เขาครุ่นคิดเรื่องแผนการในการตอบโต้สองนักการเมืองพ่อลูกจนเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุดกระทั่งรุ่งเช้าก็ถูกภรรยาเขย่าปลุก งัวเงียขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ขยี้เปลือกตาขึ้นอย่างแสบพร่าก็เห็นใบหน้าภรรยาจ้องหน้าตนอยู่ก่อนแล้ว
“ตื่นได้แล้วพี่...คุณนรากรมารอพบนานแล้วเห็นบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พี่ตื่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปข้างล่างก็รู้เองแหละ” เสียงภรรยาตอบมาอย่างแผ่วเบา
เขารีบยันกายลุกขึ้นไป
“รจ...มีเรื่องอะไรเหรอ?”
เสียงถามภรรยาดังออกมาแทบไม่ผ่านลำคอจ้องหน้าภรรยาที่มีอาการไม่สบายใจอย่างไรชอบกล
“มันผิดวิกลเสียแล้วพี่ภู...หากสิ่งที่พี่พูดเมื่อคืนเป็นความสัตย์จริงเรื่องที่เป็นข่าววันนี้ก็ไม่ใช่ความจริง แต่ถ้าข่าวเป็นความจริงพี่ก็ตั้งใจโกหกน้องเมื่อคืน” น้ำเสียงปนสะอื้นดังตอบมา
ความตื่นเต้นตกใจต่อเหตุการณ์ขจัดความงัวเงียโผเผของเขาให้หายเป็นปลิดทิ้งลุกขึ้นถอดชุดนอนออกนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำทันที
“บอกอากรด้วยว่าสักครู่พี่จะลงไป เตรียมกาแฟไว้ให้พี่ด้วย”
เขาพูดหนักๆ ในลำคอ
ระหว่างปล่อยให้สายน้ำรินผ่านลำตัวชำระร่างกายและเรียกความสดชื่นให้ตนเองสมองได้ครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา
“เรื่องอะไรกันอากรถึงได้รุดมาบ้านแต่เช้าแบบนี้”
เมื่อจัดการชำระร่างกายตนเองเรียบร้อยแล้วเขาลงมาพบอากรทันที
ภาพที่หนังสือพิมพ์พาดหัวเกือบทุกฉบับโยนมาตรงหน้าเขา ได้แต่จ้องตะลึง ตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนกายไม่ได้เหมือนถูกสาปให้เป็นท่อนหินไปชั่วขณะ
“นี่เป็นภาพตัดต่อแน่นอนผมไม่เคยไปเที่ยวสถานที่แบบนี้ อาก็รู้ แล้วมันจะกลายเป็นภาพได้ไง”
เสียงเขาบ่นพึมพำดวงตาเหลือกขณะจ้องมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิด
“ถ้ามันไม่ใช่ภาพแท้ ๆก็ต้องมีคนจัดฉากเล่นงานภูแน่ ๆ ก็เมื่อวานภูได้ไปไหนต่อหรือเปล่านอกจากบ้านท่านรัฐมนตรี”
“ผมสาบานได้ว่าออกจากบ้านท่านผมก็ขับรถกลับบ้านเลย”
“เป็นไปได้ไหมว่าภูไปเหยียบตาปลาใครเข้า...มันต้องมีมูลเหตุสิอย่างน้อย ๆ ภูต้องเคยไปสถานที่แบบนี้”
“เคยมันก็เคยหรอกอา...แต่นั่นมันก่อนผมแต่งงานนะ..หลังแต่งงานแล้วผมไม่เคยไปเที่ยวสถานที่เริงรมย์คนเดียวแบบนี้เลย”
“แล้วเมื่อคืนไปทานอาหารบ้านรัฐมนตรีมีอะไรผิดสังเกตหรือเปล่า”
ภูริเชษฐ์ไม่ตอบทันทีเพียงแต่ยิ้มแห้ง ๆ เดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิด กัดริมฝีปากแทบห้อเลือดหน้าผากเป็นริ้วรอยย่นส่อแววประหลาดใจเหลือที่จะกล่าวออกมาได้หากเป็นภาพเมื่อคืนที่บ้านรัฐมนตรี เขาจะไม่แปลกใจอย่างนี้เลย
