จีโฟกาย.คอม

 ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
 
ดู: 2649|ตอบกลับ: 28
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป
ซ่อนแถบด้านข้าง

หนุ่นโสดในฝัน

  [คัดลอกลิงก์]

หัวหน้าห้อง

โพสต์
1399
พลังน้ำใจ
1558
Zenny
11122
ออนไลน์
439 ชั่วโมง
หนุ่มโสดในฝัน
บทที่ 1:
                ผมแต่งตัวดูดีสุดชีวิตเพื่อออกไปเที่ยวยามค่ำคืนหลังจากเลิกจากงานสัมมนาของบริษัท จุด ประสงค์ของการออกจากห้องนอนในโรงแรมที่แสนอบอุ่น มาเผชิญอากาศข้างนอกที่หนาวเหน็บ นอกจากเพื่อการพักผ่อนแล้ว ผมกำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆให้ชีวิต กับหนุ่มดีๆสักคนที่ผมอาจจะมีโอกาสได้เจอและสานความสัมพันธ์ต่อด้วย
คืน นี้ผมเลือกที่จะมานั่งในร้านกาแฟ เพราะเมื่อวานผมไปดื่มกินในผับมาแล้ว เลยรู้สึกเบื่อที่จะไปอีก การไปผับคนเดียว มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหนุ่มๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเหงา อย่างบอกไม่ถูก
ผม อยู่ในภาวะของการขาดแฟนมากว่า 1 ปี คู่รักคนสุดท้ายเพิ่งโบกมือบ๊ายบายกับผมเมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะถึงปีใหม่ด้วยซ้ำ ผมต้องฉลองความเป็นโสดโดยมีเพียงเพื่อนเท่านั้นที่อยู่รอบกาย ทำให้การเคาน์ดาวน์ของผมไม่เงียบเหงาจนเกินไป ในตอนนี้ ความสัมพันธ์ของผมกับอดีตคนรักไปไกลได้แค่คำว่า "เพื่อน" แม้ผมจะรู้ว่าเขายังคงรักและต้องการผมอยู่ แต่ผมกลับไม่ได้ต้องการเขาในฐานะคู่รักอีกแล้ว
มัน พูดยากนะ ผมอาจจะดูเหมือนคนใจดำ ซึ่งปฏิเสธความรักของเขาอย่างหมดเยื่อใย แต่ความรักอย่างเดียวมันไม่ทำให้เราไปกันได้หรอก มันต้องมีอย่างอื่นผสมผสานอยู่ด้วย นั่นก็คือ ความเข้าใจ การให้เกียรติ และการให้อิสรภาพ ถึงแม้ผมจะอยากมีใครสักคนที่ผมรักและอยากอยู่ใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกันผมก็หวงแหนความเป็นส่วนตัวของผมมาก ผมไม่ชอบการผูกมัด หรือ การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าพอผมหายไป ก็โทรตามหา คอยตามหวง มันเป็นอะไรที่แย่เกินกว่าจะรับได้สำหรับผม
                ถ้าจะถามว่า ผมรู้สึกแย่ไหม กับ "รัก" ที่ต้องเลิกราอยู่บ่อยๆ ผมขอตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "เปล่าเลย" ผมอาจจะเสียใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทิ้ง หรือ เป็นฝ่ายถูกทิ้ง แต่คนที่เป็นเกย์ส่วนใหญ่จะรู้ดีอยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่เคยจีรังยั่งยืน ความรักของเกย์เป็นรักที่ขาดพัฒนาการ เราไม่มีความผูกพันที่ลึกซึ้งเช่นชายรักหญิงทั่วไป ความเป็นจริงเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเรายอมรับกันตั้งแต่แรก เวลาผมเลิกกับใคร ผมไม่เคยโกรธ หรือ เกลียดชังคนรักของผมสักคน ผมมักจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องแย่ๆ เป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ผมมักจะไม่ค่อยเก็บมาคิดมาจำให้รกสมอง คนที่เลิกกันก็เป็นเพื่อนกันได้นี่นา คุณว่าจริงไหม

                ผม หยุดความคิดคำนึงของผม แล้วถอนสายตาจากภาพที่มองเห็นผ่านกระจกข้างหน้า เมื่อได้ยินเสียงพูดเป็นสำเนียงต่างชาติดังขึ้นข้างๆ พร้อมกับเสียงเก้าอี้ที่ถูกลากออกไป ผมหันไปมองก็เห็นหนุ่มฝรั่งตัวสูงใหญ่ ผมยาวสีทองรวบไว้อย่างลวกๆเป็นหางม้า ผมคงจะทำตาโตอ้าปากค้างกระมัง เพราะผมเห็นหนุ่มคนนั้น หัวเราะและยักคิ้วให้ผม เขาพูดอะไรบางอย่าง ผมมัวแต่อึ้งไม่ทันฟัง เขาเลยต้องพูดซ้ำ จับใจความได้ว่า ที่นั่งในร้านมันเต็ม เหลือเก้าอี้ว่างตรงโต๊ะผมพอดี เขาจะขอนั่งด้วยคนได้ไหม ผมรีบพยักหน้า แล้วก้มลงมองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ โชคดีที่ผมหยิบมันติดมือมาด้วย เลยทำให้ผมมีอะไรอย่างอื่นทำนอกจากนั่งเขิน

                ผม ไม่รู้จะบรรยายสถานการณ์ตอนนี้ของผมอย่างไรดี เอาเป็นว่าจะค่อยๆเรียบเรียงเพื่อให้คุณเห็นภาพได้อย่างชัดเจนก็แล้วกัน สมมุติว่า คุณกำลังนั่งเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย และหนึ่งในเรื่องที่คุณคิดคำนึงอยู่ก็คือ เรื่องของหนุ่มในฝันที่คุณอยากเจอมากที่สุด คุณกำลังจินตนาการถึงคนๆนั้นอยู่ เค้าโครงของหนุ่มคนนั้น เริ่มปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจนในสมองของคุณ ชายหนุ่มต่างชาติผิวขาว หน้าตาหล่อเหลา ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง คิ้วเข้ม ตาสีฟ้า ริมฝีปากน่าจูบ คุณค่อยๆเห็นรายละเอียดของเขามากขึ้น เขามีผมยาวสลวยสีทอง มีเรียวหนวดบางๆขึ้นเหนือริมฝีปาก เขาใส่เสื้อกล้าม และนุ่งกางเกงเลสีเปลือกไม้  เท้าขาวๆที่มีเล็บ สะอาดๆอยู่ในรองเท้าแตะหูคีบนันยาง สะพายเป้สีทึมๆไว้ใส่ข้าวของกระจุกกระจิก คุณเห็นแม้กระทั่งขนอ่อนที่ขึ้นอยู่ตามแขนของเขา และแล้วภาพที่คุณคิด กลับปรากฏเป็นจริงข้างหน้า พร้อมรอยยิ้มที่เซ็กซี่สุดสุด ยิ้มที่ทำให้คุณเกือบละลายกลายเป็นอากาศธาตุอยู่ตรงนั้น และนั่นแหละทั้งหมดที่ผมเห็น มันทำให้ผมไม่กล้าที่จะหันไปสบตาเขาตรงๆ

                "ผมดูเหมือนตัวประหลาดหรือเปล่า หรือว่าผมแต่งกายไม่เหมาะสมกับที่นี่"
เขา ถามผมด้วยภาษาอังกฤษ ผมส่ายหน้า ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด เขายิ้มอีก โอพระเจ้าช่วย จะให้ผมทำอะไรก็ยอม ถ้าหากรอยยิ้มนั้นจะมีให้ผมเพียงคนเดียว

                "ผม เห็นคุณมองผม ตั้งแต่ผมเดินอยู่ข้างนอกร้าน จนกระทั่งผมเข้ามาในร้าน คุณก็ยังมองผมผ่านกระจกตรงหน้า ผมก็เลยคิดว่า ผมอาจจะเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่"

                ไม่ จริง ผมไม่ได้มองคุณ ไม่...ไม่ใช่... หรือว่าจะใช่ ถ้างั้น คุณก็ไม่ใช่คนในจินตนาการของผมงั้นหรือ ผมเพียงแค่เห็นคุณแล้วเก็บเอามาคิดคำนึงงั้นใช่ไหม นี่ยิ่งน่าอายหนักเข้าไปใหญ่ ผมโต้ตอบกับตนเอง เมื่อรู้ว่าเจ้าสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพในฝัน มันเป็นภาพจริง และตัวตนที่แท้จริงกำลังจับผิดผมได้
                "เปล่า หรอกครับ มันเป็นไปตามธรรมชาติของความอยากรู้อยากเห็น เวลาเราเจอใครที่แตกต่างจากเรา เราก็อดมองไม่ได้ ผมหมายถึงคุณไม่เหมือนพวกเรา ในเรื่องเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์น่ะ" ผมตอบเขาไปอย่างนั้น แต่ที่จริงอยากจะบอกว่า "ก็ คุณน่ะ... น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่ หล่อเสียยิ่งกว่านายแบบ คนที่เห็นแล้วเมินก็น่าจะไปเช็คประสาทการรับรู้เรื่องความงามได้แล้วมั๊ง"

                เขา หัวเราะกับคำพูดของผม ให้ตายสิ คราวนี้ผมยอมแลกทุกอย่างเลย ถ้าเขาจะหัวเราะแบบนี้กับผมคนเดียวเท่านั้น คนอะไร หัวเราะทั้งปากและตา เวลาที่เขาอยู่ในอารมณ์นี้ โลกสดใสตามเขาไปด้วย

                "แสดง ว่า คนไทยเป็นคนอยากรู้อยากเห็นน่ะสิ เพราะผมโดนมองตลอดเวลาเลย เวลาที่ถูกมองมากๆ ผมจะทำอะไรไม่ค่อยถูก ที่บ้านเมืองผม ไม่มีใครมองถึงขนาดนั้น แต่ที่นี่มองแบบหลายอารมณ์ความรู้สึกมากเลย ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร บางทีก็รู้สึกเขิน แล้วก็ไม่เป็นส่วนตัวนะ"
เขา เล่าด้วยท่าทีไม่จริงไม่จังนัก ออกจะขำๆกับเหตุการณ์ที่เจ้าตัวประสบมาเสียมากกว่า ผมฟังเขาเล่าอย่างเพลิดเพลิน สำเนียงการพูด และน้ำเสียงของเขาช่างดูดีเหลือเกิน มันดูอบอุ่น และก็ดูขี้เล่น สนุกสนานอยู่ในที เฮ้อ.......... นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ผมไม่สามารถจดจ่อกับหนังสือที่อยู่ตรงหน้าได้ เขาเองก็เช่นกัน ผมเห็นเขาถือพ๊อคเก๊ตบุคส์มาเล่มหนึ่ง แต่ไม่ได้เปิดอ่านสักหน้า

                เขา ชวนผมพูดคุยต่อ ไม่ได้สังเกตว่าผมกำลังทำอะไร เขาถามผมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองไทย เขาเคยไปเที่ยวทางเหนือ และ อีสานมาแล้ว 2-3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาลงใต้ เขาหยอดคำชมว่าเมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามหลายแห่ง ผู้คนอัธยาศัยไมตรีดี เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยหลายคน และก็ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนไทยหลายคนเหมือนกัน
เขาเข้ามาทำงานใน เมืองไทย โดยทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง และยังรับงานเป็นนายแบบและพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าอีกด้วย (ว่าแล้วไหมล่ะ หล่อซะขนาดนี้ จะหลุดรอดสายตาพวกโมเดลลิ่งไปได้อย่างไร) เราคุยกันอย่างออกรส เขาอายุ 25ปี(อ่อนกว่าผมตั้ง 5 ปีแน่ะ) แต่เขาเป็นคนที่มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ มองโลกในแง่ดีอย่างน่าทึ่ง ผมให้คะแนนความหล่อของเขาที่ 15 เต็ม 10 และจากการพูดคุยที่แสนฉลาด มีอารมณ์ขันของเขาอีก 20 คะแนน

                เรา ลาจากกันในค่ำคืนนั้นด้วยความเสียดายอย่างแสนสุดซึ้งของผม ผมอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ แต่ร่างกายของผมกลับไม่เป็นใจ โชคร้ายที่ผมเกิดง่วงและหาวติดๆกันหลายครั้งให้เขาเห็น จนทำให้เขาเกิดเข้าใจผิดคิดว่าผมไม่อยากคุยกับเขา หนุ่มหล่อออกตัวหลายครั้งว่าเขาเป็นนักสนทนาที่ไม่ดีนัก เพราะคนที่คุยกับเขามักจะลงเอยด้วยการอยากหลับทุกที แต่มันไม่จริงเลย ผมเพลียจากการประชุมที่ยาวนานต่างหาก ผลจากการประชุมดึกๆหลายวัน ทำให้ร่างกายผมอ่อนล้าจนฝืนไม่ไหว ผมเศร้าใจเป็นที่สุดที่กำลังจะสูญเสียโอกาสงามๆในการได้คุยกับชายหนุ่มสุด เท่ห์ พรุ่งนี้ผมจะกลับกรุงเทพแล้ว แต่เขาจะอยู่ต่อสักพักก่อนที่จะมาเริ่มงานสอนในเทอมต่อไป เราต่างแลกเบอร์โทรศัพท์กัน เขาสัญญาว่าจะโทรมาหาผม และผมก็ได้แต่แอบหวังว่า เขาจะรักษาสัญญา(อย่างเคร่งครัด)

บทที่ 2
                ผม เกือบหัวทิ่ม เมื่อมีแรงจากมือหนักๆฟาดเข้าที่หัวไหล่ของผม ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการวินโดว์ช๊อปปิ้งอยู่ อีกตั้งหลายวันกว่าจะสิ้นเดือน ผมไม่มีเงินมากเพียงพอที่จะฟุ่มเฟือยได้ แต่ความเป็นนักจับจ่ายมือเติบที่มันฝังรากหยั่งลึกในตัวผมมาเนิ่นนาน มันทำให้ผมยอมตามใจตัวเองด้วยการช๊อปด้วยสายตาก็ยังดี
ผมกำลังจด จ่ออยู่กับเจ้าครีมบำรุงผิวยี่ห้อใหม่ ซึ่งบรรยายสรรพคุณว่าช่วยลดริ้วรอยเ[อย่าโพสคำหยาบ]่ยวย่น และทำให้ใบหน้าสดใสปราศจากริ้วรอยหมองคล้ำ ราคาของมันแพงเหลือรับ เพราะเป็นเครื่องสำอางจากเมืองนอก จากคุณสมบัติและ[อย่าโพสคำหยาบ]บห่อที่สวยงาม เกือบจะทำให้ผมฝ่าฟืนกฎเกณฑ์การดำรงชีวิตในช่วงถังแตก ด้วยการควักเงินซื้อมันมา หากผมไม่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียง "ป๊าบ" อย่างแรงนั้นก่อน
ผม หันไปมองคนที่ทำร้ายผม ความงุนงงและโมโหถูกแทนที่ด้วยความดีใจ เมื่อเห็นยิ้มกว้างที่ก่อกวนใจผมมาตลอดตั้งแต่กลับจากใต้ลอยอยู่ตรงหน้า "จัสติน"คือชื่อของเขา
                " สวัสดีครับคุณกบ"
เขาทักผมด้วยภาษาไทยแปร่งๆ แต่ชัดแจ๋ว คงจะไปเรียนมาจากที่ไหนสักแห่งแน่
"มาเดินดูเครื่องสำอางไปฝากแฟนหรือครับ"
ประโยคต่อมาเล่นเอาผมอึ้ง นี่เขาพูดจริงหรือพูดเล่น อย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์

"เปล่าครับ ผมดูไว้สำหรับใช้เอง"
ผมตอบ และคอยดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาเลิกคิ้วมองผม แล้วถามว่า

                "คุณ ก็ใช้เหมือนกันหรือ...... ผมน่ะต้องใช้เป็นประจำเลยล่ะ พวกครีมทั้งหลาย แรกๆก็งงเหมือนกันนะว่าต้องใช้อะไรบ้างก่อนหลัง ผมไม่เคยใช้มาก่อน แต่พี่ๆกระเทยช่างแต่งหน้าแนะนำว่าผมต้องใช้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับอาชีพที่ผมทำ"
จัสตินพูดเป็นภาษาอังกฤษกับผม คงจะยังไม่คล่องภาษาไทยพอ

                "เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็หันมาใช้เครื่องสำอางกันเยอะนะครับ ผมคิดว่าทุกคนมีสิทธิจะดูแลร่างกายของตนให้ดูดีอยู่เสมอ ไม่ว่าเพศหญิงหรือเพศชาย"
ผมตอบเขาเหมือนตอกย้ำความคิดให้กับตนเองที่ว่า ผู้ชายก็มีสิทธิดูแลเรื่องความงามของผิวพรรณตนเองได้เช่นกัน

                "ใช่ ครับ เดี๋ยวนี้ผู้ชายเราแต่งตัวกันไม่แพ้ผู้หญิงเลย ผมทำงานตรงนี้ ผมรู้ดี เพราะผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ และเดินแฟชั่นให้กับเสื้อผ้าบ่อยมาก เอ้อ.......... เดี๋ยวคุณกบจะไปไหนครับ"

                "ผมว่าจะไปออกกำลังกายเสียหน่อย ไปภูเก็ตคราวนั้น ผมเจริญอาหารมากไป รอบเอวเลยขยายมาสัก 2 นิ้วเห็นจะได้"

ผม ไม่ได้พูดเว่อร์ แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมรู้สึกว่าอ้วน เพราะกางเกงที่ใส่มันเริ่มคับ มันทำให้ผมกังวลใจ และไม่มั่นใจ กลัวว่าพุงผมมันจะปลิ้นออกมาจนเกินงาม  แต่ก็นับว่า พระเจ้ายังเข้าข้างผม ที่ทำให้ผมเกิดมาตัวสูง แข้งขายาว ไหล่กว้าง ความสนใจที่คนอื่นมองมาจึงไปอยู่ที่จุดอื่นหมด แต่ผมก็ไม่ไว้ใจตัวเอง เจ้าพุงนี่มันเคยทำให้ผมขายหน้ามาแล้ว เมื่อมันปลิ้นจนซิบแตก และจำเพาะเกิดกับเดทครั้งแรกกับหนุ่มคนแรกของผมอีกด้วย

"แล้วคุณล่ะ"
ผม ถามเขา ในใจก็นึกหวังว่า เขาน่าจะว่างสักสองสามชั่วโมง ผมจะได้หาทางชวนเขาไปทานอะไรสักหน่อย ผมไม่รีบร้อน ฟิตเนสเดี๋ยวค่อยไปก็ได้ คำตอบของเขาเล่นเอาใจผมห่อเ[อย่าโพสคำหยาบ]่ยว

                " ผมมีสอนในอีก 15 นาทีนี้นะครับ ผมสอนที่ตึกนี้"
เขา บอก ผมเพิ่งนึกได้ ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีโรงเรียนสอนภาษาอยู่ข้างบน และเขาก็ดูเหมือนจะเคยบอกผมครั้งหนึ่งแล้วที่ภูเก็ตว่าเขาสอนที่สถาบันแห่ง นี้ ทำไมผมถึงได้ลืมมันนะ แล้วห้างฯก็ใกล้กับสถานออกกำลังกายที่ผมไปประจำด้วย ผมนี่ช่างบื้อจริง ปล่อยเวลาให้ผ่านไปตั้งสองอาทิตย์กับการจมอยู่กับความคิดถึงเขา เฝ้าแต่รอคอยให้เขาโทรมาหา ทั้งที่เขาก็อยู่ใกล้ผมแค่เอื้อมนี้เอง

                "ผม สอนจนถึง 3 ทุ่มนะครับ เอ้อหลังจากนั้นผมจะมีเวลาว่างประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนจะกลับบ้าน ว่าจะไปนั่งที่ผับไอริสสักหน่อย คุณอยากไปด้วยไหมครับ"

เขา ชวนผมใช่ไหมนี่ หัวใจผมพองโตคับอก แต่แหม ผับไอริสหรือ ผมเคยไปที่นั่น 2-3 ครั้ง ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ผมชอบไปเต้นรำ หรือ ไม่ก็นั่งเงียบๆอ่านหนังสือในร้านกาแฟมากกว่าที่จะไปนั่งฟังเพลงในร้านเหล้า แต่มันอาจจะดีก็ได้มั้ง เพราะครั้งนี้ ผมมีคนที่ถูกใจสุดๆ นั่งเป็นเพื่อน ผมตกปากรับคำโดยไม่ลังเล และให้เหตุผลกับเขาว่า ผมก็ไม่มีอะไรทำหลังจากนั้นเหมือนกัน
อันที่จริงผมโกหก พรุ่งนี้ผมมีนัดประชุมกับเจ้านายตอน 8 โมงเช้า และผมถูกตักเตือนเรื่องการไปสายบ่อยครั้ง ครั้งนี้ผมคงถูกเล่นงานแน่ หากผมไปสายอีก อย่างไรก็ตาม ผมเลือกทำตามหัวใจตนเอง จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรล่ะ ผมไม่ใช่คนโง่นี่ที่จะทิ้งการเดท (ใช่หรือเปล่านะ) กับหนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ ผมแอบให้สัญญากับตนเองว่า ผมจะไม่นอนคืนนี้  เพื่อที่จะได้ไม่ไปประชุมสาย ผมพยายามเต็มที่ที่จะรักษาสมดุลของชีวิตส่วนตัวและการงาน
            ผม แอบหัวเสียเมื่อเดทของผมกับหนุ่มหล่อไม่เป็นไปตามที่ผมคาดคิด จัสตินไม่ใช่คนเลวร้าย เขาเป็นคนที่ทำให้ชีวิตในยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานด้วยซ้ำ หากว่าเขาจะไม่พาแฟนสาวนางแบบสวยเปรี้ยวมาแนะนำตัวกับผม  (ผมรู้แล้วว่าใครเป็นคนสอนภาษาไทยให้กับเขา) เธอชื่อมะนาว ซึ่งก็จี๊ดจ๊าดสมชื่อ
แม่ เจ้าประคุณเลือกอาภรณ์น้อยชิ้นที่สุดเท่าที่จะหาได้กระมังมาปกปิดร่างกาย แค่เธอเดินเข้าผับมา เธอก็เป็นศูนย์รวมของสายตาทุกคู่แล้ว หญิงชายชาวไทยและเทศมองมาที่เธอเป็นตาเดียว ผมรู้สึกขวางหูขวางตานัก
เจ้า หล่อนกล้าใส่มาได้อย่างไรในสถานที่ที่แอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้ พอนั่งสักพักก็บ่นหนาว แล้วก็ใช้สิทธิความเป็นแฟนเอาอ้อมแขนของจัสตินเป็นเครื่องป้องกันทำให้ตน เองอบอุ่น ผมไม่อยากจะเชื่อเลย อ้อมกอดนั้น ผมจองอยู่นะ

                จัส ตินมีเรื่องมากมายมาพูดคุย ผมรู้สึกทึ่งที่เขาสามารถพูดคุยได้หลายเรื่องตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ กีฬา และแวดวงบันเทิง ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดมาจากการอ่าน เขาอ่านหนังสือหลายเล่มมาก บางเล่มก็เป็นเรื่องที่ผมโปรดปราน เรามีหนังสือที่ชอบหลายเล่มเหมือนกัน
ผมจินตนาการภาพหนุ่มหล่อคน นี้ นั่งอ่านหนังสือเพียงลำพัง ในห้องนอน ในห้องสมุด ในสวนสาธารณะ โดยมีแว่นสายตาสุดเท่ห์หนีบอยู่ที่ดั้งจมูกโด่งของเขา เวลาที่เป็นส่วนตัวแบบนี้เขาจะแต่งกายแบบไหนกันนะ ผมเจอเขาครั้งแรกในมาดสุดเซอร์ เห็นอีกทีตอนเย็นในชุดเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ กางเกงสแล็ค ซึ่งก็ทำให้เขาดูเท่ห์ไปอีกแบบ
ตอนนี้เขาอยู่ในชุด เสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นแค่เข่า มีหมวกไหมพรมที่ศีรษะ อืมม์................. แต่งฮิบฮอบในผับไอริสซึ่งวันนี้เล่นเพลงบีทเทิ่ลเนี่ยนะ!!! แปลก?? ไม่เข้ากันกับสถานที่ แต่ก็น่ารักแฮะ ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะมีภาพเขาอยู่ในหัว

                แม้ จะรู้สึกเหมือนมีก้างขวางคอ ทำให้ผมกับจัสตินไม่ได้อยู่กันตามลำพัง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุข จัสตินผูกขาดการพูดคุยกับผมมากกว่าแฟนของเขาเสียอีก ทั้งนี้เพราะคุณมะนาวสาวเปรี้ยว เอาแต่ออดอ้อนให้จัสตินเอาใจ
ผม แอบเห็นท่าทีเบื่อๆของเขา ยามที่ต้องทำตามที่คนรักร้องขอ เวลาที่สาวเจ้าออกความคิดเห็น ก็รู้ได้ทันทีว่ามันสมองของเจ้าหล่อนเล็กกว่าทรวงอกที่เจ้าตัวพยายามเปิด เผยอย่างจงใจเสียอีก ผมกลายเป็นนักสังเกตการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็รู้สึกละอายใจที่บางครั้งผมก็แอบจับได้ว่าตนเองกำลังแช่งให้ความ สัมพันธ์ของคนคู่นี้พังทลาย

