ง เป็นอะไรไปวะ ปล่อยให้เราพูดคนเดียวอยู่ได้”

“ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบ แต่หนึ่งไม่เชื่อ

“เฮ่ย มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังได้นะ เผื่อว่านายจะสบายใจขึ้นบ้าง” ก้อยพยายามปลอบใจผม แต่ผมก็ยังไม่ยอมเล่าอยู่ดี เรื่องน่าอายแบบนี้จะเล่าได้ยังไง แม้ว่าก้อยจะป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดก็ตาม

“เอา ไม่เล่าก็ไม่เล่าวะ เอายังงี้ นายอย่าเพิ่งกลับบ้านเลย ไปเที่ยวบ้านเราไหม เผื่อจะสบายใจขึ้น”

เมื่อก้อยเปลี่ยนเรื่องพูด ผมรู้สึกขอบคุณก้อยในใจที่ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี และหวังที่จะช่วยผมโดยไม่คิดสอดรู้สอดเห็น ผมก็เลยตอบตกลงว่าจะไปเที่ยวบ้านก้อย

บ้านของก้อยอยู่ในอำเภอซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของคนที่มีฐานะดี เป็นบ้านขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก ตกแต่งดี น่าอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะ ต่างจากบ้านของผมที่เป็นครอบครัวชาวสวนอยู่ที่กิ่งอำเภอ

ก้อยพาผมไปไหว้พ่อแม่ของเขา จากนั้นก็เลี้ยงน้ำและขนมผม แล้วพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนของก้อย ห้องนอนนอนของก้อยขนาดกะทัดรัด จัดอย่างเรียบร้อย ดูน่าอยู่ ผิดกับห้องของผมที่รกรุงรัง ก้อยเอาเทปเพลงมาให้ผมเลือกเพื่อจะเปิดให้ผมฟัง พลางก็อวดเครื่องเสียงชุดเก่งที่ก้อยภูมิใจมาก ครับ ก้อยเป็นคนชอบฟังเพลงมากทีเดียว รวมทั้งยังหลงใหลเครื่องเสียงอีกด้วย

ก้อยชวนผมคุยนั่นคุยนี่โดยไม่ถามถึงเรื่องที่ผมหน้าบูดตลอดวันอีกเลย จนผมรู้สึกเกรงใจในความดีของก้อย หลังจากนั้นมาผมก็รู้สึกว่าสนิทกับก้อยมากขึ้นกว่าเดิม และมักไปนั่งฟังเพลงจากเครื่องเสียงชุดเก่งของก้อยบ่อยๆ



---
ใครว่าใหญ่แล้วดี (2) : รักครั้งแรก
เขียนโดย หนึ่ง
หลังจากการเที่ยวซ่องครั้งนั้น พวกเพื่อนๆที่ไปมาแล้วต่างก็ติดใจ พากันไปอีก เพื่อนในห้องที่ไม่เคยไปก็ทยอยกันติดสอยห้อยตามคนที่ไปแล้วมั่ง ไปๆมาๆก็ไปเที่ยวซ่องกันกว่าครึ่งห้องแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปบ่อยหรอกครับเพราะว่าไปแต่ละทีต้องใช้เงิน เด็กต่างจังหวัดนั้นไม่ได้มีฐานะแบบเด็กกรุงเทพฯหรอกครับ ก็เลยไปได้ไม่บ่อยนัก แต่ผมไม่ได้ตามไปด้วยอีกเลยเพราะเสียความรู้สึกจากการเที่ยวครั้งก่อนมาก แต่ก็อ้างกับเพื่อนๆว่าไม่มีเงิน เพื่อนๆก็พากันแปลกใจว่าชวนทีไรก็ไม่มีเงินสักที ในขณะเดียวกันผมก็เริ่มสังเกตว่าก้อยก็ไม่เคยไปเที่ยวซ่องกับเพื่อนๆเลยทั้งๆที่บ้านก็มีฐานะดี

และแล้ว วันหนึ่ง ความลับของผมก็แตก เพราะเพื่อนของผมคนหนึ่งบังเอิญได้ไปนอนกับผู้หญิงคนที่เคยปฏิเสธผม แล้วไอ้เพื่อนผมนี่มันช่างคุยเสียด้วย ชวนผู้หญิงเขาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนในที่สุดผู้หญิงเขาก็เล่าว่าเคยมีแขกคนหนึ่ง เคใหญ่ยังกับม้า จนเธอไม่กล้านอนด้วย

