ภูริเชษฐ์ขับรถกลับบ้านโดยไม่แวะที่ไหนอื่นเลย เมื่อไม่มีลูกเมียอยู่บ้านด้วยบรรยากาศภายในบ้านมันดูเงียบ ๆ เหงา ๆ อย่างไรชอบกลประกอบกับการอนุญาตให้บรรดาคนใช้ คนสวน คนรถหยุดงานได้สองวันพวกนั้นก็พากันกลับบ้านที่ต่างจังหวัดบ้าง ไปเยี่ยมญาติ ๆ ที่มาทำมาหากินในกรุงเทพฯ บ้าง
ในค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยวเขาจึงพำนักอยู่คฤหาสน์หลังใหญ่เพียงลำพังคนเดียว หาเครื่องดื่มบริการตนเองพยายามทำจิตให้ว่าง ไม่นึกถึงปัญหานานาชนิดที่เผชิญมาตลอดสัปดาห์เปิดดูรายการกีฬาเพื่อผ่อนคลายแล้วก็เผลอหลับไป
ตื่นเช้ามาด้วยความอ่อนเพลียอาบน้ำชำระร่างกาย ตั้งใจว่าจะออกไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารใกล้ ๆ บ้านค่อยกลับมาทำงานที่บ้านต่อ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากบ้านก็มีตำรวจมาเชิญตัวไปสอบปากคำ สร้างความงุนงงให้เขาเป็นอย่างมาก
ตำรวจที่มาสองนายรู้สึกคุ้นๆ หน้าเป็นอย่างยิ่ง พยายามคิดทบทวนว่าเคยเจอที่ไหน แต่ก็คิดไม่ออกเมื่อสอบถามสาเหตุ ตำรวจสองนายก็บอกเพียงว่า
“กฤษฎาสามีของเสาวลักษณ์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ สลบไม่ได้สติคาดว่าจะเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต โดยคนใกล้ชิดบอกว่าพบเขาไปที่บ้านนั้นเมื่อคืนนี้”
ได้ยินคำพูดของตำรวจยิ่งสร้างความงุนงงให้เขามากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อคืนเขาอยู่บ้านทั้งคืนจะไปที่บ้านนั้นได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะยืนยันว่าตนอยู่บ้านทั้งคืนไม่ได้ออกไปไหนตำรวจก็ยืนยันขอให้ไปให้การที่สถานีก่อน
จึงขอขับรถไปเองก่อนที่จะขับรถออกไป เขาได้โทร.หาอากรเป็นคนแรก
“เกิดเรื่องห่าเหวอะไรอีกไม่รู้แล้วอา...ไปพบผมที่โรงพักด้วย”
ระหว่างขับรถตามรถตำรวจไปเขาก็พยายามคิดทบทวนว่า เคยพบตำรวจสองนายที่ไหน? มันรู้สึกคุ้นๆ หน้ามาก กระทั่งมาถึงโรงพักเห็นป้ายชื่อและตำแหน่ง ทำให้เขาคิดได้ว่าตำรวจสองนายเคยเป็นบริการ์ดส่วนตัวของลูกชายภาณุพลนั่นเอง
รำพึงกับตนเอง
“ซวยแล้วกู....จะมีอะไรมาเซอร์ไพรซ์กูอีกล่ะนี่”
เมื่อภูริเชษฐ์มาถึงโรงพักเขาก็พบนรากรมารออยู่ก่อนแล้ว
นรากรเองพอเห็นหน้าชายหนุ่มก็รีบถลันเข้ามาจับมือชายหนุ่มไว้ หันหน้าไปทางตำรวจ
“เดี๋ยว!ผมขอคุยอะไรสักนิดกับภูเขาหน่อยสักครู่เราจะตามเข้าไปให้การ”
เขามองหน้าแกยิ้มๆ ส่วนนรากรเหลียวไปรอบกาย ไม่ยอมปล่อยมือชายหนุ่ม ดึงเข้าไปยังมุมที่ลับตาคนอื่นกระซิบเบา ๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงแผ่วเบากระหืดกระหอบถามขึ้น จ้องหน้าชายหนุ่มที่ยังอยู่ในอาการยิ้ม ๆ เช่นเดิม