                ดึก แล้ว ผมไม่ยอมหลับตามที่ผมตั้งใจไว้ ผมเปิดคอมพิวเตอร์ ตั้งใจจะแช๊ตพูดคุยกับเพื่อนเกย์ทางอินเตอร์เนต อันเป็นกิจวัตรที่ผมทำมาตลอดในช่วง 1 ปี หลังเลิกรากับแฟน แต่วันนี้ผมกลับไม่มีอารมณ์  ใจผมลอยไปถึงพ่อหนุ่มผม ทองตาสีฟ้า คนที่ทำให้ผมหวั่นไหวยามอยู่ใกล้ ผมหลับตาลง อยากจะขังเขาไว้เฉพาะในความคิดคำนึงของผม ผมกลัวว่า ถ้าผมลืมตาขึ้น ผมจะสูญเสียความรู้สึกนึกคิดถึงเขาไป
ผมไม่สามารถได้ชิดใกล้เขาใน โลกของความเป็นจริง เพราะเขามีแฟนแล้ว ที่สำคัญแฟนของเขาเป็นผู้หญิง ซึ่งก็แบ่งแยกรสนิยมทางเพศของเขาชัดเจน เกย์ที่ไปหลงรักผู้ชายแท้ๆอย่างผมมีวิธีเดียวเท่านั้น คือการทำใจ ผมทำได้แค่จินตนาการถึงเขาเท่านั้น  ซึ่งผมจะสมมุติสถานการณ์อย่างไรก็ได้ และมีเฉพาะในห้วงคำนึงของผมเท่านั้น ที่หนุ่มหล่ออย่างเขาจะคิดถึงผมเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 3 : เจอกันโดยบังเอิญอีกแล้ว แต่คราวนี้ได้ดูหนังกันสองต่อสองด้วยล่ะ
บทที่ 3
                ผม รอดจากการถูกตำหนิเรื่องการมาสายไปได้อย่างหวุดหวิด เรื่องของเรื่องคือ ผมดันบังเอิญเผลอหลับไปทั้งๆที่เปิดเครื่องคอมค้างไว้ ตื่นมาอีกทีเกือบ 7 โมง ผมกระโจนเข้าห้องน้ำ และจัดการภารกิจอย่างเร่งด่วน และวิ่งออกมาเรียกแท็กซี่ ผมถึงที่ทำงาน 8 โมงตอนห้องประชุมเปิดพอดี
แต่ ที่แย่ก็คือ ผมฟังการประชุมรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะผมแอบหลับในบางช่วง โชคดีที่การประชุมในวันนั้นเป็นการแถลงผลงานของบริษัทรวมถึงเรื่องปลีกย่อย ทั่วไปที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับงานของผมเท่าไหร่นัก ผมเลยรอดตัวไป แต่หัวหน้าก็แอบเขม่นนิดหน่อย แต่ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่ได้ทำผิดอะไรนี่

                ผม ทำงานอย่างเซ็งๆไปจนถึงตอนเย็น และเมื่อรู้สึกว่าพลังในตัวผมกำลังจะหมดไป ผมจึงต้องหาทางชาร์ตไฟให้ตนเองสักหน่อย ผมเลือกการดูหนังเป็นทางเลือกในการปลดปล่อยความเครียด การที่เราเข้าไปนั่งดูหนังสัก 2 ชั่วโมง เข้าไปอยู่ในจินตนาการที่ผู้กำกับภาพยนตร์สรรสร้าง การได้ดูเรื่องราวของผู้คนผ่านการบอกเล่าทางการแสดงอันยอดเยี่ยมของดารา มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

                ผมเลือกได้หนังฝรั่งเศสเรื่องหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Love me if you dare" ชื่อ ไทยผมไม่ได้จำ ผมเลิกสนใจมานานแล้วกับการตั้งชื่อหนังฝรั่งของคนไทย เพราะบางครั้งชื่อกับหนังไม่เคยสัมพันธ์กัน และมักจะตั้งชื่อหนังอ้างอิงไปตามตัวแสดงเช่น ถ้าเป็นจูเลีย โรเบิร์ต หนังของเธอจะต้องบานฉ่ำทุกเรื่อง
หรือ ถ้าเป็นท่านผู้ว่าการรัฐอาร์โนลด์ ท่านก็ยังคงเป็นคนเหล็กอยู่วันยังค่ำไม่ว่าท่านจะเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ชาย อุ้มท้อง เป็น ตำรวจที่ปลอมเป็นครูโรงเรียนอนุบาล หรือเป็นซานต้าของลูกๆก็ตาม ไม่รู้คิดกันได้ยังไง คนไทยไม่ได้โง่อย่างที่ท่านคิดนะครับ
                พอ ได้ตั๋วผมก็ไปหาอะไรทานก่อนหนังเข้า ยังมีเวลาเหลือประมาณ 45 นาที ผมคงทานอะไรหนักๆได้สบายๆ ผมเดินเข้าร้านพิซซ่าที่อยู่ข้างโรงหนังลิโด แล้วสั่งปีกไก่มา20 ชิ้น ช่วงนี้พุงผมยังหนาอยู่ (ถึงแม้จะไม่มีใครสังเกต แต่ผมรู้ดี เพราะผมจับมันเป็นประจำ) ผมเลยงดกินพวกแป้งและของหวานทุกชนิด

ขณะ ที่ผมกำลังกินอย่างไม่สนใจใครอยู่นั้น เก้าอี้ข้างๆผมก็ถูกเลื่อนออก แล้วร่างกายสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามานั่ง ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ อะไรกันเนี่ย ผมแทบไม่เชื่อสายตา จัสติน นั่งหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็มาคนเดียวด้วย เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว หน้าตาเกลี้ยงเกลา หล่อ และเซ็กซี่ชะมัดเลย โอย ผมอยากจะตาย ได้ยินเสียงตะโกน ได้เห็นภาพตัวเองกระโดดโลดเต้นอยู่ในใจ อย่าบอกนะว่านี่เป็นพรหมลิขิต หลายวันมานี้ผมเจอเขาถี่เหลือเกิน

                "ผมเห็นคุณเดินออกมาจากโรงหนัง คุณดูเสร็จแล้ว หรือเพิ่งซื้อตั๋ว"
เขาถาม คราวนี้พูดเป็นภาษาไทยแม้จะเพี้ยนๆไปหน่อย แต่ก็มีความก้าวหน้าขึ้นแยะ ผมคิด

                "อย่างหลัง...... ผมมีเวลานิดหน่อยก็เลยมาทานข้าว ผมไม่อยากให้ท้องมันร้องระงมในขณะที่ผมกำลังเพลินกับภาพบนจอ กลัวไม่สนุกง่ะ"
ผม ตอบเขาเป็นภาษาไทยเหมือนกัน เขาพยายามฟังอย่างตั้งใจ ผมเดาเอาว่าเขาคงจะพยายามทำตัวให้ชินกับภาษา และพยายามหาทางตอบกลับมาเป็นภาษาไทยเช่นกัน แต่ผมอยากจะคิดไปทางตรงข้ามว่าเขาให้ความสนใจในตัวผม (ก็คิดแบบนี้มันสุขดีนี่นา)

          "แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรที่นี่" ผมถามกลับ

                "มาดูหนังครับ"
เขา บอกชื่อหนังกับผม โอยไม่อยากเชื่อเลย เราดูหนังเรื่องเดียวกัน รอบเดียวกัน และให้ตายสิ ตั๋วหนังที่เขาถือมา เป็นเลขที่นั่งแถวเดียวกับผมเลย แต่ห่างไปสามที่เอง เขาซื้อใบเดียวด้วย เขาเห็นผมมองด้วยท่าทางเซอร์ไพรซ์สุดขีด เหมือนเขาจะเริ่มรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จัสตินเอามือตบหน้าผากตัวเอง และหงายหน้าหัวเราะ พูดว่า

          "โลกกลมจริงแฮะ"
เราทั้งคู่เลยหัวเราะให้กับกับความบังเอิญเหลือเชื่อนี้

                "ผม ชอบดูหนังยุโรปมากกว่าหนังอเมริกัน ผมว่าหนังยุโรปจะเป็นหนังที่ให้ทางด้านอารมณ์ความรู้สึก แต่หนังอเมริกันดูสมบูรณ์แบบเกินไป คุณชอบดูหนังประเภทไหนครับ"
เขา ถามผม แต่ผมคิดว่าเขาคงรู้คำตอบจากนัยน์ตาของผมแล้ว อะไรมันจะเหมาะเจาะลงตัวกันขนาดนี้นะ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า สวรรค์จึงลงโทษผม ให้ได้เจอกับคนที่สมบูรณ์แบบทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่ผมค้นหามานาน คนที่ชอบอะไรเหมือนกัน ในขณะที่พระเจ้าให้ความเป็นชายแท้กับเขา แต่กลับปล่อยให้ผมเป็นเกย์

                เขา สั่งพิซซ่าถาดใหญ่มากิน ผมจ้องมองเขาที่เขมือบพิซซ่าลงกระเพาะด้วยความหิวกระหาย และพยายามมองหาว่าเจ้าพิซซ่าทั้งหมดนั้นลงไปซุกซ่อนที่ตรงไหนในร่างกายของ เขา เพราะเนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามและปราศจากไขมัน เขาเชื้อเชิญให้ผมทานด้วยกัน แต่ผมปฏิเสธ และนั่งมองเขาส่งเจ้าพิซซ่าชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
เขาทำเวลาอย่างรวด เร็ว แม้จะมีการพูดคุยระหว่างนั้นแทรกก็ตาม เขาเห็นอาการเหวอของผมก็เลยหัวเราะ รีบอธิบายว่า เขากินเร็วติดเป็นนิสัย เพราะตอนอยู่ที่บ้านเขา เขามีกิจกรรมทำหลายอย่าง ทั้งเรียน ทั้งเล่นกีฬา และทำงานหารายได้พิเศษ เขาเกิดมาในฐานะครอบครัวมีอันจะกิน แต่เขาอยากจะทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าจะพึ่งพ่อแม่
การ ที่เขาทำอะไรมากมาย ทำให้เขาต้องใช้เวลาในการทำอย่างรวดเร็ว เขาบอกผมว่าในช่วงแรกๆที่เขาอยู่เมืองไทย ห็นอะไรดำเนินไปอย่างช้าๆไม่รีบเร่ง เขาก็อึดอัดคับข้องใจ แต่เมื่อได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี่ ก็เลยรู้ว่า เราไม่มีความรีบร้อนอะไรขนาดนั้น คนไทยเป็นคนที่ทำอะไรตามสบาย จิตใจเยือกเย็น และมีเมตตากรุณา ความอ่อนช้อย การอ่อนน้อมถ่อมตน แทรกอยู่ในวิถีชีวิตคนไทย ซึ่งทำให้คนไทยเป็นคนที่น่ารัก และอัธยาศัยไมตรีดี

                เรา คุยกันเรื่อยเปื่อยจนได้เวลาหนังเข้า ผมกับเขาแยกกันนั่งตามเลขที่ในตั๋ว เราสองคนเลือกที่นั่งตรงที่มีที่ช่องว่างระหว่างทางเดิน เนื่องจากเราสองคน ขายาวด้วยกันทั้งคู่ การเลือกที่นั่งแบบนี้จะทำให้เหยียดขาได้สบายตัวมากกว่า หลังจากหนังฉายไปได้สัก 10 นาที และไม่มีใครเดินเข้าโรงแล้ว
จัส ตินก็หอบสัมภาระเดินมานั่งข้างผม เขาสบตาผมที่หันมามองและยิ้มให้ ก่อนจะหันไปสนใจกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เราไม่คุยอะไรกันจนกระทั่งหนังจบ มีแต่ผมที่ลอบมองสีหน้าด้านข้างของเขา เป็นระยะเมื่อหนังถึงจุดที่ผมประทับใจ ผมแค่อยากจะดูว่า เขาจะทำสีหน้าอย่างไร เขาจะคิดเหมือนผมบ้างไหม  แต่หน้าของเขามีเพียงแค่รอยยิ้มระบายบางๆเท่านั้น

                "ผม ว่าเป็นหนังที่ดีนะ แต่บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคนสองคนถึงปล่อยให้เกมส์เด็กๆแบบนั้น ครอบงำความคิดและความรู้สึกจนเกิดเป็นเรื่องราวเสียหาย"
ผมพูดกับเขาหลังจากออกมาจากโรงหนังด้วยกัน

                "อืม ม์ ผมว่า เรื่องของความรัก มันบอกไม่ได้หรอกนะว่าต้องเป็นอย่างไรถึงจะสมบูรณ์แบบ สองคนนั้นผูกพันกันตั้งแต่เด็กๆ โดยที่มีเกมส์แผลงๆเป็นตัวเชื่อม เขาทั้งคู่เริ่มเสพติดเกมส์นั้น เพราะมันท้าทาย มันเป็นเหมือนชัยชนะที่มีเหนือฝ่ายตรงข้ามและเหนือตัวเอง ในการปลดปล่อยตัวตนออกจากพันธนาการทางกฎเกณฑ์ต่างๆ และเมื่อคนสองคนที่ชอบความท้าทายเหมือนๆกัน เกิดมารักกันเข้า มันจึงพาทั้งคู่ไปสู่บทเรียนอันเจ็บปวดที่สองคนต้องเผชิญ แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจแล้วก็ตาม"

เขา ตอบกลับมาด้วยความคิดของเขา เราสองคนแลกเปลี่ยนความคิด วิพากษ์วิจารณ์กันในแง่มุมต่างๆที่ซ่อนไว้ในภาพยนตร์ ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ดูหนังและพูดคุยกับเขา ผมอยากให้เกิดปาฏิหาริย์แบบนี้ขึ้นอีก แต่ไม่รู้ว่าสวรรค์จะฟังผมไหม

จัสตินขอตัวกลับไปรับมะนาวที่สตูดิโอถ่ายแฟชั่น  ส่วนผมกลับไปฟิตเนส เพื่อออกกำลังกาย เราแยกทางกันตรงนั้น จัสตินไปพร้อมกับหัวใจของผม ส่วนผมกลับไปแต่ตัว
บทที่ 4
                หลาย วันมานี้งานผมยุ่งมากทำให้ต้องกลับบ้านดึกทุกคืน เพราะต้องทำโปรเจคส์ที่จะนำเสนอเจ้านายให้เสร็จตามกำหนดเวลา การที่ต้องโหมงานหนักทำให้ผมหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะไปฟิตเนสหรือทำกิจกรรมใดๆ  ผมลืมแม้กระทั่งจัสติน  ซึ่งตามปกติเขาจะอยู่ในใจผมเสมอ กลับถึงบ้าน หัวถึงหมอน ก็นอนหลับเป็นตาย

เพื่อนๆ ที่ฟิตเนสเห็นผมหายหน้าไปนาน ก็จะคอยโทรศัพท์หาผมอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่ผมไม่ได้ไปออกกำลังกาย เพื่อนๆบอกว่ามีหนุ่มหล่อมาเป็นสมาชิกใหม่หลายคน  มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ผมเคยนึกเบื่อฟิตเนสแห่งนี้ เนื่องจากรับสมาชิกเข้ามาเป็นจำนวนมาก  ทำ ให้บางครั้งปริมาณเครื่องเล่น และห้องออกกำลังกายไม่เพียงพอต่อจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการ ช่วงหลังๆผมจะเข้าตอนดึกซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนจะน้อย ไม่ต้องเข้าคิวคอยลิฟท์ แย่งเครื่องเล่น แย่งตู้ล๊อกเกอร์ หรือห้องน้ำกับใคร ผมจะมีเวลาออกกำลังกายไปจนกว่าคลับจะปิดตอนตีหนึ่ง

                แต่ ในความพลุกพล่านของจำนวนสมาชิกที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น ก็มีส่วนดีตรงที่ มีหนุ่มหล่อๆ นายแบบ ดารา หรือพวกนักธุรกิจคนทำงาน เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก(ซึ่ง 99 % ของผู้ชายที่เป็นสมาชิกที่ฟิตเนสแห่งนี้เป็นเกย์) ผมกับเพื่อนๆจะใช้เวลาในชั้นของเวจเทรนนิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งบริหารร่างกายและบริหารสายตาอย่างที่บอกตั้งแต่แรก

                วันนี้ ผมสามารถทำงานได้เสร็จลุล่วงตามกำหนดเวลา ดังนั้นผมจึงสามารถที่จะไปยิม หลังจากที่ไม่ได้ไปเสียนาน ผมไม่ได้โทรบอกเพื่อนๆ เพราะกะจะเข้าไปยกเวจสักหนึ่งชั่วโมงก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่กับเพื่อน เวลาของผมจะหมดไปกับการพูดคุยและการกินเสียมากกว่า ในช่วงเวลาที่กล้ามเนื้อหดหาย และพุงขยายอย่างนี้ ไม่คบหาเพื่อนจะดีที่สุด

                ผม กำลังนอนออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าอกอยู่บนม้ายาว ผมต้องการให้มันเฟิร์มขึ้นและดูแข็งแรงกว่าเดิม ในขณะที่ผมกำลังหลับหูหลับตาใช้สองแขนดันเจ้าบาร์เบลที่ผมใส่น้ำหนักเข้าไป เกือบสามสิบปอนด์ขึ้นเหนือหน้าอก ใบหน้าแสนคุ้นก็ชะโงกมาจ้องหน้าผมทางด้านเหนือหัว ผมเกือบทำบาร์เบลหลุดกระแทกอก หากไม่มีสองมือสะอาดสะอ้านเอื้อมมาช่วยประคองไว้ได้ทัน จัสตินอุทานคำขอโทษ หยิบบาร์เบลมาวางพาดตรงที่เก็บ และเอื้อมมาฉุดมือผมให้ลุกขึ้น

                อัน ที่จริงผมควรจะโกรธนะ เพราะการโผล่เข้ามากะทันหันในช่วงที่ออกกำลังกายโดยมีอุปกรณ์ที่หนักอึ้ง นอกจากจะเป็นการเกะกะขวางทางแล้ว อาจจะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้เล่นอีกด้วย แต่เมื่อเห็นหน้าตาสำนึกผิดของเขา ผมกลับโมโหเขาไม่ลง การที่ได้เห็นเขาในสถานที่คุ้นเคยของตนเองแบบนี้ ทำให้ผมทั้งดีใจและแปลกใจ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความคิดของผม เขาเลยออกตัวขึ้นมาว่า

"ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นสมาชิกถาวรที่นี่  มาเล่นได้ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ผมไม่ยักจะเห็นคุณ"
ภาษาไทยของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                "ช่วงนี้ผมยุ่งน่ะ งานเยอะ คุณล่ะ ช่วงนี้ไม่มีงานเดินแบบหรือ"

                "ก็มีบ้างนะ แต่ไม่มากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ ผมไม่ค่อยชอบงานเดินแบบเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป แต่ผมชอบถ่ายโฆษณามากกว่านะ ไม่รู้สิ……. อาจจะยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการเดินบนแคทวอล์ค ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาคอยจ้องมอง อย่างที่บอก ผมไม่มั่นใจ มันไม่เป็นส่วนตัว ผมอยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดามากกว่า จะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดังแล้วอยู่ในสายตาผู้คนตลอดเวลา มีดีอยู่เรื่องเดียว คือคุณจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องส่วนแบ่งรายได้เท่านั้นเอง"

เขา พูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมแอบเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ก็เพียงแว่บเดียว เพราะมันกลับมาฉายประกายกล้า แล้วเขาก็กลับมาร่าเริงตามปกติ ผมเสียอีกที่เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรกันนะที่ทำให้หนุ่มเพอร์เฟคคนนี้เกิดเศร้าขึ้นมา เรื่องงานหรือเรื่องเกี่ยวกับคนรัก...เดาไม่ออกเลย

                "แฟนคุณไม่ได้มาด้วยหรือ" ผมถามเขา ใจริษยา แต่พยายามปั้นเสียงให้ร่าเริง ส่วนหูก็อยากได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า "ก็เลิกกันแล้ว" ซึ่งโชคร้าย ผมไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น

                "เขาไปถ่ายแบบที่เนปาลน่ะ ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายแบบลงหนังสือวันมะรืนนี้"
ไม่ เลวแฮะกับน้ำเสียงเนือยๆที่ได้ยิน แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย

                "คุณออกกำลังกายใกล้จะเสร็จหรือยังครับ"
เขา ถามผม ผมพยักหน้า เขาเลยชวนผมไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายชั้นล่าง เขาเฉลยในตอนที่ลงลิฟท์มาด้วยกันก่อนที่ผมจะคิดลามกเลยเถิดไปมากกว่านั้น

                "คนเยอะจัง"

ผมรู้ว่าเขาอยากจะพูดว่า "คนมองเขาเยอะจัง" ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ ง่ายมากเลย
จัสตินผู้หล่อเหลา นายแบบโฆษณาหน้าใหม่ ขวัญใจเกย์และสาวๆ แค่เดินไปเดินมา บนชั้น 19คนก็มองจนตาปลิ้น โดยเฉพาะชั้นนี้ เป็นชั้นที่โดยมากคนที่ใช้บริการจะเป็นผู้ชาย (เกย์ 99%) ดังนั้นแน่นอนว่า เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และสาวๆแน่นอน
ยิ่ง มายืนอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาอย่างผมด้วย คนยิ่งเพ่งรัศมีการมองมาที่เราทั้งคู่กันใหญ่ ด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบว่าไอ้เบื๊อกที่ยืนอยู่ข้างหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใคร กัน เขาเองก็คงจะเห็นเหมือนกับผม ว่าเราถูกลอบมอง และมองอย่างซึ่งๆหน้า
ผมนั้นปลื้มสุดฤทธิ์ แต่เขาคงเซ็งสุดขีด เพราะหมอนี่ ท่าทางจะมีโลกส่วนตัวเยอะน่าดู แล้วไม่รู้จะมาเป็นนายแบบทำไม เอ้อ...เงินคงดีมั้ง โธ่เอ๊ย คนขี้งก ผมค่อนขอดเขาในใจอย่างแค้นเคืองนิดหน่อยที่เขาดับความปรารถนาของผม

จัส ตินเก็บข้าวของออกจากล๊อคเกอร์โดยไม่ยอมอาบน้ำ เขาหันมาเห็นผมทำท่าละล้าละลังในผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว ทั้งอยากอาบน้ำชำระร่างกาย และอยากออกไปพร้อมกับเขาตอนนี้ แม้จะต้องไปแยกกันตรงล๊อบบี้ก็ตาม หัวใจของผมมันร่ำร้องอยากอยู่ใกล้เขาให้นานที่สุด ผมถามเขาว่า ไม่อาบน้ำหรือ เขาบอกว่าเขาต้องรีบไปทำธุระ เดี๋ยวไปอาบในที่พักของเขาก็ได้ ผมได้แต่ส่งสายตาล่ำลาจัสติน แล้วเข้าไปตีอกชกหัวในห้องน้ำที่ไม่ยอมตามเขาไป

ผม เจอจัสตินในสภาพเมาได้ที่ในผับแถวถนนข้าวสาร เขานั่งอยู่เงียบๆที่เคาน์เตอร์ ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยาวสีทองที่เคยรวบไว้เป็นประจำหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท โชคดีที่ผมไม่เจอเขาในสภาพขี้เหล้าจอมโวยวาย หรือ ชายเปื้อนอ้วก มันทำให้ผมสามารถรับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ลำบาก

วันนี้ ผมเลิกงานเร็วก็เลยมาที่ยิมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ส่วนจัสตินมาทีหลังผมประมาณ 20 นาที เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทหนึ่งชั่วโมง แล้วเขาก็บอกกับผมว่าเขานัดกับมะนาวที่ผับแถวถนนข้าวสาร เขาต้องรีบไป เขาไม่ยอมอาบน้ำอีกเช่นเคย ตอนหลังผมจึงได้ทราบคำตอบว่า เขาไม่ชอบอาบน้ำที่นี่ เพราะมีคนชอบแอบมองเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังอาบน้ำเพลินๆ มีเกย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำร่วมด้วย และเอ่ยปากขอมีอะไรกับเขา เขาโกรธมากจนเกือบจะชกหน้าชายโรคจิตคนนั้น แต่ก็ยับยั้งชั่งใจเสียก่อน ได้แต่ไล่ตะเพิดไป นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยอาบน้ำที่นี่อีกเลย ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นใจจัสติน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่เขาหล่อล่ำบาดตา และเร้าใจเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นนายแบบดาวรุ่งอย่างนี้ ใครจะไม่อยากเห็นเขาตอนเปลือยเล่า ผมเองก็ยังอยากเห็นเลย เอ นี่ผมเข้าข่ายคนโรคจิตด้วยหรือเปล่านะ

หลัง จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จัสตินโทรมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาได้เบอร์โทรศัพท์ผมไป เขาขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนเขา เพราะเขารู้สึกแย่ และกำลังต้องการเพื่อนอย่างมาก เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหงา ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าต้นตอมันคืออะไร เกิดจากมะนาวหรือไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่า ผมควรจะไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขา ในยามที่เขาไม่มีใคร

ตอน ที่ผมไปถึง มะนาวไม่ได้อยู่กับเขา จัสตินไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่อยากถาม ผมประคองเขาขึ้นรถไปส่งที่คอนโดตามทางที่เขาบอก ซึ่งก็หลงอยู่หลายครั้ง เพราะเขาพูดไม่ทันได้รู้เรื่องแล้วก็หลับไป ยามที่คอนโดจำเขาได้ จึงช่วยผมประคองเขามาที่ห้อง เพราะผมคนเดียวแบกเขาไม่ไหว จัสตินตัวหนักเหลือเกิน ตอนแรกผมกะจะทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เห็นสภาพเขาแล้วก็ทำไม่ลง ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ทั้งๆที่อยากจะฉวยโอกาสเปลื้องผ้าปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย แต่ผมก็หักห้ามใจไม่ให้ทำ ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกดีงามที่เขามีต่อผมลง ตอนนี้เขาเห็นผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นเพื่อนที่เขาจะนึกถึงเวลาที่เขามีความทุกข์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

ผม หลับรวดเดียวถึงเช้าที่โซฟาในห้องรับแขก จัสตินเป็นคนมาปลุกผม เขาอาบน้ำโกนหนวดโกนเคราสะอาดเอี่ยม ผมปล่อยสยายระบ่า เนื้อตัวหอมกรุ่นไปด้วยแชมพูและครีมอาบน้ำ เขาแต่งกายด้วยชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ กางเกงผ้ายืดรูดเอวสีเทากับเสื้อกล้ามสีเดียวกัน ตาเจ้ากรรมของผมดันไปตกต้องที่กลางลำตัวเขาโดยสัญชาติญาณพอดี จึงได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกงในด้วย ช่างรักอิสระเสียจริง จัสตินถือถาดอาหารเช้า ซึ่งประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง ไข่กวน และไส้กรอก มาให้ผม ส่วนเจ้าตัวยกชามซึ่งใส่คอนเฟลกซ์และผลไม้จำพวกกล้วยหอม สับประรด แตงโม และนมครึ่งชามมานั่งทานข้างๆ

"ขอบคุณนะที่พาผมมาส่งจนถึงบ้านได้ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน"
เขา ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ผมยักไหล่ ทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร คนที่เป็นเพื่อนก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ผมต้องจิกเท้าตัวเองไว้ที่พื้น เพราะกลัวว่าจะหลุดคำพูดที่ว่า ผมยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว

"ผมกับมะนาวเลิกกันเมื่อคืน เธอเจอคนใหม่ที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอที่สุดตอนที่ไปเนปาลเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา"
อยู่ๆเขาก็เปิดเผยเรื่องราวรักร้าวของเขาให้ผมฟัง

"ผม ไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือโล่งใจดี จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก เธอชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ผมชอบความสันโดษมากกว่า ชีวิตของเธอในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชีวิตของผมเป็นไปอย่างช้าๆ ผมไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย ผมชอบความเรียบง่ายและสงบสุข ยิ่งคบกันไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรที่แตกต่างกันมากขึ้นทุกที เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าการแยกทางกันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเรา ตอนนี้ "

