จีโฟกาย.คอม

 ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
 
ดู: 397|ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป
ซ่อนแถบด้านข้าง

จ้าวธารา

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
คัดลอกมาครับ

-๗-
   ..ดูเหมือนเรื่องราวมันจะดำเนินมาถึงจุดที่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ซะแล้วครับ..
   ผมเขี่ยปลาทูในจานไปมาคล้ายกับว่าหมดอารมณ์จะกิน ส่วนสายตาก็มองคนที่นั่งฟาดแกงส้มเป็นถ้วยที่สองด้วยท่วงท่าสบายๆตรงหน้า
ช่วงแรกๆผมอาจจะเอะใจกับปริมาณการยัดของจระเข้ตรงหน้านะครับ..แต่พอหลายๆมื้อที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกัน..มันก็เกิดความเคยชินขึ้นมา..
   ..
ถึงแม้ว่าเขาจะซัดเหมือนคนกินสี่คนก็เหอะ..
   …แถมยังด้วยความเร็วแบบที่ผมทานไปจานเดียวซะงั้น…

   เอาเถอะ  ผมพยายามจะไม่ติดใจการรสนิยมการกินจุแบบนั้นครับ จะบอกว่าไม่แคร์เลยก็ใช่..เพื่อนผมก็มีบ้างที่กินอย่างจะแจกฟรีแบบนี้ แต่พวกนั้นก็จะมีรูปร่างออกไปทาง..นักกีฬาซูโม่  ไม่ใช่หนุ่มหล่อได้โล่แบบคนตรงหน้า…
   แต่ว่าที่สำคัญกว่านั้นน่ะนะ..
   “ไอ้พี่วัน”

   “หือ?”
   “…ไม่กลับไปกินข้าวบ้านบ้างวะ มาอยู่ได้ข้าวราดแกงหน้าหอผมเนี่ย”
   …เออ  นั่นเหมือนจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดแล้วล่ะครับ…
   เขากรอกตา   พูดอ้อมไป

“มันอร่อยดีนะ”
   “ตรงไหน  ผมกินทุกวันยังเบื่อเองเลยเนี่ย”
   “แล้วทำไมไม่กินร้านอื่นล่ะ?”
   “ก็มันอยู่หน้าหอ  สะดวกดี”
   อีกฝ่ายยิ้มจนตาหยี

“พี่ก็เหมือนกัน”
   “สะดวกพ่องเด่ะ  พี่ไม่ได้อยู่หอนี้นะ..บ้านก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วย”
   “นี่”
   คนถูกถามถอนหายใจ  รวบช้อนส้อมไว้เรียบร้อย..แล้วเงยหน้ามองผมด้วยสายตาพราวระยับ
   “ไกรยังจะต้องถามอีกเหรอว่าพี่ถ่อมากินถึงที่นี่บ่อยๆทำไม?”

   ผมเลิกพูดเรื่องนั้น  เรียกป้าแกเก็บตังค์..ก่อนจะรู้สึกหน้าร้อนไปมากกว่านี้
   แน่นอนครับ  ป้าแกก็ดูถูกอกถูกใจพี่ทิวันเขาเสียใหญ่ ยังกะได้ตุ๊กตาหน้าร้านมาเรียกแขก(ซึ่งเอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้เรียกให้เข้ามานั่งแดกครับ เรียกเข้ามานั่งดูเฉยๆ)  ซึ่งผมก็หน่ายละเกิน…
ขนาดหมอนี่กินอย่างกับไม่ใช่คนนะครับเนี่ย
   …ซึ่งก็ไม่ใช่คนจริงๆ….

   ……...ช่างมันเถอะ
   เป็นเวลาอาทิตย์กว่าแล้วที่เขาทำแบบนี้(และผมบอกเลยนะว่าไม่ใช่ไม่ชอบ! แค่รู้สึกแปลกๆ!)  เราสนิทกันมากขึ้น(มั้ง!) แล้วก็เข้าช่วงสอบด้วย…ก็เลยเอาเรื่องติววิชาต่างๆมาเป็นข้ออ้างให้เขารอผมเลิกเรียน(หรือบางทีก็เป็นผมที่รอเขา…แต่ไม่บ่อยนักว้อย!)  บางวันฝนตกก็นั่งอ่านหนังสือกันที่คณะก่อน และบางที(ย้ำว่าแค่ ‘บางที’ นะครับ!) ก็จะเดินมาส่งผมหน้าหอ  กินข้าว แล้วก็กลับไป…….