“จำผู้หญิงในภาพได้เปล่า...อารู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตานะ”
“ใครจะไปรู้และจำได้หมดล่ะอาสมัยก่อนแต่งงานอาก็รู้ว่าผมมั่วขนาดไหน”
เขาตอบด้วยริมฝีปากขมุบขมิบ
ระหว่างที่เขากำลังเดินวนไปวนมาอย่างครุ่นคิดอากรก็ฉุดมือเขาลงนั่งเหมือนเดิม
“ไม่มีประโยชน์หรอกสำหรับการเดินไปเดินมาของภู เมื่อวานอาบอกแล้วว่าอย่าไปคนเดียวก็ไม่เชื่อนักการเมืองคนนั้นเขาร้ายยิ่งกว่าสมิงพรายเสียอีกและตอนนี้มันได้กลายร่างเป็นเสือสำหรับจ้องจะเล่นงานภูแล้วแต่ถ้าภูจะบุกไปบ้านมันเพื่อสอบถามเอาความจริง ก็จะไม่ได้อะไรสักอย่างแถมอาจเจอข้อหาหมิ่นประมาทได้”
เขาเหลือบตามองคู่สวาทต่างวัยอึ้งไปกับคำพูดแก สุดที่จะตัดสินใจยังไงได้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับเดี๋ยวนี้เขาไม่ถือว่าคำพูดของแกเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยและเหลวไหลเกินไปนักจากหลักฐานที่ปรากฏต่อหน้านี้
“เราจะต้องเอาคืนมันให้ได้อา...” “หรือไม่ภูก็เสื่อมเสียชื่อเสียงและเสียเมียให้มันในที่สุด” แกกระซิบตอบมาเค้าหน้าแสดงอาการหนักใจไม่แพ้เขา
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “หลุด...!ภาพฉาวนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อภูริเชษฐ์ แอบหนีเมียท่องราตรียันรุ่งเช้ากับกิ๊กเก่าฟัดกันนัวเนีย”
ภาพหน้าปกขนาดใหญ่ของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเป็นภาพสองสาวในชุดราตรีกว้านลึกด้านหน้ามองเห็นหน้าอกขนาดมหึมาด้านหลังเผยให้เห็นผิวขาวนวลใยสะท้อนแสงไฟ ทั้งคู่นั่งอยู่บนตักของเขาคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาประกบปากกับเขาแน่นสนิท จูบกันอย่างดูดดื่ม”
“ผมไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงในภาพนี้สักคนเลย” “แน่ใจเหรอภู...” “จริงสิอา” “ดูดี ๆสิ...อาว่าภูน่าจะรู้จักนะ โดยเฉพาะคนที่กำลังดูดปากกับภูอยู่นั้น”
ภูริเชษฐ์ถอนหายใจยาวโคลงศีรษะไปมาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นั่งนิ่งกับที่ ขณะที่นรากรยังถามมาอีก
“เล่าเหตุการณ์ที่บ้านรัฐมนตรีให้อาฟังหน่อยสิอานึกไม่ออกเลยว่า ภูทำไมถึงได้ไก่อ่อนขนาดนี้ เขาไม่จับถอดถ่ายนูดโชว์ก็นับว่าโชคดีแล้วแต่แค่นี้ก็ไม่รู้จะแก้ข่าวอย่างไรแล้ว”
“ผมระวังตัวอยู่ทุกฝีก้าวแต่ก็ไม่คิดว่าพวกมันจะเล่นกันแบบนี้ หลังจากทานอาหารเสร็จก็ไปดื่มกันต่อที่ห้องรับแขกสุดพิเศษยิ่งกว่าคลับเอ็กซ์ตาซีชั้นสูงเสียอีกมีแม่ประโลมโลกีย์ห้านางออกมาเต้นแมมโบ้ ยักย้ายส่ายสะโพกอวดโฉมยั่วยวนสุด ๆกระทั่งจบเพลง แม่ประโลมโลกีย์ก็มานั่งดริงค์ร่วมกัน โดยประกบผมสามคนอีกสองคนคอยรินเหล้าให้สองคนพ่อลูก ขณะนั้นรู้สึกว่าจะหน้าตึง ๆ มึน ๆบ้างเหมือนกัน เพราะถูกพวกนางปรนเปรอทำให้เผลอสวาปามไปเยอะพอสมควร”
“แล้วไงต่อ...”