ถึง ตรงนี้ ผมควรจะดีใจ ฮาเลลูย่าใช่ใหม ผมควรจะเริงร่า ผาสุก ที่เขาเลิกกันไปเสียได้ตามความต้องการของผม แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดากับสิ่งที่ได้ยิน ผมกลับมีความรู้สึกหดหู่ไปกับเขาด้วย ความรักนี่ก็แปลกนะ เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป บางทีมันก็ทำให้เรามีความสุข บางครั้งก็จ่อมจมอยู่กับความทุกข์และความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เราทุกคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา อย่างน้อยก็มีความสุขในช่วงหนึ่ง

"แย่ จังนะ ผมวางแผนว่า จะใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้กับเขาที่เกาะกูด ผมจองสถานที จองที่พักไว้แล้วด้วย จะยกเลิกก็ไม่ได้ ผมยังไม่รู้ว่าจะพาใครไปดี"
เขาหันมาจ้องผม ตาเป็นประกาย

" เฮ้ คุณล่ะ คุณว่างหรือเปล่า เราไปเที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสดกันไหม"
ผม ลอบยิ้มด้วยดวงตาสุขสม นึกขอบคุณพระเจ้าเป็นพันครั้งที่ดลจิตดลใจให้เขาอยากชวนผมไปด้วย ไม่ว่าเราจะไปในฐานะใดก็ตาม ผมต้องมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ผมก็จำต้องสงวนท่าที ไม่วิ่งไล่งับความรู้สึกของตนเองจนดูหมดค่า

"ผมขอเช็คตารางเวลาของผมก่อนได้ไหม"

ผมหยิบปาล์มออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดไปที่ monthly planner ไล่ตารางไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้

" โชคดีแล้วล่ะ ผมไม่มีนัดที่ไหนเลย" ผมบอกเขา

จัส ตินยิ้มกว้าง แล้วสรุปเอาว่า ผมนั่นเองที่ต้องไปเที่ยวตามลำพังกับเขา ผมล่ะอยากแปลงร่างเป็นเสือสมิงเสียเหลือเกิน จะได้กลืนกินเขาไว้ทั้งตัว ช่างไม่รู้บ้างเลยหนอ ว่าผมจะต้องอดกลั้นความรู้สึกตนเองขนาดไหนที่อยู่ใกล้หนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองตัวเขา

เฮ้อ..... ผมไม่เข้าใจตนเองเลย ว่าทำไมถึงอยากอยู่กับเขามากมายขนาดนี้นะ แล้วนี่ผมจะแสดงอาการออกนอกหน้าจนเขาจับได้หรือเปล่า แล้วถ้าเขารู้ เขาจะรังเกียจผมไหม .....ตอบตกลงไปแล้ว แต่ผมก็มานั่งกังวลใจ คิดไปคิดมาจนปวดหัวไปหมด แต่ช่างมันเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็คืบหน้าไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ

"ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นสมาชิกถาวรที่นี่  มาเล่นได้ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ผมไม่ยักจะเห็นคุณ"
ภาษาไทยของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                "ช่วงนี้ผมยุ่งน่ะ งานเยอะ คุณล่ะ ช่วงนี้ไม่มีงานเดินแบบหรือ"

                "ก็มีบ้างนะ แต่ไม่มากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ ผมไม่ค่อยชอบงานเดินแบบเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป แต่ผมชอบถ่ายโฆษณามากกว่านะ ไม่รู้สิ……. อาจจะยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการเดินบนแคทวอล์ค ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาคอยจ้องมอง อย่างที่บอก ผมไม่มั่นใจ มันไม่เป็นส่วนตัว ผมอยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดามากกว่า จะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดังแล้วอยู่ในสายตาผู้คนตลอดเวลา มีดีอยู่เรื่องเดียว คือคุณจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องส่วนแบ่งรายได้เท่านั้นเอง"

เขา พูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมแอบเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ก็เพียงแว่บเดียว เพราะมันกลับมาฉายประกายกล้า แล้วเขาก็กลับมาร่าเริงตามปกติ ผมเสียอีกที่เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรกันนะที่ทำให้หนุ่มเพอร์เฟคคนนี้เกิดเศร้าขึ้นมา เรื่องงานหรือเรื่องเกี่ยวกับคนรัก...เดาไม่ออกเลย

                "แฟนคุณไม่ได้มาด้วยหรือ" ผมถามเขา ใจริษยา แต่พยายามปั้นเสียงให้ร่าเริง ส่วนหูก็อยากได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า "ก็เลิกกันแล้ว" ซึ่งโชคร้าย ผมไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น

                "เขาไปถ่ายแบบที่เนปาลน่ะ ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายแบบลงหนังสือวันมะรืนนี้"
ไม่ เลวแฮะกับน้ำเสียงเนือยๆที่ได้ยิน แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย

                "คุณออกกำลังกายใกล้จะเสร็จหรือยังครับ"
เขา ถามผม ผมพยักหน้า เขาเลยชวนผมไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายชั้นล่าง เขาเฉลยในตอนที่ลงลิฟท์มาด้วยกันก่อนที่ผมจะคิดลามกเลยเถิดไปมากกว่านั้น

                "คนเยอะจัง"

ผมรู้ว่าเขาอยากจะพูดว่า "คนมองเขาเยอะจัง" ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ ง่ายมากเลย
จัสตินผู้หล่อเหลา นายแบบโฆษณาหน้าใหม่ ขวัญใจเกย์และสาวๆ แค่เดินไปเดินมา บนชั้น 19คนก็มองจนตาปลิ้น โดยเฉพาะชั้นนี้ เป็นชั้นที่โดยมากคนที่ใช้บริการจะเป็นผู้ชาย (เกย์ 99%) ดังนั้นแน่นอนว่า เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และสาวๆแน่นอน
ยิ่ง มายืนอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาอย่างผมด้วย คนยิ่งเพ่งรัศมีการมองมาที่เราทั้งคู่กันใหญ่ ด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบว่าไอ้เบื๊อกที่ยืนอยู่ข้างหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใคร กัน เขาเองก็คงจะเห็นเหมือนกับผม ว่าเราถูกลอบมอง และมองอย่างซึ่งๆหน้า
ผมนั้นปลื้มสุดฤทธิ์ แต่เขาคงเซ็งสุดขีด เพราะหมอนี่ ท่าทางจะมีโลกส่วนตัวเยอะน่าดู แล้วไม่รู้จะมาเป็นนายแบบทำไม เอ้อ...เงินคงดีมั้ง โธ่เอ๊ย คนขี้งก ผมค่อนขอดเขาในใจอย่างแค้นเคืองนิดหน่อยที่เขาดับความปรารถนาของผม

จัส ตินเก็บข้าวของออกจากล๊อคเกอร์โดยไม่ยอมอาบน้ำ เขาหันมาเห็นผมทำท่าละล้าละลังในผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว ทั้งอยากอาบน้ำชำระร่างกาย และอยากออกไปพร้อมกับเขาตอนนี้ แม้จะต้องไปแยกกันตรงล๊อบบี้ก็ตาม หัวใจของผมมันร่ำร้องอยากอยู่ใกล้เขาให้นานที่สุด ผมถามเขาว่า ไม่อาบน้ำหรือ เขาบอกว่าเขาต้องรีบไปทำธุระ เดี๋ยวไปอาบในที่พักของเขาก็ได้ ผมได้แต่ส่งสายตาล่ำลาจัสติน แล้วเข้าไปตีอกชกหัวในห้องน้ำที่ไม่ยอมตามเขาไป

ผม เจอจัสตินในสภาพเมาได้ที่ในผับแถวถนนข้าวสาร เขานั่งอยู่เงียบๆที่เคาน์เตอร์ ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยาวสีทองที่เคยรวบไว้เป็นประจำหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท โชคดีที่ผมไม่เจอเขาในสภาพขี้เหล้าจอมโวยวาย หรือ ชายเปื้อนอ้วก มันทำให้ผมสามารถรับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ลำบาก

วันนี้ ผมเลิกงานเร็วก็เลยมาที่ยิมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ส่วนจัสตินมาทีหลังผมประมาณ 20 นาที เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทหนึ่งชั่วโมง แล้วเขาก็บอกกับผมว่าเขานัดกับมะนาวที่ผับแถวถนนข้าวสาร เขาต้องรีบไป เขาไม่ยอมอาบน้ำอีกเช่นเคย ตอนหลังผมจึงได้ทราบคำตอบว่า เขาไม่ชอบอาบน้ำที่นี่ เพราะมีคนชอบแอบมองเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังอาบน้ำเพลินๆ มีเกย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำร่วมด้วย และเอ่ยปากขอมีอะไรกับเขา เขาโกรธมากจนเกือบจะชกหน้าชายโรคจิตคนนั้น แต่ก็ยับยั้งชั่งใจเสียก่อน ได้แต่ไล่ตะเพิดไป นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยอาบน้ำที่นี่อีกเลย ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นใจจัสติน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่เขาหล่อล่ำบาดตา และเร้าใจเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นนายแบบดาวรุ่งอย่างนี้ ใครจะไม่อยากเห็นเขาตอนเปลือยเล่า ผมเองก็ยังอยากเห็นเลย เอ นี่ผมเข้าข่ายคนโรคจิตด้วยหรือเปล่านะ

หลัง จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จัสตินโทรมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาได้เบอร์โทรศัพท์ผมไป เขาขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนเขา เพราะเขารู้สึกแย่ และกำลังต้องการเพื่อนอย่างมาก เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหงา ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าต้นตอมันคืออะไร เกิดจากมะนาวหรือไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่า ผมควรจะไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขา ในยามที่เขาไม่มีใคร

ตอน ที่ผมไปถึง มะนาวไม่ได้อยู่กับเขา จัสตินไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่อยากถาม ผมประคองเขาขึ้นรถไปส่งที่คอนโดตามทางที่เขาบอก ซึ่งก็หลงอยู่หลายครั้ง เพราะเขาพูดไม่ทันได้รู้เรื่องแล้วก็หลับไป ยามที่คอนโดจำเขาได้ จึงช่วยผมประคองเขามาที่ห้อง เพราะผมคนเดียวแบกเขาไม่ไหว จัสตินตัวหนักเหลือเกิน ตอนแรกผมกะจะทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เห็นสภาพเขาแล้วก็ทำไม่ลง ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ทั้งๆที่อยากจะฉวยโอกาสเปลื้องผ้าปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย แต่ผมก็หักห้ามใจไม่ให้ทำ ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกดีงามที่เขามีต่อผมลง ตอนนี้เขาเห็นผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นเพื่อนที่เขาจะนึกถึงเวลาที่เขามีความทุกข์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

ผม หลับรวดเดียวถึงเช้าที่โซฟาในห้องรับแขก จัสตินเป็นคนมาปลุกผม เขาอาบน้ำโกนหนวดโกนเคราสะอาดเอี่ยม ผมปล่อยสยายระบ่า เนื้อตัวหอมกรุ่นไปด้วยแชมพูและครีมอาบน้ำ เขาแต่งกายด้วยชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ กางเกงผ้ายืดรูดเอวสีเทากับเสื้อกล้ามสีเดียวกัน ตาเจ้ากรรมของผมดันไปตกต้องที่กลางลำตัวเขาโดยสัญชาติญาณพอดี จึงได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกงในด้วย ช่างรักอิสระเสียจริง จัสตินถือถาดอาหารเช้า ซึ่งประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง ไข่กวน และไส้กรอก มาให้ผม ส่วนเจ้าตัวยกชามซึ่งใส่คอนเฟลกซ์และผลไม้จำพวกกล้วยหอม สับประรด แตงโม และนมครึ่งชามมานั่งทานข้างๆ

"ขอบคุณนะที่พาผมมาส่งจนถึงบ้านได้ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน"
เขา ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ผมยักไหล่ ทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร คนที่เป็นเพื่อนก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ผมต้องจิกเท้าตัวเองไว้ที่พื้น เพราะกลัวว่าจะหลุดคำพูดที่ว่า ผมยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว

"ผมกับมะนาวเลิกกันเมื่อคืน เธอเจอคนใหม่ที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอที่สุดตอนที่ไปเนปาลเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา"
อยู่ๆเขาก็เปิดเผยเรื่องราวรักร้าวของเขาให้ผมฟัง

"ผม ไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือโล่งใจดี จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก เธอชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ผมชอบความสันโดษมากกว่า ชีวิตของเธอในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชีวิตของผมเป็นไปอย่างช้าๆ ผมไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย ผมชอบความเรียบง่ายและสงบสุข ยิ่งคบกันไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรที่แตกต่างกันมากขึ้นทุกที เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าการแยกทางกันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเรา ตอนนี้ "

ถึง ตรงนี้ ผมควรจะดีใจ ฮาเลลูย่าใช่ใหม ผมควรจะเริงร่า ผาสุก ที่เขาเลิกกันไปเสียได้ตามความต้องการของผม แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดากับสิ่งที่ได้ยิน ผมกลับมีความรู้สึกหดหู่ไปกับเขาด้วย ความรักนี่ก็แปลกนะ เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป บางทีมันก็ทำให้เรามีความสุข บางครั้งก็จ่อมจมอยู่กับความทุกข์และความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เราทุกคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา อย่างน้อยก็มีความสุขในช่วงหนึ่ง

"แย่ จังนะ ผมวางแผนว่า จะใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้กับเขาที่เกาะกูด ผมจองสถานที จองที่พักไว้แล้วด้วย จะยกเลิกก็ไม่ได้ ผมยังไม่รู้ว่าจะพาใครไปดี"
เขาหันมาจ้องผม ตาเป็นประกาย

" เฮ้ คุณล่ะ คุณว่างหรือเปล่า เราไปเที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสดกันไหม"
ผม ลอบยิ้มด้วยดวงตาสุขสม นึกขอบคุณพระเจ้าเป็นพันครั้งที่ดลจิตดลใจให้เขาอยากชวนผมไปด้วย ไม่ว่าเราจะไปในฐานะใดก็ตาม ผมต้องมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ผมก็จำต้องสงวนท่าที ไม่วิ่งไล่งับความรู้สึกของตนเองจนดูหมดค่า

"ผมขอเช็คตารางเวลาของผมก่อนได้ไหม"

ผมหยิบปาล์มออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดไปที่ monthly planner ไล่ตารางไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้

" โชคดีแล้วล่ะ ผมไม่มีนัดที่ไหนเลย" ผมบอกเขา

จัส ตินยิ้มกว้าง แล้วสรุปเอาว่า ผมนั่นเองที่ต้องไปเที่ยวตามลำพังกับเขา ผมล่ะอยากแปลงร่างเป็นเสือสมิงเสียเหลือเกิน จะได้กลืนกินเขาไว้ทั้งตัว ช่างไม่รู้บ้างเลยหนอ ว่าผมจะต้องอดกลั้นความรู้สึกตนเองขนาดไหนที่อยู่ใกล้หนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองตัวเขา

เฮ้อ..... ผมไม่เข้าใจตนเองเลย ว่าทำไมถึงอยากอยู่กับเขามากมายขนาดนี้นะ แล้วนี่ผมจะแสดงอาการออกนอกหน้าจนเขาจับได้หรือเปล่า แล้วถ้าเขารู้ เขาจะรังเกียจผมไหม .....ตอบตกลงไปแล้ว แต่ผมก็มานั่งกังวลใจ คิดไปคิดมาจนปวดหัวไปหมด แต่ช่างมันเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็คืบหน้าไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ

"ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นสมาชิกถาวรที่นี่  มาเล่นได้ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ผมไม่ยักจะเห็นคุณ"
ภาษาไทยของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                "ช่วงนี้ผมยุ่งน่ะ งานเยอะ คุณล่ะ ช่วงนี้ไม่มีงานเดินแบบหรือ"

                "ก็มีบ้างนะ แต่ไม่มากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ ผมไม่ค่อยชอบงานเดินแบบเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป แต่ผมชอบถ่ายโฆษณามากกว่านะ ไม่รู้สิ……. อาจจะยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการเดินบนแคทวอล์ค ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาคอยจ้องมอง อย่างที่บอก ผมไม่มั่นใจ มันไม่เป็นส่วนตัว ผมอยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดามากกว่า จะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดังแล้วอยู่ในสายตาผู้คนตลอดเวลา มีดีอยู่เรื่องเดียว คือคุณจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องส่วนแบ่งรายได้เท่านั้นเอง"

เขา พูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมแอบเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ก็เพียงแว่บเดียว เพราะมันกลับมาฉายประกายกล้า แล้วเขาก็กลับมาร่าเริงตามปกติ ผมเสียอีกที่เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรกันนะที่ทำให้หนุ่มเพอร์เฟคคนนี้เกิดเศร้าขึ้นมา เรื่องงานหรือเรื่องเกี่ยวกับคนรัก...เดาไม่ออกเลย

                "แฟนคุณไม่ได้มาด้วยหรือ" ผมถามเขา ใจริษยา แต่พยายามปั้นเสียงให้ร่าเริง ส่วนหูก็อยากได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า "ก็เลิกกันแล้ว" ซึ่งโชคร้าย ผมไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น

                "เขาไปถ่ายแบบที่เนปาลน่ะ ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายแบบลงหนังสือวันมะรืนนี้"
ไม่ เลวแฮะกับน้ำเสียงเนือยๆที่ได้ยิน แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย

                "คุณออกกำลังกายใกล้จะเสร็จหรือยังครับ"
เขา ถามผม ผมพยักหน้า เขาเลยชวนผมไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายชั้นล่าง เขาเฉลยในตอนที่ลงลิฟท์มาด้วยกันก่อนที่ผมจะคิดลามกเลยเถิดไปมากกว่านั้น

                "คนเยอะจัง"

ผมรู้ว่าเขาอยากจะพูดว่า "คนมองเขาเยอะจัง" ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ ง่ายมากเลย
จัสตินผู้หล่อเหลา นายแบบโฆษณาหน้าใหม่ ขวัญใจเกย์และสาวๆ แค่เดินไปเดินมา บนชั้น 19คนก็มองจนตาปลิ้น โดยเฉพาะชั้นนี้ เป็นชั้นที่โดยมากคนที่ใช้บริการจะเป็นผู้ชาย (เกย์ 99%) ดังนั้นแน่นอนว่า เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และสาวๆแน่นอน
ยิ่ง มายืนอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาอย่างผมด้วย คนยิ่งเพ่งรัศมีการมองมาที่เราทั้งคู่กันใหญ่ ด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบว่าไอ้เบื๊อกที่ยืนอยู่ข้างหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใคร กัน เขาเองก็คงจะเห็นเหมือนกับผม ว่าเราถูกลอบมอง และมองอย่างซึ่งๆหน้า
ผมนั้นปลื้มสุดฤทธิ์ แต่เขาคงเซ็งสุดขีด เพราะหมอนี่ ท่าทางจะมีโลกส่วนตัวเยอะน่าดู แล้วไม่รู้จะมาเป็นนายแบบทำไม เอ้อ...เงินคงดีมั้ง โธ่เอ๊ย คนขี้งก ผมค่อนขอดเขาในใจอย่างแค้นเคืองนิดหน่อยที่เขาดับความปรารถนาของผม

จัส ตินเก็บข้าวของออกจากล๊อคเกอร์โดยไม่ยอมอาบน้ำ เขาหันมาเห็นผมทำท่าละล้าละลังในผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว ทั้งอยากอาบน้ำชำระร่างกาย และอยากออกไปพร้อมกับเขาตอนนี้ แม้จะต้องไปแยกกันตรงล๊อบบี้ก็ตาม หัวใจของผมมันร่ำร้องอยากอยู่ใกล้เขาให้นานที่สุด ผมถามเขาว่า ไม่อาบน้ำหรือ เขาบอกว่าเขาต้องรีบไปทำธุระ เดี๋ยวไปอาบในที่พักของเขาก็ได้ ผมได้แต่ส่งสายตาล่ำลาจัสติน แล้วเข้าไปตีอกชกหัวในห้องน้ำที่ไม่ยอมตามเขาไป

ผม เจอจัสตินในสภาพเมาได้ที่ในผับแถวถนนข้าวสาร เขานั่งอยู่เงียบๆที่เคาน์เตอร์ ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยาวสีทองที่เคยรวบไว้เป็นประจำหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท โชคดีที่ผมไม่เจอเขาในสภาพขี้เหล้าจอมโวยวาย หรือ ชายเปื้อนอ้วก มันทำให้ผมสามารถรับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ลำบาก

วันนี้ ผมเลิกงานเร็วก็เลยมาที่ยิมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ส่วนจัสตินมาทีหลังผมประมาณ 20 นาที เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทหนึ่งชั่วโมง แล้วเขาก็บอกกับผมว่าเขานัดกับมะนาวที่ผับแถวถนนข้าวสาร เขาต้องรีบไป เขาไม่ยอมอาบน้ำอีกเช่นเคย ตอนหลังผมจึงได้ทราบคำตอบว่า เขาไม่ชอบอาบน้ำที่นี่ เพราะมีคนชอบแอบมองเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังอาบน้ำเพลินๆ มีเกย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำร่วมด้วย และเอ่ยปากขอมีอะไรกับเขา เขาโกรธมากจนเกือบจะชกหน้าชายโรคจิตคนนั้น แต่ก็ยับยั้งชั่งใจเสียก่อน ได้แต่ไล่ตะเพิดไป นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยอาบน้ำที่นี่อีกเลย ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นใจจัสติน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่เขาหล่อล่ำบาดตา และเร้าใจเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นนายแบบดาวรุ่งอย่างนี้ ใครจะไม่อยากเห็นเขาตอนเปลือยเล่า ผมเองก็ยังอยากเห็นเลย เอ นี่ผมเข้าข่ายคนโรคจิตด้วยหรือเปล่านะ

หลัง จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จัสตินโทรมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาได้เบอร์โทรศัพท์ผมไป เขาขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนเขา เพราะเขารู้สึกแย่ และกำลังต้องการเพื่อนอย่างมาก เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหงา ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าต้นตอมันคืออะไร เกิดจากมะนาวหรือไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่า ผมควรจะไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขา ในยามที่เขาไม่มีใคร

ตอน ที่ผมไปถึง มะนาวไม่ได้อยู่กับเขา จัสตินไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่อยากถาม ผมประคองเขาขึ้นรถไปส่งที่คอนโดตามทางที่เขาบอก ซึ่งก็หลงอยู่หลายครั้ง เพราะเขาพูดไม่ทันได้รู้เรื่องแล้วก็หลับไป ยามที่คอนโดจำเขาได้ จึงช่วยผมประคองเขามาที่ห้อง เพราะผมคนเดียวแบกเขาไม่ไหว จัสตินตัวหนักเหลือเกิน ตอนแรกผมกะจะทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เห็นสภาพเขาแล้วก็ทำไม่ลง ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ทั้งๆที่อยากจะฉวยโอกาสเปลื้องผ้าปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย แต่ผมก็หักห้ามใจไม่ให้ทำ ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกดีงามที่เขามีต่อผมลง ตอนนี้เขาเห็นผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นเพื่อนที่เขาจะนึกถึงเวลาที่เขามีความทุกข์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

ผม หลับรวดเดียวถึงเช้าที่โซฟาในห้องรับแขก จัสตินเป็นคนมาปลุกผม เขาอาบน้ำโกนหนวดโกนเคราสะอาดเอี่ยม ผมปล่อยสยายระบ่า เนื้อตัวหอมกรุ่นไปด้วยแชมพูและครีมอาบน้ำ เขาแต่งกายด้วยชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ กางเกงผ้ายืดรูดเอวสีเทากับเสื้อกล้ามสีเดียวกัน ตาเจ้ากรรมของผมดันไปตกต้องที่กลางลำตัวเขาโดยสัญชาติญาณพอดี จึงได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกงในด้วย ช่างรักอิสระเสียจริง จัสตินถือถาดอาหารเช้า ซึ่งประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง ไข่กวน และไส้กรอก มาให้ผม ส่วนเจ้าตัวยกชามซึ่งใส่คอนเฟลกซ์และผลไม้จำพวกกล้วยหอม สับประรด แตงโม และนมครึ่งชามมานั่งทานข้างๆ

"ขอบคุณนะที่พาผมมาส่งจนถึงบ้านได้ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน"
เขา ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ผมยักไหล่ ทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร คนที่เป็นเพื่อนก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ผมต้องจิกเท้าตัวเองไว้ที่พื้น เพราะกลัวว่าจะหลุดคำพูดที่ว่า ผมยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว

"ผมกับมะนาวเลิกกันเมื่อคืน เธอเจอคนใหม่ที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอที่สุดตอนที่ไปเนปาลเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา"
อยู่ๆเขาก็เปิดเผยเรื่องราวรักร้าวของเขาให้ผมฟัง

"ผม ไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือโล่งใจดี จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก เธอชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ผมชอบความสันโดษมากกว่า ชีวิตของเธอในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชีวิตของผมเป็นไปอย่างช้าๆ ผมไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย ผมชอบความเรียบง่ายและสงบสุข ยิ่งคบกันไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรที่แตกต่างกันมากขึ้นทุกที เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าการแยกทางกันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเรา ตอนนี้ "

ถึง ตรงนี้ ผมควรจะดีใจ ฮาเลลูย่าใช่ใหม ผมควรจะเริงร่า ผาสุก ที่เขาเลิกกันไปเสียได้ตามความต้องการของผม แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดากับสิ่งที่ได้ยิน ผมกลับมีความรู้สึกหดหู่ไปกับเขาด้วย ความรักนี่ก็แปลกนะ เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป บางทีมันก็ทำให้เรามีความสุข บางครั้งก็จ่อมจมอยู่กับความทุกข์และความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เราทุกคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา อย่างน้อยก็มีความสุขในช่วงหนึ่ง

"แย่ จังนะ ผมวางแผนว่า จะใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้กับเขาที่เกาะกูด ผมจองสถานที จองที่พักไว้แล้วด้วย จะยกเลิกก็ไม่ได้ ผมยังไม่รู้ว่าจะพาใครไปดี"
เขาหันมาจ้องผม ตาเป็นประกาย

" เฮ้ คุณล่ะ คุณว่างหรือเปล่า เราไปเที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสดกันไหม"
ผม ลอบยิ้มด้วยดวงตาสุขสม นึกขอบคุณพระเจ้าเป็นพันครั้งที่ดลจิตดลใจให้เขาอยากชวนผมไปด้วย ไม่ว่าเราจะไปในฐานะใดก็ตาม ผมต้องมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ผมก็จำต้องสงวนท่าที ไม่วิ่งไล่งับความรู้สึกของตนเองจนดูหมดค่า

"ผมขอเช็คตารางเวลาของผมก่อนได้ไหม"