พอพูดถึงม้าเท่านั้นแหละ มันก็นึกถึงผมขึ้นมาทันที (เพื่อนๆก็ยังเรียกผมว่าไอ้ม้ามาตลอด) ไล่เรียงกันจนในที่สุดก็ได้รู้ความจริงว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับผมในซ่อง และทำไมผมถึงได้หน้าบูดในวันต่อมา

เท่านั้นแหละครับ เจ้าเพื่อนปากสว่างมันก็เอาไปโพนทนาในห้องเรียนทันที สมัยนั้นก็ยังเด็กๆกัน เป็นวัยคะนอง เรื่องที่จะมารักษาน้ำใจหรือความรู้สึกกันไม่ค่อยคิดถึงหรอก เอาแต่ความสนุกสนาน ผมก็เลยกลายเป็นตัวตลกประจำห้องไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ใครๆก็พากันตื่นเต้นมาขอดูเคผมกันใหญ่ ผมก็ได้แต่เดินหนี แต่ในใจนั้นทั้งเจ็บ ทั้งอาย ผมรู้สึกว่าเจ้าน้องชายประจำตัวของผมมันเป็นปมด้อยอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ผมเคยคิดมากจนต้องนอนร้องไห้ทั้งคืน

ในขณะที่ผมต้องขมขื่นใจกับการล้อเลียนของเพื่อนๆนั้นเอง ก้อยเป็นคนเดียวที่ไม่เคยล้อผมเลย ทั้งไม่ล้อและไม่ถามถึงเรื่องเคของผม ไม่ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในซ่อง มีแต่คอยชวนคุยเรื่องอื่นๆที่ทำให้ผมสบายใจขึ้น ผมเองแม้จะสนิทกับก้อย แต่ก็รู้สึกอายที่จะพูดถึงเรื่องปมด้อยของตัวเอง ก็เลยไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องความไม่สบายใจของผมเลย ทั้งๆที่ใจจริงแล้วก็อยากให้มีคนมาฟังผมระบายอยู่เหมือนกัน

เมื่อผมจบชั้น ม.5 ผมได้ไปทำงานในตัวเมืองในช่วงปิดภาคฤดูร้อน เพื่อหารายได้พิเศษ เป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร ที่นั่นผมได้รู้จักกับนักเรียนหญิงที่มาทำงานหารายได้พิเศษช่วงปิดเทอมเช่นกัน เธอชื่อสุดา

สุดาเป็นคนน่ารัก เธอเป็นนักเรียนของโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ดังนั้นจึงรอบรู้และคล่องกว่าผมมาก สุดาเป็นคนคุยเก่ง พูดจาคมคาย เธอมักชวนผมคุยนั่นคุยนี่เสมอ นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นความสนิทสนมกัน

เมื่อทำงานที่ร้านอาหารนั้นได้ 2 เดือน ผมก็รู้สึกว่าผมหลงรักสุดาเข้าให้แล้ว สุดาน่ารักถูกใจผมไปหมดทุกอย่าง ผมอยากขอให้เธอเป็นแฟนของผมแต่ก็ไม่กล้าพูด เราสนิทกันมากขึ้น บางวันหลังเลิกงานตอนเย็น ผมมักพาสุดาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเสมอ ที่นั่นบรรยากาศร่มรื่น ตัวสวนมีพื้นที่กว้างมาก มีบึงน้ำอยู่ตรงกลาง รอบๆปลูกทั้งไม้พุ่มและไม้ขึ้นต้นเต็มไปหมด เธอกับผมชอบมานั่งเล่นริมน้ำและคุยกัน

ใกล้เปิดเทอมเต็มทีแล้ว อีกไม่กี่วันเราก็ต้องเลิกทำงานที่ร้านอาหารและแยกย้ายกันไปเรียนต่อตามเดิม เย็นวันหนึ่งผมจึงตัดสินใจหยั่งเชิงสุดา ดูว่าเธอชอบผมและคิดจะเป็นแฟนกับผมหรือไม่ ผมชวนเธอไปนั่งคุยที่สวนสาธารณะตามเดิม แต่วันนั้นผมเลือกนั่งบริเวณที่มีพุ่มไม้หนาทึบเป็นพิเศษเพื่อจะได้พร่ำพรอดกับเธอโดยไม่มีใครเห็น