นรากรเห็นชายหนุ่มเงียบไปจึงถามขึ้น
“เหมือนอยู่ในผับนั่นแหละอา..กระทั่งเห็นว่าดึกมากแล้วจึงขอตัวกลับ”
“เห็นหน้าแม่เจ้าประโลมโลกีย์ชัดเจนหรือเปล่า”
“เฉพาะสามคนที่คลอเคลียผมอยู่ตลอดเวลาเห็นที่ไหนผมก็จำได้อา...แต่รับรองว่าไม่ใช่สองสาวที่ปรากฏตามเป็นข่าวนี้แน่นอน”
“รู้หรือเปล่าว่านั่นเป็นแผนที่ภาณุพลล่อภูให้เข้าไปสู่อุ้งเล็บเตรียมขยุ้มอยู่แล้ว”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะผมระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แม้การดื่ม การเปลี่ยนขวดเหล้าใหม่ผมก็จับสังเกตอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เลยทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรผมซึ่ง ๆ หน้าอีกอย่างถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขาจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะนั่นเป็นคฤหาสน์สำราญส่วนตัวผมคิดว่าเบื้องต้นคงแค่ต้องการทำลายชื่อเสียงภาพลักษณ์ผมอย่างแยบคายที่สุดโดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้”
“ถ้าให้อาเดา...ฉากทั้งหมดในภาพนี้รวมทั้งภาพของภูเป็นภาพจริงส่วนสาว ๆ ที่เข้ามาคลอเคลียนี้น่าจะถูกตัดต่อโดยอาศัยเรือนร่างของสามสาวที่มาคลอเคลียภูเป็นแบล็คกราวด์” นรากรกล่าวสีหน้าเครียดๆ
ภูอื้งอยู่นานพยายามทบทวนความจำอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นจริงอย่างแกว่า “ในที่สุดมันก็เผยเขี้ยวเล็บออกมาจนได้” เขาพึมพำปนหัวเราะเหี้ยมเกรียมอยู่ในลำคอ
“เตือนแล้วก็ไม่เชื่อกันนิ”
“แบบนี้มันต้องมีการเอาคืนกันอย่างสาสมถึงจะสะใจ”
“ภู...ระวังตัวหน่อยนะตัดสินใจพลาดหรือคาดการณ์อะไรผิดพลาดนิดเดียว จะพลอยย่อยยับป่นปี้ชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดเลยนะเพราะนั่นคือนักการเมืองที่มีอิทธิพลมาก ๆ คนหนึ่ง ลูกน้องของมันมีอยู่ทุกวงการ”
“แล้วอา..จะให้ผมทำยังไงรอให้มันทำฝ่ายเดียว ทำลายชื่อเสียงผมและบังคับขืนใจเมียผมงั้นเหรอ? ผมไม่ยอมให้มันทำอย่างนั้นหรอก” ขณะกล่าวกัดกรามแน่น
“พินิจสองสาวนี้ดี ๆสิ ภู..จะได้รู้ว่าภาณุพลเขี้ยวลากดินแค่ไหน?”
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาจ้องมองภาพผู้หญิงในภาพทั้งสองคนพยายามนึกว่าเคยเจอที่ไหน? แต่เมื่อคิดออกหัวใจถึงกับแทบหยุดเต้น หน้าซีดเผือด
“รู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าสองสาวเป็นใคร?” นรากรกล่าวยิ้มๆ
“อักษราภัคและเสาวลักษณ์” “แฟนเก่าของภูทั้งคู่เลยนี่...!”
“แต่อักษราภัคเธอเดินทางไปอยู่ต่างประเทศกลับสามีชาวต่างชาติส่วนเสาวลักษณ์ก็แต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ ที่สำคัญตั้งแต่ผมแต่งงานผมไม่เคยนัดเจอเธอสองคนนั้นอีกเลยนะ”
“แสดงว่าภูยังไม่รู้ล่ะสิว่าอักษราภัคเดินทางกลับประเทศไทยได้สองเดือนแล้วข่าวว่ากำลังคั่วกับลูกชายนักการเมืองคนดังส่วนเสาวลักษณ์ก็มีข่าวระหองระแหงกับสามีนักธุรกิจ หันไปคั่วกับนักการเมืองแทน”
“อารู้เรื่องพวกนี้ได้ไง?”
“ก็คอลัมน์ซ้อสี่เขาลงกันอย่างเอิกเกริกทำไมจะไม่รู้”
นรากรตอบมาอย่างชัดเจนน้ำเสียงมั่นคง
ทันใดนั้นเองราวกับจะนัดกันไว้ ภูริเชษฐ์และนรากรหันหน้าจ้องตากันและกันอย่างฉุกใจก่อนที่ภูจะเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นเบา ๆ
“ลูกนักการเมืองที่คอลัมน์ลงน่าจะเป็นภาณุวัฒน์ส่วนนักการเมืองที่เสาวลักษณ์กำลังคั่วอยู่ก็คือท่านภาณุพล”
“น่าจะเป็นอย่างที่ภูว่านั่นแหละ...? ว่าแต่เมื่อคืน ภูได้จูบปากสาว ๆบ้างหรือเปล่า”
“คงจูบบ้างล่ะ...จำไม่ได้”
“นั่นไง...เจอพิษเทคโนโลยีของดิจิตอลเข้าให้แล้วถ้าภูจูบปากกับสาว ๆ เมื่อคืน ง่ายมากในการตัดต่อภาพหากว่าเรื่องที่เราคาดคะเนเป็นความจริง”
“มันก็น่าคิดนะอา...เพราะท่านภาณุพลดูเหมือนจะรู้ประวัติความเป็นมาวัยหนุ่มของผมละเอียดทีเดียว”
ภูริเชษฐ์กล่าวเบาๆ เหมือนรำพึงกับตนเองมากกว่า เริ่มมีอาการคล้อยตามคู่สนทนามากขึ้น
“ขอให้มันเป็นอย่างที่เราคิดเถอะภู...”