ผมหยิบปาล์มออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดไปที่ monthly planner ไล่ตารางไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้

" โชคดีแล้วล่ะ ผมไม่มีนัดที่ไหนเลย" ผมบอกเขา

จัส ตินยิ้มกว้าง แล้วสรุปเอาว่า ผมนั่นเองที่ต้องไปเที่ยวตามลำพังกับเขา ผมล่ะอยากแปลงร่างเป็นเสือสมิงเสียเหลือเกิน จะได้กลืนกินเขาไว้ทั้งตัว ช่างไม่รู้บ้างเลยหนอ ว่าผมจะต้องอดกลั้นความรู้สึกตนเองขนาดไหนที่อยู่ใกล้หนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองตัวเขา

เฮ้อ..... ผมไม่เข้าใจตนเองเลย ว่าทำไมถึงอยากอยู่กับเขามากมายขนาดนี้นะ แล้วนี่ผมจะแสดงอาการออกนอกหน้าจนเขาจับได้หรือเปล่า แล้วถ้าเขารู้ เขาจะรังเกียจผมไหม .....ตอบตกลงไปแล้ว แต่ผมก็มานั่งกังวลใจ คิดไปคิดมาจนปวดหัวไปหมด แต่ช่างมันเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็คืบหน้าไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ
บทที่ 5
ผม วุ่นวายใจกับการตระเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของส่วนใหญ่บ่งบอกรสนิยมความเป็นเกย์ของผมสุดฤทธิ์ ผมต้องหาซื้อกางเกงในใหม่หมด เพราะที่มีอยู่เป็นจีสตริงและบิกีนี่เสียเป็นส่วนใหญ่  ผมได้บ๊อกเซอร์มา 7 ตัว ได้กางเกงเลมา 2 และเสื้อกล้ามที่มีสีทึมๆมา 4 ตัว นอกนั้นผมใช้เสื้อยืดที่ผมมีอยู่
ไปเกาะกูดแค่ 4 วัน แต่ผมจัดกระเป๋าเหมือนไปร่วมเดือน ผมยัดเจ้าครีมบำรุงผิว และครีมกันแดด เครื่องประทินโฉมไว้ในถุงผ้าใบใหญ่ แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง โดยไม่ลืมหนังสือภาษาอังกฤษที่จะเตรียมไว้อ่านแก้เซ็งเวลาไม่มีอะไรทำสองสาม เล่ม ทั้งๆที่ผมแน่ใจว่า ผมต้องสนุกจนไม่มีเวลามานั่งเบื่อ แต่ผมก็ต้องเตรียมการไว้เผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเสมอ เมื่อสำรวจตรวจตราข้าวของเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดหลงลืม ผมจึงปิดกระเป๋า แล้วก้าวออกมาจากที่พัก

จัสตินสะพายเป้หลังใบขนาดไม่ใหญ่นัก เขาใส่รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืด กางเกงขาสั้นแค่เข่า และโพกหัวด้วยผ้าเช็ดหน้าลายเก๋

เขา สวมแว่นตากันแดดสีดำ ท่าทางดูทะมัดทะแมง เราสองคนนั่งรถทัวร์ไปลงที่จว.ตราด หลังจากนั้นจะมีเรือของรีสอร์ทมารับที่ท่าเรือ ระหว่างทางเราคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ เขามีเรื่องอะไรต่างๆมาเล่ามากมาย วันนี้เขาดูร่าเริงสนุกสนานไม่มีวี่แววของคนอกหักหลงเหลืออยู่เลย

                                                                                พอ ถึงที่พัก จัสตินก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงว่ายน้ำ ผมลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก อุตส่าห์หาเสื้อผ้าเรียบร้อยมาใส่ แต่ดูกางเกงว่ายน้ำของเขาสิ เซ็กซี่และยวนยั่วชมัด มันเกาะติดสะโพกและปกปิดจัสตินน้อยได้แทบไม่หมด ยังดีที่เขาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวคลุมทับอีกที ไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็เลือดกำเดาผมคงได้ทะลักแน่ เขาเร่งให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปว่ายน้ำด้วยกัน ผมเลือกกางเกงขาสั้นลวดลายฟ้าม่วงออกมาใส่ พร้อมกับเสื้อยืดแขนกุดสีดำ เมื่อผมเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาผมลัดเลาะไปยังชายหาดที่มีเกลียวคลื่นม้วนตัวเป็นระลอกตัดกับแสง ตะวันเจิดจ้าเห็นเป็นประกายสะท้อนเข้าในตาระยิบระยับ

                                                                                จัส ตินถอดเสื้อและรองเท้าไว้ที่โคนต้นมะพร้าว ก่อนจะกระโจนเข้าหาคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง เขาลอยตัวต้านแรงคลื่นที่ถาโถมเข้ามา บางครั้งเมื่อคลื่นลมสงบเขาก็ดำผุดดำว่าย เขาร้องตะโกนให้ผมลงไปเล่นน้ำด้วยกันกับเขา ท้าให้ว่ายน้ำแข่งกัน เขาว่ายน้ำเก่งมาก และเร็วด้วย ยิ่งผมว่ายตีคู่เขา เขาก็ยิ่งว่ายทิ้งห่างผมไป เขาส่งเสียงหัวเราะชอบใจเมื่อผมยอมแพ้ แล้วว่ายเข้ามาหาผม ซึ่งลอยตัวอยู่ห่างฝั่งประมาณ 10 เมตร เราลอยตัวโต้คลื่นกันอยู่อย่างนั้นสักครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเบื่อ
เขา ชวนผมกลับบ้านพัก ผมนึกว่าเขาจะเหนื่อยและอยากจะหลบไปงีบสักแป๊บหนึ่ง แต่เปล่าเลย เขากลับไปอาบน้ำสระผม แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพื่อที่จะขี่จักรยานไปเที่ยวในเกาะ ผมขอตัวเพราะเพลียจากการเดินทาง และอยากจะนอนอ่านหนังสือที่ศาลาที่พักที่สร้างยื่นออกไปในทะเลมากกว่า เขาปล่อยให้ผมอยู่ตามลำพัง ส่วนตัวเองออกไปผจญภัย และสำรวจชีวิตผู้คนตามเส้นทางสีแดงของดินลูกรังที่ตัดผ่านรอบเกาะ

                                                             ผม คงจะหลับเพลินไปหน่อย ตื่นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว อากาศกำลังเย็นสบาย จัสตินนอนหลับอยู่ข้างๆผม เขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เสื้อผ้ายังคงใส่ชุดเดิม ผมเผ้ารุ่ยร่าย เหงื่อซึมที่หน้าผากและตามเนื้อตัว ผมนอนตะแคงข้างมองเขาเงียบๆ ไม่อยากจะทำลายความสุขในการนอนของเขา ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เขาก็ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหน้าผม เขาก็ฉีกยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวสวยเรียงเป็นระเบียบ
เขา ถามผมว่า ผมหลับสบายไหม ผมพยักหน้าแล้วถามเขาบ้าง เขาบอกว่าหลับสนิทเลย เขาเพิ่งมาถึงเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เห็นผมหลับอยู่ ก็เลยไม่อยากจะปลุก ตั้งใจว่าจะนอนเล่นๆสักพัก แต่ดันหลับยาว ผมถามถึงการผจญภัยของเขา เขาเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ได้พบเห็นมา ท่าทางการเล่าดูสดชื่น กระตือรือล้นเหมือนเด็กๆ ผมนั่งฟังเขาเล่าอย่างไม่รู้เบื่อ
ความ ยุ่งยากใจเริ่มมาเยือนผมในยามค่ำคืนเมื่อผมต้องอยู่ร่วมห้องกันสองต่อสองกับ หนุ่มหล่อ ผมจะข่มตานอนลงได้อย่างไรเมื่อมีคนที่ผมชอบอย่างมากมายมาอยู่ข้างๆ จัสตินไม่ปล่อยให้ผมฟุ้งซ่านยาวนาน เขาติดไพ่มาด้วยสำรับหนึ่ง คืนนั้นผมกับเขาก็เลยเล่นไพ่กัน เราเล่นกันหลายอย่างเท่าที่จะเล่นได้ และเพื่อให้มันสนุกสนาน เราก็เลยมีการเดิมพันกันสักเล็กน้อย  เกมส์ ของเราก็คือ คนที่แพ้ จะต้องทำอะไรก็ได้ตามที่คนชนะสั่ง เราสนุกกันมาก เขาชนะในตาแรก คำสั่งที่ผมได้รับคือ ไปซื้อเบียร์ เราแชร์กันซื้อเบียร์กระป๋องมาโหลหนึ่ง โดยที่ผมเป็นคนไปซื้อ

ตาที่สองผมชนะ ผม อยากเห็นหนุ่มหล่อทำอะไรแผลงๆดูบ้าง จึงสั่งให้เขาเต้นระบำในท่าลิงให้ผมดู เขาทำตามอย่างว่าง่าย ผมหัวเราะท่าทางที่เขาเต้น มันทั้งตลกและน่ารัก เขาทำท่าขู่ใส่ผม และคุยโวทับผมว่า เขาจะชนะติดๆกันให้ดู แล้วผมจะต้องเป็นทาสทำตามคำสั่งเขาบ้าง แล้วก็เป็นจริงดังพูด เขาชนะห้าครั้งรวด เขาเลยให้ผมทำอย่างที่ที่เขาต้องการ เขาสั่งให้ผมนวดขาให้เขา เพราะวันนี้เขาทั้งปั่นจักรยาน ทั้งปีนเขาจนเมื่อยไปหมด  เขาให้ผมร้องเพลงอะไรก็ได้สักหนึ่งเพลง ผมเลยเลือกเพลง I will survive
เขามองผมอย่างทึ่งและบอกว่า ผมเสียงดี พอเขาชนะครั้งที่สามเขาก็เลยให้ผมร้องเพลงอีก คราวนี้ผมร้องเพลง I am what I am เป็น การประกาศตัวให้แน่ชัดกันไปเลย ครั้งที่สี่เขาไม่ให้ผมร้องอีกแล้ว แต่เขาให้ผมเล่าให้ฟังถึงเดทครั้งแรกในชีวิตของผม ผมก็เลยเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวหน้าแตกที่ผมได้เผชิญในการออกไปกับหนุ่มครั้ง แรกของผม เขานั่งฟังเงียบๆ หน้าเรียบเฉย ไม่ทำท่าว่าแปลกประหลาด ตกใจ หรือ รังเกียจรังงอนใด ยามที่ผมพูดถึงความสัมพันธ์ที่ผมมีต่อคนเพศเดียวกัน ผมเดาใจเขาไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไร
พอ ถึงครั้งที่ห้า เมื่อเขาชนะอีกครั้ง เขาเพียงแต่ให้ผมตอบคำถามเขาด้วยความรู้สึกจริงๆว่าทำไมผมจึงเป็นเกย์ แล้วผมคิดจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีไปรักเพศตรงข้ามบ้างไหม ผมไม่รู้ว่าเจตนาของเขาคืออะไร แต่ผมก็บอกกับเขาไปว่า ผมคิดว่าผมเป็นเกย์มาตั้งแต่จำความได้ ตอนเป็นเด็ก ผมชอบที่จะอยู่กับพวกผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผมชอบความเข้มแข็ง ไม่ชอบอะไรที่จุกจิกกวนใจ ผมรู้สึกดีกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ ผมรักผู้ชายด้วยกัน ผมไม่อยากหลอกตัวเอง และผมคิดว่า ผมมีความสุขดีอยู่แล้ว เขาพยักหน้าหงึกๆ เมื่อผมเล่าจบแล้วก็ยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น หลังจากนั้นเขาก็ชวนผมเล่นไพ่ต่อ

"คุณต้องเต้นระบำเปลื้องผ้าให้ผมดู"
ถึง ทีผมบ้าง อยากถามคำถามที่ทำให้ผมอึดอัดใจที่จะตอบดีนัก ได้เวลาแก้แค้นแล้ว เขาส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ผมยืนยันหนักแน่น แล้วบอกว่า ผมยังยอมทำตามคำสั่งเขาตั้งห้าครั้ง แต่เขาก็อิดออดว่า เขาสั่งให้ผมทำแต่เรื่องง่ายๆ ผมก็บอกว่า นั่นแล้วแต่การสั่ง คนแพ้ต้องทำตาม หรือว่าเขาจะไม่รักษาคำพูด ผมท้าทายเขา เขาก็เลยฮึดขึ้นมา ผมแสร้งทำเสียงดนตรีเป็นเพลงพิ้งค์เลดี้ เขาก็บ้าพอกัน ลุกขึ้นทำท่ายั่วยวนตามแบบที่พบเห็นกันได้ง่ายตามบาร์ผีทั่วไป เขาทำได้เหมือนมาก สงสัยว่าไปเที่ยวบ่อยแน่

ผม ร้องเชียร์ให้เขาถอดเสื้ออย่าชักช้า เขาทำท่าบิดตัวด้วยลีลาเก้อเขิน ซึ่งดูเก้ๆกังๆอย่างไรไม่รู้ แล้วเขาก็ถอดเสื้อยืดโยนมาทางผม เผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ผมชี้ไปที่กางเกงขาสั้นลายดอกของเขา เขาร้องโอ้โน แต่ก็ค่อยๆรูดมันออกมาแต่โดยดี แล้วใช้นิ้วชี้ควงกางเกงเหวี่ยงไปมาหลายๆรอบก่อนที่จะโยนมาทางผม ผมนึกสนุกชี้ไปที่กางเกงในแบบบิกินี่ของเขา เขาทำหน้าเหวอ แต่ผมผยักหน้าให้เขาทำ เขาทำหน้าเหมือนปลง แล้วใช้นิ้วแตะที่ขอบกางเกง แต่ก่อนที่เขาจะรูดมันลง ผมก็ห้ามเขาเสียก่อน ทำไมน่ะเหรอ ผมกำลังจะหัวใจวายอยู่รอมร่อกับสิ่งเย้ายวนตรงหน้า ผู้ชายที่หล่อ หุ่นดี โครงสร้างใหญ่โตไปเสียทุกส่วนรวมถึงเจ้าน้องชายที่ผมเองอยากจะเห็นใจแทบขาด แต่ก็ต้องยับยั้งไว้ก่อน จะมีประโยชน์อันใดที่จะได้ชื่นชมแค่มองเฉยๆ ผมอยากจะมีความทรงจำที่ดีมากกว่านั้น

เขานั่งลงตรงที่เดิม ผมเอาเสื้อผ้าคืนเขา เขารับมันมาวางไว้บนตัก แล้วถามผมว่าจะเล่นต่ออีกไหม  ผม คิดว่าท่าทางเขาคงอยากเอาคืนบ้าง ผมเลยเล่นเกมส์กับเขาอีก ช่างมันเถอะ ถ้าเขาจะชนะอีกสักตาสองตา สำหรับผมแล้ว เขาให้ผมทำอะไร ผมก็ยอมทำอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนวันนี้โชคของเขาคงจะหมดลงแล้ว ผมเป็นฝ่ายชนะ ผมมองร่างเกือบเปลือยของเขา ด้วยจิตใจที่หวั่นไหว เขายังไม่ใส่เสื้อผ้า นั่งนิ่งฟังว่าคราวนี้ผมจะสั่งให้เขาทำอะไร อยู่ๆผมเกิดความคิดแผลงๆขึ้นมาเมื่อผมมองเลยไปที่ริมฝีปากของเขา มันจะเป็นอย่างไรหนอถ้าผมได้จูบกับปากนั่น ก่อนที่จะทันรู้ตัว ปากของผมก็ดันพูดสิ่งที่ใจคิดออกมา

บทที่ 7
จัส ตินหายหน้าไปหลังกลับมาจากเกาะกูด ผมไม่กล้าโทรไปรบกวนเขา เพราะผมไม่อยากทำตัววุ่นวาย ทั้งที่ใจผมร้อนรุ่ม อยากรู้ข่าวคราวของเขา การไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง มันทำให้ใจผมไม่สงบสุข ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ เขาคิดถึงผมบ้างไหม แล้วเขาแอบไปมีเพศสัมพันธ์กับใครบ้างหรือเปล่า คนๆนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ร้อยแปดเรื่องที่ผมอยากรู้วนเวียนกันอยู่ในสมอง
บ่อย ครั้งที่ผมครุ่นคิดว่า เขาน่าจะกำลังมีคนอื่น และน่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกยินดีหากคนที่เขายุ่งเกี่ยวด้วยจะเป็นพวกชะนี แต่ผมจะเจ็บปวดใจทันทีถ้าคิดว่าเขากำลังอยู่กับผู้ชายคนอื่น ผมคิดว่า ผมกำลังอยู่ในช่วงภาวะของการหึงหวงเขาเป็นแน่แท้
สอง เดือนต่อมา ขณะที่ผมกำลังหลับสนิทอยู่บนที่นอนอันอบอุ่น โทรศัพท์ก็กรีดเสียงร้องปลุกผมขึ้นมายามดึก ตอนแรกผมกะจะตัดสายทิ้ง แต่เมื่อเหลือบเห็นภาพที่ขึ้นมาบนหน้าจอ ผมก็ดีดตัวขึ้นมานั่ง จัสตินกำลังยิ้มอยู่หน้าจอมือถือของผม
"สวัสดีครับ" ผมทักทายเขาเสียงอ่อนหวาน แหม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ผมก็อยากให้เกิดความประทับใจสิ
"นอนแล้วหรือยัง...... ผมกวนใจคุณหรือเปล่านะ"
เขา ถาม น้ำเสียงง่วงงุนยิ่งกว่าผมเสียอีก ไม่รู้อุปทานหรือเปล่า ผมคิดว่าเขาพูดไปหาวไป ผมตอบเขาไปว่า ผมนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเขาอยู่ เสียงเขาหัวเราะมาตามสาย
"ใจตรงกันพอดีเลยนะ ผมก็คิดถึงคุณ นี่ผมเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว พยายามจะหลับ แต่หลับไม่ลง ไม่รู้เป็นไงอยากเจอคุณชมัด เจอกันได้ไหม?"
ผมเหลือบดูนาฬิกาที่หัวนอน ตีหนึ่งแล้ว เขาอยู่ที่คอนโด หรือเปล่านะ
"ให้ผมไปเจอคุณที่คอนโดใช่ไหม หรือจะให้เจอที่อื่น" ผมถามเขา เขาปฏิเสธ "ไม่ต้อง ผมไปหาคุณเอง คุณแค่เปิดประตูรับผมก็พอ"
คำพูดของเขาเล่นเอาผมงง แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเขาก็วางสาย พร้อมๆกับเสียงออดหน้าห้องพักของผมที่คอนโดดังขึ้น
ผม เดินไปที่ประตู ผมกลัวความคิดของตนเอง ณ ขณะนี้ ผมกลัวว่าผมจะคิดถูก ผมกลัวว่าผมจะเจอจัสตินที่หน้าประตูห้องพักของผม ผมหมุนลูกบิดแล้วเปิดประตูออก ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงผ้ายืดหลวมๆสวนเข้ามา
ผม ยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจระคนดีใจที่เห็นเขา เลยไม่ทันได้คว้าตัวเขามากอดให้สมกับความคิดถึงอย่างที่อยากทำ แต่ปล่อยให้เขาเดินอย่างกระปลกกระเปลี้ยไปนอนแผ่หราบนโซฟา ผมรีบปิดประตูห้องแล้วเดินตรงส่วนที่เป็นห้องครัว เปิดตู้เย็น รื้อค้นข้าวปลาอาหารที่อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้างเพื่อทำอาหารให้เขากิน เผื่อว่าเขาอาจจะหิว แต่ไม่เจออะไรเลยนอกจากผลไม้ โยเกิร์ต และน้ำเปล่า ผมจึงรินน้ำใส่แก้วมาให้เขา ผมยิ้มขำให้กับตนเอง นี่ผมกำลังทำหน้าที่ภรรยาอยู่หรือเปล่านี่
เขา ตบมือลงตรงเบาะที่นอนอยู่เป็นการชวนให้ผมมานั่งข้างๆ ทันทีที่ผมนั่งลงเขาก็กระเถิบตัวเข้ามาหาแล้วเอาหัวหนุนตักผมไว้ เหยียดลำตัวไปตามความยาวของเบาะ โดยพาดขาไว้กับที่พักแขน หลับตาพริ้มไม่พูดอะไร ท่าทางเขาดูอ่อนเพลียมาก
ผม นั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ตาจับจ้องอยู่ที่ซีกหน้าด้านหนึ่งของเขา จมูกของเขาโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มสีน้ำตาลทอง ขนตางอนยาว และริมฝีปากได้รูป ผมพยายามเก็บรายละเอียดของใบหน้าของเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มันประทับอยู่ในความทรงจำของผมนานเท่านาน เปลือกตาของผมหนักอึ้ง ความง่วงทำให้ผมไม่สามารถฝืนลืมตาได้ไหว ตาของผมค่อยๆหรี่ปิดลง แล้วผมก็หลับไปโดยมีจัสตินนอนหนุนหัวอยู่ที่ตักของผม
มี อะไรบางอย่างอุ่นๆชื้นๆอยู่แถวซอกคอ ทำให้ผมสะดุ้งตื่น จัสตินหดลิ้นกลับ และยิ้มให้ผม เรานั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน พ่อหนุ่มของผมอยู่ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า เห็นแผงอกที่แน่นไปด้วยมัดกล้าม เขาปกคลุมเรือนกายท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ของผม ตัวของเขาหอมกรุ่น หน้าตาใสสะอาด เขาคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
"เฮลโล" ผมเอ่ยทักทายเขา
"เมื่อคืนขอโทษทีนะที่มาถึงก็หลับไปเลย ผมง่วงแล้วก็เหนื่อยมากด้วย อันที่จริงผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณตั้งมากมายแน่ะ"
คำพูดของเขาทำให้ใจของผมเต็มตื้นไปด้วยความสุข ที่เขาเองก็อยากจะพบอยากปะพูดคุยกับผมเหมือนกัน
"ทำไมคุณถึงมาอยู่แถวนี้ได้" ผมถามเขาด้วยความสงสัย เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่ยอมตอบ แต่ชูกุญแจห้องพักให้ดู ผมใจเต้นโครมคราม อย่าบอกนะว่า......
"ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี้เมื่อเย็นวานนี้เอง......" เขาพูดในสิ่งที่ผมต้องการได้ยินออกมาจนได้
"ที่ เก่ามะนาวเขาขอเช่าต่อ เพราะเขาต้องการอยู่กับแฟนของเขา เขาชอบที่นั่น พอดีเพื่อนผมที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่สถาบันเดียวกัน เขามีห้องพักอยู่ที่นี่ แต่เขาต้องกลับไปที่อเมริกา ผมก็เลยเช่าต่อจากเขา....... ผมอยู่ข้างบน ห่างขึ้นไปหนึ่งชั้น แต่ตรงห้องคุณพอดีเลย บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเห็นคุณจากหน้าต่างข้างบนนั้น ตอนคุณออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงเมื่อหัวค่ำนี้ แต่ผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดข้าวของอยู่ ก็เลยไม่ได้รีบมาหาคุณ"
จัส ตินอธิบายสาเหตุของการมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยทีท่าสบายๆ ตาสีฟ้าของเขาฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้ม จนทำให้มันดูหวานฉ่ำไม่น่าเชื่อ ผมเห็นด้วยกับเขา โชคชะตานี่ช่างเล่นตลกกับผมเสียจริง
"แล้วคุณจัดข้าวของเสร็จหรือยัง............... ผมไปช่วยไหม" ผมเสนอตัว
"ผม ยังย้ายของมาไม่หมด บางส่วนผมฝากไว้ที่มะนาวก่อน ของที่ผมเอามาเป็นข้าวของที่จำเป็นทั้งนั้น เอาไว้ว่างๆ ผมจะชวนคุณไปช่วยขนนะ สำหรับตอนนี้ผมหิวข้าวแล้วล่ะ ไปหาอะไรทานกันไหม" ประโยคท้ายเขาหันมาชวนผม
"ไปสิ" ผมตอบเขา " แล้วคุณจะไปทั้งชุดนั้นเหรอ" ผมชี้ไปที่เขา เขาหัวเราะ แล้วพูดว่า
"ชุด นี้มันใช่ชุดไปทานข้าวเสียเมื่อไหร่ มันเป็นชุดนักรบต่างหาก และถ้าคุณไม่รีบเข้าห้องน้ำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ผมจะจับคุณเป็นเชลย จะเฆี่ยนคุณ จะทำทุกอย่างจนคุณอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เลย"
ไม่ พูดเปล่า เขาตะปบหมับเข้าที่กลางลำตัวของผม และแกล้งคลึงเคล้าแรงๆ ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟา ชูกำปั้นให้เขา แล้วผลุบเข้าห้องน้ำไป ไม่เลวเลยกับการหยอกล้อยามเช้าแบบนี้ เหมือนคู่ผัวตัวเมียชะมัด ผมแอบฝันเล็กๆว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเป็นของผมคนเดียวตลอดกาล
                "คุณหายไปไหนมาตั้งสองเดือน ผมคิดถึงคุณมากรู้มั๊ย"
ใน ที่สุดผมก็พูดกับเขา จัสตินกำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นข้าวของออกจากกล่อง เราสองคนกำลังอยู่ในห้องพักแห่งใหม่ของเขา ผมอาสามาช่วยเขาจัดข้าวของหลังจากที่เราไปทานข้าวเช้ากันมาเรียบร้อยแล้ว
เขา ไม่ได้ตอบผม เพราะเขาหาของบางอย่างอยู่ และเมื่อเจอแล้ว เขาก็ร้องเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเอามันซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วเดินตรงมาหาผมซึ่งยืนปัดกวาดอยู่ตรงห้องรับแขก
"คิดถึงผมมากแค่ไหน" เขาถาม ทำตาแพรวพราว ผมแสร้งกางมือออกเสมอไหล่ และทำเสียงไม่จริงจังว่า
                "คิดถึงเท่านี้" เขาแกล้งผมตอบด้วยการตีสีหน้าแบบผิดหวัง พูดว่า
"ทำไม ผมมีความสำคัญน้อยจังนะ น่าเสียดายออก ทั้งๆที่ผมก็นิสัยดี หน้าตาก็ไม่ขี้ริ้ว ถ้าอย่างนั้น เจ้ากบน้อยตัวนี้ก็คงไม่มีความหมายกับคุณกระมัง"
เขา ชูในสิ่งที่ซ่อนไว้ข้างหลัง มันเป็นตุ๊กตากบตาโปน ยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำด้วยผ้าขนฟู สีชมพูหวานแหวว มีริบบิ้นสีม่วงอ่อนผูกที่คอ เขาใช้มือบีบไปแถวๆก้นของตุ๊กตา และมันก็ส่งเสียงออกมา เป็นเสียงของเขาเอง
                "Hello Gob I miss you" เขาบีบซ้ำๆ เจ้ากบน้อยก็ส่งเสียงร้องซ้ำๆ
จัส ตินมองผมอย่างยวนยั่ว หน้าของเขากับหน้าเจ้าตุ๊กตากบ ไม่รู้ว่าตัวไหนที่เจ้าเล่ห์กว่ากัน สำหรับผมแล้ว ผมรักทั้งสองตัวเลย ผมเอื้อมมือออกไปเพื่อรับตุ๊กตามาจากหนุ่มหล่อของผม สายตาเราประสานกัน ความรักและความคิดถึงตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผมไม่รีรอที่จะแสดงความรักกับเขา ผมโผเข้ากอดเขาไว้ แล้วผมก็จูบเขา เขาจูบตอบผมเนิ่นนาน ก่อนจะผละออก
"เดี๋ยวจัดของไม่เสร็จกันพอดี" เขาพูดยิ้มๆ
“ผม ไปเจอเจ้าตัวนี้ เมื่อสองวันก่อนแถวถนนข้าวสาร เห็นแล้วก็นึกถึงคุณ คนขายบอกว่า มันอัดเสียงพูดได้ด้วย ผมก็เลยลองอัดคำพูดเก็บไว้ มันจะได้เป็นตัวแทนเวลาที่คุณคิดถึงผม สีอื่นก็มีนะ แต่ผมว่า สีชมพูนี่น่าจะเหมาะกับคุณ เพราะคุณเป็นผู้ชายที่ออกแนวหวานๆ แต่ผมไม่รู้ว่าคุณจะชอบมันหรือเปล่า”
จัส ตินพูดไปก็จัดข้าวของไป เขากำลังเรียงแผ่นซีดีลงบนชั้นเก็บ เขามีซีดีเพลงมากมายของศิลปินดังๆทั้งชายและหญิง และหลากหลายแนวดนตรี ผมตอบจัสตินไปว่า ผมชอบของที่เขาซื้อให้ผมมาก และผมจะเก็บมันไว้ที่เตียงนอนในห้องของผม เมื่อใดที่ผมคิดถึงเขา ผมจะบีบก้นเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ แล้วฟังเสียงของเขา ผมแกล้งถามเขาว่า เขาจะอัดเสียงให้ผมใหม่ได้ไหม ผมอยากได้คำว่า I love you มากกว่า เขาหัวเราะ หยิบหมอนอิงที่เขาเจอในลังอีกใบขว้างมาที่ผม แล้วตะโกนใส่ผมว่า
“ฝันเฝื่อง”
ผมไม่โกรธคำพูดของเขาหรอก เพราะเขาไม่ได้ว่าผมจริงๆ ผมรู้
บทที่ 6

