จีโฟกาย.คอม
ชื่อกระทู้:
พญาครุฑ
[สั่งพิมพ์]
โดย:
moo2010
เวลา:
2012-7-12 12:28
ชื่อกระทู้:
พญาครุฑ
[url=http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C
B_Temple_Facade.jpg]
[/url][url=http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C
B_Temple_Facade.jpg]
[/url]
ครุฑยุดนาคปูนปั้นปิดทอง ประดับรอบพระอุโบสถ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ครุฑ
หรือ
พญาครุฑ
(
อังกฤษ
: Garuda,
สันสกฤต
: गरुड) เป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของ
อินเดีย
ปรากฏใน
วรรณคดี
สำคัญหลายเรื่อง เช่น
มหากาพย์
มหาภารตะ
เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ยังมี
คัมภีร์
ปุราณะ
ที่ชื่อว่า
ครุฑปุราณะ
เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ
ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของ
พระนารายณ์
เชื่อว่าปกติอยู่ที่
วิมานฉิมพลี
มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่ง
นกอินทรี
ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของ
พระอินทร์
ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ
ครุฑพอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ
ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก
ตัวเป็นคน หัวเป็นนก
ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก
ตัวเป็นนก หัวเป็นคน
รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว
เนื้อหา
[
ซ่อน
]
1 ตำนาน
2 ครุฑในทางพุทธศาสนา
3 การใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์
4 ชื่อของครุฑ
5 ครุฑราชการ
6 ในวัฒนธรรมร่วมสมัย
7 ระเบียงภาพ
[/url]
[[url=http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91&action=edit§ion=1]
แก้
] ตำนาน
ครุฑยุดนาค ภาพเขียนประดับบานประตูพระอุโบสถ
วัดสุทัศนเทพวราราม
ภาพแกะสลัก
พระนารายณ์
ทรงครุฑ ที่
ปราสาทนครวัด
ตำนานของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าพญาครุฑเป็นบุตรของ
พระกัศยปมุนี
เทพบิดร และ
นางวินตา
พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับตำนานพญาครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ
นางกัทรุ
ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง
ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิด
นาค
หนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับ
พระอาทิตย์
หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู คงรอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมาจากไข่เอง อนึ่ง เมื่อพญาครุฑแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ
ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของ
ม้าอุไฉศรพ
ที่เกิดคราว
กวนเกษียรสมุทร
และเป็นสมบัติของ
พระอินทร์
โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้า
สีขาว
ส่วนนางกัทรุทายว่า
สีดำ
ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า (บางตำนานว่าให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ) นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี
ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาสและได้ทราบเงื่อนไขจากพวกนาคว่า ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอา
น้ำอมฤต
ซึ่งอยู่กับ
พระจันทร์
แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูก
พระอินทร์
และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่
พระอิศวร
ประทานให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้ป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ ด้าน
พระวิษณุ
หรือพระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วยเช่นกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า
เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง ครุฑจึงเอา
น้ำอมฤต
ไปให้นาคโดยวางไว้บน
หญ้าคา
(และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้) แต่นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ
ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ
[
แก้
] ครุฑในทางพุทธศาสนา
ครุฑในทาง
พุทธศาสนา
จัดเป็น
เทวดา
ชั้นล่างประเภทหนึ่งภายใต้การปกครองของ
ท้าววิรุฬหก
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้น
จาตุมหาราชิกา
ด้าน
ทิศใต้
เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วย
โมหะ
ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ คือ
โอปปาติกะ
(เกิดแบบผุดขึ้น)
ชลาพุชะ
(เกิดในครรภ์)
อัณฑชะ
(เกิดในไข่) และ
สังเสทชะ
(เกิดในเถ้าไคล) มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์
ป่าหิมพานต์
ป่าไม้งิ้วรอบเขาพระสุเมรุ จนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ครุฑชั้นสูงจะมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ มีขน
สีทอง
มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้ และบริโภคอาหารทิพย์เช่นเดียวกันเทวดา แต่ครุฑบางประเภทก็กิน
ผลไม้
หรือเนื้อสัตว์ บางประเภทถ้าผูกเวรกับนาค ก็จะกินนาคเป็นอาหาร หรือถ้าผูกเวรกับสัตว์นรกใน
ยมโลก
ก็จะสมัครใจไปเป็นนายนิรยบาลลงทัณฑ์สัตว์นรก
[
แก้
] การใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์
ครุฑ
ตราตั้งห้าง
ของประเทศไทย