“อาจะทำอย่างไร?”
“มันเล่นงานเราด้วยภาพตัดต่อแต่เราจะเล่นงานมันคืนด้วยภาพถ่ายจริง หัวงูอย่างมัน หลอกไม่ยากนักหรอก หากหาหญิงสาวที่สวยถูกใจมันเป็นเหยื่อล่อ” “เกรงว่ามันจะไม่ง่ายอย่างที่คิดนะสิ”
เขาอดแย้งเบาๆ ไม่ได้
ระหว่างที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้นแม่บ้านก็เดินถือโทรศัพท์มาให้ เขายื่นมือไปรับพร้อมกับกล่าวทักทาย
“หวัดดีครับผมภูริเชษฐ์พูด” “โอ...หวัดดีครับคุณภูผมได้เห็นข่าวพาดหัววันนี้แล้ว รู้สึกเป็นห่วงจึงโทร.มาถามข่าวมีอะไรที่ผมช่วยไหมครับ” น้ำเสียงราบเรียบมั่นคงดังมาตามสาย
“ใครโทรมา?” นรากรเห็นสีหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียด จึงถามขึ้นเบาๆ
“ท่านภาณุพล” เขาหันมาบอกแกเบาๆ เช่นกัน ก่อนจะพูดโทรศัพท์ต่อไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับรบกวนท่านเปล่า ๆ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเฉย ๆ และภาพที่ปรากฏก็เป็นภาพตัดต่อด้วย”
“คุณจะฟ้องร้องหนังสือพิมพ์หรือเปล่า...ผมจะได้ช่วยเป็นพยานยืนยันให้”
“ขอบคุณมากครับ...ผมคงไม่ฟ้องหรอกสักพักมันคงเงียบไปเอง ยิ่งฟ้องร้อง ยิ่งเป็นการกระตุ้นความสนใจให้นักข่าวขุดคุ้ยมากยิ่งขึ้น” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนกัน
“แล้วแต่คุณภูนะ...ผมเองพร้อมจะให้ความร่วมมือเต็มที่.นักข่าวสมัยนี้ คิดแต่จะขายข่าวอย่างเดียว ไม่นึกถึงหัวอกของคนตกเป็นข่าวบ้างเลย” ภาณุพลยังพูดในเชิงเห็นใจชายหนุ่มมากๆ
ภูริเชษฐ์เปิดเสียงออกลำโพงให้อากรฟังด้วยยังคงสนทนาเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีอะไรกันเกิดขึ้น เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ท่าน....มีธุระสำคัญกับผมหรือเปล่าครับถึงได้โทร.มาแต่เช้า”
“ไม่มีอะไรหรอก...ตอนแรกตั้งใจจะโทร.มาชวนคุณและภรรยาไปออกรอบตีกอล์ฟด้วยกันหน่อยแต่เห็นข่าวแล้ว คุณคงไม่มีกะจิตกะใจแน่ เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ เรามันคนกันเอง”
ภาณุพลวางหูโทรศัพท์ยิ้มที่มุมปากอย่างสมใจในแผนการข้นต้นของตน รำพึงกับตนเอง
นายจะต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนายให้ฉันหมดแน่นายภู... พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...
“เป็นไงบ้างครับท่าน...สำเร็จลุล่วงดีหรือเปล่า” “สำเร็จลุล่วงดีไม่มีอะไรที่ข้าอยากได้แล้ว ไม่ได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” “อย่างไรครับ” ก้อนซึ่งตามความคิดเจ้านายไม่ทัน
“ก็หมายความว่ากูมีสิทธิ์ครอบครองทั้งหนูเสาวลักษณ์และหนูรจนานะสิ” “แผนท่านสุดยอดจริง ๆ” “ก็เออสิวะ....นอกจากจะทำให้หนูรจหวาดระแวงนายภูแล้วยังทำให้หนูเสาวลักษณ์หย่ากับสามีของเธอเร็วขึ้นด้วยกูรู้จักสามีของหนูเสาวลักษณ์ดี ไอ้นี่มันขี้หึงและอวดเก่งเห็นข่าวพาดหัววันนี้คงแทบหัวใจวาย”
“ครับ...และคงคิดว่าที่คุณเสาวลักษณ์ขอหย่ากับตน เป็นเพราะนายภูแฟนเก่า โดยไม่คิดหวาดระแวงท่าน” “ฉลาดเหมือนกันนี่มึง...คราวนี้กูก็แค่นั่งดูเสือสองตัวกัดกันบนภูมันจะต้องกัดกันจนตายไปข้างใดข้างหนึ่ง ตัวที่รอดมาได้จะต้องได้รับความบอบซ้ำอย่างหนัก กูค่อยจัดการตัวนั้นทีหลัง” ก้อนยิ้มรับแผนการของเจ้านายอย่างชื่นชม