“จูบผมสิ” ผมแทบจะกัดลิ้นตัวเอง เมื่อเห็นม่านตาของเขาขยายขึ้น ผมไม่รู้ว่าเขาโกรธในสิ่งที่ผมกำลังเรียกร้องอยู่หรือเปล่า
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องทำก็ได้ ผมแค่ล้อเล่น.......”ผมรีบบอกเขา กลัวเขาจะโกรธไปมากกว่านี้
“แบบไหน..”.เขา ถามผม ผมกำลังงง ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาจึงถามซ้ำแล้วทำท่าจูบประกอบคำพูด ผมดันเกิดเงอะงะขึ้นมากระทันหัน หน้าแดงก่ำ เพราะเลือดมันฉีดซ่านไปทั่วใบหน้า
“คุณจะทำจริงหรือ” ผมถามย้ำ เขาพยักหน้าพูดว่า
“ผมแพ้” ผมก้มหน้า ได้ยินเสียงตัวเองตอบเขาไปเบาหวิวว่า
“อย่างไรก็ได้”
“ถ้างั้นเฟรนซ์คิส ก็แล้วกัน”
เขา กระเถิบเข้ามาจนชิด แล้วประคองใบหน้าผมไว้ เขาเปิดปากของผมด้วยปากของเขา ลิ้นของเขาแทรกเข้ามา จูบของเขานุ่มนวลอ่อนหวาน และร้อนแรงในที ผมจูบโต้ตอบกับเขา เขาจูบเก่งมาก ลิ้นที่พลิกพลิ้วของเขาสร้างความรัญจวนใจ อารมณ์วาบหวามที่ก่อตัวขึ้นทำให้ผมอ่อนระทวยจนต้องใช้สองแขนโอบไปรอบคอเขา ไว้ เนิ่นนานกว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากออกจากปากผม ผมมองตามอย่างอาลัยอาวรณ์ เขายิ้มให้ แต่ทางทางเขาก็ดูเขินๆเหมือนกัน
“อย่าเล่นอีกเลยนะ ตอนนี้คุณดวงไม่ดี  คุณอาจจะแพ้ผมอีก”
ผมบอกเขา แต่เขากลับทำสีหน้ามุ่งมั่น ท่าทางไม่ยอมแพ้
“ตาหน้าผมจะชนะ” เขาบอกผม แต่อย่างที่บอกเมื่อเล่นอีกครั้งเขาดวงไม่ดีขึ้นเลย ผมเป็นฝ่ายชนะอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความมึนเมาที่เกิดจากการที่เราเล่นไปดื่มเบียร์กันไป หรือเป็นเพราะอารมณ์ของผมมันเริ่มกระเจิดกระเจิงจากจูบของเขาเมื่อสักครู่ ทำให้ผมกล้าพูดกับเขาไปว่า
“คราวนี้ คุณต้องทำให้ผมเป็นของคุณ”  เขานิ่งอึ้ง  ผม นึกใจเสีย นี่ผมทำลายความรู้สึกดีๆระหว่างกันไปหรือเปล่า ผมนี่มันบ้าเสียจริง ได้คืบจะเอาศอก ถ้าครั้งที่แล้วเขาไม่โกรธ คราวนี้เขาคงโกรธผมแน่ๆ โธ่ไม่น่าเลย ผมกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่า ผมพูดเล่น และจะให้เขาทำอย่างอื่นทดแทน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอย่างนั้น เขาก็เข้ามาประชิดตัวผม รวบร่างผมไว้ในวงแขนกำยำของเขา
จัสตินดันให้ผมนอนลงบนฟูกที่ปูอยู่บนพื้นห้อง แล้วจูบผมอีกครั้งอย่างดุดัน ผมจูบตอบเขา มือโอบกอดเขาไว้  เขา สอดมือเข้ามาในเสื้อของผม ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอก แล้วค่อยๆเคลื่อนต่ำลงมาแถวหน้าท้อง ผมกลั้นหายใจเมื่อเขาสอดมือเข้ามาในกางเกงลูบไล้หยอกล้อจนน้องชายของผมพร้อม เต็มที่ ก่อนจะเลื่อนมือออก แล้วใช้มือข้างเดียวกันนั้น รูดกางเกงขาสั้นเอวยางยืดของผมออกจากสะโพกไปพร้อมๆกันกับกางเกงในบ๊อกเซอร์ แล้วใช้เท้าเขี่ยออกเมื่อมันเลื่อนหลุดมาจนถึงน่อง เขาหันไปจัดการกับตนเองบ้าง พริบตาเดียวกางเกงในบิกินี่ของเขาก็ปลิวหวือออกจากร่าง ผมมองไปที่กลางลำตัวของเขาด้วยใจที่วาบหวิว กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นึกหวั่นวิตกกับสิ่งที่เห็น
ผม เคยมีแฟนที่เป็นคนไทยด้วยกัน สำหรับคนต่างชาติก็เคยมีบ้าง แต่ไม่มีใครเหมือนจัสติน เขามีเรือนร่างที่ใหญ่โตแข็งแรงน่ามอง ยิ่งอยู่ในสภาพพร้อมรบขนาดนั้น มันจึงดูขึงขังชวนให้ครั่นคร้าม ผมไม่มีเวลากับความหวาดหวั่นมากนัก เพราะจัสตินจับผมพลิกคว่ำ เขาช้อนสะโพกผมขึ้นให้อยู่ในท่าตั้งรับ แล้วเรือนกายใหญ่โตของเขาก็ค่อยๆแทรกเข้ามาในร่างของผม
ผม นิ่วหน้า ค่อยๆผ่อนลมหายใจไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อชิ้นส่วนของเขากลืนหายเข้ามาในร่างของผมจนหมด เขาหยุดอยู่ชั่วครู่เพื่อให้ผมได้พัก ก่อนที่จะเริ่มโยกตัวเป็นจังหวะ จากช้าๆ และเร่งความเร็วขึ้น ผมครวญครางร่ำร้องเรียกชื่อของเขาไม่ขาดปาก ร่างกายเหมือนจะแยกแตกเป็นเสี่ยงๆ จัสตินมีจังหวะลีลาที่สวยงาม ดูท่าทางเขาจะช่ำชองมาก จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาเคยทำแบบนี้กับหนุ่มคนใหนมาก่อนหรือเปล่า
ผมไม่ได้ไร้เดียงสาในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์  ผมยอมรับว่าจัสตินทำให้ผมมีความสุขมาก แม้ ทุกอย่างมันจะเริ่มต้นจากการที่เขาแพ้พนันผม แต่เขาแสดงบทรักกับผมได้อย่างสมจริงสมจัง จนหลายครั้งขณะที่เขาเคลื่อนไหวอยู่บนร่างกายของผม ที่ผมแอบคิดว่า เขาทำไปด้วยใจที่รู้สึกอยากมีอะไรกับผมจริงๆ
“คุณเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนหรือเปล่า ผมอดถามไม่ได้” เขายิ้มให้ผม เราสองคนนอนเปลือยกายในท่าตะแคงข้างอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ผมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างหลงใหล
“เคย” เขาบอก “ตอนที่ผมเรียนเกรด 12 มีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนให้ผมลองมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน เขาว่ามันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ไม่ควรพลาด ผมยังวัยรุ่นอยู่อยากรู้อยากเห็นก็เลยลองดู ก็ทำมา 2-3 ครั้ง ตอนเรียนระดับมหาวิทยาลัย ก็เคยกับเพื่อนด้วยกันที่เขาเป็นเกย์น่ะ แต่ผมไม่ได้เป็นพวกโฮโมเซ็กส์ช่วลหรอกนะ ผมยังชอบที่จะมีอะไรๆกับพวกผู้หญิงมากกว่า”
“ท่าทางคุณเชี่ยวชาญมากเลย”  ผมบอกเขา
“ผมทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นๆด้วยนี่ครับ หลายคนก็ชอบให้ทำอย่างนี้ มันเป็นความสุขไปอีกแบบ”ผมรู้สึกอิจฉาเมื่อได้ยินอย่างนั้น อยากให้เขาเป็นของผมคนเดียว ให้ตายสิ ผมกำลังหวังในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“ค่ำคืนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความหมายกับผมมาก คุณได้มอบความสุขให้กับผม อย่างที่ผมไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลย.. จริงๆนะ” ผมบอกเขาด้วยใจจริง
“ผมดีใจที่คุณเองก็รู้สึกมีความสุข”
“อันที่จริง ผมกำลังจะบอกเลิกคำสั่งนี้แล้ว ผมคิดว่า ไม่ยุติธรรมเลยที่สั่งให้คุณทำเรื่องแบบนี้ มันเหมือนกับว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นพวกฉวยโอกาส ”ผมสารภาพกับเขา
เขายิ้มและเอานิ้วชี้มาแตะที่ปากผม เขาไล้นิ้วมือเบาๆไปตามแนวริมฝีปาก ผมเกิดขนลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาพูดเสียงนุ่มนวลกับผม
“อย่าคิดมากเลยครับ ผม เองใช่ว่าไม่รู้ว่าใจคุณคิดอะไร ผมเองก็อาศัยสถานการณ์นี้ ทดลองมีประสบการณ์แปลกใหม่กับคุณ มันเป็นไปตามธรรมชาติการเรียกร้องทางกายมากกว่า” ถึงแม้ผมจะอยากได้ยินว่า เขาอยากได้ร่างกายผมเพราะเขาพึงใจในตัวของผม แต่อย่างไรก็ตามผมรู้สึกสบายใจในสิ่งที่เขาพูด แล้วอะไรบางอย่างก็แว่บเข้ามาในสมองทำให้ใจหายวูบ   ผมและเขาไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยด้วยกันทั้งคู่
“เราลืมป้องกันตัว ผมกับคุณไม่ได้ใช้ถุงยาง” ผมบอกเขา เขายิ้ม ผมถามเขาว่า “ไม่กลัวหรือ”เขากลับย้อนถามมาว่า
“กลัวอะไร” ผมเลยตอบเขาไปอีกว่า
“โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  หรือไม่ก็เอดส์” เขากลับหัวเราะแล้วพูดว่า
“ไม่เห็นจะมีอะไรที่ต้องน่ากลัว” ผมคิดว่า “คุณเป็นคนสะอาด หรือว่าผมจะมองผิดไป” เขาถามเย้า ผมยิ้มปลื้มกับความไว้ใจที่เขามีให้ผม ผมบอกเขาว่า ผมก็คิดว่าเขาสะอาดเหมือนกัน จึงไม่ทักท้วงตั้งแต่แรก
ผม ชวนเขาคุยหลายเรื่อง อันที่จริงผมกำลังเขินอายอย่างหนัก เลยพยายามสร้างบรรยากาศให้มันดูสนุกสนาน ผมเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่มีความสุขกับคนที่ผมแอบชอบ เลยทำให้หลับไม่ลง จัสตินตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ท่าทางง่วงงุน สักพักเขาก็ไม่โต้ตอบผมอีกต่อไป เขาหลับไปแล้ว หลับสนิททีเดียว ผมเคลื่อนกายเข้าหาเขา และอิงแอบศีรษะเข้าที่ไหล่กว้างของเขา เอาแขนพาดลำตัวเขาไว้ และหลับตาลง คืนนั้นผมฝันดี ผมฝันว่า ผมกับจัสตินเป็นคู่รักกันตลอดไป
ผม กับเขาใช้วันเวลาตลอดช่วงวันหยุดนั้นด้วยการทำกิจกรรมมากมาย ทั้งพายเรือคายัค ไปกับเรือเพื่อดำน้ำดูปะการัง ส่วนตอนกลางคืน ผมกับเขามีความสัมพันธ์อันลึกล้ำต่อกัน คราวนี้เราไม่ต้องเล่นเกมส์อีกแล้ว เพราะเราทั้งสองถูกดึงดูดเข้าหากัน เหมือนแม่เหล็ก ต่างกันที่ว่า เหตุผลของเขาคือความเหงา การเลิกรากับแฟน บรรยากาศที่เป็นใจ และการแสวงหาสัมพันธภาพทางเพศที่น่าตื่นเต้น ส่วนผมทำไปเพราะความรัก
ผม เริ่มรู้สึกตัวว่ารักเขาอย่างจริงจัง เมื่อผมเป็นของเขาในครั้งแรก และรักเขามากขึ้นเรื่อยๆเมื่อผมเป็นของเขาในครั้งต่อๆมา เวลาที่อยู่ด้วยกัน จัสตินทำตัวน่ารักกับผมมาก เขาปฏิบัติต่อผมด้วยการให้เกียรติเหมือนเป็น มนุษย์คนหนึ่งที่มีความเท่าเทียมกันกับคนอื่นๆ เขาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกลำบากหรือกระอักกระอ่วนใจ ไม่เคยมองผมด้วยสายตาของผู้ชายแท้ๆที่มองเกย์ เวลาที่ใครแอบพูดคุยถึงเรา จัสตินก็จะไม่มีทีท่าโมโหหรือหงุดหงิด เขาจะทำตัวตามสบาย ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ เช่น หากเขานึกอยากจะสวีทขึ้นมา เขาก็จะโอบกอดและจูบผมหน้าตาเฉย เขาชอบเอาลิ้นอุ่นๆของเขาเลียตรงซอกคอผมและไล่งับติ่งหูเวลาที่เขามันเขี้ยว เขาทำเสมือนกับว่ากำลังอยู่กับคนรัก  ผมกลับเป็นฝ่าย เขินอายเสียมากกว่า เพราะผมรู้ว่าในสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนไทย มีแววของความไม่เข้าใจ ไม่ชอบใจ สมเพช ในความรักของเกย์อย่างเราปะปนมาด้วยเสมอ ผม ชื่นชมเขามาก เพราะผมรู้ดีว่า เขาไม่ชอบให้ใครมาจับจ้องมองเขา ไม่ชอบให้ใครรุกล้ำความเป็นส่วนตัว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขากลับทำตัวสบายๆ และหนักแน่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
วัน เวลาติดปีกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันหยุดก็สิ้นสุดลงอย่างน่าเสียดาย ผมกับเขาล่ำลาจากกันในค่ำคืนสุดท้ายอย่างดื่มด่ำหวานซึ้งและยาวนาน ผมแทบไม่อยากกลับกรุงเทพฯเลย อยากอยู่ตรงนี้ อยากให้โลกหยุดหมุน และนาฬิกาหยุดเดิน เพื่อที่ผมจะได้อยู่กับเขาตลอดไป ผมรู้ว่า ทันทีที่ออกจากเกาะนี้ ทุกอย่างจะกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ผมจะกลับไปยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องงานการ ส่วนเขาคงไปทำงานสอนภาษาและเดินแบบ เราจะไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้อีก เขาจะกลายเป็นของคนอื่นๆ ไม่ใช่ของผมคนเดียวอีกต่อไป แค่คิดผมก็เศร้าใจแล้ว แต่ถึงแม้ผมจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเป็นจริงได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมกับเขาก็คงจะต้องจากกันสักวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะทำได้ในเวลานี้ คือปล่อยให้เรื่องราวต่างๆมันเป็นไปตามครรลองของมัน



บทที่ 7
จัส ตินหายหน้าไปหลังกลับมาจากเกาะกูด ผมไม่กล้าโทรไปรบกวนเขา เพราะผมไม่อยากทำตัววุ่นวาย ทั้งที่ใจผมร้อนรุ่ม อยากรู้ข่าวคราวของเขา การไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง มันทำให้ใจผมไม่สงบสุข ผมไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ เขาคิดถึงผมบ้างไหม แล้วเขาแอบไปมีเพศสัมพันธ์กับใครบ้างหรือเปล่า คนๆนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ร้อยแปดเรื่องที่ผมอยากรู้วนเวียนกันอยู่ในสมอง
บ่อย ครั้งที่ผมครุ่นคิดว่า เขาน่าจะกำลังมีคนอื่น และน่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกยินดีหากคนที่เขายุ่งเกี่ยวด้วยจะเป็นพวกชะนี แต่ผมจะเจ็บปวดใจทันทีถ้าคิดว่าเขากำลังอยู่กับผู้ชายคนอื่น ผมคิดว่า ผมกำลังอยู่ในช่วงภาวะของการหึงหวงเขาเป็นแน่แท้
สอง เดือนต่อมา ขณะที่ผมกำลังหลับสนิทอยู่บนที่นอนอันอบอุ่น โทรศัพท์ก็กรีดเสียงร้องปลุกผมขึ้นมายามดึก ตอนแรกผมกะจะตัดสายทิ้ง แต่เมื่อเหลือบเห็นภาพที่ขึ้นมาบนหน้าจอ ผมก็ดีดตัวขึ้นมานั่ง จัสตินกำลังยิ้มอยู่หน้าจอมือถือของผม
"สวัสดีครับ" ผมทักทายเขาเสียงอ่อนหวาน แหม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ผมก็อยากให้เกิดความประทับใจสิ
"นอนแล้วหรือยัง...... ผมกวนใจคุณหรือเปล่านะ"
เขา ถาม น้ำเสียงง่วงงุนยิ่งกว่าผมเสียอีก ไม่รู้อุปทานหรือเปล่า ผมคิดว่าเขาพูดไปหาวไป ผมตอบเขาไปว่า ผมนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเขาอยู่ เสียงเขาหัวเราะมาตามสาย
"ใจตรงกันพอดีเลยนะ ผมก็คิดถึงคุณ นี่ผมเตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว พยายามจะหลับ แต่หลับไม่ลง ไม่รู้เป็นไงอยากเจอคุณชมัด เจอกันได้ไหม?"
ผมเหลือบดูนาฬิกาที่หัวนอน ตีหนึ่งแล้ว เขาอยู่ที่คอนโด หรือเปล่านะ
"ให้ผมไปเจอคุณที่คอนโดใช่ไหม หรือจะให้เจอที่อื่น" ผมถามเขา เขาปฏิเสธ "ไม่ต้อง ผมไปหาคุณเอง คุณแค่เปิดประตูรับผมก็พอ"
คำพูดของเขาเล่นเอาผมงง แต่ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเขาก็วางสาย พร้อมๆกับเสียงออดหน้าห้องพักของผมที่คอนโดดังขึ้น
ผม เดินไปที่ประตู ผมกลัวความคิดของตนเอง ณ ขณะนี้ ผมกลัวว่าผมจะคิดถูก ผมกลัวว่าผมจะเจอจัสตินที่หน้าประตูห้องพักของผม ผมหมุนลูกบิดแล้วเปิดประตูออก ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงผ้ายืดหลวมๆสวนเข้ามา
ผม ยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจระคนดีใจที่เห็นเขา เลยไม่ทันได้คว้าตัวเขามากอดให้สมกับความคิดถึงอย่างที่อยากทำ แต่ปล่อยให้เขาเดินอย่างกระปลกกระเปลี้ยไปนอนแผ่หราบนโซฟา ผมรีบปิดประตูห้องแล้วเดินตรงส่วนที่เป็นห้องครัว เปิดตู้เย็น รื้อค้นข้าวปลาอาหารที่อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้างเพื่อทำอาหารให้เขากิน เผื่อว่าเขาอาจจะหิว แต่ไม่เจออะไรเลยนอกจากผลไม้ โยเกิร์ต และน้ำเปล่า ผมจึงรินน้ำใส่แก้วมาให้เขา ผมยิ้มขำให้กับตนเอง นี่ผมกำลังทำหน้าที่ภรรยาอยู่หรือเปล่านี่
เขา ตบมือลงตรงเบาะที่นอนอยู่เป็นการชวนให้ผมมานั่งข้างๆ ทันทีที่ผมนั่งลงเขาก็กระเถิบตัวเข้ามาหาแล้วเอาหัวหนุนตักผมไว้ เหยียดลำตัวไปตามความยาวของเบาะ โดยพาดขาไว้กับที่พักแขน หลับตาพริ้มไม่พูดอะไร ท่าทางเขาดูอ่อนเพลียมาก
ผม นั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ตาจับจ้องอยู่ที่ซีกหน้าด้านหนึ่งของเขา จมูกของเขาโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มสีน้ำตาลทอง ขนตางอนยาว และริมฝีปากได้รูป ผมพยายามเก็บรายละเอียดของใบหน้าของเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้มันประทับอยู่ในความทรงจำของผมนานเท่านาน เปลือกตาของผมหนักอึ้ง ความง่วงทำให้ผมไม่สามารถฝืนลืมตาได้ไหว ตาของผมค่อยๆหรี่ปิดลง แล้วผมก็หลับไปโดยมีจัสตินนอนหนุนหัวอยู่ที่ตักของผม
มี อะไรบางอย่างอุ่นๆชื้นๆอยู่แถวซอกคอ ทำให้ผมสะดุ้งตื่น จัสตินหดลิ้นกลับ และยิ้มให้ผม เรานั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน พ่อหนุ่มของผมอยู่ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า เห็นแผงอกที่แน่นไปด้วยมัดกล้าม เขาปกคลุมเรือนกายท่อนล่างด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ของผม ตัวของเขาหอมกรุ่น หน้าตาใสสะอาด เขาคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
"เฮลโล" ผมเอ่ยทักทายเขา
"เมื่อคืนขอโทษทีนะที่มาถึงก็หลับไปเลย ผมง่วงแล้วก็เหนื่อยมากด้วย อันที่จริงผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณตั้งมากมายแน่ะ"
คำพูดของเขาทำให้ใจของผมเต็มตื้นไปด้วยความสุข ที่เขาเองก็อยากจะพบอยากปะพูดคุยกับผมเหมือนกัน
"ทำไมคุณถึงมาอยู่แถวนี้ได้" ผมถามเขาด้วยความสงสัย เขายิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่ยอมตอบ แต่ชูกุญแจห้องพักให้ดู ผมใจเต้นโครมคราม อย่าบอกนะว่า......
"ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี้เมื่อเย็นวานนี้เอง......" เขาพูดในสิ่งที่ผมต้องการได้ยินออกมาจนได้
"ที่ เก่ามะนาวเขาขอเช่าต่อ เพราะเขาต้องการอยู่กับแฟนของเขา เขาชอบที่นั่น พอดีเพื่อนผมที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่สถาบันเดียวกัน เขามีห้องพักอยู่ที่นี่ แต่เขาต้องกลับไปที่อเมริกา ผมก็เลยเช่าต่อจากเขา....... ผมอยู่ข้างบน ห่างขึ้นไปหนึ่งชั้น แต่ตรงห้องคุณพอดีเลย บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเห็นคุณจากหน้าต่างข้างบนนั้น ตอนคุณออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงเมื่อหัวค่ำนี้ แต่ผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดข้าวของอยู่ ก็เลยไม่ได้รีบมาหาคุณ"
จัส ตินอธิบายสาเหตุของการมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยทีท่าสบายๆ ตาสีฟ้าของเขาฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้ม จนทำให้มันดูหวานฉ่ำไม่น่าเชื่อ ผมเห็นด้วยกับเขา โชคชะตานี่ช่างเล่นตลกกับผมเสียจริง
"แล้วคุณจัดข้าวของเสร็จหรือยัง............... ผมไปช่วยไหม" ผมเสนอตัว
"ผม ยังย้ายของมาไม่หมด บางส่วนผมฝากไว้ที่มะนาวก่อน ของที่ผมเอามาเป็นข้าวของที่จำเป็นทั้งนั้น เอาไว้ว่างๆ ผมจะชวนคุณไปช่วยขนนะ สำหรับตอนนี้ผมหิวข้าวแล้วล่ะ ไปหาอะไรทานกันไหม" ประโยคท้ายเขาหันมาชวนผม
"ไปสิ" ผมตอบเขา " แล้วคุณจะไปทั้งชุดนั้นเหรอ" ผมชี้ไปที่เขา เขาหัวเราะ แล้วพูดว่า
"ชุด นี้มันใช่ชุดไปทานข้าวเสียเมื่อไหร่ มันเป็นชุดนักรบต่างหาก และถ้าคุณไม่รีบเข้าห้องน้ำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ผมจะจับคุณเป็นเชลย จะเฆี่ยนคุณ จะทำทุกอย่างจนคุณอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เลย"
ไม่ พูดเปล่า เขาตะปบหมับเข้าที่กลางลำตัวของผม และแกล้งคลึงเคล้าแรงๆ ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟา ชูกำปั้นให้เขา แล้วผลุบเข้าห้องน้ำไป ไม่เลวเลยกับการหยอกล้อยามเช้าแบบนี้ เหมือนคู่ผัวตัวเมียชะมัด ผมแอบฝันเล็กๆว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเป็นของผมคนเดียวตลอดกาล
                "คุณหายไปไหนมาตั้งสองเดือน ผมคิดถึงคุณมากรู้มั๊ย"
ใน ที่สุดผมก็พูดกับเขา จัสตินกำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นข้าวของออกจากกล่อง เราสองคนกำลังอยู่ในห้องพักแห่งใหม่ของเขา ผมอาสามาช่วยเขาจัดข้าวของหลังจากที่เราไปทานข้าวเช้ากันมาเรียบร้อยแล้ว
เขา ไม่ได้ตอบผม เพราะเขาหาของบางอย่างอยู่ และเมื่อเจอแล้ว เขาก็ร้องเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเอามันซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วเดินตรงมาหาผมซึ่งยืนปัดกวาดอยู่ตรงห้องรับแขก
"คิดถึงผมมากแค่ไหน" เขาถาม ทำตาแพรวพราว ผมแสร้งกางมือออกเสมอไหล่ และทำเสียงไม่จริงจังว่า
                "คิดถึงเท่านี้" เขาแกล้งผมตอบด้วยการตีสีหน้าแบบผิดหวัง พูดว่า
"ทำไม ผมมีความสำคัญน้อยจังนะ น่าเสียดายออก ทั้งๆที่ผมก็นิสัยดี หน้าตาก็ไม่ขี้ริ้ว ถ้าอย่างนั้น เจ้ากบน้อยตัวนี้ก็คงไม่มีความหมายกับคุณกระมัง"
เขา ชูในสิ่งที่ซ่อนไว้ข้างหลัง มันเป็นตุ๊กตากบตาโปน ยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำด้วยผ้าขนฟู สีชมพูหวานแหวว มีริบบิ้นสีม่วงอ่อนผูกที่คอ เขาใช้มือบีบไปแถวๆก้นของตุ๊กตา และมันก็ส่งเสียงออกมา เป็นเสียงของเขาเอง
                "Hello Gob I miss you" เขาบีบซ้ำๆ เจ้ากบน้อยก็ส่งเสียงร้องซ้ำๆ
จัส ตินมองผมอย่างยวนยั่ว หน้าของเขากับหน้าเจ้าตุ๊กตากบ ไม่รู้ว่าตัวไหนที่เจ้าเล่ห์กว่ากัน สำหรับผมแล้ว ผมรักทั้งสองตัวเลย ผมเอื้อมมือออกไปเพื่อรับตุ๊กตามาจากหนุ่มหล่อของผม สายตาเราประสานกัน ความรักและความคิดถึงตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้ผมไม่รีรอที่จะแสดงความรักกับเขา ผมโผเข้ากอดเขาไว้ แล้วผมก็จูบเขา เขาจูบตอบผมเนิ่นนาน ก่อนจะผละออก
"เดี๋ยวจัดของไม่เสร็จกันพอดี" เขาพูดยิ้มๆ
“ผม ไปเจอเจ้าตัวนี้ เมื่อสองวันก่อนแถวถนนข้าวสาร เห็นแล้วก็นึกถึงคุณ คนขายบอกว่า มันอัดเสียงพูดได้ด้วย ผมก็เลยลองอัดคำพูดเก็บไว้ มันจะได้เป็นตัวแทนเวลาที่คุณคิดถึงผม สีอื่นก็มีนะ แต่ผมว่า สีชมพูนี่น่าจะเหมาะกับคุณ เพราะคุณเป็นผู้ชายที่ออกแนวหวานๆ แต่ผมไม่รู้ว่าคุณจะชอบมันหรือเปล่า”
จัส ตินพูดไปก็จัดข้าวของไป เขากำลังเรียงแผ่นซีดีลงบนชั้นเก็บ เขามีซีดีเพลงมากมายของศิลปินดังๆทั้งชายและหญิง และหลากหลายแนวดนตรี ผมตอบจัสตินไปว่า ผมชอบของที่เขาซื้อให้ผมมาก และผมจะเก็บมันไว้ที่เตียงนอนในห้องของผม เมื่อใดที่ผมคิดถึงเขา ผมจะบีบก้นเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ แล้วฟังเสียงของเขา ผมแกล้งถามเขาว่า เขาจะอัดเสียงให้ผมใหม่ได้ไหม ผมอยากได้คำว่า I love you มากกว่า เขาหัวเราะ หยิบหมอนอิงที่เขาเจอในลังอีกใบขว้างมาที่ผม แล้วตะโกนใส่ผมว่า
“ฝันเฝื่อง”
ผมไม่โกรธคำพูดของเขาหรอก เพราะเขาไม่ได้ว่าผมจริงๆ ผมรู้


