จีโฟกาย.คอม

ชื่อกระทู้: เที่ยว “ รัฐฉาน ” สัมผัสวิถีชีวิตไทใหญ่ [สั่งพิมพ์]

โดย: nokky    เวลา: 2013-2-12 22:15
ชื่อกระทู้: เที่ยว “ รัฐฉาน ” สัมผัสวิถีชีวิตไทใหญ่
เที่ยว “ รัฐฉาน ” สัมผัสวิถีชีวิตไทใหญ่


การท่องเที่ยวไปยัง รัฐฉาน อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ไม่จากบ้านเรานักประเทศพม่าเป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย และยังเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนคาบสมุทรอินโดจีน

ฉาน คือ รัฐซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศพม่า ชื่อรัฐ นั้นตั้งจากชนชาติฉาน หรือ ชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของรัฐ ประกอบด้วยเมืองเล็กๆ 54 เมือง มีเมืองตองจีเป็นเมืองหลวง สภาพโดยทั่วไป เป็นเมืองชนบทขนาดใหญ่ เมืองหลักๆ ของรัฐนี้ได้แก่ หลาโจว เกียงตอง และ ตองจี พรมแดนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศจีน ทิศตะวันออกติดกับประเทศลาว ทางใต้ติดกับประเทศไทย และ พรมแดนที่เชื่อมต่อกับรัฐอื่นในพม่า พื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นที่ราบเชิงเขา กล่าวคือ มีภูเขาสูง ทางเหนือ และทางใต้

เมืองตองยี เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มีโอกาสมาเยือนต่างก็หลงรักในความน่ารักของเมืองตองยี โดยเฉพาะความเงียบสงบและมิตรภาพของ คนในท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นชนเผ่าไทใหญ่ และชนเผ่าต่าง ๆ เช่น ปะโอ ปะหล่อง และอื่นๆ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เมืองตองยีเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากเมืองหนึ่งของประเทศพม่า

ทะเลสาบอินเล (Inle lake)
ทะเลสาบอิน เล ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งรัฐฉาน เป็น ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของพม่า มีพื้นที่ 44.9 ตารางไมล์ (116 ตร.กม.) ฤดูแล้ง ความลึกโดยเฉลี่ยของน้ำอยู่ที่ 7 ฟุต แต่ฤดูฝนน้ำจะลึกเพิ่มขึ้นอีก 5 ฟุต หรือ 1.5 เมตร พื้นที่สันปันน้ำ จะขยายจากทางเหนือไปยังตะวันตกของทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบจะไหลลงสู่ทางตอนใต้ ซึ่งบริเวณดังกล่าว มีน้ำพุร้อน ทางชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือแม้ทะเลสาบจะไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ปลาอยู่หลากหลายพันธุ์ และ มีปลา 9 สายพันธุ์ ซึ่งพบได้ที่นี่เพียงแห่งเดียวในโลก

วิถีชีวิตชาวอินตา
การเที่ยวทะเลสาบอินเล นอกจากการชื่นชมกับภูมิประเทศ และธรรมชาติที่บริสุทธิ์แล้ว การสัมผัส วิถีชีวิตของชาวเมือง อย่าง ชาวอินตา ก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งที่ นักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนจะประทับใจไปนานแสนนาน กล่าวกันว่า ชาวอินตากว่า 70000 คน ได้อพยพมาจากตาแวและตะนิ่นตายี แต่สงครามอันยืดเยื้อระหว่างพม่ากับไทยในศตวรรษที่ 18 ทำให้พวกเขาต้องทิ้งถิ่นฐาน หนีมาตั้งรกรากอยู่ที่ทะเลสาบอินเลแทน พวกเขา ดำรงชีวิต กระจายเป็น 4 หมู่บ้านหลักๆ ซึ่งปลูกบ้านสร้างเรือน บริเวนขอบๆ ของทะเลสาบ


นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง และ ในทะเลสาบ บ้านแต่ละหลัง จะสร้างโดยใช้ไม้และ แฝกที่ใช้มุงเป็นหลังคา การเดินทางภายในทะเลสาบจะใช้เรือเล็ก หรือ เรือยนต์ชาวประมงจะพายเรือด้วยวิธีการที่น่าทึ่งอย่าง พายเรือด้วยขาเพียงข้างเดียวการทำสวนผักลอยน้ำและการหาปลา นอกจากนี้ พวกเขายังชำนาญงานด้านช่างโลหะ ช่างไม้ และช่างทอผ้า จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในชนเผ่าที่ร่ำรวยที่สุดในพม่า ย่ามกับ โลงจี อันมีชื่อของรัฐฉานที่วางขายกันอยู่ทั่วประเทศก็ทอขึ้นจากหูกทอผ้าของชาวอินตานี่เอง