“ไม่รู้เหมือนกัน....ตื่นมายังไม่ได้ทานอะไรด้วยซ้ำนอกจากกาแฟก็ถูกตำรวจเชิญตัวมาให้ปากคำที่นี่”
“แล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่อารู้สึกมึนงงไปหมดแล้ว”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับอา...จู่ๆ ตำรวจก็เชิญตัวผมมาโรงพัก”
“ร้ายแรงเปล่า”
“อาจจะหรือก็ใกล้เคียงประมาณนั้นแหละ”
น้ำเสียงขรึมๆ ของเขายังคงดังมาเช่นเดิม
“อาต้องช่วยผมทำอะไรสักอย่างตราบใดที่เรายังเย็นเป็นบื้อให้มันไล่ต้อนอยู่อย่างนี้ อันตรายแวดล้อมผมทุกขณะจิตตอนนี้มันไม่จำเพาะเรื่องเมียผมแล้ว มันลุกลามไปถึงตำแหน่งหน้าที่การงานเครดิตทางสังคมของผม ดังเช่นที่ผมเผชิญอยู่นี้ไงล่ะ ถูกตั้งข้อหาทั้งที่ไม่รู้อะไร? ลูกเมียต้องไปอยู่บ้านพ่อตาลูกค้าขาดความเชื่อมั่น อาจะวางแผนอะไรช่วยผม ต้องรีบกระทำโดยด่วน”
ขณะที่กล่าวนัยน์ตาคมเข้มมีประกายแววจ้า เคร่งขรึมกว่าทุกครั้งนรากรเองก็เข้าใจดวงตาคู่นั้นเป็นอย่างดี ตัวเขาเองก็ได้วางแผนบางอย่างสำหรับช่วยเหลือชายหนุ่มไว้แล้วเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือคลี่คลายเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะนี้ได้ดีแค่ไหน
ยังไม่ทันที่สองคนจะพูดคุยอะไรกันมากกว่านี้ตำรวจก็มาเชิญตัวไปให้ปากคำ
เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปในห้องสอบสวนภูริเชษฐ์ก็ยิงคำถามก่อน
“พวกคุณจะสอบสวนอะไรผมก็ว่ามาเถอะ”
“ไม่ได้สอบสวนหรอกครับทางเราแค่อยากทราบข้อมูลบางอย่าง”
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ได้อย่างไร? ทั้งที่คุณกฤษฎากับผมก็ไม่เคยสนิทสนมด้วยเลยแม้เราจะเป็นนักธุรกิจด้วยกันก็ตาม”
“เดี๋ยวคุณก็รู้ว่าเกี่ยวพันหรือไม่เพราะถ้ามันเกี่ยวพันก็เท่ากับว่าคุณเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของคดีนี้เลยทีเดียวอย่างน้อยที่สุดหลักฐานหลาย ๆอย่างที่เรามีอยู่ก็มีส่วนโน้มเอียงว่าคุณเกี่ยวข้องมากทีเดียว เอาไว้เราจะบอกว่ามีอะไรบ้าง”
“ขึ้นอยู่กับผู้กองแล้วกัน”
เขากล่าวอย่างปลงๆ สีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาจ้องมองใบหน้าตำรวจซึ่งเป็นการ์ดของลูกชายภาณุวัฒน์อย่างระแวงภัย
“คุณเกี่ยวข้องแน่ ๆคุณภู ส่วนจะเกี่ยวข้องแบบไหนร้ายแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณกฤษฎาจะรอดหรือไม่”
ขณะกล่าวร้อยตำรวจเอกจักรภพสารวัตรสืบสวนจ้องมองภูริเชษฐ์นิ่ง ๆ ก่อนจะซักแผ่วเบาโดยไม่มีพิธีรีตอง
“เมื่อคืนนี้คุณอยู่ไหน?”
