numkong2011 โพสต์ 2011-4-19 13:39:11

ตำนานพระศิวะมหาเทพ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย numkong2011 เมื่อ 2011-4-19 14:42

                                                                      พระศิวะ แปลว่า ผู้ปี่ยมความกรุณาในการชุบชีวิตต่างๆ ให้บริสุทธิ์ พระองค์คือมหาโยคี จอมราชาของเหล่าทวยเทพและมุนีทั้งปวง อันประกอบไปด้วยบรรดาฤาษี โยคี มุนี ดาบส ฯลฯ   ตำนานระบุว่า พระศิวะเกิดจากพระเวทและพระธรรมที่ช่วยกันเนรมิตพระองค์ขึ้นมาเพื่อสร้างโลกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่โลกได้ละลายกลายเป็นอากาศมาช้านาน โดยมอบฤทธิ์ อำนาจ ให้พระศิวะ มีอิทธิฤทธิ์สูงสุดสามารถประทานพรให้กับบุคคลใดก็ได้โดยไม่มีเลือกที่รักมักที่ชังมีความกรุณาต่อทุกชีวิตในไตรโลก ไม่ว่า อินทร์ พรหม ยมยักษ์ อสูร เทวดา พญานาค นางอัปสร หรือ คนธรรพ์ ฯลฯ ผู้ที่รับพรนั้นๆ ไป ก็มีฤทธิ์เป็นไปตามพรของพระศิวะทุกประการ   พระศิวะทรงมีเอกอัครมเหสีคู่พระทัยคือ พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี หรือ พระอุมาเทวี หรือชาวฮินดูนิยมเรียกกันว่า พระนางปาราวตีซึ่งเป็นอิตถีเทพ ที่งดงามเป็นยิ่งนัก และยังเป็นเทพเทวีที่มีผู้คนนิยมบวงสรวงบูชามากมายว่าเทพนารีองค์อื่นองค์ใดพระแม่อุมามหาเทวีปรากฏอยู่ในทุกคัมภีร์ทุกตำรา ด้วยเพราะพระศิวะนั้นไม่ปรากฏว่าจะมีพระชายาอีกมากมายดังมหาเทพองคือื่น ๆ   พระศิวะทรงเป็นพระบิดาของพระพิฆเนศวรและพระขันธกุมาร พระโอรส 2 พระองค์นี้ประสูติจากพระแม่อุมา อัครมเหสีคู่บารมี   พระศิวะมียังพระชายาคู่บารมีอีก 2 พระนาง คือ พระคงคาและพระนางสนธยา พระแม่คงคาซึ่งเป็นพระพี่นางของพระแม่อุมามหาเทวี อัครมเหสีของพระศิวะนั้นแต่เดิมก็เป็นพระชายาองค์รองๆ ของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ ซึ่งเมื่อได้มีเรื่องมีราวขัดแย้งบาดหมางกันระหว่างบรรดาพระชายาพระวิษณุ จนก่อเหตุให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ พระวิษณุจึงได้นำพระแม่คงคามาถวายให้เป็นพระชายาของพระศิวะ   ส่วนพระนางสนธยานั้นเป็นธิดาของพระพรหม มหาเทพอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีความผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนเป็นเหตุให้พระพรหมผู้เป็นบิดาทรงกริ้วนัก และปรารถนาที่จะลงโทษพระธิดาสนธยาอย่างหนัก ซึ่งพระธิดาก็เกรงกลัวที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ จึงได้แปลงกายเป็นนางเนื้อหลบลี้หนีพระบิดาไปเสีย
   พระพรหมเองก็ไม่ยอมลดละ ด้วยความกริ้วถึงกับนิรมิตองค์เป็นกวางตามนางเนื้อไปในทันที พระศิวะได้ทรงบังเอิญมาพบเห็นเข้า ก็จึงได้มีความเห็นใจพระธิดาสนธยา ครั้นจะห้ามปรามพระพรหมผู้เป็นบิดาของพระนางสนธยาก็ดูจะกระไรอยู่ จึงได้ยับยั้งความกริ้วของพระพรหมในครั้งนั้นด้วยการแผลงศรไปถูกเศียรกวางขาดกระเด็น
   เมื่อพระพรหมกลับคืนมาสู่ร่างเดิม ก็จึงได้คลายความโกรธ และพระศิวะก็ได้พูดคุยกับพระพรหมให้ยกโทษให้กับพระธิดา และการขออภัยโทษแก่พระนางสนธยานั้นคงจะไม่เป็นการสำเร็จโดยง่าย พระศิวะจึงได้ใช้วิธีทูลขอพระนางสนธยามาเป็นพระชายา ด้วยความเกรงอกเกรงใจกัน พระพรหมจึงได้ยินดียกพระธิดาให้ไปเป็นพระชายาของพระศิวะ ด้วยเหตุนี้เองที่พระธิดาสนธยาจึงไม่ต้องถูกพระบิดาลงโทษ   ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่มีพระชายาเพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นเพราะพระศิวะออกไปแสวงหาด้วยความมากรักหลายใจแต่อย่างใด