   ……พับผ่าสิ
   …ผมว่าความสัมพันธ์ระดับนี้นี่ย้อนกลับไปไม่ได้ซะแล้วมั้งครับ
พระเจ้าช่วย!
   หลังจากนั้นเขาก็มายืนส่งผมหน้าหอ..อยากจะถามเหลือเกินครับว่าจะทำไปทำซากอ้อยอะไร!? แต่ก็นั่นแหละ..

ผมว่าผมกลัวคำตอบมากกว่า  เพราะงั้น….
   ผมหันมามองเขา..เก้ๆกังๆเล็กน้อย

“…ไปนะ?”
   “อื้อ” เขายิ้มกว้าง“ไปสิ”
   “กลับ..ดีๆนะ”
   “ครับๆ”
   “อย่าคุยกับคนแปลกหน้านะ…”

   อีกฝ่ายหัวเราะ

“จ้า”
   “จะ ‘จ้า’ บ้าอะไรวะ!”
   “ก็ตอบรับไง”
   “กวนตีนว้อย!”
   “ไกร” เขาโบกมือ

“ฝันดีนะ”
   ผมเม้มปาก  ใช้หลังผลักประตูเข้าหอ

“….ฝันดี”
   นี่มันบ้าอะไรวะ…
   ….กูนี่แหละ!  ที่จะใจเต้นทำบ้าอะไร๊!?!?!?
   เพื่อนโป๊ยกูว่ากูอาการหนักแล้วล่ะ ที่ขนาดเดินไปกดลิฟท์แล้วยังต้องชะโงกหน้าหาอีกฝ่ายแบบนี้ กูเห็นหลังไหวๆของเขาเดินไปที่ทางออก…และ…เอ่อ  กูยอมรับว่ากูมองตามเขาจนลับสายตา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟท์เปิดพอดี  และ..เพื่อนโป๊ยครับ เรื่องแบบนี้กูโทรไปเล่าให้มึงฟังไม่ได้หรอก  กูอาย!
   ...เพราะงั้นจงเป็น ‘เพื่อนโป๊ย’
ในมโนผมไปก่อนก็แล้วกันนะครับ!
   ซึ่งถ้าผมเล่าให้ไอ้โป๊ยฟังจริงๆ มันคงตบตักฉาดใหญ่  แล้วชี้หน้าหัวเราะผมก่อนจะเปล่งเสียงทู่เรศๆออกมาว่า

‘กูว่าแล้วสัส!  กลับดาวนาเม็กไปด้วยเลยไป!’หรืออะไรเทือกนั้น  ซึ่งผมคงรับไม่ได้อย่างรุนแรง…
   จะว่าไป…ก่อนหน้านี้ไอ้สัสโป๊ยก็เตือนเรื่องแบบนี้เหมือนกัน เรื่องที่ว่าพี่ทิวันเจ้าชู้  เรื่องที่ว่าพี่ทิวันมีลูกมีเมียแล้ว หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ผมเป็นกังวลถึงขั้นงอแง แล้วต้องให้ไอ้หมอนั่นมาจุ๊บหน้าผากปลอบ…..
   ….บ้าเอ้ย!!  แล้วจะนึกถึงตอนนั้นทำบ้าอะไร!
   ….
อยากเจียวไข่บนหน้ารึไงวะไอ้เกรียงไกร!
   แต่ก็พอจะเข้าใจแล้วละครับ  เหมือนทุกคน..เหมือนคนทั่วไปละ  บางคนเก่งทุกอย่างดีไปหมดแต่ก็ยอมโง่ให้

ไอ้ผู้ชายเลวๆหลอกเพื่อความสุขเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
   สำหรับผมแล้ว…
เรื่องแค่นั้นยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
   ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจก้าวลงจากลิฟท์
ทั้งๆที่มันยังไม่ทันปิด
   อีกฝ่ายยังจากไปไม่นาน  มันเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่ผมสามารถ ‘ตาม’
เขาไปได้
   