“ทานอาหารเย็นบ้านพ่อตาแล้วกลับมาทำงานที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน?”
“อยู่บ้านคนเดียวเหรอ?”
“ครับ...ภรรยาผมเธอพาลูก ๆ ไปเที่ยวบ้านพ่อตา ผมเลยอนุญาตให้คนใช้ในบ้านหยุดสองวัน”
“แสดงว่าไม่มีใครเป็นพยานว่าคุณอยู่บ้านตลอดเมื่อคืนนี้”
“ไม่มีใครครับ”
“กับคุณกฤษฎาคุณสนิทกับเขาหรือเปล่า”
“ไม่สนิทครับรู้จักกันแค่ชื่อเพราะเราสองคนทำธุรกิจคนละอย่างกัน”
“คุณไม่ได้ไปบ้านคุณกฤษฎาจริงๆหรือเมื่อคืนนี้”
“ไม่ได้ไปครับผมอยู่บ้านทั้งคืน”
“เมื่อวาน....เราได้ทราบมาว่าคุณกฤษฎาได้ติดต่อเพื่อขอพบคุณ พร้อมกับเชิญคุณไปพบที่บ้านเขาด้วย”
“ครับ”
“เขามีธุระอะไรสำคัญจะพูดกับคุณหรือ...ถึงได้นัดให้พบที่บ้านตามลำพัง”
“ไม่ทราบครับเพราะอย่างที่บอกผมไม่สนิทกับเขา”
“แต่ภรรยาของเขาเป็นแฟนเก่าของคุณ คุณจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักได้หรือ”
“รู้จักครับแต่ไม่สนิท เป็นธรรมดานี่ครับ นักธุรกิจชื่อดังอย่างนั้น ใคร ๆก็ต้องรู้จักกันเป็นธรรมดา”
“คุณรู้ข่าวเรื่องสองสามีภรรยานี้กำลังจะหย่าร้างกันหรือเปล่า”
“ก็พอทราบจากข่าวซุบซิบของนิตยสาร”
เขาตอบคำถามต่างๆ ของตำรวจด้วยความอึดอัด ไม่รู้ว่านายตำรวจคนนี้มีเอี่ยวด้วยกับภาณุวัฒน์หรือเปล่าพลันสายตาคมกริบของเขาเหลือบเห็นขวดไวน์ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ตำรวจและอย่างที่เขาไม่คาดฝัน ก็เจอคำถามที่ทำให้อึ้งเลยทีเดียว
“คุณจำขวดไวน์นี้ได้ไหม?”
“ขวดไวน์แบบนี้มีอยู่ทั่วเมือง ผมจะจำได้ยังไง”
คิ้วเขาขมวดนิดๆ ขณะย้อนถาม
“ความจริงมันก็เป็นขวดไวน์ยี่ห้อดังราคาแพงขวดหนึ่ง แต่บังเอิญว่าไวน์ขวดนี้ เป็นขวดที่คุณกฤษฎาดื่มก่อนจะขับรถออกจากบ้านและประสบอุบัติเหตุ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”
“เราสืบทราบมาว่าไวน์ขวดนี้เป็นของคุณ โดยได้รับการยืนยันจากร้านขายเรียบร้อย เจ้าของร้านเขาบอกว่าคุณได้สั่งซื้อเมื่อเดือนก่อน”
“มันสำคัญอย่างไรนักหนาก็แค่ไวน์ขวดเดียว”
“ก็ไม่สำคัญหรอกหากไม่ตรวจพบว่ามันมียาบางชนิดผสมอยู่ ทำให้คนดื่มจะเกิดอาการมึนงงง่วงนอนอย่างหนัก และคุณกฤษฎาก็ดื่มไวน์ขวดนี้ก่อนขับรถออกจากบ้านไปประสบอุบัติเหตุลำพังดื่มไวน์ไม่กี่แก้ว ไม่ทำให้คนเมาถึงกับขาดสติมิใช่หรือ”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“เราตรวจสอบพบว่าสารบางชนิดในเลือดของคุณกฤษฎาตรงกับที่เจืออยู่ในขวดไวน์”