พระศิวะ ไว้ผมยาวสลวยแบบฮิปปี้ แลดูคล้ายจิตรกร นักดนตรีร็อคหรือศิลปินมีพระพักตร์หล่อเหลาคมคายมากกว่าเทพองค์ใดสังเกตจากภาพเขียนของอินเดีย จะให้ความสำคัญกับพระองค์ค่อนข้างมากในเรื่องนี้ ทรงแต่งพระองค์แบบปอนๆ (สูงสุดคืนสู่สามัญ) จึงได้รับความนิยมจากศิลปินแห่งโลกตะวันตก รวมทั้งศิลปินไทย เช่น นักดนตรีในยุคซิกส์ตี้-เซเว่นตี้ โดยเฉพาะพวกบุปผาชนที่แอนตี้สงครามและใฝ่หาเสรีภาพต่างศรัทธาและบูชาพระองค์เป็นเสมือนฮีโร่ในดวงใจ   ทรงฉลองพระองค์ง่ายๆ สบายๆ แบบกันเองเหมือนไม่ทรงถือตัว เช่น นุ่งผ้าเตี่ยว ห่มหนังเสือหรือหนังกวางเพียงผืนเดียว ห้อยลูกประคำที่ทำจากเม็ดรุทรากษะ มีพญางูพันพระศอ และสร้อยสังวาลเป็นรูปหัวกะโหลก ช่วยเพิ่มความขลังให้น่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก    พระองค์มีดวงเนตรที่สาม จะลืมพระเนตรขึ้นก็ต่อเมื่อมีเหตุอันสำคัญเกิดขึ้นที่พระองค์จะต้องลงมือปราบปรามหรือแก้ไขปัญหาต่างๆให้ลุล่วง ตรีเนตรหรือดวงเนตรที่สามนี้ สามารถเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้แหลกเป็นผุยผงไปได้ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ พระศิวะประลองฤทธิ์กับพระนารายณ์ ไม่มีใครแพ้ชนะอย่างเด็ดขาด พระพรหมเห็นดังนั้น จึงเดินเข้าไปต่อว่าพระศิวะ หาว่าพระองค์ไม่สามารถปราบได้แม้กระทั่งมหาเทพที่พระองค์สร้างขึ้นมาเอง
   พระศิวะทรงพระพิโรธที่ถูกหยามหมิ่น จึงเผลอลืมเนตรที่สามขึ้น ทำให้เศียรข้างหนึ่งของพระพรหมมอดไหม้มลายไป มิอาจกลับคืนมาได้อีกเลยนับตั้งแต่นั้น จากเดิมที่พระพรหมมี 5 เศียร จึงเหลืออยู่เพียง 4 เศียร อย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน
   พระศิวะทรงเป็นเทพเจ้าแห่งพร 108 ประการ จะประทานให้กับผู้อื่นที่ทำความดีเท่านั้น พวกมิจฉาชีพอย่าไปขอพรท่านเข้าล่ะ ดีไม่ดี ท่านอาจให้โทษได้ ถ้าสืบทราบมาว่าเป็นคนชั่วช้าเลวทรามก็พระองค์คือเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างโลกที่โสมมนัสให้สะอาดแล้วสถาปนาขึ้นมาใหม่เป็นมาอย่างนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์   หากพระองค์ไม่ทรงลงมือเองก็ต้องมีพระนารายณ์ลงมาปราบ ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่หรือไม่ก็พระแม่ทุรคา พระแม่กาลี พระชายาของพระองค์เองมาทำการปราบ    ส่วนใครที่มีทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ ก็สามารถขอพรจากท่านให้พ้นทุกข์ได้ แต่ต้องปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีเป็นพื้นฐาน หรือผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยากจะอาการทุเลาอาการลงhttp://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/Shiva4.jpg    นอกจากนี้ พระศิวะยังทรงเป็นบรมครูทางด้านนาฏยศาสตร์หรือนาฏศิลป์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วยท่าร่ายรำ 108 ท่าของพระองค์ มีพระฤาษีภารตะมุนีเป็นผู้บันทึกไว้แล้ว ถ่ายทอดแก่ชาวโลก เรียกว่า “นากยัม” นับเป็นต้นแบบการร่าบรำของชมพูทวีปที่ถ่ายทอดไปสู่ดินแดนอื่นๆ    หากคุณนึกถึงการร่ายรำเมื่อใด ต้องนึกถึงระบำแขกก่อน สาเหตุก็เพราะการร่ายรำของอินเดียมีลีลาที่เร้าใจได้อารมณ์สุนทรีย์ ในเรื่องของท่าทาง การส่ายเอว ส่ายสะโพก เพราะว่าพวกเค้า สืบสานตำนานนาฏยศิลป์มาจากองค์พระศิวะ ดังที่มีคำนิยามว่า “พระผู้เขย่าจักรวาลด้วยการร่ายรำ”