พี่วันไม่ใช่มนุษย์
   
นั่นเป็นเรื่องที่ผมต้องคอยย้ำให้ตัวเองระลึกอยู่เสมอในทุกๆครั้งที่เรา..เอ่อ..อยู่ใกล้กัน
   ร่างสูงเดินไปเรื่อยๆตามฟุตบาทที่เจิ่งนองไปด้วยแอ่งน้ำตามหลุมตามบ่อ มันย้ำให้เรารู้ว่าฝนเพิ่งหยุดตกได้เพียงไม่นานนัก  แต่ภายใต้ความมืดสลัวแบบนี้ทำให้ผมสามารถเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆได้
อีกฝ่ายไม่ได้เร่งร้อน..เขาเดินสบายๆรับวิวกลางคืน..และไอเย็นของอากาศที่ต่ำกว่าตอนกลางวันมากโข
   จากหน้าหอที่มีคนพลุกพล่านตามร้านข้าวแกงร้านก๋วยเตี๋ยว ข้ามถนนใหญ่หกเลนไปที่อีกฟากหนึ่ง…เดินลัดเลี้ยวเข้าไปในใหญ่ และกว่าที่ผมจะรู้ตัว…
รอบข้างก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย
   ผมหลบตามมุมเสาไฟฟ้าไปเรื่อยๆ เลียนแบบพวกนักสืบปัญญาอ่อนที่ผมเคยเห็นในทีวี…มันงี่เง่ามาก  
แต่จุดๆนี้ไม่ว่าอะไรผมก็ทำ
   …มันคือ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ …
ที่เต็มแน่นอยู่ในอก
   ...ถ้าถามว่าเรื่องอะไรน่ะหรือ?

   ผมตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า

‘ทุกเรื่อง’
   เขาเป็นจระเข้  เรื่องนั้นเป็นความลับที่มีแต่ผมที่รู้  แล้วถ้ามากกว่านั้นล่ะ…ตอนที่เขาอาบน้ำ?  ตอนที่เขากินข้าว

กับที่บ้าน?  ตอนที่เขานอนหลับ? ตอนที่เขากลายร่าง?  บ้านของเขา? ครอบครัวของเขา? ตัวตนของเขาในอีกด้านหนึ่งที่ผมไม่รู้ล่ะ..เป็นแบบไหน…?
   ‘…ไกรกลัวพี่รึเปล่า?’
   ตอนที่ผมตามเขามาถึงซอยเล็กๆแห่งหนึ่งคำถามนั้นก็หวนกลับขึ้นมา ไม่มีบ้านหลังไหนในบริเวณโดยรอบผมที่ติดไฟเลยสักดวง  มีเพียงไฟข้างถนนเก่าๆที่กระพริบติดๆดับๆบางเวลาเท่านั้นคอยส่องทาง
   …กลัวงั้นเหรอ?

   และผมก็กลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า..ความกลัวคืออะไร..?
   ผมย่องตามเขา  จับตาดูแผ่นหลังนั้นแบบไม่กระพริบตา..และยังใช้สมาธิควบคุมปลายเท้าให้ย่องเยี่ยงนินจาอีกครั้ง...
   ......ไฟที่ริมถนนนั้นกระพริบครั้งหนึ่ง……

   ……….และเมื่อมันสว่างขึ้นอีกครั้ง….เขาก็หายไปแล้ว
   ผมหยุดเดินทันที  มองซ้ายมองขวา..หมุนรอบตัว…
และพบว่าตัวเองอยู่ในความเงียบนั่นเพียงคนเดียว
   “อ…ไอ้พี่วัน?”

   คำเรียกนั้นฟังดูประหม่า  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ..ถ้าให้ผมเดินกลับเองคนเดียวทั้งอย่างนี้ผมกลับไม่ถูกแน่ๆ

เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเบี่ยงหน้าเข้าซอยห่าอะไรตั้งมากมายวะ!  ซอยที่เดินมาก็เล็กแคบแบบที่รถเข้าไม่ถึง…แม้ว่าพื้นถนนส่วนใหญ่จะลาดยางไว้ก็เถอะ
   ..ไม่มีใครตอบ  
มีแต่ความเงียบและความมืด..
   ผมก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
อะไรบางอย่างบอกผมว่าเราไม่ควรเดินต่อไปข้างหน้า
   “ไอ้พี่วัน..” ผมสอดส่ายสายตามองแต่ตรงหน้า

“ไอ้พี่วัน  อยู่ไหนน่ะ?”
   ต่อให้ความแตกตอนนี้ก็ต้องยอมแล้วครับ หลงเข้ามาในอาณาเขตที่ไม่รู้จัก..แถมเสือกหาทางออกไม่ได้อีก ต่อให้เป็นชายชาตรีแท้ๆก็ต้องมีขวัญผวากันบ้างล่ะ!
   รอบข้างประกอบไปด้วยบ้านไม้เก่าๆ 3 – 4 หลัง รั้วลวดหนามง่ายๆเป็นอาณาเขตกันบอกให้ผมรู้ว่าพวกโจรขโมยคงไม่ได้เข้ามาหากินในแถบนี้เท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นพงต้นไม้หนาทึบหลังกำแพงถัดไปยิ่งมองก็ยิ่งน่ากลัว…ที่จริงบ้านผมก็เป็นบ้านสวนประมาณนี้นะครับ  เพียงแต่…มันไม่มืดและน่ากลัวเท่านี้…มันไม่เงียบงันและวังเวงเท่านี้…