“เขาอาจเชิญเพื่อนไปดื่มที่บ้านก็ได้”
“ไม่หรอกครับเขาอยู่บ้านคนเดียวเมื่อคืนเหมือนกับคุณ โดยบอกคนใกล้ชิดว่าได้นัดคุยธุระสำคัญเป็นการส่วนตัวกับคุณ”
ภูริเชษฐ์ถึงกับอึ้งลอบสบตากับนรากรเป็นระยะๆ แต่ก็ยังนิ่งพอที่จะฟังตำรวจกล่าวต่อไป
“ไวน์ขวดนี้มีลายนิ้วมือของคุณเต็มไปหมดเลย พร้อมกับนี่”
กล่าวจบผู้กองจักรภพก็หยิบแก้วสองใบขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“แก้วสองใบนี้ก็เหมือนกันเราตรวจสอบแล้ว พบรอยนิ้วมือของคุณเต็มไปหมด คุณจะอธิบายอย่างไรคุณภู”
“ผมไม่ทราบอะไรทั้งนั้นเพราะผมอยู่บ้านทั้งคืน”
“คุณอาจคิดว่าตำรวจสร้างหลักฐานเท็จขึ้นเพื่อใส่ร้ายคุณ แต่เพื่อความสบายใจ เรื่องนี้คุณสามารถพิสูจน์ได้”
พลันตำรวจอีกนายก็นำเครื่องมือมาตรวจสอบลายนิ้วมือของเขากับที่ปรากฏบนแก้วไวน์ปรากฏว่ามันตรงกันตามที่ร้อยตำรวจเอกจักรภพกล่าวทุกอย่างทำเอาภูริเชษฐ์ถึงกับหน้าถอดสี คาดไม่ถึงว่าเขาจะโดนใส่ร้ายได้ถึงขนาดนี้รวบรวมสติ ปรับความรู้สึกของตน กล่าวตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“แม้จะมีลายนิ้วมือผมปรากฏจริงแต่ผมก็ขอยืนยันว่า เมื่อคืนนี้ผมไม่ได้ไปบ้านนั้น”
“เราไม่ได้ตั้งข้อหาอะไรคุณเพียงแค่หลักฐานเบื้องต้นมันชี้ไปที่คุณ เราก็เลยเชิญคุณมาให้ปากคำเมื่อคุณยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง เราก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากแจ้งให้คุณทราบว่า คุณกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของเรา”
“มีธุระอะไรอื่นอีกไหมครับผู้กอง”
นรากรเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นแทนเมื่อสังเกตเห็นว่าภูริเชษฐ์เริ่มเก็บความไม่พอใจไว้ไม่อยู่
“ไม่มีอะไรครับเราแค่ต้องการสอบปากคำเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้น หากมีอะไรให้เราช่วยเหลือก็แจ้งได้ทุกขณะ ผมคิดว่าเรื่องนี้มันคลุมเครืออย่างไรชอบกล ผมขอยืนยันได้เลยว่าภูริเชษฐ์ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน ส่วนเรื่องที่คุณกฤษฎาโทร.ติดต่อมาขอพบ ผมเองก็รับทราบเหมือนกันและเป็นคนเตือนไม่ให้ภูไปพบตามนัดด้วย ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้าย ๆ กับเขาแบบนี้”
“ทางเราต้องรอให้คุณกฤษฎาฟื้นจะได้สอบสวนเพิ่มเติม”
