และด้วยความประทับใจใน เมืองมหาเสน่ห์ เมืองนี้ ตั้งแต่ที่พวกเรามากันครั้งแรกเมื่อครั้ง เทศกาลลอยกระทง ที่ผ่านมาทำให้พวกเราต้องกลับมาที่เมืองนี้อีกครา ในงาน ฉลอง 100 ปี เมืองเชียงคาน ทำให้พวกเราได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเห็น อย่างเช่นขบวนแห่ที่ทำให้พวกเราได้เห็นบรรยากาศ เมืองเชียงคาน เมื่อ 100 ปีที่แล้ว อย่างเช่น เซิ้งเรือยาวของหนุ่ม ๆ เซิ้งเพลงพื้นบ้าน “เบิ่งน้ำโขง” ของสาว ๆ ในเมือง เป็นภาพที่มีความสวยงาม เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ในวิถีของเชียงคานแต่ก็แฝงไว้ด้วยความสนุกสนาน เรียกได้ว่าสนุกสนานจนผมกับเพื่อนร่วมทริปอีกคนอดใจไม่ไหวต้องลงไปร่วมเซิ้ง “เบิ่งน้ำโขง” กับขบวนด้วยก็แล้วกัน
.
.
.
.
.
4 วัน 3 คืน ที่พวกเราทั้ง 7 ชีวิต ได้อ้อยอิ่งอยู่ที่ เมืองมหาเสน่ห์ แห่งนี้ มันทำให้ภาพของเมืองนี้แจ่มชัดขึ้นอีกโขเลยทีเดียว
บอกได้เลยว่าที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ แหล่งท่องเที่ยว ธรรมดา ๆ แต่เป็น ขนมหวาน ของบรรดาตากล้องทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น คือ ถ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาจะไม่รู้ว่าตากล้องฮิตมากันเยอะมากกกกก...โดยเฉพาะถนนชายโขงตอนเย็น ๆ
เห็นทุกคนถือกล้องโปร เลนส์ตัวโตเขื่อง ๆ เดินสวนกันไป สวนกันมา ก็ออเน๊าะ...อาจเพราะที่นี่มีอะไรให้ถ่ายภาพได้หลายอย่าง ทั้งวิถีชีวิตคน วิวสวย ๆ ริมฝั่งโขง ชุมชุนโบราณบ้านไม้เก่า ๆ มองไปทางไหน อะไรก็สวย ยามเช้าก็มีบรรยากาศตักบาตรข้าวเหนียว บรรยากาศเป็นยังงัยก็ลองย้อนกลับไปอ่านย่อหน้าที่ 2 ดูนะ เท่าที่เห็นและรู้สึกตะหงิดหัวใจเล็กน้อยก็คือ “กองทัพตากล้อง” (ประมาณด้วยสายตาประมาณ 10 กว่าคน) พวกเขากำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมถ่ายชาวบ้านใส่บาตร อืมม..จริง ๆ ก็ไม่แปลกอะไรหรอกนะ ถ้ามันไม่ใช่การรุมถ่ายพระแบบมีแสงแฟลชวูบ ๆ วาบ ๆ เสียงเอะอะดังอึกทึกไปทั่ว แถมยังมีแก๊งมอเตอร์ไซด์บิ๊กไบ๊ด์ แก๊งฮาเลย์ ที่ขับฝ่าเข้ามาระหว่างที่ชาวบ้านกำลังนั่งพับเพียบอยู่บนเสื่อสองฝั่งถนนตลอดชายโขงต่างตกอกตกใจกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังอึกทึกไปทั่วถนน คนพวกนี้ทำให้ภาพยามเช้าออกมาเหมือนกับว่าชาวบ้านต่างต้องมานั่งพับเพียบบนเสื่ออยู่หน้าบ้าน เพื่อต้อนรับขบวนคาราวานรถของพวกเค้ามิมีผิดเพี๊ยนเลย ไม่รู้คิดกันได้ยังงัย นอกจากจะไม่เกรงใจพระศาสนาแล้วยังไม่มีความเคารพในสิทธิของผู้อื่นอีก...เสียความรู้สึกชะมัด...เซ็ง แต่ทริปนี้พวกเราก็ไม่ได้เน้นถ่ายภาพกันซักเท่าไหร่ บางทีนะ การมาเที่ยวให้ถึงมันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเก็บภาพให้ได้ครบทุกมุม ได้ภาพสวย ๆ กลับไปบ้านแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อไม่ได้รู้สึกอินกับเรื่องราวหรือว่าสถานที่ในภาพนั้นเลย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