   เมื่อสายลมพัดมาทีนึง..ก็ตีให้ฝูงนกตัวเล็กๆกระจายออกมาจากต้นไม้ใหญ่ เสียงจิ๊บๆดังระงมจนผมหยุด

ถอยหลัง  เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า……
   ….เผชิญหน้ากับพระจันทร์กลมโต…ที่ค่อยๆเลื่อนตัวเองออกมาจากหมู่เมฆครึ้ม…
   สีทอง..?
   …ใช่ครับ…ผมมองไม่ผิดหรอก…
   “เฮ้ย!”
   “ว๊าก?!!?!?”
   เสียงลั่น…ดังที่สุดเท่าที่เคยตะโกนในชีวิตเลยล่ะครับ!
    ฝูงนกจากยอดไม้ใกล้ๆแตกฮือบินขึ้นท้องฟ้าดังพั่บๆๆ
สายลมแรงวูบหนึ่งพัดโฮเข้ามาจนเย็นยะเยือก..ก่อนที่เสียงหัวเราะอันคุ้นเคยจะดึงผมขึ้นจากความตื่นตระหนกเมื่อครู่ได้ทันท่วงที
   ผมหันควับ  แล้วตะโกน

“ไอ้พี่วัน!!”
   เขายกมือปิดปาก  พยายามกลั้นหัวเราะแทบเป็นแทบตาย

“ครับ?  อะไรครับ?”
   “หยุดหัวเราะนะว้อย!”
   “โอเคๆ”
   “หยุดยิ้มด้วย!”
   “อ๊ะ  ครับๆ”
   “ถ-ถ้าอยู่ตรงนี้ทำไมไม่เรียกกันตั้งแต่แรกวะ!!!”
   “ก็จะรอดูว่าไกรจะทำยังไงน่ะสิ”
   “ไอ้กวนตีนนี่!”
   “แล้วตามมาทำไมล่ะ?”
   “ค-ใครบอกว่าตาม?”
   อีกฝ่ายผิวปาก

“อ้อเหรอ?  ไกรเดินเข้ามาจากถนนใหญ่เกือบครึ่งกิโลโผล่ในซอยเปลี่ยวที่เต็มไปด้วยบ้านร้าง..แล้วก็บังเอิญมาเจอกับพี่ตรงนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว?  งั้นเหรอ?
   ผมอ้าปาก  
แล้วหุบฉับลงมาเมื่อตระหนักได้ว่าเถียงอะไรไม่ออกอีกแล้ว
   เขายิ้ม

“อยากอยู่กับพี่นานกว่านี้ทำไมไม่บอก?”
   “เปล่าว้อย!”
   “แล้วตามมาทำไมล่ะ?”
   ..เออนั่นดิ  กูจะตามมาทำไมวะ..!?
   ผมกรอกตา  พยายามนึกหาคำพูดทั้งหมดที่มีอยู่ในลังบรรจุข้ออ้าง..แต่ก็ไม่มีอะไรที่ดูจะเข้าเค้า ที่สำคัญกว่านั้น

ก็คือผมคงปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้
   แล้วก็จบลงที่กัดฟัน  
พยักหน้าออกไป
   “เออ  อยาก”

   สิ้นคำตอบรับสั้นๆแบบนั้น..ความเงียบก็ครอบงำทันที
   ผมเหลือบสายตามองเขา  เขาเองก็มองผมอยู่เช่นกัน..เพียงแต่ไม่ได้ยิ้มหวานๆเจ้าเล่ห์ๆเหมือนเคย เขาเผยอริมฝีปากคาไว้แบบนั้น  ยกมือขึ้นมาคาไว้ราวกับจะทดลองเป็นคอนดักเตอร์ก็มิปาน ก่อนจะเปลี่ยนมายกมือปิดปาก..

แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
   ..และสีเลือดที่ซับขึ้นมาบนใบหน้าคมนั้นก็ทำให้ผมพอจะเดาความออก
   ว่าเขาเองก็คงตกใจไม่น้อยที่ผมตอบรับออกไปเช่นนั้น…

   “เอ่อ…” ในที่สุด..ก็เป็นหน้าที่ของเขาแหละครับที่ออกปากออกมาก่อน“…เข้าบ้าน…มั้ย?”
   “…ได้เหรอ?”
   “ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นจนได้

“มั้ง”
   “ตอบดีๆสิวะ”
   “แอบๆเข้าไปละกัน”
   ผมขมวดคิ้ว

“ทำไมต้องแอบๆด้วยล่ะ?”
   เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น  แล้วโน้มตัวลงมาจูงมือผม

“ทางนี้”
   ..และให้ตาย..การกระทำนั่นทำเอาตัวเกร็งเลยล่ะครับพี่น้อง!
   พี่วันเดินนำผมลัดเข้าไปในตรอกเล็กๆขนาดคนเดินผ่านได้ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก และบอกเลยครับ…ยิ่งเดินนี่ผมก็สัมผัสได้เลยว่าถ้าตัวเองมาคนเดียวคงตายห่าตั้งกะเมื่อกี้แล้ว
มันจะซับซ้อนไปไหน!
   รอบด้านที่ผมเดินผ่านมาคือ ‘บ้านร้าง’ จริงดั่งที่พี่วันเขาพูดเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประกอบไปด้วยบ้านไม้เก่าๆแบบเมื่อครู่ แต่ไม่ว่าจะทำจากไม้หรือคอนกรีตหรืออิฐผสมห่าเหวอะไร  แค่มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าทุกหลังนั้นเก่ามากแค่ไหน  ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมไฟถนนติดๆดับๆ  เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีบ้านสักหลังที่มีเสียงพูดคุย
เพราะมันไม่มีคนอยู่นี่เอง
   …
และไม่มีใครเลย
   ใจผมสั่นไหว  
จนต้องสาวเท้ามาเร็วๆจนตัวแทบจะชิดกับอีกฝ่าย
   “ไอ้พี่วัน…แน่ใจนะว่า….”

   เขาหันมามองผม  ยกนิ้วแตะที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณบอกว่าให้ลดเสียงลง
   ก่อนที่จะหยุดยืนอยู่หน้ารั้วไม้ที่ทอดยาวตลอดสองข้างทาง ในความมืดผมไม่รู้หรอกว่าไม้นี่เก่ามากแค่ไหน…

แต่ข้ามรั้วไปก็เป็นเหล่าพุ่มไม้ใหญ่ที่เยอะแต่ไม่รกชัฏเหมือนบ้านหลังที่เดินผ่านๆกันมา  มันทำให้ผมเผลอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก…
   ….จวบจนกระทั่งไอ้คุณเจ้าบ้านแม่งเสือกปีนข้ามรั้วไปนั่นแหละ!
   “เฮ้ย!”

   “ชู่ว” อีกฝ่ายนั่งอยู่บนขอบรั้วด้านบน แล้วก้มดุผม

“พี่บอกว่าอย่าเสียงดังไง”
   “ล..แล้วทำไมต้องปีน…”
   “ขึ้นมาเถอะน่า”
   “แต่…”
   “ไม่ต้องกลัว  ไม่หล่นหรอก”เขายิ้ม  ยื่นมือมาให้

“ขึ้นมาสิ”
   แต่ผมไม่รับมือนั้นหรอกนะครับ! ไม่ใช่ผู้หญิง!  แค่ปีนรั้วบ้านสูงไม่เกินสองเมตรแบบนี้ทำได้ไม่ยากเย็นเลยบอกไว้ก่อน! เพราะงั้นไอ้ที่ข้องใจเมื่อครู่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องแปลงเป็นลิงว้อย!
   ข้ามเขตรั้วบ้านมาได้เงียบเชียบ(ผมคิดเอาเองนะ) ดูเหมือนทุกอย่างจะปลอดภัยมากขึ้น  ไอ้พี่วันเดินช้าๆนำผมผ่านสวนต้นไม้น้อยใหญ่…ที่ดูราวกับมีการดูแลอย่างดีมาเรื่อยๆ  ขึ้นเหยียบบนทางเดินหินสวน
จนกระทั่งผมเห็นตัวบ้าน
   
เลยหยุดเดิน
   …
เพื่อถลึงตาเบิกโพลง
   ‘…เป็นตระกูลจระเข้เก่าแก่  ผู้ดีจากเมืองพิจิตร...’