“ครับ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราสองคนขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน”
ทุกอย่างนรากรเป็นคนพูดแทนชายหนุ่มหมดกล่าวลาตำรวจแล้ว ก็เดินไปยังลานจอดรถ
“ผมว่ามันทะแม่ง ๆเสียแล้วล่ะอา”
หลังจากเงียบไปนานภูริเชษฐ์จึงกล่าวขึ้น
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเดี๋ยวเรากลับไปคุยกันที่บ้าน”
ดันชายหนุ่มเข้าไปในรถของเขาแล้วก็หันไปสั่งคนขับรถของตน
“เอ็งขับรถกลับบ้านก่อนเย็น ๆ ไปรับฉันที่บ้านคุณภู”
กล่าวจบก็เปิดประตูด้านหน้าเข้ามานั่งข้างๆ ชายหนุ่ม
“แวะหาอะไรทานก่อนยังไม่ได้ทานอะไรไม่ใช่หรือ”
“ครับ”
ระหว่างทานอาหารสองคนไม่พูดเรื่องที่ผ่านมาเลยนอกจากกินกันอย่างเงียบ ๆ กระทั่งกินเสร็จจึงขับรถกลับบ้าน เมื่อก้าวเข้ามาในตัวบ้านเขาจัดแจงหาเครื่องดื่มบริการอาคันตุกะ
“ดื่มไรเย็น ๆ ก่อนอา”
“วางไว้ก่อนเถอะที่ร้านก็ดื่มมาแก้วสองแก้วแล้ว”
นรากรกล่าวยิ้มๆ
ภูริเชษฐ์เทสก๊อตส์ลงแก้วน้ำแข็งเขย่าเบา ๆ หยิบขึ้นดื่ม
“ว่ามาเถอะอาผมร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”
“ก่อนอื่นภูสังเกตไหมว่า ทำไมแก้วไวน์และขวดไวน์ถึงมีลายนิ้วมือของภูปรากฏอยู่”
“ผมจะไปรู้ได้อย่างไรแต่ผมสัญญาว่าเมื่อคืนผมอยู่บ้านทั้งคืน”
“ก็นั่นนะสิ”
ภายในห้องเงียบสงัดเหมือนไม่มีคนอยู่นอกจากเสียงเขย่าแก้วน้ำแข็งเบา ๆ ของภูดังเป็นระยะขณะครุ่นคิด
“มันต้องมีที่มาที่ไปภูลองคิดดี ๆ สิว่า เคยไปบ้านนายกฤษฎาคนนี้หรือเปล่า”
โดยไม่ต้องไตร่ตรองเขาตอบสวนกลับทันที
“ไม่เคยสักครั้งอา”
“แล้วมันมาได้อย่างไร?”
นรากรพึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนจะตักน้ำแข็งใส่แก้วแล้วเทเครื่องดื่มสีอำพันลงไปจนเกือบล้น หยิบขึ้นจิบช้าๆ อย่างครุ่นคิด
แต่ไม่ว่าสองคนจะครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า มองหน้ากันทำตาหลอกแหลก ผายมือให้กันและกันแสดงว่าจนด้วยความคิดภูริเชษฐ์จึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“คิดไม่ออกก็อย่าเพิ่งคิดมัน ว่าแต่อาเล่าแผนการมาก่อนเถอะ เราต้องเอาคืนบ้างนะรับอย่างเดียวแบบนี้ ไม่ไหว ผมเกรงว่าตนเองจะกลายเป็นโรคประสาทเพราะความหวาดระแวงโดยไม่รู้ว่าพวกมันจะมาไม้ไหนอีก”
“ใจเย็น ๆอาคิดแผนไว้สองอย่างแล้ว”
“อย่างไร?”
“ลืมคู่สวาทของพวกเราแล้วเหรอพวกนั้นแหละจะทำงานให้กับเราสองคน”
“อาหมายถึงใคร?”