พวกเราได้มัคคุเทศก์น้อยน่ารัก 2 คน เป็นลูกสาวของ พี่ชัย เจ้าของบ้านที่เราไปพักกัน น้องฝน น้องรุ้ง จะอยู่กับพวกเราดูแลพวกเราตลอดทั้งทริป แต่ไม่รู้ใครดูแลใครกันแน่ เดิน ๆเที่ยวกันอยู่น้องรุ้งบอกง่วงนอนก็ต้องพาไปส่งบ้าน เดิน ๆ อยู่น้องฝนบอกหิวข้าวก็ต้องหาข้าวให้ทาน บางทีเดิน ๆ เล่นกันอยู่ น้องรุ้งก็ถามโพร่งขึ้นมาว่าพวกพี่ ๆ จะเดินอะไรกันนักกันหนาค๊ะไม่ง่วงกันบ้างหรือไรรุ้งง่วงแล้วนะ อืมม...ให้มันได้อย่างนี้สิ...เน๊าะเด็กเน๊าะ แต่เด็ก 2 คนนี้ก็เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเราได้เสมอเลย และพวกเราก็เรียกรอยยิ้มของเด็ก 2 คนนี้ได้มิใช่น้อยเช่นกัน ฝนกับรุ้ง ได้เปรยกับพวกเราว่ามาเที่ยวนี้ให้พวกเราขึ้นไปเที่ยว ภูทอก ให้ได้เพราะว่าข้างบนสวยมาก ผมก็ถามกลับไปว่ามันสวยยังงัยและข้างบนภูมีอะไรบ้าง ฝนกับรุ้ง ยิ้มแหย ๆ พร้อมกับบอกพวกเราว่าไม่รู้เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยขึ้นไปเลยก็กะว่าถ้าพวกเราขึ้นไปจะได้ติดรถขึ้นไปดูด้วยอยากเห็นเหมือนกันว่ามันสวยยังงัยเคยได้ยินแต่พ่อเล่าให้ฟังว่าสวย เฮ้อ...ให้มันได้อย่างนี้สิน้อง...ไอ้เราก็นึกว่าเซียน ภูทอก ซะอีก โอเค...พวกเราจัดให้น้องฝนกับน้องรุ้ง ขึ้นภูทอก ตอนเช้าในวันที่เราจะเดินทางกลับกรุงเทพฯกัน บรรยากาศบน ภูทอก ไม่ผิดหวังครับทะเลหมอกสวยไม่แพ้ ห้วยน้ำดัง ภูชีฟ้าหรือว่าเขาค้อเลย อากาศเย็นมากพวกเราต้องใส่อุปกรณ์กันหนาวกันแบบฟูลออฟชั่น ถ่ายภาพเล่นกันสนุกสนานพอประมาณแล้ว พวกเราก็ลงจาก ภูทอก เข้าที่พักอาบน้ำชำระร่างกายแล้วแวะกินอาหารมื้อสาย ๆ กับ ครอบครัวของน้องฝนกับน้องรุ้งที่บ้านพัก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ก่อนที่จะรับประทานอาหารพี่ชัยพ่อของน้องฝนกับน้องรุ้ง ได้หยิบพ๊อกเก็ตบุ๊กหน้าตาหน้าปกคุ้น ๆ มาไห้ผมดูถามว่ารู้จักคนเขียนมั๊ย เค้ามาพักอยู่ที่นี่ตอนนี้นอนอยู่ข้างบน ผมหยิบหนังสือมาดูด้วยความตื่นเต้น โอ้ววววให้ตายเถอะโรบิน ให้ดิ้นเถอะแบ๊ทแมน “จ่าจินต์” ครับ จ่าจินต์ ผมกับเป้(ณดาว) ตะโกนเรียกซักพักจ่าจินต์ก็ลงมาหาด้วยความดีใจ ตื่นเต้นครับมิคิดว่าจะได้มาเจอ บ๊ลอกเกอร์ด้วยกันที่นี่ โดยเฉพาะบ๊ลอกเกอร์ยอดนิยมอย่าง “จ่าจินต์” แถมจ่าจินต์ยังอ้อนให้ผมกับเป้(ณดาว) อยู่เที่ยวเป็นเพื่อนจ่าต่ออีกวัน ผมกับเป้(ณดาว) คงได้ตกงานก่อนล่ะครับจ่าถ้าขืนอยู่เที่ยวกับจ่าต่ออีกวันเชิญจ่าจินต์เที่ยวให้สนุกเถอะครับ เสือน้อยกับณดาว กับกรุงเทพฯก่อนแล้วกันนะจ่าจินต์ ก่อนจะร่ำลากันกลับพวกเรายังมีโอกาสได้ฟังเพลงพื้นบ้าน “เบิ่งน้ำโขง” แบบด้นสดโดยกลุ่มสตรีสาว ๆ รุ่นคุณพี่ คุณป้า คุณน้า คุณอา คุณยาย ไพเราะจับจิตสุดแสนประทับใจมาก ๆ เลยครับ...ขอบอก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา...ถึงเวลาร่ำลากันก่อนเราจะกลับ กทม. ร่ำลาผู้หลักผู้ใหญ่ เห็นน้องฝนกับน้องรุ้งทำหน้าเศร้า ๆเหมือนกับว่าไม่อยากให้เรากลับซะงั๊น(อันนี้คิดเอาเองนะครับ) ไม่รู้ว่าเด็กน้อย 2 คนนั้นคิดละปล่าว ขอปิดทริป “เชียงคาน เบิกบานจัง...เลย” ไว้แค่นี้นะครับหลังจากห่างหายจากการอัพบ๊ลอกไปนานมันเลยทำให้การเขียนครั้งนี้ติดขัดถ้าเข้ามาชมแล้วไม่สนุก เสือน้อย ขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ สวัดดีมีชัยกันถ้วนหน้านะครับ