บทที่ 8

กว่า จะจัดข้าวของและทำความสะอาดห้องหับให้เขาเสร็จก็ปาเข้าไปสองทุ่ม ท้องของผมร้องจ๊อกๆ เขาเองก็แสดงให้รู้ว่าหิวเช่นกัน เนื่องจากผมเสนอตัวช่วยเขาทำความสะอาดห้องวันนี้ เขาก็เลยทำใจป้ำด้วยการเลี้ยงอาหารค่ำผมหนึ่งมื้อ โดยให้ผมเลือกสถานที่ได้
ผม ชวนเขาไปทานอาหารไทยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และสั่งอาหารไทยจำพวกห่อหมก ยำรสจัด และแกงคั่วให้เขาลองทาน เขาเคยบอกผมว่าอยากจะลองทานอาหารเผ็ดๆดูบ้าง เพราะมาอยู่เมืองไทยตั้งปีหนึ่งแล้ว ยังทานอาหารไทยได้ไม่ทุกชนิดเลย  เขา ไม่ค่อยสบายใจเวลาที่ไปทานอาหารกับเพื่อนคนไทย และทุกคนต้องมาคอยเทคแคร์เขา เพื่อนๆบางคนจะไม่ยอมทานอาหารเผ็ดเลย ถ้าหากมีจัสตินร่วมวงด้วย
ข้อ ดีของจัสตินอยู่ตรงนี้ก็คือ เขาจะไม่ชอบทำให้ใครยุ่งยากลำบากใจ ไม่อยากให้ใครมาดูแลเหมือนเป็นเด็กๆ เขามีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบลองในสิ่งที่แปลกใหม่อยู่เสมอ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าท้าทาย ทำให้ชีวิตตื่นเต้น
                จัส ตินหน้าแดง เหงื่อแตกพลั่ก เมื่อทานยำวุ้นเส้นแล้วเผลอเคี้ยวพริกขี้หนูไปสองสามเม็ด ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผัก แต่เขาก็ไม่ร้องโวยวาย เพียงแต่ดื่มน้ำแก้เผ็ดเข้าไปหลายอึก ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นน้ำตาเขาร่วง เขาทำตาเขียวใส่ผมที่ขำเขา แล้วเขาก็ท้าทายด้วยการกินอาหารเผ็ดๆในจานอื่นๆอีก ผมคิดว่าเขากำลังทำตัวให้สนุกสนานกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่เขาได้สัมผัส
ผม มองไปที่ปากได้รูปของเขาและรู้สึกสงสาร เพราะมันเจ่อบวม เพราะทานของเผ็ดเข้าไปมาก ในใจนึกอยากโน้มใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้แล้วใช้ลิ้นเลียขับไล่ความร้อนไปจาก ปากของเขา  ดูเหมือนเขาจะอ่านใจผมออก เพราะเขาห่อปากทำท่าจูจุ๊บให้ผม น่าหมั่นไส้นัก นายคนนี้ รู้เท่าทันผมไปหมดเสียทุกเรื่อง แต่ไม่ยอมรับรู้อยู่เรื่องเดียวว่า ผมอยากจะเป็นของเขาตลอดไป
                เรา สองคนถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่ง กระโปรงผ้าบางพลิ้วสีสดผ่านแว่บเข้ามาในสายตาของผม จัสตินเงยหน้าไปตามเสียงเรียกทักทาย
                “บังเอิญจังเลยนะจ๊ะ ไม่นึกว่าจะมาเจอจัสตินที่นี่ พาแฟนมาทานข้าวหรือจ๊ะ”
หางเสียงของมะนาวดูเยาะเย้ยถากถาง สายตาที่มองมาที่ผมไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก ผมหันไปมองหน้าจัสติน เห็นเขาขมวดคิ้ว ทำหน้าไม่พอใจ
                “แล้วมันเรื่องอะไรของคุณไม่ทราบ หือ มะนาว แล้วคนรักของคุณล่ะ ไม่มาคุมด้วยหรือ ถึงปล่อยให้คุณมาเที่ยวระรานชาวบ้านเขาอย่างนี้”
จัสตินโต้ตอบกลับ น้ำเสียงขุ่น มะนาวแสร้งทำเป็นตาโต ยกมือทาบอก
                “อุ๊ย จัสตินล่ะก็ มะนาวไม่ได้มาหาเรื่องนะคะ เพียงแต่มะนาวมาทานข้าวที่นี่พอดี แล้วบังเอิญเห็นคุณ กับเอ้อ เพื่อนของคุณคนนี้ นั่งอยู่ด้วยกัน ท่าทางสนิทสนม คุยกันกระหนุงกระหนิง ก็เลยคิดว่า เขาเป็นแฟนกับคุณน่ะสิคะ โธ่ ใครๆก็รู้ ว่าคุณน่ะกับใครก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงหรือชาย”
มะนาว ทำเสียงเหน็บแนม ผมฟังแล้วนึกโกรธมะนาวขึ้นมาทันที และเริ่มเห็นใจจัสติน ที่เจอคำพูดร้ายๆของอดีตคนรักอย่างนี้ บางส่วนของจิตใจ ผมสมน้ำหน้าเจ้าหล่อน เป็นอย่างนี้ก็สมควรแล้วที่จะไม่ได้หัวใจของจัสตินไป หนุ่มหล่อของผมทำสีหน้าเย็นชาใส่มะนาว เขาพูดด้วยเสียงเยียบเย็นว่า
                “จะ หญิงหรือชาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผม เพราะผมจะเลือกมีอะไรกับคนดีๆเท่านั้น สำหรับคนบางคนที่มีแต่เปลือกนอกที่สวยงาม แต่จิตใจด้อยค่า ผมก็แค่มีความสัมพันธ์ด้วยชั่วครั้งชั่วคราว พอให้เอาไปคุยได้ว่า ผมให้เกียรติที่จะมีอะไรกับเขา และผมก็ไม่เคยลังเลเลยที่จะเลิกราอย่างไม่ใยดี ”
ผม รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจกับคำพูดของเขา ลอบมองหน้าของมะนาวซึ่งบัดนี้แดงก่ำด้วยความโกรธ แดงยิ่งกว่าปากที่แดงเจ่อเพราะพริกของจัสตินเสียอีก หล่อนสะบัดหน้าเดินจากไปด้วยความโกรธ จัสตินไม่แม้แต่จะมองตาม สักพักหนึ่ง เขาก็หงายหน้าหัวเราะอย่างชอบใจ ผมคิดว่าเขาเหมือนเด็กชายเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญได้แก้แค้นคนที่ทำให้ตนเองไม่พอใจ
                “ไม่สงสารเขาหรือ พูดกับเขาแรงเสียขนาดนั้น” ผมถามเขา จัสตินยักไหล่
“ไม่ หรอกครับ คุณกบไม่รู้หรอกว่า ผมเจออะไรมาบ้าง ตั้งแต่เลิกรากันไปกับมะนาว ผมคิดว่าเราจะจากกันด้วยดี อุตส่าห์ยกคอนโดที่เป็นรังรักระหว่างเรา ขายต่อให้เขาในราคาที่ถูก ทั้งๆที่ผมอยากจะขายทิ้งมันใจจะขาด ผมเคยคิดว่าเมื่อเลิกกันแล้ว ผมก็อยากจะเก็บวันเวลาดีๆเอาไว้ แต่มะนาวทำให้ผมเปลี่ยนความคิด ผมพูดจากับเขาเหมือนเพื่อนเวลาที่เจอกัน แต่เขาพูดจาไม่ดีกับผมมาตลอด”
“ผม เพิ่งมารู้ทีหลังว่า เหตุผลที่เขาไปมีคนอื่น ก็เพราะว่าเขาคิดว่าคุณเป็นชู้รักของผม และเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟังตลอดเลย ผมไม่เข้าใจว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม”
ผม รู้สึกเสียใจที่ได้ยินจัสตินพูดอย่างนั้น ผมกลายเป็นสาเหตุหนึ่งของการเลิกราครั้งนี้หรือ แล้วช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาต้องถูกคนอื่นมองว่าชอบรักร่วมเพศ เขาจะทุกข์ใจแค่ไหนหนอ.....น่าสงสารยอดรักของผมเสียจริง
                “แล้วนี่คุณจะทำอย่างไรต่อไปละครับ ท่าทางมะนาวเขาจะโกรธๆคุณอยู่นะ แล้วข้าวของของคุณก็ยังอยู่ที่คอนโดที่คุณขายให้มะนาวไม่ใช่หรือ โกรธกันอย่างนี้ เขาจะให้คุณเข้าห้องหรือเปล่า ”
          “ให้ เข้าสิ...... ผมกับเขาคุยกันแล้ว บอกเขาว่าอีกสองวันจะไปขนของออกมา มะนาวไปต่างจังหวัดในช่วงนั้น ก็ดีเหมือนกัน.......จะได้ไม่ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”
          “ผมไปช่วยคุณขนของนะ” ผมอาสา ส่วนหนึ่งเพราะอยากช่วยเหลือ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการให้จัสตินกับมะนาวตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง
                “จะดีหรือครับคุณกบ ผมกลัวว่าผมจะไปรบกวนเวลาของคุณเปล่าๆ ผมจ้างคนขนของได้ครับ” เขาทำท่าเกรงใจ
                “ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกันนี่นา นี่คือความช่วยเหลือที่เพื่อนจะให้กัน อย่าปฏิเสธเลยนะครับ”
                “นี่ไงเขาถึงบอกว่า คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ ขอบคุณมากเลยครับ”
                สอง วันต่อมา ผมไปช่วยจัสตินขนย้ายข้าวของตามที่รับปากไว้ มะนาวไม่ได้ไปเที่ยวอย่างที่เธอบอก เธอกับนายแบบหนุ่มที่เป็นแฟนคนใหม่ของเธอเฝ้าดูการขนของของพวกเราด้วย ทั้งสองพากันหัวเราะหยอกเย้า และแอบซุบซิบพูดคุยเกี่ยวกับเราทั้งสอง หูของผมแอบได้ยินคำว่า “คู่รักเกย์คู่ใหม่”  จาก ปากสวยๆของมะนาวที่พูดจงใจให้ได้ยิน แต่จัสตินกลับทำหูทวนลม เขาทักทายมะนาวตามปกติ แต่เป็นการทักทายที่แห้งแล้ง ไร้อารมณ์ สำหรับผมแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆจะต้องทักทายมะนาว เพราะเธอเองก็ไม่ได้แสดงท่าว่าอยากจะพูดคุยกับผมเหมือนกัน
                ข้าว ของส่วนใหญ่ของจัสตินเป็นพวกหนังสือ และซีดี นอกนั้นก็เป็นพวกของสะสมต่างๆ ผมเพิ่งได้รับรู้ว่า พ่อหนุ่มของผมนั้นใฝ่ฝันอยากจะเป็นช่างภาพมานาน ผมแอบเห็นลังที่เขาเก็บอัลบั้มภาพที่เขาถ่ายด้วยตนเอง ฝีมือพอใช้ได้ทีเดียวล่ะ เขา เคยพูดว่า สักวันหนึ่ง เมื่อเขายุติงานที่เขาทำประจำทุกวันนี้แล้ว เขาจะออกท่องโลก แล้วเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของการเป็นนักถ่ายภาพไว้ เขาอาจจะทำงานให้กับนิตยสารท่องเที่ยว หรือ สารคดีบางฉบับ เขาปรารถนาที่จะทำความฝันให้เป็นจริงในเร็ววัน
                เรา ใช้เวลาด้วยกันทั้งวันกับการย้ายและจัดข้าวของส่วนตัวของเขา จัสตินค่อนข้างจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีสไตล์ที่ทันสมัย ซึ่งสังเกตได้จากข้าวของ เลื้อผ้าที่เขาเลือกใช้ น่าแปลกที่นายแบบสินค้าแบรนด์เนมอย่างเขา กลับเลือกใช้เสื้อผ้าคุณภาพดีที่มีราคาปานกลาง แทบจะไม่มีสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพงในห้องของเขา ยกเว้นแต่พวกอุปกรณ์ไฮเทค จำพวกกล้องถ่ายภาพ วิดิโอ และเครื่องเสียง
เขา ยังชอบสะสมพวกของเล่นจำพวกรถ และ ตุ๊กตาฮีโร่ต่างๆด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นด้านที่เป็นเด็กในตัวของเขา ผมชอบกล่องไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่ากล่องที่บรรจุรองเท้าสองคู่ มันเป็นกล่องที่แม่ของเขาซื้อให้ ซึ่งในนั้นบรรจุอัลบั้มรูปถ่ายครอบครัวของเขา จดหมาย และของสำคัญต่างๆ ผมรู้สึกทึ่งในตัวผู้ชายคนนี้ที่อุตส่าห์หอบหิ้วสิ่งของที่แสดงถึงความรัก ความอบอุ่นจากอดีตสู่ปัจจุบัน ข้ามน้ำข้ามทะเลติดตัวไปไหนมาไหนด้วย มันทำให้ผมรู้ว่า สำหรับเขาแล้ว ครอบครัวมีความสำคัญกับเขามากเพียงใด
                จัส ติน ชวนผมเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน หลังจากเราจัดข้าวของเสร็จ และรู้สึกเหนียวตัวจนอยากได้ความเย็นสดชื่นจากสายน้ำ ช่วยชำระล้างร่างกาย และทำให้ผ่อนคลายขึ้น
ผม อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในอ่างน้ำ โดยมีเขานอนซ้อนอยู่ด้านหน้า แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาอิงแอบอยู่กับแผ่นอกของผม ผมใช้สองมือบีบนวดไหล่ให้กับจัสติน  ปรารถนาที่จะใช้สัมผัสของผมช่วยทำให้เขาหายจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  หนุ่มหล่อของผมก็ดูจะพึงพอใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาหลับตาพริ้ม และเอนศีรษะที่มีผมสีทองยุ่งเหยิงแนบไหล่ผม
ผม โอบกอดจัสตินไว้ และลูบไล้ร่างกายของเขาอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน อดไม่ได้ที่จะสูดดมกลิ่นเนื้อชายที่ผิวแก้มของเขา เขาครางอือ เมื่อผมลูบไล้ลงไปถึงท้องน้อย และดึงมือผมให้ลากต่ำไปจนถึงน้องชายของเขาที่คึกคักอยู่ใต้น้ำ ผมสัมผัสผิวเนื้อของจัสตินที่ขยายตัวจนล้นมือของผมอย่างแสนรัก เนิ่นนานทีเดียวที่ผมเกาะกุมร่างกายส่วนนั้นของเขาไว้ ครู่หนึ่งจัสติน ก็พลิกตัวกลับ หันหน้ามาทางผม ดันหน้าผมให้เงยแหงนรับจุมพิตของเขา ร่างกายที่จมอยู่ในอ่างน้ำครึ่งตัวของผมกลับร้อนวูบขึ้นมาด้วยแรงปรารถนา ผมรัดร่างของเขาไว้แนบแน่น ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างกับร่างกายของผม
เขา ทั้งอ่อนโยนและรุนแรง จนผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ผมแทบจะสำลักกับความสุขที่ได้รับจากจัสติน คร่ำครวญหวนไห้ ร่ำร้องเรียกชื่อเขาอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเหมือนกับเวลามันเนิ่นนานเสียเหลือเกิน  นับจากครั้งสุดท้ายที่ผมกับเขามีอะไรกัน แต่เวลานี้ เขาอยู่ตรงนี้ กำลังร่วมรักกับผม เราจูงมือกันขึ้นสวรรค์พร้อมกัน ผม จะไม่ยอมพลาดช่วงเวลาที่แสนสุขนี้ ใครจะว่าผมโลภโมโทสัน ไม่รู้จักพอก็ช่างมัน เพราะสำหรับผมแล้ว ทุกๆวินาทีที่ผมกับเขาอยู่ด้วยกัน เป็นช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์โดยแท้ ผมยอมแลกได้แม้กระทั่งทุกสิ่งที่มี ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขาเป็นพอ
                “ไหนบอกว่า เหนื่อยไง” ผมแซวเขา หลังจากที่เราเล่นเกมส์ ซ่อนกายด้วยกันถึง 5 ครั้ง …….. “ตั้ง 5 ครั้ง ต่างหาก” ผมบอกตัวเอง   นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ผมไม่เคยมีอะไรมาราธอนกับใครมากครั้งในคืนเดียวมาก่อนเลย     ยังแปลกใจตนเองที่รู้สึกกระปี้ -
กระเปร่า ดี๊ด๊า อย่างไรชอบกล นี่กระมังที่เรียกว่า ความรัก ผมยอมตายถวายชีวิตให้กับเขาคนเดียวเท่านั้น
                “ได้ยาชูกำลังขนาดนี้ จะเหนื่อยได้ยังไง” เขาตอบมาเป็นภาษาไทย รู้จักคำว่า ยาชูกำลังอีกแน่ะ
“ อาจจะทำได้อีก สัก 2 หรือ 3 ครั้ง .......แต่ว่า.....” จัสตินลูบบั้นท้ายผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“กลัวกบ จะรับไม่ไหว....” แล้วเขาก็กระซิบที่ข้างหูด้วยข้อความหยอกเย้าผมว่า
“ขี้เกียจยืนคุยกับคุณตลอดเวลา................... เพราะคุณนั่งไม่ได้”
                ผมทำตาเซ็กซี่ใส่เขา “นั่งคุยไม่ได้ ก็นอนคุย แล้วกัน......ผมชอบ”
                “อย่ามาทำเป็นปากดีไปหน่อยเลย” เขาว่า
จัส ติน ลุกขึ้นนั่ง ใช้หมอนสองใบวางซ้อนไว้ด้านหลังตรงหัวเตียง แล้วเอนตัวไปพิง ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า มีเพียงท่อนล่างตั้งแต่ช่วงเอวลงมา ที่มีผ้าห่มปกคลุม ส่วนตัวผม อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขา แต่ผมยังไม่อยากนอน หรือทำกิจกรรมอื่นใดทั้งสิ้น อยากอยู่กับเขา อยากทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับเขาทั้งวันทั้งคืน
ใจ คิด มือจึงทำตามใจสั่ง ผมลูบไล้ร่างกายภายใต้ผ้าห่มของเขา จัสติน หันมาทำหน้าเข้มใส่ แต่ตากลับแวววาว เขากระโจนใส่ผม และแล้วเตียงของเขาก็กลายเป็นสนามรบย่อยๆ ที่นักรบหนุ่มสองคนต่างใช้กำลังประลอง โดยไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน  และ อย่างที่คุณเองก็น่าจะพอเดาได้ ผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พละกำลังของนักรบหนุ่มผู้สง่างามนามจัสตินอย่างสิโรราบ ปราศจากซึ่งข้อสงสัย ( อันที่จริง ยอมแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว.....)