   ถ้อยคำที่เคยพูดหยอกล้อเล่นกันตอนกินซูชิเวียนกลับมาอีกรอบครับ และครั้งนี้ตัวเรือนที่อยู่ตรงหน้าผมนี่ก็พอจะยืนยันไอ้คำพูดที่ว่าได้แบบ…ทะลุไส้ติ่งเลยทีเดียว!
   เรือนไม้หลังใหญ่สีน้ำตาลแก่ตั้งอยู่บนสนามหญ้าที่ถึงแม้จะมืดแต่ก็สัมผัสได้ว่ามันชอุ่มแค่ไหน มองแค่จากใต้ถุนก็เห็นเงาตะคุ่มของบรรดาเสาไม้เนื้อแข็งเรียงไปไม่รู้จักกี่ต้นจนผมขี้เกียจจะคิดเลยว่าด้านบนจะประกอบไปด้วยเรือนสักกี่เรือน ยอดจั่วหลังหนึ่งประดับด้วยกาแลไม้สลักอย่างงดงามทอดขึ้นทาบเงาพระจันทร์เต็มดวงจนโดนเด่น

แสงจันทร์ฉายทาบลงมาเห็นเงาของแป้นเกล็ดมุงหลังคาเงาระยับสับกับครอบสันไม้หนา  บางเรือนหายลับไป

กับเจ้าต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายรอบตัวบ้าน  จนไม่อาจวัดได้เลยว่า ‘เรือนหลังนี้’มีขนาดเท่าใดกันแน่
   พระเจ้า…นี่น่ะเหรอ ‘รังจระเข้’

   มือใหญ่ยื่นมาดันคางผมให้หุบปากลง แล้วกระซิบ

“ยืนบื้อไรอยู่  ตามมาสิ…เดี๋ยวตัวอื่นก็เห็นหรอก”
   ผมยังคงปราดสายตามองไปที่ด้านหน้าบ้าน แสงจันทร์สะท้อนพื้นผิวบางอย่างวิบวับเข้าตา

“นั่นอะไรพี่วัน  บ่อน้ำเหรอ?”
   เขาล็อคคอผมให้เดิน

“อ่าฮะ”
   “ใหญ่เว่อร์”
   “อย่าเสียงดังสิ”
   “ครับ…แล้วนี่เราจะไปไหน?”
   “เข้าบ้านไง”
   “แต่บันไดขึ้นบ้านมันอยู่ทาง….”
   “ใครบอกกันล่ะว่าให้ขึ้นทางหน้าบ้าน”อีกฝ่ายยิ้ม  เขกกระโหลกผมหนักๆหนึ่งที

“ตัวอื่นจับได้หมด”
   “ตัว..อื่น?  ไหน?”
   “เงียบ  แล้วรอตรงนี้”
   เขาชี้นิ้วลงที่พื้นให้ผมหยุดรอ ก่อนจะเดินเข้าใต้ถุนบ้าน...แล้วหายไปกับความมืดนั่น
   ผมยืนอยู่นิ่งๆตามคำสั่ง  ตอนนี้ในสมองแบ่งออกเป็นสองฟาก  ฟากหนึ่งกำลังทึ่งกับโลกใหม่ที่ไม่เคยพบเคยเห็นและไม่คิดว่าจะมีบ้านขนาดเท่านี้ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลถนนใหญ่..ไม่สิ ต้องบอกว่าอยู่ในตัวเมืองด้วยซ้ำ  ส่วนอีกฟาก..ก็บอกให้ผมหนีไปเถอะ
นี่มันไม่ชอบมาพากลแล้ว!
   ไม่ต้องชั่งใจเท่าไหร่หรอกครับ
เพราะผมยังยืนอยู่ที่เดิมตอนที่พี่วันเขาเดินกลับมา
   …
พร้อมบันไดไม้ไผ่
   นั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว

“เอามาทำอะไร?”
   “ปีนขึ้นไป” เขาบอก พาดบันไดไม้นั่นลงกับหน้าต่างชั้นบนที่อยู่ใกล้ตัวผมที่สุด

“เร็วเข้า”
   “อะไรนะ!?”
   “มาเถอะน่า”
   “เดี๋ยว  นี่เราเล่นเกมจีบลูกสาวกำนันกันอยู่รึไง?”
   เขาพยายามกลั้นยิ้ม  เก๊กเป็นขมวดคิ้วดุผม

“น้องไกรครับ  ปีน”
   “…ครับ”
   ผมสูดลมหายใจ  วางเท้าลงไปบนบันไดขั้นแรก

“แน่ใจนะว่าจะไม่หล่น?”
   “แน่สิ”
   “นี่ปกติที่กลับดึกๆได้น่ะ  เพราะแอบเข้าบ้านทางนี้ป่ะเนี่ย?”
   “เปล่า  ก็เข้าหน้าประตูปกติน่ะแหละ”
   “แล้วทำไมครั้งนี้ต้องแอบด้วยล่ะ?”
   “ก็เพราะไกรมาด้วย”
   “หมายความว่าไง?”
   “ขึ้นไป” เขาสั่ง..เสียงเข้ม