http://www.prashiva.com/Shared/images/Title/title_posture.jpg


1.ปางศิวะนาฏราช (พระศิวะกำลังร่ายรำ)
   ในตำนานเล่าว่า พระศิวะทรงชักชวนพระนารายณ์ปลอมแปลงโฉม เป็นสามี-ภรรยากันไป ณ ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อกำราบเหล่าดาบสที่ไม่ตั้งตนบำเพ็ญตบะ และบูชาเทพอย่างที่ควร ดาบสกลุ่มนั้นประพฤติตนเหลวไหล ใฝ่ไปในทางชั่วมากกว่าจะอยู่ในศีลในธรรม
   เมื่อทั้ง 2 มหาเทพไปปรากฏตัวในป่านั้นในฐานะของโยคีหนุ่มกับภรรยาสาว (พระนารายณ์ทรงปลอมเป็นภรรยาพระศิวะ) เหล่าดาบสผู้มากกิเลสตัณหา ก็พากันมาเวียนวน เกี้ยวพาราสีสาวงามภรรยาของโยคีหนุ่ม โดยไม่สนใจหรอกว่านางเป็นผู้มีคู่มีเจ้าของแล้ว บรรดาเมียๆ ของดาบส ต่างก็ไม่วางตนว่าไม่โสดแล้ว พากันมาให้ท่าทอดสะพานโยคีรูปงามกันมิเว้นวาย
http://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/shiva6.jpghttp://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/shiva7.jpg   เวลาผ่านไป ก็ไม่มีดาบสผู้ใดพิชิตภรรยาสาวของโยคีได้ ความพิศวาสจึงได้กลายเป็นความเคืองแค้น เหล่าดาบสจึงพากันสาปแช่งโยคีและเมียรักให้มีอันเป็นไป แต่ทว่าคำสาปนั้นหลับไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น พวกดาบสนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า โยคีนั้นคือพระศิวะและภรรยานั้นคือพระนารายณ์ อิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใดๆ ก็มิอาจกล้ำกรายผู้เป็นเทวะได้แน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้นั้น จึงยังทำพวกดาบสกำเริบเสิบสานต่อไป
   พวกดาบสส่งยักษ์ชื่อมุยะละกะมาปราบ พระศิวะก็ทรงสำแดงฤทธิ์เดช ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอกยักษ์ไว้ แล้วก็ทรงร่ายรำไปในลีลาอันวิจิตรพิสดารยิ่งนัก บรรดาดาบสทั้งหลายจึงยอมศิโรราบ กราบขอขมาต่อพระศิวะโดยดี เมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังอหังการกับมหาเทพเสียแล้ว
   อีกตำนานโบราณฝ่ายไศวะนิกาย กล่าวไว้ว่า เมื่อพระศิวะทรงตีกลองเป็นจังหวะอันไพเราะ โลกใบนี้ได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะกลองนั้นด้วย และเมื่อพระศิวะทรงร่ายรำเคลื่อนไหวพระองค์และพระกรพลิ้วไป ก็เป็นเหตุให้บังเกิดสุริยจักรวาลขึ้นในบัดนั้นเอง นักระบำของอินเดียจะต้องร่ายรำในท่าบูชาพระศิวะก่อนเสมอ แล้วจึงค่อยร่ายรำในท่าอื่นๆต่อไป2.ปางมหากาลไภรวะ (พระพิราพ)