“มึงไม่ต้องมายืนยิ้มหวานให้กูเลย...ไปเตรียมรถออกเดี๋ยวกูไปขอบใจหนูเสาวลักษณ์เธอหน่อย นายวัฒน์คงไปขอบใจหนูอักษราภัคแล้วเหมือนกัน” ในสัปดาห์นี้ไม่ว่าจะเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารสังคมไฮโซ ก็คือการพาดหัวข่าวโชว์ภาพฉาวของภูริเชษฐ์นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังพร้อมทั้งแคะไคล้เรื่องราวส่วนตัวของเขาตั้งแต่สมัยก่อนแต่งงานออกมาตีแผ่กันอย่างสนุกสนานคอลัมน์ซุบซิบนินทาเขียนกันอย่างสนุกมือ เป็นที่ได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง
หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเกือบทุกสำนักพิมพ์จะแข่งกันลงภาพฉาวของชายหนุ่มที่แต่ละสำนักจะได้มาจากแหล่งข่าวไม่เหมือนกัน
เรื่องราวที่เป็นข่าวอย่างเอิกเกริกเกี่ยวกับภูริเชษฐ์ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเกิดจากอิทธิพลนักการเมืองชื่อดังผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลังคอยให้ข่าวต่าง ๆ นานาอยู่เบื้องหลัง
ภูริเชษฐ์และนรากรแม้จะรู้ดีว่าเป็นแผนการทำลายกันผ่านสื่อแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการตอบโต้หรือฟ้องร้องสื่อที่นำเสนอข่าวแต่อย่างไร? เพราะรู้ดีว่าหากมีการดำเนินคดีสอบสวนหาความจริงกันขึ้นมาจริงๆ ก็จะไปหยุดชะงักติดอยู่ที่ชื่อภาณุพล มันเหมือนกับการเดินทางคดเคี้ยวหลายเส้นทางมาเรื่อยๆ แต่ก็มาเจอทางตัน เมื่อมองเห็นกำแพงใหญ่สกัดกั้นอยู่เบื้องหน้า
สองหนุ่มต่างวัยได้มีการพบปะปรึกษาหารือกันอยู่ตลอดเวลาในเย็นวันหนึ่งนรากรเป็นฝ่ายมาหาชายหนุ่มที่บริษัทแจ้งผ่านเลขา ฯแล้วก็เดินเข้ามาห้องทำงานอย่างคุ้นเคย
“ยิ้มหน่อยสิพ่อหนุ่มยอดนักเย่อของอาทำสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้ แล้วข้างล่างจะขึ้นไหมนี่...” “ยังมีอารมณ์มาแซวเล่นกันอีก” “สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส”
กล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มไม่เล่นด้วย พร้อมกับโยนหนังสือพิมพ์ นิตยสารรายปักษ์รายสัปดาห์ลงมาตรงหน้าตน กล่าวเบา “ฉาวขนาดนี้ยังจะให้มีอารมณ์สัปดนอีกเหรออา...”
“เริ่มเล่นหนักขึ้นทุกวันเหมือนกันนะนี่...”
ภูได้ยินคำปรารภถึงกับอึ้งกิมกี่ คอแข็ง กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ เขาเข้าใจตามคำพูดของผู้อาวุโสเป็นอย่างดีว่าหมายถึงอะไรตลอดสัปดาห์มานี้ข่าวฉาวเกี่ยวกับตนเป็นที่กล่าวขานไปทุกวงการจนไม่สามารถติดต่อประสานงานธุรกิจกับใคร ๆ ได้เลย นอกจากอยู่เฉพาะออฟฟิศและบ้านมองหน้าภรรยาแทบไม่ติด พูดปรับความเข้าใจกันก็ลำบาก เพราะทุกเรื่องที่ข่าวนำเสนอนั้นล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
นรากรจ้องมองชายหนุ่มคู่สวาทเป็นเวลานานก่อนจะลุกขึ้นไปรินเบียร์ใส่แก้ว แล้วถือกลับมาส่งให้อย่างสงบ
“ดื่มก่อนเถอะ...มันจะทำให้สติและกำลังใจภูดีขึ้นค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ไข มันไม่ได้มีแค่เรื่องที่ภาณุพลต้องการเมียของภูแล้วตอนนี้มันมีปัจจัยอีกอย่างแทรกเข้ามา”
เขามองดูเบียร์ที่เป็นฟองผุดๆ ในแก้ว จ้องหน้าคู่สนทนาอยู่เป็นเวลานานจึงยื่นมืออันมั่นคงไปรับแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบช้า ๆ อย่างใช้ความคิดยกขึ้นจิบไปเรื่อย ๆ จนหมดแก้ว แล้วจึงวางแก้วลง
“เรื่องอะไรอีกล่ะอา” สมองของเขาเริ่มคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบเริ่มพอจะมองเห็นอะไรได้บ้าง
“ภู...ลืมพ่อของเสาวลักษณ์ไปแล้วเหรอ?”