บทที่ 9

ผม กำลังต้มมาม่าอยู่ในครัวเพื่อทานเป็นอาหารมื้อแรกของวัน เมื่อคืนผมกลับดึก เพราะงานยุ่งมาก แต่ยังอุตส่าห์ปลีกเวลาไปฟิตเนสก่อนคลับปิด ผมไม่อยากกลับที่พักเร็วไป ผมจึงมาแวะนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟร้านประจำที่มักจะมานั่งสม่ำเสมอแถว ศาลาแดง ผมกำลังติดใจนิยายเกี่ยวกับการสืบค้นทางโบราณคดีเรื่องที่กำลังโด่งดังอยู่ ในขณะนี้ ผมจึงติดมันมาในกระเป๋าด้วยเสมอ
          จัสตินไปถ่ายแฟชั่นลงหนังสือที่บาหลี  เขา สัญญากับผมว่า เขาจะมาหาผมทันทีที่ลงจากเครื่อง อันที่จริงเขามีกำหนดกลับตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่เขายังไม่ได้กลับมา ไม่มีแม้กระทั่งโทรศัพท์หรืออีเมล์ ผมว้าวุ่นใจเกินกว่าที่จะอยู่บ้านเพียงลำพังแล้วครุ่นคิดถึงเขา ผมมีสภาพไม่ต่างอะไรกับภรรยาที่เฝ้ารอคอยเวลาที่สามีจะกลับมาบ้าน เฝ้าคิดหวาดระแวงว่าสามีตัวเองกำลังปันใจไปให้คนอื่น ก่อนหน้านั้น ผมคิดว่า ถ้าเขามีผู้หญิงมายุ่งเกี่ยวในชีวิตบ้างก็คงจะไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่มีความปรารถนาในตัวเพศตรงข้าม แต่นับตั้งแต่จัสตินกับผมมีอะไรกันบ่อยๆโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ไปยุ่ง เกี่ยวกับคนอื่น มันทำให้ผมคิดมาก ทึกทักเอาเองว่าเขาเป็นของผม  และเกิดอาการหึงหวงขึ้นมา
                แล้วอยู่ ดีๆเขาก็พรวดพราดเข้ามาหาผมในห้องครัว เขาชอบเป็นแบบนี้ประจำ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ส่งข่าวคราวให้รู้ แต่บทจะโผล่มาก็มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาเดินเข้ามาโอบกอดผมแล้วจูบผมเบาๆที่แก้ม ผมต่อว่าเขาที่เขาไม่ยอมบอกให้รู้ว่าเขาจะกลับ ผมจะได้ไปรับ แต่เขาบอกผมว่าเขาเกรงใจ ไม่อยากรบกวน  จัสตินซื้อ ของฝากให้ผมตั้งหลายชิ้น เป็นของฝากจากบาหลีจำพวกของตกแต่งบ้าน เขาคิดเอาว่าผมน่าจะชอบ เขาวางมันไว้ตรงห้องรับแขกอยากให้ผมไปดู แล้วเขาก็ชวนผมออกไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกันเย็นนี้ เพราะเขามีเรื่องอะไรบางอย่างจะพูดกับผม เขาไม่รอให้ผมซักถามอะไร เพราะเขาขอตัวกลับไปห้องพักของเขาก่อน ทิ้งให้ผมอยู่กับความกังขา ว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นจะมีความหนักเบามากน้อยประมาณไหน เจ้าประคู้ณ........ ผมขอพรพระในใจ อย่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเราเลย
          คำ อธิษฐานของผมไม่เคยได้ผลแม้เพียงสักครั้ง..........จัสตินบอกกับผมในค่ำคืน ดินเนอร์สุดแสนโรแมนติกของเรา หนุ่มที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอด บอกกับผมว่าเขาเจอผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่เขาคิดว่า น่าจะไปกันได้ดีกับเขา เธอทำงานในวงการเดินแบบเช่นเดียวกันกับเขา เธอเป็นนางแบบที่สวย เก่ง และฉลาด เขาชอบเธอทันทีที่แรกเห็น ผมได้แต่อ้ำอึ้ง มึนตึบกับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะทำใจอยู่ตลอดเวลาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาในที่สุดมันต้องจบลง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่เมื่อมันมาถึงจริงๆ ผมกลับทำใจยอมรับไม่ได้ ความเจ็บปวดเสียใจจู่โจมผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ผมเงยหน้าขึ้น เหลือกตามองเพดาน เพื่อสกัดกั้นไม่ให้น้ำตามันไหลย้อนลงมา จัสตินก็คงจะจับความรู้สึกของผมได้ เพราะเขารู้มาตลอดว่าผมรักเขามากมายแค่ไหน เขาดึงมือผมไปบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ และพูดกับผมว่า
                “ผม เสียใจจริงๆนะครับ จริงๆแล้วผมก็ชอบคุณมากเลย และผมก็รู้ว่า คุณรักผม คุณทำเพื่อผมมาโดยตลอด ผมรู้สึกดีมากๆเลยเวลาอยู่ใกล้คุณ..... จริงๆนะ..... ผมไม่เคยฝืนใจเลยเวลาที่ผมมีอะไรกับคุณ ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นสิ่งแปลกปลอม หรือ ผิดปกติอะไรด้วยซ้ำ คุณก็คือมนุษย์คนหนึ่ง .....เป็นคนดีด้วย .....” จัสตินพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ผมรู้ว่านี่มันเป็นวิธีการพูดอย่างสุภาพของเขา เขากำลังรักษาน้ำใจผม เขากลัวว่าผมจะไม่เข้าใจ กลัวว่าผมจะโกรธเขา เขาจึงพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น
“ แต่อย่างที่ผมเคยบอกคุณไว้แล้ว ผมปรารถนาจะสร้างครอบครัวกับคนที่จะสามารถให้กำเนิดลูกน่ารักๆ ให้ผมได้สัก 2-3 คน ซึ่งเราทำให้เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นมาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่า คนดีๆอย่างคุณกบจะต้องเจอใครสักคนที่เขารักคุณ และคุณเองก็รักเขาด้วย” จัสตินยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ
                ผม ฝืนยิ้ม แสร้งทำหน้าให้ดูร่าเริงอย่างคนที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างดี ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ด้วยซ้ำ ผมเกลียดช่วงเวลานี้ อยากจะหายตัวไปจากเขา อยากจะให้เรื่องนี้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายของผม อยากจะหยิกตัวเองว่ามันเจ็บไหม ผมทำใจยอมรับไม่ได้กับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นี่คือความเป็นจริง และผมต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างสง่างาม
ผมอยากจะบอกกับจัสตินว่า ผมเพิ่งหาเจอคนที่ผมปรารถนาจะใช้ชีวิตด้วย  แต่ เขาคนนั้นก็กำลังจะจากผมไป จัสตินเป็นคนเดียวในโลกนี้ ที่ผมอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่า หลายต่อหลายครั้งในชีวิตที่ผมเคยคิดจะลงเอยกับใครสักคน แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จ ไม่มีรักแท้ที่จีรังยั่งยืนในชีวิตของเกย์อย่างพวกเรา ผมเฝ้าบอกตัวเองว่าให้มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และต้องทำใจให้ได้ถ้าหากจะต้องจากพรากในอนาคต ที่ผ่านมาผมไม่เคยเสียใจหรือทนทุกข์ แต่กับความรักครั้งนี้มันต่างจากครั้งอื่นๆ ผมยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียมันไป
                “ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นครับ” ผมบอกเขา พยายามทำน้ำเสียงให้สดชื่น กระตือรือร้น
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมคิดว่า ผมน่าจะหาแฟนดีๆได้สักคน  หน้าตาของผมก็พอจะดูดีอยู่บ้าง และหุ่นก็ยังพอใช้ได้ ใช่ไหม”
                “แต่คุณเริ่มมีพุงนิดหนึ่งนะ” เขาชี้ไปที่พุงของผม ผมรีบจับชั้นของผิวหนังหน้าท้องโดยอัตโนมัติ แต่มันไม่มีให้เห็นเพราะช่วงหลังๆนี้ผมออกกำลังกายสร้างความแข็งแรงของหน้า ท้องทุกวัน คนตรงหน้าหัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้
                “ถ้างั้นขอให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำของเราทั้งสองคนได้ไหม?” ผมร้องขอเขา  จัสตินมองหน้าผมเนิ่นนาน ผมหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ แต่เขากลับทำให้ผมรู้สึกชื่นหัวใจด้วยการตอบตกลง

ผม ใช้สองมือกุมใบหน้าหล่อเหลาของจัสตินไว้ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นของผมไล้ไปตามรอยริมฝีปากของเขา ผมวนเวียนอยู่บนเส้นรอบปากก่อนจะดูดริมฝีปากบนและล่าง จากนั้นผมก็สอดลิ้นเข้าไปในปากที่เผยออ้าแล้วดูดเหมือนกับที่ผมทำกับน้องชาย ของเขา
จัส ตินตอบสนองผมด้วยจูบที่หวานล้ำ เราแลกจูบที่ดื่มด่ำแก่กัน อารมณ์ของผมพลุ่งพล่านกระเจิดกระเจิง ผมดึงเสื้อของเขาให้พ้นจากตัว เขาก็ทำอย่างนั้นกับผมเช่นกัน จนร่างกายของเราเปล่าเปลือยมีเพียงปราการด่านสุดท้ายปกปิดไว้เท่านั้น
ผม ไล้ปลายนิ้วไปทั่วใบหน้าของเขา เรื่อยมาถึงคอ จากหัวไหล่สู่หัวไหล่ และจากแขนลงไปถึงปลายนิ้วมือ ผมพยายามใช้สัมผัสเป็นตัวส่งกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นทุกปุ่มประสาท เป็นการปลุกเร้าเขาให้เตรียมพร้อมสำหรับความสุขสันต์และการค้นหาซึ่งกันและ กันที่จะตามมา ผมตั้งใจจะทำให้เขามีความสุขเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เพราะผมไม่เคยเกิดความมั่นใจได้เลยว่า เราจะมีวันเวลาอยู่ร่วมกันได้นานแค่ไหน
ผม รู้ว่าจัสตินไม่รังเกียจที่จะมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกันธรรมชาติทางเพศของเขาก็ร่ำร้องสัมพันธภาพบนเตียงนอนจาก ผู้หญิงมากกว่า ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้มีโอกาสแนบชิดเขาอย่างนี้ ผมจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความสุขให้กับเขา ผมอยากจะให้เขาประทับใจในตัวผมบ้าง ความเห็นแก่ตัวของผมอันเกิดมาจากการที่ผมหลงรักเขาอย่างมากมาย มันทำให้ผมอยากจะเป็นบุคคลหนึ่งที่เขาระลึกถึงอยู่ไม่รู้คลาย และ ในวาระที่จะต้องจากกันอย่างไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้หวนกลับมาพบกันหรือไม่ ผมยิ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายเป็นพิเศษ ที่จะทำให้เขาลืมผมไม่ลง
ผม ขยายเส้นทางของมือไปยังบริเวณหน้าอก หน้าท้อง และต้นขาด้านในของเขา นิ้วมือของผมไล่เรื่อยจากสะดือไปถึงเหนือโคนเส้นขนในที่ลับ จากนั้นเลื่อนไปลูบไล้สัมผัสอย่างอ้อยอิ่งบริเวณขาหนีบ ผมละเลยที่จะยุ่งเกี่ยวกับน้องชายของเขา ผมแกล้งทรมานเขาเล่น  จัส ตินหายใจแรงขึ้น เขาปล่อยให้ผมปลุกเร้าเขาด้วยมือและปากไปพร้อมๆกัน เมื่อประสาทของจัสตินตื่นตัวเต็มที่ ผมก็คิดว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วที่ผมจะใช้ปากให้เกิดประโยชน์กับร่างกายของ เขา
ผม พรมจูบไล้ไปทั่วซอกคอและติ่งหูของเขา โลมไล้ยอดอกด้วยการใช้ฝ่าลิ้นวาดวงกลมๆรอบฐานหัวนม ผมขบกัดเบาๆ ในขณะที่มือของผมสอดเข้าข้างในเพื่อกอบกุมของรักของเขา ผมลากมือไปตามผิวหนังที่บอบบางนั้นและรับรู้ถึงการขยายตัวที่เพิ่มมากขึ้น ลิ้นและปากของผมลากต่ำลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงท้องน้อย ผมอ้อยอิ่งอยู่บริเวณนั้นเนิ่นนาน แล้วก็เลื่อนต่ำลงมาถึงกลางลำตัว ผมทักทายน้องชายที่กำลังตี่นเต้นของเขาผ่านชั้นในสีขาว ใช้ปากห่อหุ้มส่วนหัวเอาไว้ และดูดเน้น ผมใช้ปากตรงบริเวณอื่นๆด้วย ก่อนจะสรุปสุดท้ายด้วยการเม้มคู่แฝดของเขาไว้ในปาก และทั้งๆที่น้องชายของเขายังคงถูกห่อหุ้มด้วยชั้นในแบบนั้น ผมปล่อยลมหายใจอุ่นๆเป่ารด ส่งผลให้จัสตินสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
จัส ตินส่งสายตาอ้อนวอนมาที่ผม เสียงของเขากระเส่ายามที่เรียกร้องให้เราก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาหฤหรรษ์ด้วยกัน แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว ผมรู้แล้วว่าในตอนนี้จัสตินต้องการร่างกายของผมมากแค่ไหน ผมเกี่ยวกางเกงในสีขาวออกจากตัวของเขาทันทีเพื่อปลดปล่อยเจ้าม้าพยศที่กำลัง ดีดตัวเตรียมพร้อมจะออกศึกให้ออกมาสู่สนามรบ
                ผม อบอุ่นจัสตินน้อยด้วยปากของผมอีกครั้ง รับรู้ได้ถึงพละกำลังที่แข็งขืนอยู่ข้างใน หนุ่มหล่อของผมครางอือ เมื่อผมหยอกล้อกับเรือนร่างส่วนนั้นของเขา มือของผมสอดเข้าไปใต้ก้น กดปลายนิ้วลงบนผิวเนื้อบั้นท้ายของเขา และลูบไล้นวดเฟ้น ผมไม่อยากให้เขาถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป ผมอยากให้เราสองคนไปพร้อมๆกัน
                จัส ตินคงทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายของเขาเครียดเขม็ง เขาดึงผมขึ้นมาจากส่วนล่างของเขา แล้วจับให้นอนหงาย ตัวของเขาก้าวขึ้นมาทาบทับ เขาบดสะโพกเข้ากับท้องน้อยของผม ร่างกายที่ตึงเขม็งส่วนนั้นเบียดแน่นกับเรือนกายส่วนร่างสร้างความรัญจวนใจ ให้ผมอย่างมาก
                เขายกขาทั้งสองข้างของผมขึ้น แล้วล๊อกไว้ด้วยแขนของเขา ด้วยท่านั้นทำให้สะโพกของผมลอยเด่น ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาในร่างของผม  ผม อุ่นวาบภายในกาย ยามที่เขาเคลื่อนไหว จัสตินขยับร่างกายช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น ผมแทบคลั่งด้วยความปั่นป่วนรัญจวนใจที่ประทุอยู่ภายใน ผมกัดกรามแน่น เมื่อร่างกายได้รับการกระแทกกระทั้น ตาของผมพร่าพราย หัวใจเต้นแรงรัว สมองอื้ออึง และแล้วน้ำตาสองสายก็ไหลรื้นกลบตา
ผม ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงของผมเอง ผมกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ....หัวเราะทั้งๆที่น้ำตาอาบแก้ม หัวเราะให้กับความสุขที่ผมได้รับเป็นครั้งสุดท้ายจากจัสติน ชายหนุ่มที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต ผมกำลังเริงร่ากับความสุขที่ได้รับ ทั้งๆที่ใจของผมเจ็บปวดรวดร้าว
ร่างกายของชายที่ผมรักกระตุกถี่ๆ เขาเรียกชื่อผม ก่อนที่จะผวาเข้ากอดรัดผมแน่น เมื่อเขาบรรลุถึงปลายทางแห่งสวรรค์
                จัส ตินโอบกอดผมไว้ในอ้อมแขน เขาลูบไล้เนื้อตัวของผมอย่างแผ่วเบา แล้วพรมจูบไปทั่วใบหน้าของผม เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ผมกลับรับรู้ได้ถึงความพยายามของเขาในการที่จะใช้ภาษากายสื่อความรู้สึก ที่มีต่อผม นี่ถ้าหากว่าผมไม่ได้กำลังอยู่ในช่วงแห่งความทุกข์แสนสาหัสทางใจ ผมอาจจะเผลอไผลคิดไปได้ว่าเขาก็มีใจให้กับผมเหมือนกัน .......โอ....ผมปวดร้าวและสิ้นหวังเสียเหลือเกิน ...ทำไมผมถึงได้รักเขามากมายแบบนี้นะ ทำไมโลกนี้จึงโหดร้ายกับผมนัก ทำไมผมถึงไม่สามารถจะอยู่กินกับเขาได้ จะมีหนทางใดบ้างไหมที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจจากผู้หญิงคนนั้น มารักผม
คำ ถามต่างๆนานา ผุดขึ้นมาอย่างมากมายในความคิด แต่ไร้ซึ่งคำตอบที่จะแก้ปัญหาของผมได้ ปัญหาของผมมันเป็นเพียง ตัณหา ความอยากได้ใคร่ดี ความพิศวาส ลุ่มหลง ความปรารถนาในสิ่งที่ไม่มีทางจะได้มาเป็นของตัว มันเป็นหลุมพรางที่ผมตกลงไปแล้วไม่สามารถจะตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ ซึ่งส่วนหนึ่ง มาจากการที่ผมเองก็ไม่ยอมพยายามที่จะก้าวขึ้นมา.........ให้ตายเถอะ จากนี้ไปมันคือนรกชัดๆ เลย ผมจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรกัน หากปราศจากหนุ่มผมทองคนนี้ที่ผมรัก
                เรา ล่ำลากันด้วยความรักและอาลัย มันเป็นค่ำคืนที่แสนสุข และแสนสั้นนักในความคิดของผม แม้ผมจะทำใจยอมรับไม่ได้กับการที่เขาจะไปเป็นของคนอื่น แต่ผมก็จำต้องเคารพการตัดสินใจของเขา ผมยังอยากเห็นคนที่ผมรักมีความสุข ถึงแม้ว่าผมจะต้องทุกข์ทรมานใจก็ตาม วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็คงจักต้องปล่อยให้มันเป็นไป ผมทำได้แค่เพียงประคับประคองชีวิต และ หัวใจของตนเอง ให้คงสภาพเดิมอย่างที่มันควรจะเป็น