    http://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/shiva9.jpg    เป็นปางดุร้ายปางหนึ่งของพระศิวะ ประเทศอินเดียถือว่าพระพิราพ หรือพระไภรวะนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับนาฏศิลป์ เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดท่ารำที่เรียกว่า "วิจิตรตาณฑวะ" ซึ่งเป็นท่ารำท่าหนึ่งใน 108 ท่ารำของพระศิวะ ดังนั้นจึงถือว่าท่านเป็น "นาฏราช" ที่หมู่นาฏศิลป์อินเดียให้ความเคารพเกรงกลัว เพราะถือเป็นเทพที่บันดาลความเป็นความตายได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นผู้ให้ชีวิตและปัดเป่าโรคภัย 3.ปางจักราธนมูรติ (วิษณุวาณุครหมูรติ)
    อันเนื่องจากพระวิษณุเทพได้ทำสงครามกับอสูรบนสวรรค์ และเกิดความเพลี่ยงพล้ำไม่อาจชนะฝ่ายอสูรได้ จึงได้ทำพิธีบูชาพระศิวะเทพขึ้น ด้วยการบูชาพระองค์ด้วยดอกบัววันละ 1,000 ดอกทุกวัน จนวันหนึ่งหาดอกบัวไม่ได้พระวิษณุเทพจึงควักลูกตาของตนเพื่อถวายบูชาแก่องค์ศิวะเทพ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงประทานลูกล้อ หรือจักรหินสัญลักษณ์ของพระศิวะเทพเพื่อให้เป้นอาวุธของพระวิษณุต่อไป4.ปางนนทิศานุครหมูรติ (กายเป็นมนุษย์ เศียรเป็นโค)
   ปางนนทิศานุครหมูรติสรังคยานะเกิดมาไม่มีบุตรสืบสกุล จึงไปขอพระเป็นเจ้า วิษณุเทพได้ประทานบุตรมาให้ตน ด้วยพอใจการบวงสรวงบูชาของฤาษี บันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เด็กถือกำเนิดจากสีข้างของพระองค์ ทารกนี้รูปร่างเหมือนพระศิวะ ทรงพระราชทานนาม นนทิเกศวร นนทิเกศวรได้พรจากพระศิวะ ต่อมานนทิได้นำพิธีทรมานร่างกายบนยอดเขามันธระเพื่อให้เข้าถึงพระศิวะเจ้า พระศิวะเทพโปรดปรานมาก ทรงปรากฏตัวให้เห็นและรับเอาฤาษีนนทิเป็นหัวหน้ามหาดเล็กรับใช้อยู่ที่เขาไกรลาศ ทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพบุตรนนทิเกศวร ส่วนพระชายาของเทพบุตรพระองค์นี้คือ นางสุยาศุ บ้างก็ว่าเทพบุตรพระองค์นี้ตัวเป็นมนุษย์ หัวเป็นโค5.ปางกิรทารชุนมูรติ
   ท้าวอรชุน (ในมหากาพย์ภารตะ) ทำพิธีบูชาพระศิวะเพื่อขอประทานลูกธนูศักดิ์สิทธิ์ให้ตนเพื่อไปยิงอสูร ท้าวอรชุนได้บวงสรวงอยุ่ที่เขาไกรลาศ พระศิวะใช้มายาแปลงเป็นหมูป่าเข้าทำร้ายพราหมณ์หนุ่มและท้าวอรชุน พราหมณ์หนุ่มต้องการยิงหมูป่า อ้างว่าตนเห็นก่อน แต่ท้าวอรชุนไม่ยอม บอกว่าตนต่างหากที่เห็นก่อน จากนั้นทั้งคู่ก็เลยต้องเดิมพันด้วยการต่อสู้กัน ไม่ว่าท้าวอรชุนจะใช้อาวุธใดก็มีอาจทำร้ายพราหมณ์หนุ่มได้ จนเมื่อท้าวอรชุนทรุดตัวลงกราบ พระศิวะพอพระทัยมอบลูกธนูวิเศษให้ไปปราบอสูร