“แล้วก็นั่งอยู่เงียบๆ  เดี๋ยวพี่จะตามเข้าไป”
   ผมพยักหน้า  ก้าวขึ้นไปอีกขั้น

“ขึ้นไปจะเจออะไรก่อน?”
   “ห้อง”
   “ห้องอะไรล่ะ?”
   “ห้องพี่ไง..อย่าถามมากได้มั้ย? ปีนสิ!”
   ..แงง  ครั้งนี้โดนดุจริงจังด้วยล่ะครับ..
   แต่ไม่มีเวลามานั่งงอแงอยู่ครับ ผมชักเท้าขึ้นไปทีละขั้นๆอย่างช้าๆ  
แหม..ก็ใช่ว่าบันไดจะอยู่นิ่งๆให้ผมปีนซะเมื่อไหร่..ต่อให้อีกฝ่ายจะจับอยู่ด้านล่างก็เถอะ
   ฮึบ..เอาล่ะ  ผมเข้ามาทางหน้าต่างได้สำเร็จแล้ว…

   ห้องที่ผมเผชิญอยู่เป็น…….อย่าถามมากครับ  ผมไม่รู้  ด้านในยิ่งมืดกว่าด้านนอกอย่างเห็นได้ชัด(ก็แหงล่ะ!)  พอผมขยับไปทางขวา..ก็ชนกับอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นโต๊ะ  พอไปทางซ้าย…ก็โขกเข้าให้กับตู้อะไรบางอย่าง สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ
   “ไอ้พี่วัน..อ..อ้าว?”

   พอผมหันกลับชะโงกมองออกไป  อีกฝ่ายก็หายไปแล้ว..พร้อมๆกับบันไดไม้ไผ่นั่นด้วย
   ระหว่างที่ผมกำลังงุนงง  ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของใครสักคนดังมากจากที่ไกลๆ..นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของกาารมีชีวิตอยู่ของแถบนี้ หนึ่งในนั้นเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยดี  ส่วนที่เหลือก็น่าจะสัก…3 – 4 คน?  
พวกเขาคุยกันว่าอะไรผมไม่รู้เรื่องสักนิด..สักพักน่ะแหละถึงจะเงียบลงไป
   
แล้วผมก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
   แต่แน่นอน  เพราะผมเป็นพวกชอบใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ครับ เพราะงั้นกิจกรรมที่เราจะนำเสนอท่านต่อไปนี้เรียกง่ายๆว่า ‘ฟุ้งซ่าน’

   มาทวนเรื่องราวน่ารู้กันดูดีกว่าครับ
   ผมกับไอ้พี่วัน..ซึ่งปัจจุบันสถานะความสัมพันธ์ก็ยังไม่ระบุ ช่วงนี้เราสนิทกันมากขึ้น(จากเดิมน่ะนะ)  แล้วอยู่มาคืนหนึ่ง..ผมก็ตัดสินใจแอบตามเขากลับมาที่บ้าน…ซึ่งต่อจากนี้ผมจะเรียกว่า ‘รังจระเข้’ ก็แล้วกันนะครับ ช่างเป็นชื่อที่น่าเกรงขามเหมาะกับฮีโร่ผู้พิชิตอย่างผมเสียจริง  ว่าไหม?

   แล้วพี่เค้าก็เชื้อเชิญให้ผมเข้าบ้านแก…ด้วยการ…ปีนรั้วเข้ามา  ปีนขึ้นห้องมา ประหนึ่งชู้รักจระเข้ก็มิปาน(ถ้าว่ายน้ำเข้ามาได้พี่แกคงพาผมมาแล้วล่ะครับ) และเมื่อถาม  ก็บอกว่าที่ไม่เข้าทางหน้าบ้านเพราะผมมาด้วย...
   เอาล่ะ  
มาคิดกันอีกทีนะ..
   …..อาจต้องใช้เวลานานนิดนึงเนอะ…

   …….ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี  ว่าทำไมต้องแอบเข้ามาด้วยวะสัส!
   
กึกๆ!
   เสียงอะไรบางอย่างเรียกให้ผมกลับเข้าสู่โลกปกติ มันเป็นเสียงของไม้กระทบกันซึ่งฟังดูคล้ายกับ…เสียงเปิดประตู?