เขาค่อยๆ ใช้ความคิดนึกถึงใบหน้าชายวัยกลางคนที่เคยเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับพ่อของตนเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่พ่อจะกว้านซื้อหุ้นทั้งหมดมาครอบครองเพียงคนเดียวและมอบต่อให้เขาบริหารกิจการทุกวันนี้
“พอจะคิดออกยังว่า...ทำไมเรื่องมันถึงได้เป็นแบบนี้” “คุณวชิระมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอ?”
“แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เช่นนั้นเสาวลักษณ์คงไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอก” “อาหมายความว่าคุณวชิระร่วมมือกับภาณุพล วางแผนเพื่อทำลายผม....”
“เท่าที่อารู้...ระหว่างคุณวชิระแตกคอกับพ่อของภูนั้นเขาติดการพนัน ยืมเงินพ่อภูไปเล่นการพนันจนหมดพ่อภูจึงใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นในส่วนของเขาทั้งหมดมาครอบครองเพียงคนเดียวและการที่เสาวลักษณ์มาตีสนิทกับภูเมื่อหลายปีก่อนก็เป็นแผนของเขาเหมือนกัน แต่เมื่อภูแต่งงานกับหนูรจทำให้เสาวลักษณ์ไปแต่งงานกับนักธุรกิจรุ่นพ่อแทน เพื่อหลอกเอาเงินไอ้แก่นั่นตอนนี้พวกมันคงสูบเงินไอ้แก่นั่นจนเกลี้ยงแล้วล่ะถึงได้มีข่าวว่าเธอไปควงกับภาณุพลถังข้าวสารแห่งใหม่และเรื่องมันมาประจวบกับภาณุพลหลงชอบเมียของภูพอดีทุกอย่างมันถึงได้อีรุงตุงนังแบบนี้”
เขาครุ่นคิดและพินิจตามคำพูดของแกโดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะแม้อากร แกจะร้อยเล่ห์เรื่องเซ็กส์แต่สำหรับเรื่องการงานแล้ว แกมักมองทะลุปัญหาได้ดีกว่าเขาเนื่องจากประสบการณ์ที่มากกว่า
“ผมควรทำอย่างไร?” “นิ่งให้มากที่สุดตอนนี้ปล่อยให้มันเล่นงานเราไปก่อน อาเตรียมแผนเอาคืนมันไว้แล้ว”
“อามีแผนอะไร? หลอกวางยาแล้วอุ้มไปอัดตูดนั่นเหรอ”
เขากล่าวยิ้มๆ
“ปากอย่างนี้นะสิ...ถึงอยากจับจูบวันละหลายรอบมันคงโง่มาให้อาหลอกอยู่หรอก”
“แล้วอาจะทำยังไง?”
“ยังคิดไม่ออก....แต่สักวันคงคิดได้แต่ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือปรากฏตัวเป็นข่าวให้น้อยที่สุดพูดคุยกับลูกค้าคนสำคัญให้เชื่อมั่นในตัวเราให้ได้ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง อาสัญญา”
“ครับ”
“อาขอตัวก่อนแล้วกันวันนี้แวะมาทักทายเฉย ๆ เลิกงานก็รีบกลับบ้าน ใช้เวลากับลูกและเมียมาก ๆ”
แล้วเขาก็เดินไปส่งแกตรงลานจอดรถ
ระยะเวลาระหว่างนี้ภาณุพลและวชิระสองสิงห์ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยภาณุพลต้องการเมียรักของชายหนุ่มส่วนวชิระต้องการยึดกิจการที่ตนเคยเสียให้สุรเชษฐ์พ่อของชายหนุ่มกลับคืนมาเป็นของตนอีกครั้ง
สองคนจึงมีการนัดพบปรึกษาหารือกันเงียบๆ เป็นระยะ ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แผนเบื้องต้นคือการคุกคามประสาทชายหนุ่มให้ระส่ำระสายปั่นประสาทจนเจ้าตัวแทบเป็นบ้า
ข่าวฉาวคาวโลกีย์ของภูริเชษฐ์ถูกลงพาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกวันทุกฉบับ มีการส่งทนายความไปติดต่อสานสัมพันธ์กับลูกค้ารายใหญ่ของชายหนุ่มให้หันมาให้การสนับสนุนตนเองส่งนักข่าวไปคุกคามชีวิตส่วนตัวของเขาทุกฝีเท้าก้าวย่างทั้งที่บ้านและที่ทำงานทำลายเครดิตในเส้นทางธุรกิจทุกรูปแบบโดยมีพันธะสัญญาร่วมกันว่าหากประสบผลสำเร็จตามแผนภาณุพลนอกจากจะได้ครอบครองเมียสาวของภูแล้ว ยังจะได้ถือหุ้นส่วนอีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์