6.ปางราวันนานูครหมูรติ
   ทศกัณฐ์ เจ้าเมืองลงกา หลังจากทำสงครามกับท้าวกุเบร ได้เสด็จผ่านเทือกเขาหิมาลัย เห็นว่ามีทัศนียภาพอันน่ารื่นรมย์ ตั้งใจจะเข้าไปชมสถานที่ แต่เจอนนทิเกศวรหัวหน้ามหาดเล็กของพระศิวะเทพขวางทางไว้ เพราะเขาไกรลาศเป็นที่ประทับของพระศิวะเทพและพระนางปราวตี ห้ามผู้ใดล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐานทศกัณฐ์โกรธ ขู่อาฆาตและสาปแช่งว่า นนทิต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง แต่นนทิเกศวรบอกว่า ทศกัณฐ์ต่างหากที่ต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือลิง ทศกัณฐ์โกรธเตรียมจะยกเขาไกรลาศขึ้นทุ่ม แค่โยกเขาด้วยอิทธิฤทธิ์เท่านั้น บรรดาเทวดาและมนุษย์ก็เดือดร้อนหนีกันจ้าละหวั่น พระนางปราวตีได้ทูลขอให้พระศิวะให้แก้สถานการณ์ทรงใช้เท้าเหยียบที่พื้นลงเบาๆ เพื่อให้เขาไกรลาศตั้งดังเดิม ทรงปราบพยศอสูรทศกัณฐ์จนยอมศิโรราบ พระศิวะเทพโปรดประทานดาบศักดิ์สิทธิ์ให้จากนั้นทศกัณฐ์ได้เดินทางกลับกรุงลงกา

7.ปางกาลารีมูรติ
   ฤาษีตนหนึ่ง ได้ทำพิธีบูชาสวดมนตร์อ้อนวอนขอลูกกับพระศิวะเทพ พระศิวะทรงโปรดการบูชาจึงประทานลูกให้ แต่บอกว่า เด็กคนนี้จะอายุสั้น ฤาษีและภรรยา ได้เลี้ยงดูลูกจนอายุ 16 ปี ลูกชายไปได้บวงสรวงต่อพระศิวะระหว่างที่ชะตาถึงฆาตประจวบเหมาะว่า เป็นช่วงที่เด็กคนนี้กำลังบูชาศิวลึงค์อยู่พอดี พระยม-กาลแห่งความตายได้เดินทางจากเมืองนรกมารับตัวเด็กหนุ่ม พระศิวะเห็นดั่งนั้นทรงพิโรธ ทรงปรากฏกายออกจากศิวลึงค์เข้าเตะพระยม พระยมสู้ฤทธิ์พระศิวะไม่ได้จึงหนีไปพระศิวะประทานพรให้เด็กหนุ่มมีชีวิตเป็นอมตะ

8.ปางกานันทกามูรติ
      ปางนี้คือปางพระศิวะทำลายเทพเจ้าแห่งความรัก (กามเทพ)เมื่อพระนางสตีเผาร่างตนเองไปนั้น พระศิวะเสียใจมาก และเข้าสู่สมาธิเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในที่สุดเมื่อพระนางมาจุติใหม่ โดยแบ่งภาคมาจากพระแม่ศักติ-ศิวา มาเป็นพระนางปราวตี กามเทพต้องทำหน้าที่เพื่อให้ศิวะเกิดความรัก เพื่อจะได้มีบุตรในการไปปราบอสูรชื่อ ทาราคา ในที่สุดเมื่อทุกอย่างสำเร็จ ทรงมีโอรสขึ้นมาคนหนึ่งชื่อ ขันธกุมาร หรือ กาติเกยะ หรือกุมารา หรือสุภามันยะเพื่อไปปราบอสูร