บทที่ 10
                2-3 ปีมานี้ ผมเปลี่ยนงานใหม่ ผมลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ แล้วหันมาทำงานเป็นนักแปลอิสระ ผมแปลบทความ และ แปลนิยายหลายเรื่อง ได้ค่าตอบแทนสูงพอสมควร ซึ่งทำให้ผมสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
ผม มีเวลาว่างมากพอที่จะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้ทำกิจกรรมที่ผมชอบมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การดูหนัง ฟังเพลง และอ่านหนังสือ ผมยังคงเป็นสมาชิกที่สถานออกกำลังกายที่เดิม ยังคงไปนั่งอ่านหนังสือที่ร้านกาแฟที่ไปประจำ แต่ผมกลับบ้านดึกกว่าเดิม บางครั้งก็ไม่กลับ เพราะผมยังคงทำใจไม่ได้ ถ้าต้องกลับไปอยู่ในสถานที่ที่มีเรื่องราวแห่งความรักความหลังระหว่างผมกับ นายแบบหนุ่มรูปหล่อคนนั้น
                จัสตินย้ายออกจากคอนโดไปแล้ว เขาลาออกจากการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และไม่ได้เป็นนายแบบอีกต่อไป ผมได้รับข่าวคราวล่าสุดจากเขาเมื่อ  1 ปีที่ผ่านมา ว่าเขาเดินทางกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของเขา หลังจากที่เลิกรากับนางแบบสาว คนที่เขาเจอที่บาหลี คนที่เป็นต้นเหตุให้ผมกับจัสตินต้องเลิกรากัน ผมไม่ได้สมน้ำหน้าเธอ แต่ค่อนข้างจะรู้สึกเห็นใจด้วยซ้ำ ผมรู้ดีว่าเธอคงจะเจ็บปวด เหมือนกับที่ผมเคยเป็นมาก่อน การที่ต้องแยกทางกับผู้ชายอย่างจัสติน ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำใจได้ง่าย เพราะจนป่านนี้ ผมยังไม่เคยลืมเลือนเขาออกไปจากใจ
                ผม ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวอะไรจากเขามากไปกว่านั้น เขาหายเงียบไป ไม่มีการติดต่อกลับมา เขาอาจจะลืมผมไปแล้ว การกลับไปอเมริกาของเขาคราวนี้ เขาอาจจะได้พบเจอผู้หญิงที่ถูกใจ และพร้อมที่จะตั้งรกรากที่นั่น มีลูกหลายๆคนอย่างที่เขาต้องการ เป็นสามี และเป็นพ่อที่ดีของลูกอย่างที่เขาคิดฝัน ผมได้แต่ภาวนาให้ชีวิตคู่ของเขามีความสุข ไม่ต้องพบเจอกับความผิดหวังอีกต่อไป
                ความ พยายามที่จะลืมจัสติน ทำให้ผมมุ่งมั่นอยู่กับการทำงาน ผมยังคงไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธความสัมพันธ์ชั่วคืนในบางครั้ง ผมตัดหนทางในการที่จะผูกพันตนเองไว้กับใครบางคน ผมกลัวความผิดหวัง ผมกลัวว่าผมจะทำใจยอมรับไม่ได้
หน ก่อนที่ผมเลิกรากับจัสติน ผมร้องไห้อยู่เกือบสามเดือน ทำตัวเหมือนเป็นผู้หญิงอกหัก รักคุด เอาแต่เมาหัวราน้ำทุกวัน ยอมมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากความรักกับคนที่ผมพึงพอใจ แต่มันก็ไม่บ่อยนักหรอก เพราะผมมักจะพบกับความล้มเหลวเมื่ออยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส หลายครั้งที่ผมผละจากคู่ของผมอย่างกระทันหัน ในตอนที่กำลังจะเข้าได้เข้าเข็ม ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมทนให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวผมไม่ได้ ถ้าหากคนๆนั้นไม่ใช่จัสติน ผมอยู่กับเขานานเกินไปจนคุ้นเคยกับวิธีการสัมผัสและเล้าโลมของเขา เมื่อมาเจอสัมผัสที่แตกต่างออกไป ทำให้ผมเกิดความขยะแขยง รู้สึกเกลียดตัวเองที่นอกใจจัสติน และตามมาด้วยอาการหวงตัว ผมต้องใช้จินตนาการเข้าช่วย ว่าคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงผมอยู่คือจัสติน มันช่วยได้บ้างในบางครั้ง ทำให้ผมสามารถได้รับความสุขทางเพศรส
ช่วง ระยะหลังๆนี้ ผมแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครเลย ผมไม่อยากทำร้ายคู่นอนของผมด้วยความเย็นชา มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับเขาเหล่านั้นและตัวผมเอง การทำงานอย่างหนัก รวมถึงการทำกิจกรรมเยอะๆ  ช่วยทำให้ผมหลับในยามค่ำคืนอย่างง่ายดาย
                หลัง จากรับเงินก้อนโตค่าแปลหนังสือ ผมตัดสินใจที่จะไปพักผ่อนสักสองสัปดาห์ ที่เกาะกูด เพื่อเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งความทรงจำระหว่างผมกับนายแบบหนุ่มผมทอง ผมต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสงบเพื่อรำลึกถึงเขาในวาระครบรอบ 3 ปีที่ผมและเขามีความสัมพันธ์ที่ดื่มด่ำลึกซึ้งต่อกัน
ผม ติดต่อไปยังเจ้าของรีสอร์ทเพื่อขอบ้านหลังเดิมที่ผมกับจัสตินเคยพักด้วยกัน โชคร้ายที่มีคนจองไปแล้วก่อนหน้านั้น เขาจะเข้าพักก่อนหน้าผมประมาณ 2 วัน และ จะอยู่ยาวประมาณสองอาทิตย์ ถึงแม้ผมจะเสียใจที่ไม่ได้บ้านหลังนั้น แต่ผมก็ไม่ถอดใจ ผมขอจองบ้านหลังใกล้ๆกัน เผื่อว่าบางทีผมจะขอแลกบ้านกับแขกคนนั้น ผมจะอธิบายให้เขาฟังถึงเหตุผลที่ผมอยากพักที่บ้านหลังนั้น ซึ่งผมคิดว่าเขาน่าจะเข้าใจ  โชคดีเป็นของผมเพราะมีบ้านว่างอยู่หลังหนึ่งในบริเวณใกล้ๆกับสถานที่แห่งความทรงจำของเราหลังนั้นพอดี
                ผม เก็บเสื้อผ้า และข้าวของใช้ที่จำเป็นยัดใส่กระเป๋า โดยไม่ลืมจะติดหนังสือไปด้วยสักสองสามเล่ม ผมกะจะใช้เวลาตลอดบ่ายที่ชายหาด นอนอ่านหนังสือ อาบแดด และเล่นน้ำ รวมถึงท่องเที่ยวไปตามเส้นทางที่จัสตินเคยไป แล้วใช้เวลายามค่ำคืนกับการเขียนหนังสือ พอผมแปลบทความ เรื่องสั้น และนิยายมากๆ ก็เกิดความอยากที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตนเองขึ้นมา ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะดีเด่นถึงขั้นตีพิมพ์ได้ แต่ต้องการจะบันทึกเสี้ยวหนึ่งแห่งชีวิต โดยเฉพาะเรื่องราวความรักความรู้สึกของผมที่มีต่อจัสติน ผมต้องการที่จะเก็บความทรงจำดีๆที่มีอยู่ไปตราบนานเท่านาน
          ของ สำคัญอีกชิ้นที่ผมนำไปด้วยในครั้งนี้ ก็คือเจ้าตุ๊กตากบน้อย ผมใช้เจ้าตุ๊กตาตัวนี้เป็นตัวแทนของจัสติน เวลาที่ผมคิดถึงเขามากๆ ผมจะนำเจ้ากบตาโปนขึ้นมากอด มาหอม ตุ๊กตากบน้อยจะอยู่ในเตียงและทุกๆที่ๆในบ้าน ข้างๆตัวผม ตลอดเวลา อุปาทานหรือเปล่าไม่ทราบ ผมยังมีความรู้สึกว่ากลิ่นของจัสตินยังอบอวลอยู่ในตัวของตุ๊กตาขนฟูสีชมพู และไม่เคยจางหายไปไหน
          ตอน ที่ผมมาถึงบังกะโลบ้านพัก นักท่องเที่ยวที่เช่าบ้านที่ผมอยากได้ไม่อยู่ เขาออกไปท่องเที่ยวที่ไหนสักแห่ง ผมได้แต่ยืนมองบ้านที่ผมเสียตัวให้จัสตินครั้งแรกอย่างอาวรณ์ ผมอยากจะเข้าไปในบังกะโลหลังนั้น ไปสัมผัสกับที่นอนว่ามันจะดูอุ่นๆ เหมือนตอนที่ผมกับเขาอยู่ด้วยกันไหม อยากเห็นห้องน้ำโล่งๆ ที่เราเคยเปลือยกายอาบน้ำเย้ยแสงจันทร์ด้วยกัน เก้าอี้ตรงชานบ้านที่ยื่นออกมาจะยังสามารถนั่งแล้วมองออกไปเห็นทิวทัศน์ตรง ชายหาดได้มุมดีเหมือนอย่างเดิมหรือเปล่า....ผมนี่บ้าเสียจริง ทั้งๆที่เหตุการณ์ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ผมยังอดคิดถึงมันไม่ได้สักที
                ผม เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเล่นน้ำทะเลตรงจุดเดิมที่ผมกับเขาเคยลัดเลาะไปด้วยกัน ธรรมชาติยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ผมดำผุดดำว่ายในทะเลประมาณ 15 นาที ก็รีบขึ้นมา ใจมันอดคิดถึงการว่ายน้ำแข่งกันระหว่างผมกับเขาในอดีตไม่ได้ ผมรีบขึ้นจากทะเล ตรงดิ่งไปบ้านพัก เมื่ออาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่มพร้อมผ้า 1 ผืน โดยไม่ลืมหนีบกบตาโปนไปด้วย ผมเดินตรงไปที่ศาลาท่าน้ำ จัดแจงปูผ้าผืนใหญ่ลงกับพื้น แล้วนอนคว่ำ เปิดหนังสือออกอ่าน ตั้งใจว่า จะอ่านหนังสือเล่นสักพักก่อนไปทานอาหารค่ำที่ร้าน ลมทะเลพัดพาเอาความเย็นสบายมาสู่ตัวผม ทำให้เผลอหลับโดยไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อมองเห็นคนที่นอนเหยียดยาวอยู่ข้างๆ
                ใบ หน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อที่มีเส้นผมสีทองระอยู่ข้างแก้ม เป็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยมาตลอด มันเป็นใบหน้าที่ผมได้มีโอกาสสัมผัส และหน้านี้เองที่อยู่ในความคิดคำนึงของผมอยู่ตลอดเวลา
                ผม เกิดบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมากระทันหัน ในขณะที่ผมคิดถึงเขาตลอดเวลา คิดว่าชาตินี้คงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว แต่พ่อยอดรักของผมกลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าตอนนี้ เขากำลังนอนหลับอย่างสบายๆ ลมหายใจสม่ำเสมอ เขาสวมเสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้น ผมมองเลยผ่านไปตรงสะพานที่เชื่อมแผ่นดินกับศาลาท่าน้ำไว้ด้วยกัน มีจักรยานคันหนึ่ง จอดพิงไว้ที่นั่น ผมยิ้มอย่างเป็นสุข  ทุกอย่าง ดูเหมือนย้อนกลับไปตามรอยเดิม ผมหลับตาลง แล้วรีบลืมตาขึ้นมาใหม่ ภาพตรงหน้าไม่ได้เลือนหายไป นี่คือความจริง จัสตินอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้.......
                "ไฮ กบ .." จัสตินตื่นแล้ว เขาส่งยิ้มกว้างมาให้ผม
"คุณหลับสบายไหม" เขาถาม ผมพยักหน้า เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง
"ผม กำลังจะกลับเข้าบ้านพัก ผ่านมาทางนี้ เห็นคุณนอนอยู่ นึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ว่าคุณมาที่นี่ได้ไง อยากจะปลุกคุณ แต่เห็นกำลังหลับสบาย ก็เลยมานอนเป็นเพื่อน"
                "คุณล่ะ มาได้อย่างไร" ผมถามเขา
                "ผมมาพักที่นี่ได้ 2-3 วันแล้ว พักอยู่บ้านโน้นไง บ้านที่เราเคยมาพักด้วยกัน"
เขา ชี้ไปที่รังรักของเราหลังนั้น ผมรู้สึกเต็มตื้นด้วยความสุข มันแทบจะทะลักล้นออกมานอกหัวใจ ยอดรักของผมอยู่บ้านหลังนั้น แสดงว่าเขายังจำเรื่องราวระหว่างเราสองคนได้เป็นอย่างดี เขาจะว่าอะไรผมไหมนะ ถ้าหากว่าคืนนี้ ผมจะขออาศัยอยู่กับเขาด้วย ....
                "ผม ไม่ได้ข่าวคราวของคุณเลย ครั้งสุดท้ายรู้ว่าคุณเลิกกับแฟน แล้วกลับอเมริกา คุณหายไปทำอะไรมา แต่งงานหรือยัง แล้วทำไมถึงกลับมาที่นี่อีก......"
ผมยิงคำถามใส่เขาเป็นชุด ทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ เขาหัวเราะ
                "ผม กับสาวคนนั้นไปด้วยกันไม่ได้ เธอสวย และฉลาดก็จริง แต่เธอก็ขี้หึงอย่างร้ายกาจ ที่สำคัญหูเบาด้วย เธอถูกเป่าหูจากมะนาว ทำให้หวาดระแวงผม ผมไปไหนกับเพื่อนที่เป็นผู้ชายไม่ได้เลย ยิ่งผมคลุกคลีกับนายแบบที่ส่วนใหญ่เป็นเกย์ เธอก็ยิ่งวีนผม มันก็เลยทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว เผอิญแม่ของผมป่วย ผมก็เลยกลับบ้านไปดูแลแม่ ท่านเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่แม่ตาย ผมก็ออกจากบ้านมาอีกครั้ง และออกท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ผมถ่ายรูปไว้เยอะแยะเลย ไว้จะเอาให้คุณกบดูวันหลัง นอกจากนี้ผมยังเขียนเกี่ยวกับสารคดีการท่องเที่ยวให้นิตยสารแห่งหนึ่งด้วย ทริปนี้เป็นทริบสุดท้ายของผม ผมเลือกที่จะมาเมืองไทย และมาที่นี่ เพื่อระลึกถึงความหลังระหว่างเรา" เขาตอบผมยืดยาว
                "คุณดูผอมไปนะ กบ...........แล้ว ยังทำงานอยู่ที่เดิมหรือเปล่าครับ"
เขา ถามผม ผมก็เลยเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราต่างคนต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวซึ่งกันและกัน จัสตินในวัย 28 ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมาก เขามีท่าทางสุขุม แต่ยังคงไว้ซึ่งการมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ขันเหมือนเดิม
                "อยากนอนกับผมไหม" เขาถาม หัวใจผมเต้นตึ่กตั่ก หน้าร้อนวูบ เขาทำตาเจ้าเล่ห์ พูดว่า
"ผม หมายถึง อยากพักในบ้านหลังเดียวกับผมไหม ถ้าอยาก..........ก็คืนบ้านของคุณซะ แล้วย้ายของมาพักอยู่ด้วยกัน เพื่อความประหยัด เราจะได้เหลือเงินเพื่อซื้อเบียร์มากินอีกคืนนี้"
ผม แอบค้อนเขา หมั่นไส้นักที่เขาทำท่าเหมือนรู้ทันความคิดของผม จัสตินลุกขึ้นยืน เขายื่นมือมาช่วยฉุดผมให้ลุกขึ้น แล้วรุนหลังผมให้ไปยังบ้านพักเพื่อเก็บข้าวของ
                หลัง จากผมคืนบ้าน และขอโทษขอโพย พร้อมยอมให้เจ้าหน้าที่การเงินของรีสอร์ทหักเงินค่ามัดจำไป ผมก็มุ่งหน้าไปยังบ้านที่จัสตินพักทันที ตรงชานบ้านที่ยื่นออกมา มีโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่4-5 อย่าง พร้อมข้าวสวยร้อนๆ มีเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ข้างๆ เขาคงสั่งอาหารโดยให้ทางร้านส่งมาให้ที่นี่
จัสตินอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ตัวของเขาหอมกรุ่นด้วยกลิ่นสบู่และแชมพูสระผม เขาอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว  และกางเกงเลสีเปลือกมังคุด เขาช่วยผมถือข้าวของเข้าห้อง แล้วชวนออกมาทานข้าวด้วยกัน
                เรา อ้อยอิ่งทานอาหารเย็น ขณะนั่งมองดูพระอาทิตย์ค่อยๆตกดินไปด้วยกัน ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามาปกคลุม มีเพียงแสงไฟนีออนตามบ้านพักที่เปิดไว้ให้ความสว่าง ผมอยากให้ช่วงเวลาของการทานข้าวด้วยกันยืดยาวออกไปอย่างเนิ่นนาน ผมกำลังกลัว กลัวที่จะอยู่กับเขาสองคน มันต่างจากครั้งแรกตรงที่ว่า คราวนี้ผมกลัวที่จะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายกระโจนเข้าหาเขาก่อนไม่ไหว กลัวว่าผมจะขอให้เขาร่วมรักกับผมให้มากครั้งที่สุดเท่าที่จะมีแรงไหว และผมก็กลัวว่า เขาจะปฏิเสธ เพราะเขาอาจจะมีใครบางคนรออยู่ที่อเมริกานั่น แม้ใจผมร่ำร้องอยากเป็นของเขา แต่ผมก็กลัวความผิดหวังจะเกิดขึ้นซ้ำสองกับผมอีก การได้เจอเขาอย่างไม่คาดฝันมันทำให้หัวใจของผมเตลิดเปิดเปิง หากผมไม่ฝืนใจตนเองเสียบ้าง ผมนี่แหละจะเป็นฝ่ายต้องเจ็บปวดในภายหลัง
                จัส ตินชวนผมเล่นไพ่ฆ่าเวลาในยามค่ำคืน ด้วยกติกาเหมือนเดิมอีกครั้ง คราวนี้ผมจะไม่หลงไปติดกับดักในเสน่ห์ของจัสตินอีก ผมจะขอให้เขาทำอะไรก็ได้ ซึ่งมันจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมใจแตก ผมคิดถึงสิ่งต่างๆที่อยากจะให้เขาทำ หากผมเกิดชนะขึ้นมา
                นี่ อาจจะไม่ใช่วันของผม เพราะผมแพ้เขาตั้งแต่เริ่มเล่น จัสตินเกิดเก่งและเฮงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผมเลยต้องเป็นทาสรับใช้ของเขาสารพัดอย่าง ทั้งไปซื้อเบียร์ ปูที่หลับปัดที่นอน เก็บกวาดโต๊ะอาหาร เอาจานชามไปคืน นวดแข้งนวดขา เกาหลัง อ่านหนังสือให้ฟัง และตัดเล็บ พ่อเจ้าประคุณทูนหัวของผม รู้สึกสนุกสนานยกใหญ่ที่ได้เป็นเจ้านาย ผมรู้สึกคับแค้นใจที่แพ้ติดๆกันหลายๆตา โดยไม่มีโอกาสเอาชนะเลย
เกมส์ ดำเนินต่อไปจนถึงครั้งที่ 10 ที่ผมแพ้เขา ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่ผมจะต้องทำ เขานิ่งคิดอยู่นานมาก ว่าจะให้ผมทำอะไรดี ในที่สุดเขาก็คิดพิเรนทร์โดยให้ผมเต้นระบำเปลื้องผ้า ผมขัดขืนไม่ยินยอม แต่เขาก็พูดลำเลิกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนนั้น ที่เขาเป็นฝ่ายแพ้ และต้องยอมเต้นเปลื้องผ้าให้ผมดู ผมจำต้องฝืนใจขึ้นไปทำท่าเต้นยั่วเขา
จัส ตินหัวเราะชอบใจเมื่อผมค่อยๆกระมิดกระเมี้ยนถอดเสื้อผ้าออกจากตัว เขาแกล้งพูดยั่วผมว่า ไม่เห็นแก้เร็วเหมือนตอนที่เรามีอะไรกัน ผมอยากจะโกรธเขานักที่พูดกับผมแบบนี้ แต่ก็โกรธไม่ลง เพราะมันคือเรื่องจริง ยามที่ผมอยู่ในห้วงเสน่หา ผมสามารถเปลี้องผ้าออกจากกายได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่ตอนนี้มันแตกต่างกันตรงที่ผมกับเขาไม่ได้กำลังจะมีอะไรกัน
                จัส ตินสวมวิญญาณของนักดูโชว์ใจร้อน เขาทำท่าฮึดฮัดขัดใจที่ผมมัวแต่พิรี้พิไรเขินอายอยู่ ท่าทางเขากระเ[อย่าโพสคำหยาบ]้ยนกระหือรือที่จะเห็นความอับอายขายหน้าของผมมาก ส่งเสียงเชียร์ให้ผมถอดเสื้อผ้าออก จนกระทั่งถึงปราการด่านสุดท้าย เขาทำท่าให้ผมรูดกางเกงในออกจากร่าง ผมบอกว่า ทีผมยังไม่บอกให้เขาทำอย่างนั้นเลย แต่เขาย้อนผมกลับมาหน้าตาเฉย ว่าแล้วแต่คนสั่ง เมื่อผมไม่ยอมถอด จัสตินก็ลุกพรวดเข้ามาประชิดตัวผม ก้มลงนั่งยองๆ แล้วใช้นิ้วเกี่ยวพรวดเดียวลากกางในลงไปกองที่ข้อเท้า
ผม รีบใช้สองมือปิดของสงวนผมโดยอัตโนมัติ แต่จัสตินดึงมือผมทั้งสองข้างออกไป ผมเลยหนีบขาเข้าหากัน ยืนนิ่ง แต่ใจสั่นไหว จัสตินจ้องน้องชายของผม แล้วหัวเราะ เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาล้อเลียน
                "คุณแสดงอาการพร้อมที่จะมีเซ็กซ์แล้ว......ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ บอกมาเดี๋ยวนี้"
เขา ทำท่าขึงขัง โธ่ถังหมดกันเลย เจ้าร่างกายของผม ดันมาทรยศกันเองเสียได้ ทั้งๆที่ห้ามใจ และเตือนตัวเองไว้แล้วเชียว ว่าอย่ายอมให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมแพ้  นึก ในใจว่า ในเมื่อทั้งร่างกายและจิตใจมันไม่ยอมฟังคำสั่งการจากสมองของผม ก็คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามการเรียกร้องจากทางธรรมชาติ แล้วค่อยมาดูแลรักษาจิตใจกันภายหลัง ตอนนี้ผมอยากให้เขาเข้ามาสำรวจในกายผมใจจะขาดแล้ว ผม อยากให้เขารักผม อยากให้เขาทำทุกอย่างกับร่างกายของผมตามความต้องการ ให้สาสมกับที่ผมไม่ได้เจอเขามานานแสนนาน ตัวผมและจิตใจของผมพร้อมที่จะเป็นของเขาตลอดเวลาอยู่แล้ว
                จัส ตินยิ้มกริ่ม สั่งให้ผมไปนอนรออยู่บนฟูก แล้วหันมาจัดการตนเอง ผมมองไปที่ส่วนกลางของลำตัวของเขา จึงได้รับรู้ว่า เขาเองก็ต้องการผมไม่น้อยไปกว่ากัน เขากระโจนใส่ผม เราต่างกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน เหมือนคนที่อดอยากหิวโหยมานาน ผมเต็มอกเต็มใจ ร่วมไม้ร่วมมือกับเขาเต็มที่ จัสตินทั้งอ่อนหวาน และดุดัน เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่เขามีใส่ผมไม่ยั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เราตักตวงความสุขใส่กัน อย่างไม่รู้จักอิ่ม ผมปวดระบมไปหมดทั้งก้น คาดเดาว่ามันคงจะนำมาซึ่งปัญหาของผมในวันรุ่งขึ้น ผมคงนั่งไม่ได้ไปตลอดวัน แต่ไม่เป็นไร ผมเตรียมพร้อมกับการนอนนิ่งๆอยู่แถวชายหาดอยู่แล้ว ดังนั้นค่ำคืนนี้ผมพร้อมจะพลีกายให้ชายคนรักของผม โดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น รู้แต่ว่า ผมไม่อยากพลัดพรากจากเขาอีกแล้ว  ผมอยากอยู่กับเขา อยากเป็นของเขาตลอดไป ถ้าจัสตินจะให้ความรักกับผม แล้วผมจะต้องตายลงไปในวันนี้ พรุ่งนี้ ผมก็ยินยอม

บทที่ 11
หนุ่ม หล่อยอดรักลูบไล้บั้นท้ายของผมอย่างแผ่วเบาทะนุถนอม เขาค่อนข้างระมัดระวังการสัมผัส ไม่อยากให้ผมเจ็บปวด ค่ำคืนที่ผ่านมาผมต้องทนรับศึกหนักจากเขาด้วยความเต็มใจ ไม่มีแม้แต่คำบ่น หรือการร้องโอดโอย จากนั้นเขาดึงผมเข้ามากอดกระชับแน่นในวงแขนแข็งแรงของเขา และจูบเบาๆที่ข้างแก้ม
                "รู้สึกดีเหลือเกิน ....ที่ได้เป็นเจ้าของคุณอีกครั้ง"
เขากระซิบที่ข้างหูของผม ผมเบียดร่างเข้าหา จัสตินรัดผมแน่นเข้าไปอีก
"คิดถึงคุณตลอดเวลาเลย ตอนอยู่เมืองนอก"
เขาพูดประโยคที่ทำให้หัวใจผมพองโตขึ้นมาคับอก
"คุณกบล่ะ คิดถึงผมมากไหม"
                "ทุกวินาทีเลย"
ผมบอกเขา พลางพลิกตัวเข้าหา แล้วกอดเขาไว้แน่น
"ผมคิดว่าคุณคงแต่งงานแล้วที่เมืองนอก เพราะคุณเงียบหายไปนานมาก ไม่ส่งข่าวมาเลย"
                "ขอโทษนะ"
เขาจูบเบาๆที่หน้าผาก
"หลัง จากหลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ผมต้องการที่จะมีเวลาในการคิดว่า ชีวิตต่อจากนี้ไป ผมควรจะเลือกไปทางไหนดี รวมถึงชีวิตรักของผมด้วย"
                "ได้คำตอบหรือยังล่ะ"
ผมงึมงำถามเขา
                "ฮื่อ..... รู้แล้วละว่าสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคืออะไร ......การที่ผมมาวันนี้ เพราะผมมีเรื่องสำคัญที่จะบอกคุณ"
                "พบคนที่ถูกใจ และจะอยู่กับเขาอีกแล้วหรือ"
ผมดักคอ  จาก ประสบการณ์ของผม เมื่อใดที่เขามีเรื่องสำคัญจะบอก มันมักจะเป็นเรื่องที่เขาเจอคนถูกใจทุกที ผมหลับตา นิ่งฟังอย่างสงบ รอคำพูดที่จะออกจากปากของเขาอย่างคนที่ยอมรับในชะตากรรมของตนเอง
                "เดา ได้ถูกเผงเลย"
เขาดันผมออกห่าง ใช้มือหนึ่งแตะไหล่ผมไว้ แขนอีกข้างงอตั้งฉากรองรับน้ำหนักตัวของเขาที่กำลังอยู่ในท่าตะแคงข้าง จ้องมองผม
                "ผม เพิ่งจะค้นพบใจตนเองเมื่อไม่นานมานี้ ว่าผมรักคนๆหนึ่ง อย่างมาก เขาเป็นคนดี เป็นคนที่ห่วงใยผมมาตลอด เขาให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับผม โดยที่เขาไม่เคยเรียกร้องกลับคืนเลยสักครั้ง ผมมักจะทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่เคยโกรธหรือลงโทษผมตรงกันข้าม เขากลับเข้าอกเข้าใจและยอมทำตามที่ผมต้องการ แม้เขาจะต้องทนทุกข์ปวดร้าวก็ตาม ที่ผ่านมา ผมอาจจะไม่เห็นความสำคัญของเขา  แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขามีค่ามากกับผมแค่ไหน."
                ผมรับฟังเขาพูดด้วยอาการเซื่องซึม ถ้าผู้หญิงคนนั้น ดีกับจัสตินขนาดนี้ ก็สมควรแล้วที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตคู่อยู่กับเธอ
                "ในฐานะที่ผมนับถือคุณเป็นเพื่อนรัก ผมจะแนะนำให้คุณได้รู้จักคนรักของผม ผมเอารูปของเขามาด้วย นี่ไง"
เขา ล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์จากเป้ของเขาขึ้นมา แล้วหยิบรูปใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันเป็นรูปคู่ถ่ายกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง วันที่จากในภาพระบุว่า ถ่ายเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จัสตินยืนอยู่หน้าประตูบ้านพัก สองแขนโอบกอดร่างหนึ่งไว้ ผมหันมามองเขา ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้
                "นี่มันรูปผมนี่ อย่าล้อเล่นสิ"
ผมต่อว่าเขา
"จะ หยอกล้อกันไปถึงไหน คุณก็รู้ดีนี่ว่าผมรักคุณมากมายเพียงใด แล้วคุณก็รู้อยู่แก่ใจตนเองนี่ ว่า คุณไม่ใช่เกย์อย่างผม คุณไม่ได้รักคนเพศเดียวกัน คุณมาอำผมให้ตื่นเต้นหัวใจวายเล่นทำไม"
                จัสตินดึงรูปไปจากมือผม ทำหน้างอ
"เรื่อง มากจริง พูดนั่น พูดนี่อยู่ได้ ไอ้เรารึก็อุตส่าห์พูดความจริงจากใจให้ฟังแล้ว ว่ารักจริงหวังแต่งแค่ไหน ยังมาทำท่าหวาดระแวงอีก ....น่าเบื่อจังแฮะ"
เขาทำเป็นงอน ผมโผเข้ากอดเขาไว้ ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเด ทั้งดีใจ ปลื้มปิติ ระคนความไม่มั่นใจ
                "ก็คุณแสดงตัวมาตลอดว่าชอบผู้หญิง แล้วคุณก็เป็นชายแท้ทั้งแท่งนี่นา.....ใครจะไปคิดว่า คุณจะมาชอบเกย์อย่างผม"
                "นี่ถ้าอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็อย่ามาสงสัยผมอย่างนี้อีกนะ ...ไม่งั้นงอนไม่พูดด้วย จริงๆ"
เขาทำเสียงเข้ม
                "ผม ก็ยังคงเป็นผู้ชายเหมือนเดิมทั้งแท่งนั่นแหละ แต่เป็นผู้ชายที่รักคุณอย่างหมดหัวใจ จำได้ไหม ผมเคยบอกคุณตลอดเวลา ว่าคุณเป็นคนดี ผมชอบคุณที่คุณเป็นตัวของคุณเอง ผมมองข้ามเพศของคุณออกไป สำหรับตัวผมแล้ว ไม่ได้ถือสาในเรื่องแบบนี้ ไม่ได้คิดว่า จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงเท่านั้น ผมไม่คิดว่าคุณแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ หัวใจของคุณอาจจะยิ่งใหญ่กว่าใครบางคนด้วยซ้ำ เพศและรสนิยมของคุณไม่ได้มีความหมายสำหรับผมนักหรอก ผมอยากจะใช้ชีวิตของผมร่วมกับคุณ มีอะไรกับคุณ เหมือนที่คู่รักทั่วไปเขาทำกัน ผมรักคุณที่ตรงนี้ ตรงหัวใจของคุณ เข้าใจไหมกบ........."
เขา แตะมือตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของผม ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือของเขาสู่หัวใจและไหลเวียนไปทั่ว ร่างกาย น้ำเสียงของจัสติน หนักแน่นจริงจัง เขาดึงผมเข้ามากอด เมื่อเห็นว่าผมร้องไห้ เขาก็จูบและเลียน้ำตาของผม ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดน้ำตาของผมจนเหือดแห้ง
                "ทำตัวเป็นเมียขี้แยไปได้"
เขาเย้า ผมยิ้มให้เขาอย่างขวยอาย
                "ไม่กลัวว่าคนจะมองหรือ ว่าชอบไม้ป่าเดียวกัน........คนจะนินทาคุณให้เสียหาย"
                "ช่าง ประไรล่ะ ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย ผมรับได้กับเรื่องนี้น่า อีกอย่างอย่ามาแบ่งเพศ กันแบบนั้นสิ ผมไม่ได้มองว่าคุณเป็นผู้ชาย หรือ เป็นเกย์นะ ผมมองว่า คุณคือ กบคนรักของผมเท่านั้น และผมอยากจะอยู่กับคุณ แล้วคุณล่ะอยากจะอยู่กับผมไหม"
เขาถามผม แหม จะถามทำไมกันอีกล่ะ ผมแสดงออกเสียขนาดนี้ ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว
                "อยากสิ"
                "งั้น ก็เลิกสงสัยได้แล้ว ไว้ใจผมนะ ผมไม่คิดจะหลอกคุณ หรือ แสวงหาความสุขจากเรือนกายของคุณเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ทางเพศหรอก เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณมีความทุกข์ใจอีกต่อไป"
                "แต่ผมจะไม่สามารถให้กำเนิดลูกของคุณได้นะ"
ผมยังคลางแคลงใจ
                " อย่าโง่ไปหน่อยเลยคุณกบ สมัยนี้ มีเด็กกำพร้าถมเถไป รอให้เราอุปการะ เราอาจจะหามาเลี้ยงสักคนก็ได้นะ ถ้าคุณชอบ"
                "แล้ว..........."
ผม ตั้งท่าจะถามคำถามอื่นๆอีก แต่จัสตินปิดปากผมด้วยปากของเขาเสียก่อน เขาจูบผมเนิ่นนาน เป็นจูบที่แสนหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับ มันเป็นจูบที่บ่งบอกความรู้สึกทั้งมวลในใจ เขาเริ่มต้นโลมไล้เนื้อตัวผมอีกครั้ง ผมรู้สึกว่า สัมผัสของเขาช่างอบอุ่นอ่อนหวานเสียนี่กะไร ผมเต็มตื้นไปด้วยความสุขสมหวัง นึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ทอดทิ้งผม ทำให้ผมได้มีโอกาสเจอะเจอกับรักแท้ในครั้งนี้ วันหน้าจะเป็นอย่างไรไม่อาจจะรู้ได้ แต่สำหรับเวลานี้ ผมจะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุด กับชายคนรักของผม....หนุ่มโสดในฝันที่ผมรอคอยมาแสนนาน นับจากวินาทีนี้ ผมจะอยู่กับเขาตลอดไป

.................................................................
อวสานแล้วค่ะ



ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
132
พลังน้ำใจ
403
Zenny
1168
ออนไลน์
12 ชั่วโมง

ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
582
พลังน้ำใจ
464
Zenny
2932
ออนไลน์
39 ชั่วโมง
ขอบคุนมากครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
827
พลังน้ำใจ
857
Zenny
2336
ออนไลน์
167 ชั่วโมง
ทำไมมันยาวมากๆเลยอ่ะ แต่ก็ขี้เกียจอ่านงะ

ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
282
พลังน้ำใจ
438
Zenny
1126
ออนไลน์
13 ชั่วโมง
อารายเนี่ย ยาวจัง

หัวหน้าห้อง

โพสต์
1276
พลังน้ำใจ
1542
Zenny
4518
ออนไลน์
180 ชั่วโมง
*-*สุดยอดคับเอาไป 20

ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
815
พลังน้ำใจ
995
Zenny
5555
ออนไลน์
154 ชั่วโมง

ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
635
พลังน้ำใจ
815
Zenny
6743
ออนไลน์
204 ชั่วโมง

มาเฟียคุมคณะ

โพสต์
9712
พลังน้ำใจ
57072
Zenny
38362
ออนไลน์
7521 ชั่วโมง
ขอบคุณครับ

หัวหน้าห้อง

โพสต์
1462
พลังน้ำใจ
1131
Zenny
5766
ออนไลน์
249 ชั่วโมง
ซึ้งอะ ชอบมากๆเลยคับ

ประธานนักศึกษา

โพสต์
2695
พลังน้ำใจ
5897
Zenny
25453
ออนไลน์
2150 ชั่วโมง
ขอบคุณมากๆเลยนะครับ

ลูกน้องหัวหน้าห้อง

โพสต์
305
พลังน้ำใจ
914
Zenny
1212
ออนไลน์
253 ชั่วโมง
ขอบคุณครับ

หัวหน้าห้อง

โพสต์
284
พลังน้ำใจ
1209
Zenny
526
ออนไลน์
142 ชั่วโมง
 นักศึกษาภาคพิเศษ (M.D.A)
ปริญญากิตติมศักดิ์
ขอบคุณครับ

ประธานนักศึกษา

โพสต์
2695
พลังน้ำใจ
5897
Zenny
25453
ออนไลน์
2150 ชั่วโมง
ขอบคุณครับ

ประธานนักศึกษา

โพสต์
704
พลังน้ำใจ
9762
Zenny
2462
ออนไลน์
969 ชั่วโมง
ดีงามอ่ะเรื่องนี้

มาเฟียคุมคณะ

โพสต์
13245
พลังน้ำใจ
69964
Zenny
2710
ออนไลน์
4899 ชั่วโมง
ขอบคุณครับ

ประธานนักศึกษา

โพสต์
2202
พลังน้ำใจ
9637
Zenny
5264
ออนไลน์
738 ชั่วโมง
แฮปปี้เอนดิ้ง แอบชึ้ง

มาเฟียคุมคณะ

โพสต์
15330
พลังน้ำใจ
75530
Zenny
57191
ออนไลน์
4351 ชั่วโมง
ขอบคุณครับ

นายกองค์การนักศึกษา

โพสต์
2423
พลังน้ำใจ
17326
Zenny
615
ออนไลน์
1391 ชั่วโมง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม


ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-4-25 16:05 , Processed in 0.224683 second(s), 24 queries .

Powered by Discuz! X3.1 R20140301, Rev.31

© 2001-2013 Comsenz Inc.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้