“แนนนี่ น้ำฝนแล้วก็นายชะเอมนั่นไง”
“พวกเขาจะช่วยเราเหรอ”
“ช่วยแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“ผมพร้อมตอบสนองพวกเขาเต็มที่หากสามารถจัดการนักการเมืองอิทธิพลคนนี้พ้นเส้นทางชีวิตได้”
“แน่ใจนะว่าพร้อมตอบสนองทุกอย่าง”
“ครับ”
“ถ้างั้นก็เป็นอันตกลงอาวางแผนให้แนนนี่เข้าไปตีสนิทกับภาณุวัฒน์ น้ำฝนไปตีสนิทกับภาณุพลส่วนนายชะเอมไปตีสนิทกับเสาวลักษณ์ เสียดายนายเอ็กซ์เดินทางไปถ่ายแบบต่างประเทศช่วงนี้มิฉะนั้นจะให้มันไปตีสนิทกับอักษราภัค จะได้ลงตัวพอดี แต่ไม่เป็นไรเท่านี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว”
“แล้วมันจะได้ผลหรืออา”
“ได้สิแซ่หลีอย่างภาณุพลเพียงแค่เห็นหนูน้ำฝน เลือดกำเลามันก็แทบทะลักแล้วลูกชายมันเองก็ไม่ต่างจากพ่อมันหรอก ส่วนหนูเสาวลักษณ์อาเชื่อว่าไอ้ชะเอมมันเอาอยู่”
“อาวางแผนไว้อย่างไรบ้าง?”
“สามคนพร้อมทำทุกอย่างตามที่เราต้องการแต่เมื่องานเสร็จภูต้องตอบแทนพวกเขาตามที่ตกลงไว้นะ”
“แน่นอนครับ ว่าแต่เกิดสองพ่อลูกมันหน้ามืดขึ้นมาจริงๆ ลวนลามสองสาวถึงขั้นข่มขืน พวกเธอจะไม่ทำให้แผนแตกเหรอ”
“ไม่หรอกอาก็บอกแล้วว่า พวกนี้พร้อมทำทุกอย่าง”
“แม้แต่เสียตัวงั้นเหรอ”
“แน่นอนอาได้พูดคุยตกลงกับพวกเขาไว้แล้ว และนับว่าโชคดี เพราะเพื่อนของเธอคนหนึ่ง เคยถูกไอ้ก้อนการ์ดภาณุวัฒน์หลอกไปให้เจ้านายมันแดกพอเจ้านายมันเบื่อ ก็โยนให้ลูกน้อง และไอ้ก้อนก็ฉลาดมาก ๆ มันถ่ายคลิปร่วมรักกับหญิงสาวไว้ให้เป็นทาสบำเรอกามมันอยู่หลายปีเลยทีเดียว”
“ร้ายจริง ๆ”
เขากัดกรามแน่นจนเป็นนูนสันก่อนจะกล่าวต่อ
“แล้วไอ้ชะเอม กิ๊กอามันต้องการอะไร?”
“เดี๋ยวมันก็มาอานัดมันไว้ให้มายื่นข้อเสนอกับภูเอง”
เพียงแค่กล่าวจบก็มีเสียงกรดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“นั่นไง...ตายยากจริงๆ ไอ้นี่ มาพอดีเลย”
ภูริเชษฐ์เห็นนรากรทำท่าจะเดินไปเปิดประตูบ้านเขาจึงยื่นมือไปจับแขนแกไว้
“นั่งรออยู่นี่แหละกิ๊กมา ทำท่าระริกระรี้จริง ๆ สักวันคงโดนข้าวหลามแทงทะลุลำไส้ตายหรอก”
กล่าวจบก็เดินออกไปเปิดประตู
ระหว่างที่ชายหนุ่มเดินออกไปเปิดประตูนรากรก็เดินไปชงกาแฟดำ เดินกลับมานั่งรอที่โซฟา กระทั่งทั้งคู่เดินเข้ามาพร้อมกัน
“นั่งก่อนสิเอ็มเอ้า...นี่”
ยื่นแก้วเครื่องดื่มผสมอ่อนเย็นๆ ให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่
“ดูแลกันดีจริงนะอา”
ภูริเชษฐ์อดแซวไม่ได้ยิ้มมุมปากอย่างขัน ๆ กับอาการค้อนของแก แต่นรากรไม่สนใจอาการของชายหนุ่มกลับรู้สึกสุขใจที่เห็นเขายิ้มออกมาได้ ก่อนหันไปกล่าวกับชะเอม
“เอ็ม...มีอะไรจะยื่นข้อเสนอกับคุณภูก็บอกพี่เขาไป พี่เค้ารับปากว่าจะตอบสนองตามข้อเสนอของเอ็มทุกอย่าง”
ชะเอมมองดูหน้าเจ้าของบ้านและนรากรสลับกันไปมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงกล่ำ พูดอะไรไม่ออก หยิบเครื่องดื่มเทลงคอจนหมดแก้วแล้วเติมใหม่อีกครั้ง หันไปหานรากรอย่างขอให้อีกฝ่ายพูดแทน
“พี่กรยังไม่ได้บอกคุณภูเหรอ...”