9.ปางอรรธนารีศวร (ครึ่งพระศิวะ ครึ่งพระอุมาเทวี)
   ปางนี้เป็นปางครึ่งหญิงครึ่งชายในรูปลักษณ์ทางประติมกรรมนั้น จะแบ่งซีกระหว่างพระศิวะกับพระอุมาเทวี พระศิวะอยู่ทางซีกขวา และพระอุมาเทวีอยู่ทางซีกซ้าย ซึ่งถ้าผู้ที่เข้าใจระบบความเชื่อแบบทวิลักษณะแบบจีน หรือ คัมภีร์หยิน-หยางย่อมเข้าใจได้ว่า ชายขวา-หญิงซ้าย นั่นคือสูตรตามแบบฉบับของคัมภีร์นี้ ปางนี้ได้กำเนิดขึ้นครั้งแรก ครั้งเดียว ในสมัยการสร้างจักรวาล กล่าวคือ พระพรหมได้รับภารกิจให้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวไม่มีกำลังในการขยายเผ่าพันธุ์ในโลกใด้ ครั้งจะสร้างเพศหญิงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาแบบอย่างมาจากไหน พระพรหมจึงต้องบวงสรวงมหาเทวาธิเทวะ มหาเทวะ ศิวะเทพ เพื่อให้เสด็จมาแก้ปัญหาที่ค้างคาใจอยู่พระพรหมบวงสรวงจนเป็นที่พอใจก็เลยเสด็จมา นับเป็นครั้งแรกที่มาในปางอรรธนารีศวร เพศหญิงและเพศชายที่รวมกันอยู่ในร่างเดียวกัน ทำให้พระพรหมเข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่นี้ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่http://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/shiva8.jpg






http://www.prashiva.com/Shared/images/Title/title_shivaL.jpg


http://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/shiva10.jpg   พระศิวะเป็นมหาเทพเพียงพระองค์เดียวที่มีสัญลักษณ์แทนองค์ที่ไม่เหมือนเทพองค์ใดและไม่มีใครเหมือน คือ ศิวลึงค์   อวัยวะเพศชายที่ออกแบบมิให้เหมือนจริง ลักษณะเป็นหินแท่งกลมๆ ภาษาอาร์ตเรียกว่า “มีการลดสกัดตัดทอน” มีดีไซน์อันแยบยลหมายให้เป็นรุปลึงค์ของพระองค์จุดกำเนิดของสรรพสิ่งบนจักรวาล หรือเป็นบิดาแห่งจักรวาลมักสร้างไว้บูชาตามเทวสถานโบราณหลายแห่งทั้งในประเทศอินเดียและสุวรรณภูมิ โดยมีลัทธิบูชาศิวลึงค์เป็นการเฉพาะศิวลึงค์ มักปรากฎคู่กับ โยนี ซึ่งเป็นฐานใหญ่รองรับอยู่ด้านล่าง เชื่อกันว่า โยนี เป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระอุมาเทวีอัครมเหสีhttp://www.prashiva.com/Shared/images/pictures/shiva11.jpg       ในคัมภีร์โบราณได้บันทึกไว้ว่า ในวันหนึ่งขณะพระศิวะกำลังร่วมภิรมย์เสพสมกับพระอุมาเทวีอย่างแสนสุขสันต์ในวิมานบนเขาไกรลาศแต่ในครั้งนี้ได้กระทำการกัยกลางท้องพระโรง บังเอิญพวกทวยเทพที่กำลังจะมาเข้าเฝ้าพระศิวะได้พบเห็นเข้า จึงยืนวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ ราวกับจะหมดสิ้นความนับถือในองค์พระมหาเทพ      พระศิวะทรงพระพิโรธ และได้ประกาศก้องไปทั่วสรวงสวรรค์ว่า ในภายภาคหน้าศิวลึงค์ของพระองค์นี่แหล่ะจะเป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนพระองค์ที่บรรดามนุษย์และเทพเทวาทั้งปวงจะต้องกราบไหว้บูชา หากปรารถนาจะพบความสุขและความสำเร็จในชีวิต      จะจริงดั่งคำตรัสของพระองค์หรือไม่ แต่ก็เห็นคนทำมาค้าขายบูชาศิวลึงค์กันทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งชาย-หญิง เด็ก-ผู้ใหญ่






ภูตะวัน โพสต์ 2011-4-21 15:16:51

ตอบกระทู้ numkong2011 ตั้งกระทู้

ขอบคุนครับกับความรู้ที่แบ่งปันคราบ

Wottisit โพสต์ 2014-2-22 22:07:36

ขอบคุณครับผม
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ตำนานพระศิวะมหาเทพ