เจดีย์ป่าวต่ออู ( Phaungdaw Oo Pagoda)
เจดีย์ป่าวต่ออู เป็นเจดีย์ที่มีพระพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานอยู่ 5 องค์ แต่ช่วงงานบุญประเพณีในเดือนตุลาคม จะแห่เพียงสี่องค์ พระพุทธรูป ทั้ง5 นี้ พระเจ้าอลองสิทธู ทรงนำกลับมาจากแหลมมลายู ในศตวรรษที่ 12 และโปรดให้นำไปไว้ยังถ้ำใกล้ทะเลสาบ จนอีกร้อยปีให้หลังจึงมีคนไปพบเข้า และได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ในเจดีย์ป่าต่ออู มีผู้เลื่อมใสศรัทธา หลั่งไหลมาปิดทององค์พระกันไม่ขาดสาย ยิ่งทองหนาขึ้น องค์พระยิ่งดูเหมือนลูกบอลทองคำลูกกลมๆเข้าไปทุกที

ช่วงงานบุญประเพณีป่าวต่ออู จะมีการอัญเชิญ พระพุทธรูปขึ้นเรือหลวงแห่ไปตามชุมชนที่ใหญ่ที่สุดในละแวกทะเลสาบ 10 แห่ง เป็นเวลาสองสัปดาห์เต็ม หัวเรือทำเป็นรูปนกการเวกปิดทองอย่างสวยงาม ดูคล้ายงานพระราชพิธีในสมัยโบราณมาก การที่อัญเชิญพระพุทธรูปออกมาเพียง 4 องค์ มีตำนานเล่าสืบกันมาว่า แต่เดิมนั้น ชาวบ้านอัญเชิญ พระพุทธรูปออกมาแห่ทั้ง 5 องค์ แต่ในปี พ.ศ.1965 เกิดพายุใหญ่ ทำให้เรือพลิกคว่ำ จมลงก้นทะเลสาบชาวบ้านช่วยกันงมพระพุทธรูปขึ้นมา แต่ก็พบเพียงสี่องค์เท่านั้น

ครั้นเมื่อนำพระพุทธรูปทั้งสี่กลับมาที่วัด กลับพบพระพุทธรูปองค์ที่ 5 ซึ่งมเท่าไหร่ก็ไม่พบ ตั้งรออยู่ในสภาพที่ยังมีเศษวัชพืชติดอยู่เต็มองค์ เป็นที่น่าอัศจรรย์ นับแต่นั้นมาจึงไม่มีการอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ออกไปไหนเลย ส่วนตำแหน่งที่เรือพลิกคว่ำ ปัจจุบันได้สร้างเสาปักเอาไว้เป็นที่หมาย หัวเสา ทำเป็นรูป ฮิ่นตา (หงส์) งานบุญประเพณีนี้ดึงดูดชาวพม่าได้จากทั่วสารทิศ นอกจากขบวนแห่พระพุทธรูปแล้วยังมีการแข่งขันพายเรือขาเดียวของชาวอินตาให้ได้ชมกันอีกด้วย

ถ้ำปิ่นตะยา (Pindaya cave)
เป็นถ้ำโบราณอยู่ห่างตัวเมือง 45 กม. เป็น สถานที่ สำหรับ นักแสวงบุญ บริเวณสันเขา มีถ้ำอยู่ 3 แห่ง วางตามแนวเขาจากเหนือจรดใต้ ซึ่งมีเพียงถ้ำทางใต้เท่านั้นที่สามารถเข้าไป และชมได้ ถ้ำปิ่นตะยาเป็นถ้ำหินปูน เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูป กว่า 8000 องค์ ในระแวกใกล้เคียงนั้นยังมี อีก 2 ถ้ำ คือ ชเวอูมิน และ ปะดะห์ ลิน บางส่วนของถ้ำตกแต่งด้วย จิตรกรรมฝาผนัง นับเป็น อีกหนึ่ง Unseen ของพม่าที่ไม่ควรพลาดชม





โดย: srisome    เวลา: 2013-2-12 23:07
อยากลองไปสักครั้ง

โดย: athit    เวลา: 2013-2-13 09:02
ที่ทำงานแรงงานส่วนใหญ่เป็นไทใหญ่ครับ  น่าตาและผิวส่วนใหญ่จะดูดีบางคนไม่พูดไม่รู้เลยนะครับว่าเป็นไทใหญ่    คิดว่าคนที่เกิดในเมืองไทยอีกไม่นานจะดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนไทใหญ่  น่าฮัก
โดย: momesumeth    เวลา: 2015-5-10 22:06
ขอบคุณครับ
โดย: นิโหน่ย    เวลา: 2017-1-14 23:42
น่าไปมากๆเลย แต่ถ้าไปตอนนี้จะปลอดภัยใช่ไหมคะ
โดย: bi001    เวลา: 2017-2-17 08:12
ขอบคุณนะครับ
โดย: armmusic44    เวลา: 2017-7-24 21:56
ขอบคุณครับ
โดย: tonsevenup    เวลา: 2018-1-10 19:19
ขอบคุณมากครับ




ยินดีต้อนรับสู่ จีโฟกาย.คอม (http://www.g4guys.com/) Powered by Discuz! X3.1