ครุฑตราตั้งห้าง ประดับเหนืออาคารบริษัทเทเวศร์ประกันภัย กรุงเทพฯ
ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑ จึงได้มีการสร้างรูป
ครุฑพ่าห์
(หรือ
พระครุฑพ่าห์
) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับ
พระมหากษัตริย์ของไทย
ก็มีมาแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยว่าไทยเราได้รับ
ลัทธิเทวราช
ของ
อินเดีย
ที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือ
พระราชลัญจกร
ประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น
ซึ่งจากการที่เราใช้ตราครุฑเป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกร
พระครุฑพ่าห์
ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า
ธงมหาราช
เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น
สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ 3 ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาค เรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีชมพูยุดนาค และ
เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9
เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน
นอกเหนือจากการที่ตราครุฑปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้ว ในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า
โดยได้รับพระบรมราชานุญาต
ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน
ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวังเรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ
ประเทศอินโดนีเซีย
เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ใช้ครุฑ (Garuda) เป็นตราประจำแผ่นดิน โดยครุฑของอินโดนีเซียนั้นเป็นนกอินทรีทั้งตัว สายการบินประจำชาติอินโดนีเซียก็ใช้ครุฑเป็นสัญลักษณ์ คือสายการบิน Garuda Airlines
[
แก้
] ชื่อของครุฑ
ครุฑมีชื่อเรียกหลายนาม เช่น
กาศยปิ (บุตรแห่งพระกัศยปมุนี)
เวนไตย (บุตรแห่งนางวินตา)
สุบรรณ (ผู้มีปีกอันงาม)
ครุตมาน (เจ้าแห่งนก)
สิตามัน (ผู้มีหน้าสีขาว)
รักตปักษ์ (ผู้มีปีกสีแดง)
เศวตโรหิต (ผู้มีสีขาวและแดง)
สุวรรณกาย (ผู้มีกายสีทอง)
คคเนศวร (เจ้าแห่งอากาศ)
ขเคศวร (ผู้เป็นใหญ่แห่งนก)
นาคนาศนะ (ศัตรูแห่งนาค)
สุเรนทรชิต (ผู้ชนะพระอินทร์)
[
แก้
] ครุฑราชการ
ประติมากรรม
ครุฑ ที่อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก
ครุฑที่ใช้ในส่วนราชการมีความแตกต่างกันออกไป ครุฑที่เท้าตั้งเฉียงจะใช้ในราชการกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น ส่วนการใช้ในหน่วยงานอื่นจะใช้เป็นครุฑเท้างุ้ม
ใน
บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
อาคารที่ทำการของไปรษณีย์กลาง
ถนนเจริญกรุง
เขตบางรัก
ที่มุขหน้าปีกซ้าย-ขวา ประดับด้วย
ประติมากรรม
ปูนปั้นครุฑในแบบ
ศิลปะร่วมสมัย
ขนาดสูงเป็น 2 เท่าของคนจริง ซึ่งผลงานของ ศ.
ศิลป์ พีระศรี
ซึ่งรูปปั้นครุฑทั้ง 2 นี้ จัดว่าเป็นรูปปั้นครุฑที่ได้เชื่อว่างดงามที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นในปี
พ.ศ. 2486
ด้วยมีสรีระร่างกายที่บึกบึนกำยำ เต็มไปด้วย
กล้ามเนื้อ
อีกทั้งในช่วง
สงครามมหาเอเชียบูรพา
ที่อาคารสถานที่ต่าง ๆ ใน
กรุงเทพ
ถูก
ระเบิด
ทำลายเสียหาย แต่อาคารไปรษณีย์กลางแห่งนี้กลับไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ มีเรื่องเล่าว่า เป็นเพราะครุฑทั้ง 2 ตนนี้บินไปปัดระเบิดไว้
[1]
[2]
[
แก้
] ในวัฒนธรรมร่วมสมัย
มีการอ้างอิงถึงครุฑไว้ใน
วัฒนธรรมร่วมสมัย
เช่น
ภาพยนตร์ไทย
เรื่อง "
ปักษาวายุ
" ในปี
พ.ศ. 2547
ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอ๊คชั่น
ไซไฟ
โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับครุฑซึ่งเป็นสัตว์ที่ดำรงชีวิตมาแต่
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
และจับ
ไดโนเสาร์
กินจนสูญพันธุ์ และยังคงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้ ออกอาละวาดในพื้นที่
กรุงเทพมหานคร
[3]
หรือใน
การ์ตูนญี่ปุ่น
เรื่อง
เซนต์เซย่า
หนึ่งใน
ขุนพลผู้พิพากษาแห่งยมโลก
ที่ชื่อ "
การูด้า ไออาคอส
" ก็สวมชุดเซอร์พลีสที่เป็นรูปครุฑด้วยเช่นกัน
[
แก้
] ระเบียงภาพ
ครุฑ
ตราแผ่นดินของอินโดนีเซีย
ครุฑ
ตราแผ่นดินของไทย
ครุฑ (
Khangarid
) ตราประจำกรุง
อูลานบาตอร์
ประเทศมองโกเลีย
รูปสลักครุฑจับนาค ศิลปะจาม สมัยพุทธศตวรรษที่ 18
รูปสลักครุฑแบกที่เมือง Thap Mam ประเทศเวียดนาม ศิลปะจาม สมัยพุทธศตวรรษที่ 17
รูปหล่อครุฑโลหะสำริด สมัยพุทธศตวรรษที่ 17-18 ศิลปะขอม พิพิธภัณฑ์จอห์นยัง มหาวิทยาลัยฮาวายแอทมานัว (University of Hawaii at Manoa)
ครุฑ รูปสลักไม้ระบายสี ศิลปะบาหลี เมืองอุบุด เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ครุฑยืน ประติมากรรมหินแกะสลัก วัดเจนนาเกสวะ เมืองเบลัวร์ รัฐกรณาฏกะ ประเทศอินเดีย
เทวรูป
พระนารายณ์ทรงสุบรรณ หรือ ทรงครุฑ หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์
ถนนสีลม
โขนเรือ (หัวเรือ)
นารายณ์ทรงสุบรรณ
เรือพระที่นั่งซึ่งเป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ หรือ ทรงครุฑ
โดย:
Meeboon592
เวลา:
2015-2-1 20:50
ขอบคุณครับ
โดย:
sa99
เวลา:
2015-2-20 20:46
ขอบคุณมากครับ
โดย:
Meeboon592
เวลา:
2015-3-11 18:53
สัตว์ในวรรณคดี ที่มีอิทธิปาฏิหาร
ยินดีต้อนรับสู่ จีโฟกาย.คอม (http://www.g4guys.com/)
Powered by Discuz! X3.1