ผมกล้าๆกลัวๆอยู่นาน ในที่สุดเห็นว่าค่ำแล้ว หากไม่ทำอะไรเลยวันนี้ก็คงไม่มีโอกาสหยั่งใจเธอ ผมจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปจับมือสุดา (ตั้งแต่คบกันผมยังไม่เคยจับมือถือแขนเธอเลยครับ) สุดานิ่งเฉย หันมายิ้มให้ ผมได้ใจเลยเอามือเธอมากุมไว้ในสองมือของผม

เมื่อเห็นว่าสุดามีใจให้ผม ผมจึงเอาแขนไปโอบเธอไว้ สุดาหันมายิ้มให้แล้วพูดว่า

“อยากให้หนึ่งทำอย่างนี้มานานแล้วล่ะ ทีแรกดายังนึกว่าหนึ่งไม่ชอบดาเสียอีก”

ได้การ เมื่อหัวใจตรงกันอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ผมโอบกระชับเธอเข้ามาอีก ขณะเดียวกันสุดาก็ซบหน้าลงที่หน้าอกผม ใจผมเต้นตึ้กตั้กจนสุดารู้สึกได้

“หนึ่งตื่นเต้นมากเหรอ” สุดาพูดปนหัวเราะ

“ฮื่อ ใช่” ผมยิ้มอายๆ ดูสุดาจะเขินอายน้อยกว่าผมเสียอีก คงเป็นเพราะเธอเป็นเด็กในเมืองนั่นเอง จึงประสีประสาในเรื่องรักมากกว่าผม

“หนึ่งชอบดานะ ชอบมากเลย หนึ่งจริงจังกับดามาก แต่ไม่รู้ว่าดาชอบหนึ่งไหม เรา เรา เราจะเป็นแฟนกันได้มั้ย”

“ดาก็ชอบหนึ่งเหมือนกัน ที่มานั่งคุยกันแบบนี้แล้วยังไม่เรียกว่าเป็นแฟนกันอีกเหรอ”

ผมดีใจมากที่สุดาไม่รังเกียจเด็กชาวสาวนอย่างผม ผมจับมือสุดาขึ้นมาหอมเบาๆ อย่างที่เคยอ่านจากในนวนิยาย

“ดาชักง่วงแล้วล่ะ” สุดาพูดยิ้มๆ

“ยังงั้นเรารีบกลับกันก็แล้วกัน” ผมอึ้ง พูดด้วยความเสียดาย เพราะเราเพิ่งประสานใจเข้าหากัน ต้องแยกย้ายกลับบ้านกันเสียแล้ว

“ไม่เอา เราอยากนอนตรงนี้ เย็นสบายดี”

“จะนอนได้ยังไง หัวหูเปื้อนหมดสิ เสื่อก็ไม่มี หมอนก็ไม่มี” ผมว่า

“โธ่เอ๊ย หนึ่งล่ะก็ มีอะไรดาก็หนุนได้”

คราวนี้ผมค่อยเข้าใจว่าสุดาหมายถึงอะไร เธอคงไม่ได้อยากกลับไปนอนที่บ้านจริงๆหรอก ไอ้ผมมันซื่อบื้อ ทีแรกไม่ทันคิด แต่ไม่เป็นไร คิดได้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย

“ยังงั้นดานอนหนุนตักหนึ่งก็แล้วกัน” ผมว่า เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็ไวไฟยังงี้ละครับ

สุดาไม่อิดออดแม้แต่น้อย ขยับตัวนิดหน่อยแล้วล้มลงนอนบนตักผมทันที ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว แถมยังอยู่ในพุ่มไม้ รับรองไม่มีใครเห็นเราสองคนแน่ ดูเธอก็ไม่ได้เหนียมอายเท่าไร คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นในยุคนี้ ยิ่งเธอเป็นเด็กในเมืองอีกด้วย วิถีชีวิตจึงค่อนข้างทันสมัย

สุดานอนหนุนตักผมเพียงครู่เดียวผมก็รู้สึกเกิดอารมณ์เพศขึ้นมาอย่างรุนแรง เร็วเท่าความคิด เจ้าน้องชายประจำตัวผมมันก็ขยายตัวทันที เนื่องจากน้องชายของผมยาวมาก มันจึงดันกางเกงจนตุง ผมอายมาก พยายามขยับหัวสุดาออกไปให้พ้นจากรัศมีของเจ้าน้องชายผม แต่ช้าไป เธอรู้สึกถึงมันได้เสียแล้ว