   …และนั่นทำให้ผมตัวแข็งทันทีครับ
   ผมถอยหลังจนก้นเกยอยู่กับขอบหน้าต่าง ลังเลว่าถ้ากระโดดลงไปแบบนี้ขาจะหักไหมหนอ…แต่ก็ไม่ได้สูงมากอะไร
เพราะงั้นถ้าหากมีเหตุฉุกเฉินล่ะก็นี่เป็นทางหนีทางเดียวล่ะวะ!
   
พรึ่บ!
   “ทำไมอยู่มืดๆไม่เปิดไฟล่ะ?”

   ..ไอ้ห่านี่เล่นเอากูใจหายใจคว่ำหมด..
   “ก็มันมืด  มองไม่เห็นนี่”ผมว่า

“แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่าบ้านแบบนี้น้ำไฟจะเข้าถึงด้วย”
   เขาหัวเราะ  ยังยืนอยู่ที่หน้าซุ้มประตู

“จะบ้าเหรอ?  บ้านพี่มีทะเบียนบ้านนะ ค่าน้ำค่าไฟก็ต้องจ่าย”
   นั่นเป็นวินาทีแรกที่ผมได้เห็นห้องของเขาในเวอร์ชั่นเปิดไฟ และถึงจะทำใจเอาไว้แล้ว…แต่จะไม่ให้กระโตกกระตากเลยก็ไม่ใช่ครับ
   อีกฝ่ายยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูเปลือยที่คั่นระหว่างห้องๆหนึ่งกับห้องนอนที่ผมอยู่นี่ นั่นหมายถึงประตูที่เชื่อมกับระเบียงด้านนอกน่าจะเป็นห้องโน้นมากกว่า…และช่างแม่งเรื่องความกว้างนี่ไปก่อนครับ

   เฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นทำจากไม้เคลือบสีดำสนิทเงาวาวสะท้อนแสงสีส้มอ่อนจากดวงโคมเก่าๆตรงมุมห้อง

โต๊ะหนังสือโบราณตัวที่อยู่ทางด้านขวามือผมมีชีทเรียนมากมายกองอยู่  ส่วนตู้ทางซ้ายก็เอาไว้ใส่หนังสือเหมือนที่ผมคาดคะเนไว้ตอนแรก เตียงที่น่าจะเป็นไอเทมเอกของห้องนอนคือเตียงสี่เสาขนาดกว้าง..มาก..และมีม่านมุ้งผูกอยู่ที่ปลายเตียงทั้งสองข้าง ผ้าคลุมเตียงสีเลือดนกถูกคลุมไว้ตึงเปรี๊ยะราวกับไม่เคยมีใครนอนมาก่อน รอบๆนั้นมีของประดับตกแต่งเพียงไม่มากนอกจากตู้เสื้อผ้าไม้สลักก็เป็นหีบกล่องขนาดใหญ่เล็กเรียงกันไป ทุกอย่างดูโบราณ…

เข้ากับห้องหับแห่งนี้มากโข
   ผมคิดถึงชุดราชปะแตนมากกว่าเสื้อเชิ้ตนักศึกษากางเกงยีนส์สบายๆของคนตรงหน้า ซึ่งดูแล้วเหมือนหลงยุค

มายังไงชอบกล………..

หนึ่งตัวหนึ่งใจมิอาจว่า
หนึ่งตัวสองกว่ามิอาจฝืน
หนึ่งตัวหลายใจมิอาจคืน
หนึ่งตัวยิ้มระรื่นอื่นทุกข์ตรม
หนึ่งรักสองใคร่สามใฝ่ฝัน
ครองล้นกันพลันพ้นฤทธิ์สเน่หน
ได้เสียทิ้งขว้างบ้างทุกข์ทน
ใครใคร่สนยิ้มไว้..ใจทรมาน

หัวหน้าห้อง

โพสต์
343
พลังน้ำใจ
2578
Zenny
588
ออนไลน์
440 ชั่วโมง

นายกองค์การนักศึกษา

โพสต์
5093
พลังน้ำใจ
37783
Zenny
33834
ออนไลน์
3170 ชั่วโมง
ขอบคุนค๊าฟ ตอนหน้ามีลุ้นป๊ะเนี่ย

นายกองค์การนักศึกษา

โพสต์
4356
พลังน้ำใจ
29905
Zenny
21633
ออนไลน์
2276 ชั่วโมง
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม


ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-5-4 21:57 , Processed in 0.091247 second(s), 25 queries .

Powered by Discuz! X3.1 R20140301, Rev.31

© 2001-2013 Comsenz Inc.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้