ส่วนภูริเชษฐ์ได้นำเรื่องราวที่ตนประสบไปเล่าให้นรากรและผู้เป็นพ่อฟังเพื่อช่วยกันคิดหาหนทางแก้ไขร่วมกัน ในภาวะเช่นนี้สำหรับเขาคงมีเพียงพ่อและอากรเท่านั้นที่สามารถไว้ใจได้อย่างสนิท
อาทิตย์ต่อมาข่าวคราวคาวโลกีย์ของเขาได้ลุกลามขยายวงกว้างไปถึงลูกชายเพื่อน ๆ ในห้องเรียนต่างพากันล้อเลียนลูกชายตนจนเจ้าตัวรู้สึกอับอายไม่มีเพื่อนเล่นด้วย พลอยทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน
เขาจึงตัดสินใจให้ลูกลาหยุดเรียนเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์โดยจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้านแทน
ดูเหมือนเหตุร้ายชนิดจองล้างจองผลาญเขาจะนับวันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆโดยที่ตัวเขาไม่ทันระวังตัวหรือคาดการณ์อะไรล่วงหน้าได้เลย
ในวันศุกร์ของสัปดาห์เดียวกันทั้งที่บ้านและที่ทำงานมีโทรศัพท์จากสามีแก่ของเสาวลักษณ์ได้โทร.มาหาเขาหลายครั้งเพื่อขอติดต่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเรื่องร้าย ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเขาขณะนี้ ด้วยความรำคาญ เขาจึงยอมพูดโทรศัพท์ด้วย
“คุณต้องการอะไร? ถึงได้โทร.มาติดต่อผมทั้งวันแบบนี้”
“ผมมีเรื่องเกี่ยวกับข่าวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณขณะนี้จะเล่าให้ฟัง ซึ่งไม่สะดวกสำหรับการคุยกันทางโทรศัพท์”
“พอบอกได้เป็นเลา ๆหรือเปล่า”
“ผมบอกได้แต่ว่าทุกอย่างมันเป็นแผนการเจ้าเล่ห์ของพ่อตาผมเองหลังจากให้ลูกสาวคนสวยมาแต่งงานกับผมเพื่อหลอกเอาเงินผมแล้วเมื่อมีเงินทุนสำรองเพียงพอ เขาต้องการยึดธุรกิจคืนจากคุณโดยขอให้นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลช่วย และตัวผมเองตอนนี้ก็ประสบปัญหาไม่แตกต่างจากคุณเพราะพ่อตาต้องการกำจัดผมพ้นเส้นทางลูกสาวเขาเหมือนกัน คุณต้องมาพบผมให้ได้นะที่บ้านส่วนตัวของผม”
เขาใช้เวลาครุ่นคิดเรื่องนี้ทั้งวันจนไม่มีสมาธิในการทำงานสองสิงห์เฒ่ามีแผนการจะเล่นงานผัวแก่ของเสาวลักษณ์เหมือนกัน ซึ่งเจ้าตัวคงคิดหาวิธีแก้มืออยู่ น้ำเสียงที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์ก็เต็มไปด้วยความร้อนรนหวาดกลัวพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่มันสร้างความกระวนกระวายใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง คิดจะไปพบตามนัดเหมือนกันแต่อากรโทร.เข้ามาหาก่อน เขาจึงเล่าเรื่องนี้ให้แกฟังแกแนะนำให้ไม่ควรไปพบใครทั้งสิ้น ควรเก็บตัวให้เงียบ ไม่ควรออกไปไหนมาไหนตามลำพังเพราะพวกนักข่าวจ้องฉีกเนื้ออยู่ทุกขณะ
เมื่อเป็นคำแนะนำของคนที่ควรแก่การไว้วางใจเขาจึงไม่ไปพบตามนัด โดยโทร.ไปแจ้งว่า มีธุระสำคัญไม่สามารถไปพบตามนัดได้ถ้าอยากพูดคุยหรือมีเรื่องอะไรเล่าสู่กันฟังให้มาพบเขาที่บ้านได้เย็นนี้เพราะเขาอยู่บ้านคนเดียว
เขาขับรถกลับบ้านหลังเลิกงานก็พบว่าภรรยาได้จัดเตรียมสิ่งของสำหรับพาลูก ๆ ไปบ้านพ่อตาแม่ยายเนื่องจากไม่สามารถทนข่าวคาวโลกีย์ของเขาได้ โดยหล่อนแจ้งให้เขาทราบสองสามวันแล้วเมื่อเห็นว่าเป็นเจตนาอันแน่วแน่ของเมียรัก จึงไม่อยากขัดขวาง
บางทีการที่เขาอยู่คนเดียวตามลำพังสักวันสองวัน อาจช่วยให้เขามีเวลาในการขบคิดแก้ไขปัญหาให้กับตนเองได้สะดวกขึ้นจึงอาสาขับรถไปส่ง