“ยัง ตั้งใจจะให้เอ็มบอกพี่เค้าเอง”
ผู้พูดกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
“ผมไม่กล้าพี่พี่บอกคุณภูเค้าเถอะ ผมอาย”
ภูริเชษฐ์มองหน้าสองหนุ่มต่างวัยด้วยความรู้สึกหวั่นๆ เริ่มจะมองเห็นเลา ๆ ว่าสองคนนี้กำลังคิดจะทำอะไรกับตน แต่ก็นิ่งเฉยก่อนที่นรากรจะเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ
“ภู...สัญญากับอาแล้วนะก่อนหน้านี้อายื่นข้อเสนอแล้วกัน คือ...เอ่อ...อา”
“ติดอ่างเสียแล้ว”
“อากับชะเอมอยากมีอะไรกับภูอีกสักครั้ง ตั้งแต่คราวนั้น เราแทบไม่ได้มีอะไรกันอีกเลย”
“เอาแล้วไหมล่ะเดาไม่ผิดเลยกู”
ภูรำพึงกับตนเองมองหน้าผู้พูดอย่างไม่พอใจนิด ๆ กล่าวตำหนิแกเบา ๆ
“จะบ้าเหรออา...หน้าสิ่วหน้าขวัญอย่างนี้ ยังจะมีอารมณ์สัปดนอีก ผมไม่เล่นด้วยหรอก”
“จะผิดคำพูดเหรอภู..ขอแค่นี้เองเราสองคนพร้อมทำงานชนิดตายแทนภูได้นะ”
“แต่ผมไม่มีอารมณ์เรื่องนี้จริงๆ นะอา ไม่ได้หมายความว่าผมรังเกียจอาและชะเอม ขนาดกับเมียตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังแทบไม่ได้ยุ่งกับเธอเลย”
“ไม่ต้องอ้างโน้นอ้างนี้เลย...รับปากว่าจะทำให้หรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำจะปล่อยให้โดนแย่งเมีย แย่งงานขาดกันวันนี้แหละ”
“ผมไม่มีอารมณ์จริง ๆอา”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเดี๋ยวอากับชะเอมปลุกให้เอง”
กล่าวจบโดยไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มปฏิเสธพยักหน้าให้กับชะเอมอย่างรู้กันขยับเข้าไปดึงชายหนุ่มเข้ามาจูบริมฝีปากล่างสลับบนอย่างดูดดื่ม แล้วผละหน้าออกหันไปสั่งชะเอม
“เอ็ม...อยากลองวิธีใหม่ๆ ไหม?”
“อะไรอีกล่ะพี่กร”
ชะเอมหันมาค้อนเพราะตนเองได้ถอดกางเกงนอกภูริเชษฐ์ออกเรียบร้อย เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว
“ไม่ต้องทำตาละห้อยเลย...ภูไม่มีไปไหนหรอก”
“จะให้ทำอะไรก็บอกมา”
“เดินเข้าไปในห้องครัวเมื่อครู่นี้พี่เห็นไอศกรีมในตู้เย็น เอามาพอประมาณ ไม่ต้องเอามาจนหมดนะ”
เมื่อเห็นชะเอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่ายจึงหันมาทางภูริเชษฐ์
“วันนี้ภูไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นอากับชะเอมบริการให้เอง”
ด้วยความชำนาญในกามารมณ์นรากรรู้ดีว่าจะกระตุ้นอารมณ์ของภูริเชษฐ์ให้ตื่นตัวเต็มที่ยังไง
|