“อะไรแข็งๆน่ะ” สุดาลุกขึ้นมา ผมอายแทบแทรกแผ่นดิน เธอคงรู้แต่ยังแกล้งถาม คงอยากเย้าผมเล่น

เมื่อเธอเห็นผมอายมาก คงกลัวว่าผมจะเสียหน้า จึงพูดกับผมว่า

“ไม่เป็นไรหรอกหนึ่ง มันของธรรมชาติ ไม่น่าอับอายอะไรหรอก”

ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่เจ้าน้องชายประจำตัวก็ยังไม่ยอมสงบ มันยังคงแข็งตุงกางเกงอยู่อย่างนั้น สุดาก็เห็นเพราะร่องรอยของมันเห็นได้ชัดเจนมาก

“หนึ่ง สุดาขอลองจับดูหน่อยได้ไหม เคยเรียนแต่ในวิชาสุขศึกษา แต่ไม่เคยจับของผู้ชายจริงๆเลย” สุดาพูด คงนึกอยากรู้อยากเห็นตามประสาวัยรุ่นยุคโลกาภิวัตน์ ผมทั้งอายและตกใจ รีบปฏิเสธไปทันที แต่สุดายังออดอ้อน

“น่า นะ หนึ่งนะ เป็นแฟนกันจับแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก เรื่องธรรมดาจะตาย เพื่อนๆดาบางคนมีอะไรกับแฟนมากกว่านี้อีก หรือหนึ่งไม่คิดว่าดาเป็นแฟน”

โดนไม้นี้เข้าผมก็ปลื้มน่ะสิครับ เพราะนั่นเท่ากับว่าสุดายอมรับผมเป็นแฟนของเธอแล้ว ผมกลัวเธอโกรธจึงยอมให้สุดาจับเจ้าน้องชายของผมในที่สุด เธอจับแล้วบีบเบาๆ “อึ๋ย แข็งจัง”

เมื่อโดนเธอจับและบีบ อารมณ์ของผมยิ่งลุกโชน ทำให้เคของผมยิ่งแข็งมากขึ้น แข็งจนผมรู้สึกเจ็บ ความต้องการตามธรรมชาติบอกให้ผมเอื้อมมือไปจับหน้าอกเธอเบาๆบ้าง

สุดานิ่งเฉย ยอมให้ผมจับอกแต่โดยดี แล้วเธอก็บอกว่า

“หนึ่ง ขอดาดูของหนึ่งหน่อยสิ อยากเห็นจัง”

suchat โพสต์ 2012-7-20 10:26:08

ขอบคุนครับ

start001 โพสต์ 2012-7-20 12:57:58

ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากติดตามตอนต่อไปว่า หนึ่งกับสุดา จะเป็นอย่างไร ขอบคุณมากครับผม ชอบจริงๆครับ

lovedekchai โพสต์ 2012-7-20 18:38:00

ขอบคุณครับ มารออ่านตอนต่อไป

Dajim โพสต์ 2012-7-21 12:13:29

ขอบคุณนะครับ

poloman โพสต์ 2016-1-20 20:56:26

ขอบคุณครับ

moccalatae โพสต์ 2016-9-10 21:23:31

ขอบคุณครับ

LUCKYPEE โพสต์ 2016-9-10 21:50:24


ขอบคุณมากครับ

win2win โพสต์ 2016-9-11 05:33:49

ขอบคุณครับ

Doramonkung โพสต์ 2016-9-11 06:57:06

สุดยอดเลย ขอบคุณครับ

jongwi12345 โพสต์ 2016-9-11 09:16:29

ดดดเดด

skyline.nn โพสต์ 2016-10-3 00:17:15

ขอบคุณครับ

tapangnarak โพสต์ 2019-7-12 10:48:52

ขอบคุณนะฮะ

yut7223 โพสต์ 2019-7-14 01:41:47

ใครว่าใหญ่แล้ว

odethanoi โพสต์ 2019-10-22 02:16:10

ขอบคุณครับ{:5_146:}

kondee1234 โพสต์ 2020-7-29 22:45:00

ขอบคุนครับ

antibodyT โพสต์ 2022-3-18 01:02:14

ขอบคุณ

ardent โพสต์ 2022-3-18 01:50:23

ขอบคุณมากครับ

Vza โพสต์ 2022-3-18 02:40:08

ขอบคุณ​

tonsaa โพสต์ 2022-3-18 10:07:48

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2
ดูในรูปแบบกติ: ใครว่าใหญ่แล้ว ใจดี 1-2