“มากันแล้วเหรอ....ว่าไงนายภูโดนหนักเลยนะคราวนี้”
เสียงพ่อตากล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี
เขาปล่อยให้ภรรยาและลูกๆ เดินเข้าไปในบ้านก่อน ขอพูดคุยกับพ่อตาเพียงลำพังเล่าถึงปัญหาที่ตนประสบให้ท่านได้รับทราบ ท่านก็กำชับว่า
“ภูเอ๋ย...พ่อก็ไม่รู้จะช่วยลูกอย่างไร? ระมัดระวังตัวให้มาก ๆ แล้วกันข่าวที่ผ่านมาแล้ว ตีข่าวกันไม่นาน เดี๋ยวคนก็เบื่อเองแต่หากเป็นข่าวใหม่ในปัจจุบัน รับรองว่าคนจะสนใจแน่นอน ดังนั้นช่วงนี้เก็บตัวให้เงียบส่วนเรื่องลูกเมีย อย่าห่วงเลย มันลูกหลานพ่อเอง พ่อเชื่อว่าสักวันรจจะเข้าใจช่วงเธอไม่สบายใจก็ให้พักอยู่บ้านพ่อไปพลาง ๆ ก่อน”
“ขอบคุณมากครับพ่อ”
เขายกมือไหว้ในความเมตตาที่ท่านมอบให้เสมอมา
“ทานข้าวด้วยกันก่อนกลับนะได้ข่าวว่า ภูสั่งให้คนงานในบ้านหยุดงานหมดไม่ใช่เหรอ”
“ครับ...ผมอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ”
เขาร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวของพ่อแม่ภรรยาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนทีเดียว ลูก ๆ ดูสดชื่นมากขึ้น เพราะไม่ต้องหวาดระแวงพวกนักข่าวทั้งยังมีลูกป้า ๆ ลุง ๆ เล่นเป็นเพื่อนตามประสาเด็ก
เสร็จจากรับประทานอาหารเขาจึงไหว้ลาท่านทั้งสองเรียกลูก ๆ เข้ามาหอมแก้ม สวมกอดอย่างรักใคร่
“อยู่บ้านตายายอย่าซนนะลูก พ่อรักลูกนะครับ”
“รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะลูก” เสียงเปี่ยมด้วยเมตตาจากพ่อตากล่าวเบาๆ
หันหน้าไปทางภรรยาหล่อนยิ้มให้เขา เดินเข้ามาสวมกอด
“ระวังตัวด้วยนะภู....รจอยากให้คุณได้อยู่เงียบๆ คิดทบทวนแก้ไขปัญหา ไม่กี่วันรจก็กลับบ้านเราแล้ว แต่สัญญานะระหว่างรจไม่อยู่ภูจะอยู่ที่บ้านเราอย่างเดียว ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหน?”
น้ำเสียงกระซิบแผ่วหวานเยือกเย็น
เขากุมมือหล่อนมาจุมพิตเบาๆ ยิ้มหวานที่มุมปาก
“แค่นี้เล็กน้อยรจไม่ต้องกังวลกับพี่หรอก ดีเหมือนกัน ลูก ๆ จะได้ไกลจากเรื่องพวกนี้ด้วยมีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากให้รจรับคำ”
“รจพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพี่ภู.”
“ดีมากยอดรักไม่ว่าใครจะติฉินนินทาหรือแช่งชักหักกระดูกพี่อย่างไรก็ตาม ขอเพียงพี่รู้ว่าเมียรักอยู่เคียงข้างพี่เสมอพี่ก็พร้อมจะต่อสู้ยืนหยัดเรียกชื่อเสียงกลับคืนมาอีกครั้ง”
รจนากุมมือสามีไว้แน่นเงยหน้าขึ้นมองในระยะประชิด ผ่อนลมหายใจยาวเยือก ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจเขาแต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเต็มไปด้วยปริวิตกกังวลอย่างไม่สามารถบรรยายออกมาได้ตอบรับสามีเบา ๆ
“ค่ะ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้ารจจะรักและอยู่เคียงข้างพี่ภูตลอดไป”
“ชื้น....ชื่นใจ..”
มือหนาๆ โอบประคองดวงหน้าของหล่อนเข้ามาจูบเบา ๆ ที่หน้าผากขณะที่หล่อนพริ้มตาหลับลงพร้อมกับระบายลมหายใจอันเปรี่ยมด้วยความสุขทุกครั้งที่โดนสามีประทับรอยจุมพิต
“สบายใจวันไหนบอกพี่พี่จะกลับมารับกลับบ้านเรา”
เขาปล่อยมือหล่อนที่กุมอยู่เดินไปยังรถที่จอดไว้ขับออกไปทันที
“ภู...ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไรรจจะรักและไว้ใจคุณตลอดไป”
รจนาได้แต่รำพึงอยู่เพียงคนเดียวมองตามรถสามีที่ขับออกไป
|